ตอนที่ 11 : EP.09 หนึ่งแขก สี่เจ้าบ้าน
Game of Creation ภาค ประกาศิตเทพมารแสวงพ่าย
EP.09 หนึ่งแขก สี่เจ้าบ้าน
ข่าวลือเรื่องคำทำนายอนาคตและความพ่ายแพ้ของขุนพลมือดี ภายใต้สังกัดคนสนิทของเทพนักรบลิโป้ ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองลกเอี๋ยงอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดไม่ใช่ความอัปยศของหลิวเต๋อ แต่เป็นเรื่องงานเลี้ยงของตั๋งโต๊ะในค่ำคืนนี้ ซึ่งบุคคลลึกลับผู้นั้นบอกกล่าวแก่เจ้าจวนล่าพยัคฆ์ ว่าจะเข้าร่วมงานสังสรรค์ดังกล่าว มีข่าวว่าภายในพระราชวังนั้น ได้มีการจัดเพิ่มกำลังพลฝีมือดีมากกว่างานเลี้ยงครั้งที่ผ่านๆมา เพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น บ้างเชื่อว่าเป็นเพียงข่าวลือซึ่งถูกปล่อยโดยทัพพันธมิตร 18 หัวเมืองเท่านั้น
ยามนี้บุคคลผู้ตกเป็นข่าวกำลังดื่มชาชั้นเลิศแกล้มผลไม้แดนเหนือ อยู่ภายในศาลาริมน้ำบ้านตระกูลเยี่ย โดยมีชายหนุ่มหน้าตาคมคายหากแต่แฝงแววอมโรคนั่งเป็นเพื่อน บทสนทนาของคนทั้งคู่ดูจะมีแต่เรื่องราวไร้สาระ ซึ่งคนที่หยิบหยกขึ้นมาพูดย่อมเป็นซันซั่งเทียน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามหัวข้อการสนทนาถึงเปลี่ยนไป ทันทีที่กุยแกกระอักเลือดออกมาเล็กน้อยเพราะโรคร้ายประจำตัว
“อย่าหักโหมมากสิครับ สิ่งที่ผมทำได้คือต่อเทียนแห่งชีวิตให้ยืดยาวออกไป ไม่ใช่รักษาโรคร้ายให้หายขาดนะ” ซันซั่งเทียนบอกแก่คนตรงหน้า
“ข้าเหลือเวลาอีกนานเท่าไหร่?” เจ้าของดวงตาสีดำอันหมองหม่นกล่าวถาม
“ก็นานเท่าที่ผมต้องการ!”รอยยิ้มละไมแต้มอยู่บนใบหน้าเจ้าของดวงตาสีมรกต “อาจจะ 3วัน 7 วัน 6 เดือน 1ปี หรือนับสิบๆปี ตราบเท่าที่คุณยังทำให้ผมรู้สึกสนุก ตราบนั้นลมหายใจของคุณก็ยังคงอยู่ แต่ว่ายังไงผมก็ต้องถ่ายทอดพลังให้คุณทุกๆเดือน”
“นี่ท่านกลายเป็นเจ้าชีวิตของข้าไปแล้วเรียบร้อยสินะขอรับ”กุยแกหรี่ตาลง แม้ใบหน้าจะดูอิดโรยแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสุข เพราะอย่างน้อยๆชีวิตของเขายังสามารถกระทำเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ได้อีกหลายอย่าง “คืนนี้ท่านจะไปร่วมงานเลี้ยงสินะ”
“ก็รับปากเขาไปแล้วนี่นา ที่สำคัญอาหารคงมีเพียบเชียวล่ะ” ซันซั่งเทียนเลียริมฝีปากอย่างชอบใจ เมื่อนึกถึงบรรดาทหารกล้าที่เปี่ยมด้วยพลังชีวิตของวัยฉกรรจ์ เชื่อว่าขอเพียงมีใครสักคนกล้าพอที่จะมาหาเรื่อง เขาก็สามารถใช้เป็นข้ออ้างดื่มกินได้จนพอใจ
“ข้าเองก็คิดว่าจะเริ่มแผนการแล้วเช่นกัน สิ่งที่มีคือสติปัญญาและกลอุบายแห่งพิชัยสงคราม คนที่จะหนุนเสริมให้ข้ากระทำการสำเร็จได้ ต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติตรงตามต้องการ น่าเสียดายที่ฝ่ายตั๋งโต๊ะไม่มีคนถูกใจข้าเลยสักคน”
“คนที่ถูกใจคุณอาจจะอยู่ในทัพพันธมิตร 18 หัวเมืองก็ได้ ว่าไหม?” เสียงนั้นดูคล้ายหยั่งเชิง
