ตอนที่ 16 : EP.14 เพลิงเผาหน่วยเสบียง
Game of Creation ภาค ประกาศิตเทพมารแสวงพ่าย
EP.14 เพลิงเผาหน่วยเสบียง
ก่อนที่จะมีวีรบุรุษผู้กล้า ย่อมต้องมีจอมมารร้ายผู้สร้างยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย ในสงครามชิงแผ่นดินจงหยวนนั้น ตั๋งโต๊ะได้จุดชนวนสวมบทบาทกังฉินผู้กดขี่ฮ่องเต้แล้ว และเหล่าผู้ร่วมต่อต้านก็ได้กลายสภาพเป็นเหล่าผู้กล้าไปโดยปริยาย แต่ในธุรกิจการค้าและดินแดนยุทธภพนั้นยังไม่มีใครตั้งตนเป็นจอมมารร้าย ซึ่งซันซั่งเทียนหมายคิดจะรับบทบาทนี้เอาไว้เสียเอง เพียงแต่ว่าจอมมารอย่างเขาคงไม่ได้เหมือนผู้ร้ายในนิยายหรือภาพยนตร์ เป็นคนที่ยากจะคาดเดา
แผนขั้นต้นคือปั่นป่วนกองเสบียงของทั้งตั๋งโต๊ะและพันธมิตรกวนตง จากนั้นเปิดตัวด้วยธุรกิจเสบียงทัพและยาสมุนไพร ตามด้วยสร้างกองกำลังมือดีผู้ที่จะอุทิศชีวิตให้กับการรับใช้ตัวของเขา จากนั้นครอบงำวงการค้าด้านอื่นๆคอยกำหนดแนวทางตามที่ต้องการ นั่นคือความคิดคร่าวๆของชายหนุ่ม ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาต้องทำคือสร้างความวุ่นวายด้านเสบียงอาหาร
ทำให้ฝ่ายพันธมิตรกวนตงตกเป็นเป้าหมายแรก!
ยามนี้กองเสบียงภายใต้สังกัดของอ้วนสุดถูกซันซั่งเทียนที่ปลอมตัวมิดชิดบุกจู่โจม ดาบของขุนพลร่างใหญ่ถูกหักอย่างง่ายดายด้วยมือของเขา ทั่วทั้งบริเวณเล็งเห็นแล้วว่าผู้มาไม่ธรรมดา บ้างกวาดสายตามองรอบๆด้วยเกรงจะมีคนซุ่มอยู่อีกมาก ทั้งสองฝ่ายต่างคุมเชิงกันอยู่ขุนพลที่สูญเสียอาวุธบันดาลโทสะฟาดดาบส่วนที่เหลือโจมตี น่าเสียดายที่เขาพลาดท่าถูกกระแทกให้ถอยห่าง
“ไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์ต้องการสิ่งใดถึงได้มาเยี่ยมเยือนหน่วยขนส่งเสบียงของกองทัพพันธมิตรกวนตง” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา ขุนพลหน้าขาวจึงเปลี่ยนท่าทีมาเจรจาแทนการลงมือ ชายหนุ่มจึงได้โอกาสเล่าเรื่องที่กุขึ้นเมื่อครู่ออกไป
“ข้าหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ ใต้สังกัดหัตถ์แห่งมัจจุราช ได้รับการจ้างวานจากคหบดีท่านหนึ่ง ให้ทำการทำลายเสบียงกองทัพสกุลอ้วน หากรักชีวิตก็ให้ทิ้งข้าวของทุกอย่างไว้แล้วไปเสียให้ไกลๆ ไม่เช่นนั้นจะไม่ไว้ชีวิต”
“เหลวไหลสิ้นดี เสี่ยงชีวิตเช่นนี้คุ้มแล้วหรือ?” ขุนพลร่างใหญ่ในชุดเกราะแดงตวาด