“เป็นเช่นนั้นจริงขอรับ” กุยแกยิ้มตอบกลับ
“เอาเถอะ! ผมไม่คิดเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับการทำงานของคุณอยู่แล้ว แต่อย่าได้ลืมล่ะว่าคนอื่นอาจจะเป็นนายเหนือหัวของคุณ แต่ผมคือเจ้าชีวิตอย่าได้คิดเสี่ยงอันตรายมากไปเกินไปจนทำให้ผมขาดทุนซะล่ะ”น้ำเสียงนั้นดูหนักแน่นจริงจัง
“ข้าพยายาม”กุยแกรับคำ
“ไกอาขออุปกรณ์ส่งสัญญาณฉุกเฉินหน่อย” เขากล่าวผ่านคลื่นโทรจิต ไม่กี่วินาทีโลหะสีดำสนิทมันเงาทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสก็โผล่ออกมากลางอากาศ ซันซั่งเทียนคว้าเอามันมาไว้ในมือก่อนที่จะวางทาบกลางอกของกุยแก “เจ็บหน่อยนะ”
ฉึก! เสียงโลหะคมกล้าแทงเข้ากลางหน้าอก วัตถุลึกลับดังกล่าวค่อยๆฝังเข้าไปภายในผิวหนัง เลือดแดงฉานไหลซึมออกมาจากบาดแผลดังกล่าว กุยแกฝืนเจ็บอดกลั้นไม่ยอมร้องออกมาสักนิดแม้ร่างจะสั่นสะท้านไม่ยอมหยุดก็ตาม เมื่อฝังอุปกรณ์เสร็จสิ้นชายหนุ่มก็ถ่ายถอดพลังชีวิตเสริมเข้าไป บาดแผลจึงเริ่มสมานตัวเช่นเดียวกับสีหน้าที่ขึ้น อาการเจ็บปวดเองก็ทุเลาลง เมื่อวานนี้เขาซูบซีดไร้สีเลือดเหมือนคนใกล้ตาย แต่ยามนี้กลับดูอิ่มเอิบมากขึ้นใบหน้าเองก็มีเลือดฝาด ร่างกายก็สามารถลุกเหินได้เกือบเหมือนคนปกติ
“เวลาที่นายมีอันตรายให้เอามือกดหน้าอก ผมจะสามารถรับรู้ได้ไม่ว่าจะอยู่ไกลกันสักแค่ไหน”ชายหนุ่มผู้มาจากโลกอนาคตอธิบาย
--ต้องยกความดีความชอบให้ฉันนะ ที่สร้างดาวเทียมพิเศษขึ้นมาโดยใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆของยานอวกาศที่หล่นลงมาบนโลกผ่านเอราเกจ--
“เงียบไปเลยไกอา แค่นึกถึงพลังที่สูญเสียไปตอนส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรของโลกฉันก็อยากจะร้องไห้ล่ะ สิ้นเปลืองอย่างที่สุดแถมยังต้องพักฟื้นนานเกือบสามเดือน” เขาบ่น
--แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มไม่ใช่หรอ เท่ากับว่านายมีระบบปฏิบัติการณ์ดาวเทียม สามารถใช้ GPS ตามตัวเด็กๆในสังกัดหรือพวกสาวๆที่ไปปักธงเขาเอาไว้ ไหนจะใช้ตรวจสอบข้อมูลภาคพื้นดินได้ไม่ต่างจากดาวเทียมทางการทหารของศตวรรษที่ 24 --
“ฉันเกลียดความรู้สึก เวลาที่ใช้ชิ้นส่วนจารึกแห่งพลังงาน มันเหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง น่าขนลุกจะตาย” ซันซั่งเทียนทำหน้าซังกะตายเมื่อนึกถึงยามที่ตัวเองกลายเป็นเตาปฏิกรณ์พลังงาน
--เลิกบ่นได้แล้ว เอาเวลาไปคิดเรื่องงานคืนนี้ดีกว่า--
“แล้วคุณไม่ไปงานเลี้ยงรึครับ?” ซันซั่งเทียนกล่าวถามกุยแกหลังจากเสียเวลากับโปรแกรมสมองกลอย่างไกอาอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่ล่ะขอรับ ขอพักผ่อนอยู่ที่นี่จะดีกว่า” คนถูกถามกล่าวตอบ
“ หวังว่างานคืนนี้จะไม่น่าเบื่อเกินไปนะ” เจ้าของดวงตาสีมรกตเปรยขึ้น “ผมขี้เกียจจัดการเรื่องจุกจิก รบกวนนายด้วยก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มผู้มาจากโลกอนาคตลุกขึ้นเดินเข้าไปกระซิบบางอย่างกับคู่สนทนา กุยแกรับฟังอย่างตั้งใจพลางพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ ก่อนที่ซันซั่งเทียนจะพลิ้วกายจากไปเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลา กุนซือหนุ่มจึงลุกเดินออกจากศาลาบ่ายหน้าไปยังเรือนใหญ่ของบ้านตระกูลเยี่ย เพื่อจัดการสิ่งที่ได้รับมอบหมาย นั่นก็คือสิ่งปกปิดใบหน้าสำหรับค่ำคืนนี้
ลกเอี๋ยงค่ำคืนนี้ท้องฟ้ากระจ่างใส ขบวนเกี้ยวและโคมไฟมากมายคลาคล่ำอยู่บนถนนทุกสายที่มุ่งตรงเข้าสู่วังหลวง เงาร่างสายหนึ่งเหินทะยานเหนือหลังคาบ้านเรือนอย่างไร้สุ้มเสียง แสงจันทร์นวลสาดล่องลงสู่พื้นเบื้องล่างเผลให้เห็นบุรุษหนุ่มในชุดแฟชั่นตามแบบฉบับหนุ่มหล่อยุคศตวรรษที่ 20 เขาสวมเสื้อคอวีสีครีมกางเกงยีนส์ขาม้าสีดำเข้ม รองเท้าแตะหนังรัดส้น สวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ ทับผ้าคลุมสีหม่นและหน้ากากอสุรกายไม้แกะสลัก
--“แต่งตัวไม่เข้ากับยุคสมัยเอาเสียเลย”--
“หุบปากไปเลยไกอา ฉันชอบแต่งตัวสไตล์นี้นี่นา โชคดีที่ย่อส่วนเก็บเอาไว้ในตัวนายหลายชุด แค่คิดว่าต้องใส่ชุดยุคโบราณที่แสนรุ่มร่ามเคลื่อนไหวไม่สะดวก ฉันก็ปวดหัวจะตายล่ะ”
ใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูปซันซั่งเทียนก็มายืนอยู่บนกำแพงพระราชวังเรียบร้อย บรรดาทหารยามตรวจตากันอย่างคึกคัก ซึ่งต่อให้มีเวรยามมากกว่านี้สักร้อยเท่าก็ยากที่จะหาเขาพบ เพราะท่าร่าง “ก้าวพริบตา” ที่เขาบัญญัติขึ้นโดยอาศัยพื้นฐานวรยุทธ์ผสานกับพลังของจารึกแห่งความเร็วนั้น ในโลกนี้มีน้อยคนนักที่จะสังเกตเห็น
“ก็สวยดี” ชายหนุ่มกล่าวทันทีที่มาถึงตำหนักกลางที่ใช้จัดงานเลี้ยง สายตาของเขากวาดมองความโอ่อ่าของตำหนักอันตระการตา ซึ่งตั้งตระหว่างอยู่เบื้องหน้าแวดล้อมด้วยตำหนักบริวารมากมาย เขาลดความเร็วลงใช้เพียงท่าร่างธรรมดาๆ แต่นั่นก็พอเพียงแล้วที่จะก้าวเท้าหนึ่งครั้งพุ่งขึ้นสูงหลายขั้นบันได บรรดาทหารองครักษ์หลายคนที่เห็นเขาใช้ผ้าคลุมปกปิดร่างกายต่างก็กรูกันเข้ามาขัดขวาง แต่มีคนใดสามารถแตะต้องชายผ้าคลุมสีหม่นได้ ที่ขั้นบนสุดมีขุนพลยอดฝีมือในชุดเกราะศึกดสามคนเฝ้ามองเขาอยู่
“เจ้านั่นนะรึคนในข่าวลือที่ว่า ดูไม่ค่อยเท่าไหร่เลยนี่ คนของท่านคงฝีมือไม่ได้ความเองมากกว่า ฮ่าๆ”ฮัวหยงกล่าวเยาะเย้ยขุนพลที่ยืนอยู่ข้างๆ
“หวังว่าท่านพี่ฮัวจะทำได้ดีกว่าคนของข้าก็แล้วกัน” เตียวเลี้ยวตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่สายตายังคงจดจ้องไปยังชายปริศนาที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ
“ท่าร่างช่างคุ้นตานัก” เสียงอันทรงพลังอำนาจของลิโป้กล่าวขึ้น “รึว่าเป็นมันผู้นั้น?”