“เสี่ยงชีวิต? หึ! คงจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว ข้ายังไม่เห็นเลยว่าการจัดการพวกเจ้าทั้งหมดนี่ จะเป็นการเสี่ยงชีวิตตรงไหน” ชายหนุ่มใช้เสียงทีเล่นทีจริงทั้งยังทำตัวตามสบาย
“เจ้าเด็กอวดดี”
ขุนพลร่างใหญ่ในชุดเกราะแดง บันดาลโทสะโคจรพลังลมปราณ ถ่ายทอดลงในดาบที่เหลืออยู่เพียงครึ่ง แล้วฟันฉับใส่ต้นคอของโจรป่าจำแลง ซันซั่งเทียนเหยียดรอยยิ้มเยาะดีดนิ้วชี้ขวากระแทกกับคมดาบ ชั่วขณะปลายนิ้วของเขาคล้ายเรืองแสงสีส้มแผ่ความร้อนจัดวูบหนึ่ง ผู้ลงมือกลับถูกแรงกระแทกผลักตกรถม้า ซ้ำยังถอยหลังไปอีกหลายก้าว มันยกอาวุธคู่กายขึ้นดูปรากฏรูโหว่เด่นชัดตรงจุดที่ถูกนิ้วจิ้มเข้าเมื่อครู่ ทั้งขบวนแตกตื่นกับระดับฝีมือของโจรป่าผู้นี้
“ฝีมือร้ายกาจนัก คงไม่ด้อยไปกว่านายท่าน”นายกองเกราะสีเหลืองครุ่นคิดด้วยความกังวล
“พวกเราเองก็ไม่อยากขัดความต้องการของท่าน แต่สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อความอยู่รอดของกองทัพ หน่วยของพวกเรามีหน้าที่คุ้มกันเสียงเหล่านี้ไปส่งที่ค่าย พวกเราย่อมไม่อาจมอบให้ท่านขอได้โปรดเห็นใจ”ขุนพลหน้าขาวกล่าวขึ้นเพื่อถ่วงเวลาเลี่ยงการปะทะ
“คุ้มแล้วแล้วหรือ...ที่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งเพราะเสบียงแค่นี้” ซันซั่งเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ มันฟังดูเย็นยะเยือกขนผู้คนขนลุกซู่
“เจ้าโจรชั่วคิดว่าข้าจะกลัวเจ้ารึไง”คนที่เพิ่งถูกทำร้ายแผดเสียงก้อง
ข้างฝ่ายพลคุ้มกันนับร้อยต่างพากันส่งเสียงร้องข่มขวัญ เจ้าของดาบดาบหักครึ่งกระโดดขึ้นรถม้าใช้พาดคอซันซั่งเทียน มืออีกข้างก็กดบ่าเอาไว้พร้อมถ่ายทอดพลังวัตรกดดันเพื่อทำการจับกุม มิคาดข้อมือของมันกลับถูกโจรป่าจำแลงตรงหน้าคว้าจับเอาไว้แน่น
“ไม่เจียมตัว” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏ
“เจ้า!”
“สายเกินไปแล้ว”ซันซั่งเทียนกระซิบแผ่นเบา
ชายคนนั้นหน้าถอดสีเมื่อรู้สึกว่าทั้งพละกำลังตลอดจนกลิ่นอายแห่งชีวิตของตนเองค่อยๆรั่วไหลออกไปจากร่าง เรี่ยวแรงที่เคยมากล้นมาโดยตลอด ก็ค่อยๆถดถอยลงไปเพียงเวลาไม่กี่วินาทีราวกับถูกอะไรสักอย่างดูดกลืนไป แม้แต่แรงจะพูดยังไม่เหลือ ร่างของเขาทรุดลงกลิ้งตกจากรถม้าลงไปนอนกองกับพื้นท่ามกลางความแตกตื่นของคนอื่นๆ
“มันใช้วรยุทธ์อะไรของมัน”ขุนพลขาวครุ่นคิดแต่กลับหาคำอธิบายให้กับตัวเองไม่ได้
“ ข้าจัดการเอง”นายกองชุดเหลืองตวัดหอกในมือแทงเข้าหา
“เชิญ!”
ชายหนุ่มเหยียดร้อยยิ้มแววตาคมกล้าดุจกระบี่ชั้นยอด เขาใช้มือเปล่าคว้าจับหอกที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังออกแรงกระชากให้เจ้าของอาวุธเสียหลัก โดยไม่ลืมที่จะฉวยโอกาสนั้นใช้มือสัมผัสกับร่างกายอีกฝ่าย
ฉับพลันร่างฉกรรจ์ของนายกองหนุ่มก็สะดุ้งเฮือกแผดเสียงร้องลั่น ร่างกายอันกำยำกลับดูไร้ชีวิตชีวาคล้ายพลังชีวิตทั้งหมดภายในร่างถูกดูดออกไปจนหมดสิ้น ตรงข้ามกับโจรป่าจำแลงที่ดูจะสดชื่นผิดธรรมชาติเสมือนหนึ่งร่างกายเต็มไปความชุ่มชื่นของเด็กหนุ่มนับร้อยคน
“วิชามาร”ขุนพลหน้าขาวเลิกลั่ก
ชั่วพริบตาคนผู้นั้นก็หมดสภาพ ส่วนคนอื่นๆต่างกระชับดาบในมือแน่นด้วยความหวั่นเกรง
“ข้าต้องการแค่เสบียงที่ขนมา แค่มอบของมาทุกคนก็เดินทางต่อได้โดยปลอดภัย” ซันซั่งเทียนทำเสียงเข้มดุดัน
ข้างฝ่ายเหล่าผู้คุ้มกันยังมีท่าทีลังเล เขาจึงคิดที่จะข่มขวัญอีกเล็กน้อยด้วยการใช้พลังของจารึกแรกกำเนิดที่ช่วงชิงมาจากการกลืนกิน “นีโอมิวแทนท์” ผู้หนึ่งในยุคสมัยที่เขาจากมา ความสามารถนี้มีผลในการควบคุมวัตถุทุกชนิดที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต คล้ายกับการสร้างสนามพลังแม่เหล็ก โจรป่าจำแลงยิ้มละไมพลางยกมือขึ้นฟ้าจากนั้นจึงตวัดมือลง พลันอาวุธที่พวกเขานั้นถืออยู่ก็สั่นไหวราวกับมีชีวิต พวกมันต่างพุ่งออกมามือของผู้เป็นนายหมุนวนรอบตัวโจรป่าแล้วจึงพุ่งลงปักพื้นโดยรอบของรถม้าคันนั้น เจ้าม้าเทียมรถส่งเสียงร้องด้วยความตกใจวิ่งพุ่งเข้าหาดงดาบที่ปักอยู่ ซันซั่งเทียนไม่คิดสังหารมันพลิกมือรั้งดาบตัดเชือกที่ผูกตัวม้ากับรถ พร้อมกับแหวกดงดาบออกเปิดช่องให้พวกมันวิ่งเตลิดไป ท่ามกลางเสียงร้องอื้ออึงของเหล่าสมุนแน่นอนว่าฝีมือระดับนี้ย่อมเหนือล้ำกว่าประมุขป้อมล่าพยัคฆ์อยู่หลายขุม
“นี่คือคำเตือนสุดท้าย” เขายื่นคำขาด
ทหารที่เหลือรอดต่างมองหน้ากันไปมา คล้ายกับไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“หากจอมยุทธ์ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว จะยอมละเว้นพวกเราจริงหรือไม่?”
“เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะฆ่าใครอยู่แล้ว สองคนนี้ก็เช่นกันถึงจะดูเหมือนไร้ทางรักษา แต่ที่จริงข้ายังออมมือให้อยู่ เพียงดูแลดีๆทานอาหารที่มีประโยชน์กับพวกของบำรุงสักหน่อย ไม่กี่เดือนก็เดินเหินได้ปกติ ต่อไปในภายภาคหน้าหากได้ยินคนที่มีความสามารถเหมือนๆกับข้า พร้อมทั้งเอ่ยชื่อหัตถ์มัจจุราชก็ขอให้อย่าเข้าไปขวางทาง เพราะพวกเจ้าอาจไม่โชคดีเช่นวันนี้” น้ำเสียงนั้นเย็นยะเยือกจนผู้คนพากันเสียวสันหลังวาบ
“พวกเราจะจำใส่ใจไว้”ขุนพลขาวทรุดลงคุกเข่าใช้ศีรษะโขกพื้นคำนับ คนอื่นๆก็พลันทำตามโดยมิได้นัดหมาย แม้พวกเขาจะรักศักดิ์ศรีแต่ชีวิตก็สำคัญ หากทำอะไรบุ่มบ่ามจะพลอยตายแบบไร้ค่าเสียเปล่าๆ ดังนั้นจึงเลือกยอมก้มหัวชั่วขณะเพื่อกลับไปส่งข่าว
“ลาก่อน!”
สิ้นคำซันซั่งเทียนก็ทะยานตัวขึ้นฟ้าสูงเหนือพื้นนับสิบเมตรโดยไม่มีการตั้งท่าโคจรพลังใดๆ พลังที่แฝงเอาไว้ในรถม้ากระจายไปทั่วจนเกิดการลุกไหม้ สะเก็ดไฟกระดอนกระจายไปยังรถคันอื่นๆ บรรดาทหารแตกฮือถอยหนีกันจ้าละหวั่น ชายหนุ่มยืนมองผลงานตัวเองอยู่กลางอากาศ ก่อนจะพลิ้วหายไปในผืนป่าอย่างไร้สุ่มเสียงราวกับภูตพราย ท่ามกลางเสียงฮือฮาของเหล่าผู้คุ้มกันขบวนเสบียง ขุนพลหน้าขาวรีบช่วยคนที่ถูกดูดพลังไปออกมาจากจุดอันตราย ก่อนจะยืนตะลึงพรึงเพริศกับสิ่งที่เห็น แววตาปรากฏความชื่นชมไม่น้อยกล่าวเบาๆกับตัวเอง
“ข้าคงได้เห็นเทพยดาเข้าให้แล้ว”
ถามโลกหล้าอันรักนั้นเป็นเช่นใด ใยดวงใจเฝ้าพร่ำรำพันหา ยามชิดใกล้ให้หอมกรุ่นชื่นชีวา ครั้นร้างลาชอกช้ำเฝ้าคร่ำครวญ เสียงหวานละมุนแฝงความคิดถึงร่ายบทกวีคลอเสียงพิณกังวานเศร้า เคล้าสายลมเย็นพัดโชยระลอกแล้วระลอกเล่า ยามนี้เตียวเสี้ยนนั่งบรรเลงพิณอยู่ศาลาริมสระบัวภายในจวนขุนนางอ้องอุ้น แม้ท่วงทำนองจะไพเราะเสนาะหูปานใด ใจของนางก็หาได้มีความสุขตามไม่ เพราะผ่านไปเจ็ดวันแล้วบุรุษผู้เป็นรักแรกพบของนางก็ยังไม่ส่งข่าวอันใดกลับมา หรือว่าชาตินี้นางจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าเขาอีกแล้ว
“หรือท่านหลงลืมข้าแล้ว...”เสียงเศร้ากล่าวแผ่วเบา นิ้วของนางกรีดกรายสายพิณอย่างช้าๆ “หรือว่าท่านรู้ความในใจของข้า แล้วเห็นว่าหญิงที่ต้องใช้มารยาหลอกล่อบุรุษเช่นข้า ไม่คู่ควรกับเทพเจ้าแบบท่าน” ยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้ม
นางอาจจะคิดผิดก็ได้ที่ยอมรับปากท่านปู่ เข้าร่วมแผนสาวงาม
วันนี้นางอยู่ในชุดอาภรณ์สีชมพูอ่อน ประดับผมด้วยปิ่นหยกสามเล่ม ใบหน้านวลเนียนริมฝีปากแต้มชาดสีอ่อน นางวางมือจากพิณไม้เนื้อดีสลักลวดลายบุพชาติ เยื้องกรายไปริมศาลาทอดสายตามองดอกบัวที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอม ใจเหม่อลอยไปแสนไกล
เสียงย่ำเท้าแว่วเข้ามาใกล้เรียกสติของนางให้คืนกลับ โฉมงามปรายตามองตามทิศทางเสียงพลันเห็นชายสูงวัยอายุประมาณ 50 ปี สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีสีเขียวหม่น ผมเฝ้าหงอกขาวแซมดำ ใบหน้ารูปไข่อิ่มเอิบแววตาสีน้ำตาลแฝงแววผู้รอบรู้ บุคลิกองอาจเปิดเผย ถัดจากชายสูงวัยไปด้านหลังสองสามก้าวปรากฏบุรุษวัย 30เศษ หน้าตาดีผิวขาวเหลืองท่วงท่าทะมัดทะแมงเหมือนผู้เปี่ยมทักษะ
“คารวะท่านพ่อ” เตียวเสี้ยนย่อตัวทำความเคารพตามธรรมเนียม
“พ่อไม่ได้มาเยี่ยมหลายวันเจ้าสบายดีไหม?” อ้องอุ้นไต่ถามน้ำเสียงห่วงใย
“ข้ามีความสุขดี ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง” นางแย้มยิ้มพร้อมลอบชำเลืองมองชายหนุ่มผู้นั้น
“ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้พ่อก็สบายใจ”บิดาบุญธรรมกล่าว พลางมองสายตาบุตรี
“ท่านนี้คือ?” เตียวเสี้ยนเอ่ยถาม ในใจรู้สึกไม่ถูกชะตากับชายหนุ่ม เพราะนางเห็นสายตาอันกอปรไปด้วยราคะและความลุ่มหลงประดับอยู่บนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
“ข้ามีนามว่ากั่วเทียนเป็นนายกองใต้สังกัดท่านลิโป้ ยินดีที่ได้พบแม่นาง”
“ที่แท้ก็นายกองกั่วนี่เอง ผู้น้อยเตียวเสี้ยนเลื่อมใสมานานแล้ว” แม้จะไม่ชอบพอ แต่นางก็ยังวางตัวดีพูดคุยตามมารยาท เพื่อไม่ให้กระทบถึงแผนการ
“ใบหน้าหมดจด กิริยาอ่อนช้อย ท่วงท่าดุจเทพธิดาสมคำร่ำลือ ท่านอ้องอุ้นมีบุตรสาวเช่นนี้นับว่าคู่ควรแล้ว” กั่วเทียนหันไปกล่าวกับผู้อาวุโสกว่าแต่หางตายังคงชำเลืองมองนางไม่วางตา โฉมงามเตียวเสี้ยนเบือนหน้าออกไปมองดอกบัวในสระด้วยกระอักกระอ่วนใจ
ขุนนางใหญ่มองปราดเดียวก็รู้ถึงเจตนาของทั้งกั่วเทียนและบุตรสาวของตน จึงได้คิดหาทางคลี่คลายสถานการณ์อันน่าอึดอัด “น้องกั่วเดินทางมาเหนื่อยๆ ข้าว่าไปพักผ่อนที่เรือนรับรองก่อนจะดีกว่า คาดว่าอีกไม่นานคนอื่นๆก็จะมาถึงแล้ว”
หมัดพยัคฆ์มองหน้าอ้องอุ้นแล้วหันไปมองสาวงามผู้กำลังหันหลังให้เขาอย่างชั่งใจ ก่อนจะยกมือคำนับผู้อาวุโส คนสูงวัยผายมือเชิญแล้วจึงเดินนำหน้า กั่วเทียนจำต้องเดินตามทั้งที่ไม่ต้องการ หากเขาคิดขัดใจเจ้าบ้าน คงถูกนายของเขาตำหนิเอาแน่
“น่ารำคาญใจ” นางเปรยขึ้นเมื่ออีกฝ่ายพ้นสายตาไปแล้ว
ครั้นอยู่ตัวคนเดียว เตียวเสี้ยนจึงถอนหายใจคราหนึ่งพร้อมกับนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อน มือนางลูบไล้อยู่บนหีบไม้สีน้ำตาลแก่มันเงา ภายในบรรจุอาภรณ์ชุดที่ใส่เมื่อสมัยเด็ก เมื่อครั้งถูกชายหนุ่มช่วยชีวิต
“ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนนะ...”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 8 กันยายน 2558 / 19:57
Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl
Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 20 พฤษภาคม 2558 / 08:56
หลายหลินหวัง=หลานหลินหวัง
บัญญัติเอไว้=บัญญัติเอาไว้
สาวหาว=สามหาว
รำคาน=รำคาญ
ศิษย์เอง=ศิษย์เอก
หลังหลาน=หลังร้าน
ครั้งเดียง=ครั้งเดียว
ขอบคุณมากครับ ตอนนี้ชอบตอนเสี่ยวเอ้อมุ่งจดค่าเสียหาย 555
รออ่านตอนต่อไปครับ