ยังไม่จบประโยคผู้มาเยือนก็หยั่งเท้าลงเบื้องหน้าคนทั้งสาม ดวงตาสีมรกตภายใต้หน้ากากจดจ้องอยู่ที่พวกเขา พร้อมกับผ้าคลุมที่โบกสะบัดไปมาตามแรงลม ฮัวหยงไม่รีรอที่จะปลดอาวุธตวัดคมทวนเท้าใส่ ทว่ามันกลับไม่ผ่านฝ่าผ้าคลุมที่ถูกทำให้เป็นเหล็กกล้าเข้าไปได้ ในชั่วพริบตานั้นลิโป้กลับชิงระเบิดพลังมหาศาลซัดฝ่ามือทั้งสองออกไป ซันซั่งเทียนยกมือแทงนิ้วเข้าไปตรงๆ หากแต่รวดเร็วยิ่งกว่าจนอยู่ห่างจากหน้าผากของเทพนักรบเพียงหุนเดียว ลิโป้รั้งพลังกลับพลางดีดตัวออกห่างในทันที
เตียวเลี้ยวใช้โอกาสนั้นแทงคมหอกเข้าใส่ซ้ำยังแฝงพลังวัตรเอาไว้ไม่น้อย ซันซั่งเทียนตีลังกาสามตลบขึ้นสู่เบื้องบน แล้วปล่อยท่าดรรชนีจากนิ้วก้อยขวาเข้าใส่ขุนพลหนุ่ม
“ดรรชนีกระบี่เก้าลำนำ ทุ่งหิมะสุดขั้ว”
ไอเย็นยะเยือกสีฟ้าอ่อนพวยพุ่งออกจากนิ้ว ซ้ำยังกระจายตัวไปรอบบริเวณ อุณหภูมิรอบๆลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด เลือดลมในตัวของขุนพลชื่อดังทั้งสามเริ่มติดขัด มือเท้าชาด้านแทบไร้ความรู้สึกบ่งบอกถึงพิษไอเย็นอันน่าหวาดหวั่น
“เพลงทวนเทพนักรบ พิฆาตประหารสิ้น”
พลังปราณรวมตัวเป็นคมทวนชั้นเลิศนับร้อยนับพัน พุ่งโจมตีผู้มาเยือนจากทั่วสารทิศ ซันซั่งเทียนคลี่ยิ้มพอใจก่อนจะยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นเพื่อขับเคลื่อนพลังสายหนึ่งเข้าต้านรับ ประกายแสงสีทองสว่างวาบจากปลายนิ้ว ม่านพลังโปร่งใสราวกับลูกแก้วปรากฏขึ้นโอบล้อมตัวเขาเอาไว้ เสียงปะทะของพลังวัตรสองสายก้องกังวานคล้ายการฟาดฟันคมอาวุธในสมรภูมิ ทวนปราณเริ่มปรากฏรอยบิ่นในขณะที่ลูกแก้วโปร่งแสงยังคงสมบูรณ์พร้อม
“ได้เวลาโต้กลับแล้ว!” ซันซั่งเทียนตวัดมือลงแสงจากปลายนิ้วโป้งพุ่งออกไปคล้ายกับกระบี่เล่มหนึ่งที่ทรงอานุภาพ “ดรรชนีกระบี่เก้าลำนำ กระบี่ภูษาฟ้าเจดีย์วิเศษ”
ปราณกระบี่ผนึกรูปลักษณ์เป็นศาตราเรียบๆสีทองเล่มหนึ่ง ทว่าอานุภาพกลับไม่ได้น้อยนิดเหมือนภาพลักษณ์ที่เห็น ลิโป้ใช้พลังถึง 8 ส่วนในการสกัดมันเอาไว้ซึ่งดูจะตึงมือเขาไม่น้อย เตียวเลี้ยวเห็นท่าไม่ดีรีบหนุนเสริมโดยเลือกโจมตีจากด้านหลัง คมอาวุธฟาดเข้าใส่จุดตายหมายฟันร่างเป็นสองท่อน ซันซั่งเทียนรั้งนิ้วกลับกระบี่เล่มดังกล่าวก็พุ่งหลุดจากการหยุดรั้งของเทพนักรบ มันหมุนคว้างอย่างรวดเร็วเข้ากระแทกกับตัวทวนของเตียวเลี้ยวจนแตกกระจาย
เพล้ง! เสียงแตกหักดังแว่วขึ้น เช่นเดียวกับคมกระบี่ปราณที่พุ่งเข้าใส่กลางหน้าผากของขุนพลหนุ่ม ก่อนที่จะมีพลังอันดำมืดสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านบน ทว่าพลังมันกลับอ่อนแรงลงจนผู้มาใหม่สามารถหลบหลีกได้ไม่ยากนัก
ปราณสีดำอันแสนชั่วร้ายสร้างความกดดันให้กับชายหนุ่มผู้มาจากโลกอนาคตไม่น้อย ในที่สุดเขาก็เลิกล้มความคิดที่จะเล่นงานเตียวเลี้ยวโดยหันปลายกระบี่ขึ้นเบื้องบนแทน
“เพลงทวนเทพนักรบ ไร้สงครามไร้ข้า” ลิโป้คำรามลั่นวัดกระท่าพุ่งเข้าทางด้านหลัง
“ปราณอหังการสุดฟ้า ทลายนภา” ฮัวหยงผู้นิ่งอยู่นานเสริมพลังรุกเข้ามาทางด้านซ้าย
“เคล็ดใจยอดบุรุษ ใจยอดขุนพล” เตียวเลี้ยวเสริมพลังรุกเข้าตรงหน้า
“มือประทับทมิฬ ดับพิภพ” พลังอันดำมืดรุกรานด้านบน
“น่าสนุกดีจริงๆ” ซันซั่งเทียนแผดเสียงขึ้น พร้อมกับหัวเราะร่าด้วยความชอบใจ เกือบปีแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสนุกมากขนาดนี้ “ดรรชนีกระบี่เก้าลำนำ ผนึกสมุทรไร้ประมาณ”
กระบี่ปราณสีฟ้าน้ำทะเลปรากฏขึ้น พลังปราณอันมหาศาลดุจคลื่นน้ำในมหาสมุทรกระจายออกรอบตัวของชายหนุ่ม พลังอันรุนแรงปะทะเข้ากับพลังสี่สายของยอดฝีมือแห่งยุค รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของซันซั่งเทียน เขาออกแรงมากขึ้นพลังก็ยิ่งถาโถมออกจากร่าง ทั้งสี่ถูกผลักออกไปคนทิศละทาง ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาทพื้นตำหนักรวมไปถึงบันไดทางขึ้นเสียหายยับเยินเป็นบริเวณกว้าง
“น่ากลัวเหลือเกิน” ทั้งสี่คิดในใจ
“จะสู้ต่อรึจะเริ่มงานเลี้ยง” เขากล่าวถามคนทั้งสี่ขณะร่อนลงสู่พื้น ไอสังหารอันเข้มข้นกับพลังวัตรอันมากล้นที่แผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง บั่นทอนความฮึดสู้ของยอดคนทั้งสี่
“พวกเราเป็นเจ้าบ้านย่อมไม่ควรมีเรื่องกับแขกเหรื่อ เมื่อครู่เป็นเพียงการเล่นสนุกขอท่านผู้มาเยือนอย่าได้ถือสา” ผู้มาใหม่กล่าวออกมา ขุนพลทั้งสามจึงนิ่งเงียบไม่มีท่าทีจะสู้ต่อ แสดงให้เห็นถึงฐานะอันสูงส่ง
“ก็ดี ผมแค่อยากมาหาอะไรอร่อยๆกิน ไม่ได้อยากมาตีกับใคร”
“ข้าตั๋งโต๊ะยินดีต้อนรับท่านสู่งานเลี้ยงของข้า”
ค่ำคืนอันแสงวุ่นวายกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl
Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl