ตอนที่ 10 : EP.08 คำเชื้อเชิญ
Game of Creation ภาค ประกาศิตเทพมารแสวงพ่าย
EP.08 คำเชื้อเชิญ
สองทูตแห่งป้อมวิถีราชันย์หน่วยข่าวกรองของลิหยูนิ่งงันเหมือนต้องสาป สายตาจดจ่ออยู่กับภาพสะเทือนขวัญเมื่อครู่ ยามนี้ดูเหมือนว่ารองเจ้าบ้านจวนล่าพยัคฆ์ได้สูญเสียแขนข้างหนึ่ง เพียงแค่ถูกอีกฝ่ายดีดนิ้วใส่เบาๆ เลือดมากมายทะลักออกจากบาดแผลดุจทำนบแตก หากวัดกันที่ระดับฝีมือสองทูตนับว่าด้อยกว่าหลิวเฉินอยู่สองขั้น เมื่อเห็นสหายเสียท่าง่ายๆ แม้พวกเขาทุ่มกำลังเต็มที่ก็คงไม่พ้นตายเป็นผีเฝ้าตลาด
“แบบนี้เลือดหมดตัวแน่” หลงเอ๋อกล่าวด้วยความกังวล ตามนิสัยของคนที่ถูกเลี้ยงมาในวัดที่เห็นทุกชีวิตมีค่าไม่ต่างกัน
“ตัวโตเท่าหมียักษ์แบบนี้ ไม่ตายง่ายๆหรอกครับ” ซันซั่งเทียนแย้ง “เดี๋ยวผมจัดการห้ามเลือดให้เองไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า”
“ร้ายกาจเกินไป”เฉียวเอ่ยที่ยืนมองอยู่ห่างๆคิดอยู่ในใจ
บรรดาลิ่มล้อทั้งหลายเมื่อเห็นนายกองพลาดท่าก็ตรงเข้าเล่นงานศัตรูทันที โดยลืมคิดถึงความต่างชั้นของฝีมือ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าทางซันซั่งเทียนพอดี ดูเหมือนจะได้เวลาเติมพลังที่ขาดหายไป ทันทีที่ดาบนับสิบฟันถูกเสื้อคลุมที่ปกปิดร่างกาย เหล่าทหารมือดีต่างก็สะท้านไปทั้งร่างเมื่อพลังชีวิตของวัยฉกรรจ์ถูกสูบออกจากร่างผ่านทางอาวุธ ก่อนจะไหลเข้าไปภายในตัวของอีกฝ่าย ทหารสิบคนทำให้ซันซั่งเทียนได้พลังชีวิตกลับมาราวๆ 200-300 ปี ใบหน้าดูสดใสขึ้นถนัดตาตรงข้ามกับคนที่ถูกช่วงชิงพลังที่แก่ตัวอย่างวดเร็ว ในที่สุดก็นอนทอดร่างกลายเป็นมัมมี่ที่ไม่ต่างอะไรกับซากศพ
“ไม่อิ่มเท่าไหร่ แต่ก็รองท้องไปได้อยู่”เขาพูดหน้าตาเฉยท่ามกลางความแตกตื่นของผู้คน “ ต้องรีบตัดมือนั้นทิ้งสินะเกะกะสายตาชะมัด”
เขากล่าวพร้อมกับมองไปยังหลิวเฉินที่ยืนตัวสั่นอยู่ ยังไม่ทันขาดคำร่างของซันซั่งเทียนก็เข้าประชิดอีกฝ่าย พร้อมกับซากของมือที่ฉีกขาดเหวอะหวะร่วงผล็อยลงสู่พื้นดินในทันที มือของชายหนุ่มกดลงตรงบาดแผลพร้อมกับปล่อยพลังอันร้อนระอุเผาบริเวณนั้นเพื่อห้ามเลือด
“เจ้า...เจ้าใช้วรยุทธ์อะไรกัน ทำไมถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้”หลิวเฉินฝืนเจ็บกัดฟันถามออกไป มือหนึ่งกดหัวไหล่ สีหน้าไม่สู้ดีนักเนื่องจากเสียเลือดไปมาก
“เคยได้ยินชื่อ เคล็ดอมตะนิรันดรกันไหมครับ?” ซันซั่งเทียนอธิบาย
“ไม่เคย”ทุกคนแทบจะกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“ไม่แปลกที่ไม่มีใครรู้จัก เพราะวรยุทธ์แขนงนี้สาบสูญไปจากแผ่นดินตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวแล้วล่ะครับ” เขากล่าวพลางออกแรงกระชากกระบี่จากมือเฉียวเป่ยและทูตขวาให้พุ่งเข้าหาตัวเอง เล่มหนึ่งแทงทะลุกลางอกของตัวเขาเอง อีกเล่มปักที่พื้นเอนไหวไปมา เลือดสีแดงซึมออกมาร่างกาย ชายหนุ่มเกร็งพลังกระแทกกระบี่ที่คาอกจนหักสะบั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลือดสดๆสาดกระจายท่ามกลางสายตาของยอดฝีมือหลายคนที่มองอยู่ห่างๆ
จากนั้นซันซั่งเทียนก็ออกแรงใช้พลังพิเศษของจารึกแห่งสนามแม่เหล็ก กระชากร่างของทูตขวาป้อมวิถีราชันย์ให้ลอยละลิ่วเข้าหาตัว ทันทีที่สัมผัสร่างของอีกฝ่ายพลังชีวิตมากมายก็ไหลทะลักเข้าสู่ร่างกายของชายหนุ่ม เขาโยนร่างอันอ่อนเพลียของเหยื่อลงกับพื้น จากนั้นหมุนตัวทะยานขึ้นสู่เบื้องบน ใช้พลังพิเศษของจารึกแห่งแรงโน้มถ่วงทำให้ร่างลอยขึ้นสูงกกว่าสิบเมตร โดยไม่ต้องขยับขาแม้แต่น้อย จากนั้นจึงร่อนลงใช้เท้าหยั่งด้ามกระบี่ที่ปักอยู่ กระบี่นั้นไม่งอเลยแม้แต่น้อยบ่งบอกถึงระดับฝีมือที่เข้าขั้นไร้เทียมทาน
“ยอดวิชาแขนงนี้สำหรับคนที่ฝึกถึงขั้นสูง แม้ถูกทำร้ายจุดตายก็สามารถรักษาตัวเองได้ แม้จะแก่จนผมขาวโพลนร่างกายเหี่ยวย่นก็สามารถดูดพลังชีวิตคนอื่นแล้วทำให้ตัวเองกลับสู่วัยหนุ่มสาวได้ดั่งใจ” เขากล่าวระหว่างตีลังกากลับหลังลงสู่พื้นแล้วจึงเตะกระบี่คมกล้ากลับไปให้เฉียวเป่ย
“ทำไมถึงได้ยอมเปิดเผยวิชาของตัวเอง” เฉียวเป่ยบังเกิดคำถาม
“ไม่มีอะไรต้องปิดบังนี่ครับ ชีวิตผมมันน่าเบื่อจะตาย การจะหาอะไรสนุกๆทำถือเป็นที่ดีไม่ใช่รึไง ที่มาเมืองหลวงก็เพื่อตามหาคัมภีร์ที่เหลืออีก 8 เล่ม” เขาเริ่มการกุเรื่องเพื่อสร้างสถานการณ์คอยเก็บเกี่ยวความบันเทิงในอนาคต
“หมายความว่ายังไง?” ทูตซ้ายที่ยังมีชีวิตอยู่กล่าวถาม
“เมื่อหลายปีก่อนศิษย์ร่วมสำนักเซียนผู้หนึ่งขโมยเอาคัมภีร์ไป 8 เล่ม ได้ยินว่าเขาไปป่วนงานบวงสรวงว่าของเตียวก๊กจนเละ แม้ท้ายสุดเขาจะถูกจับกลับสำนัก ทว่าคัมภีร์ที่หายไปกลับไม่ได้อยู่กับเขา คาดว่าคงถูกซ่อนไว้ตามที่ต่างๆทั่วแผ่นดิน อาจารย์เคยบอกว่าคนที่รวบรวมคัมภีร์ทั้ง 9ได้ครบ หากสามารถถอดความที่ซ่อนอยู่จะเป็นอมตะเหมือนเทพเซียน ปกครองแผ่นดินนี้ไปตลอดกาล”
“เรื่องสำคัญพวกนี้ทำไมท่านกล้าเปิดเผย”เฉียวเป่ยกล่าวถาม
“นั่นสิ ไม่ใช่ข่าวลวงที่จะสร้างความวุ่นวายในแผ่นดินหรอกหรือ?” หลงเอ๋อกล่าวเสริม
“เวลาจะพิสูจน์ทุกสิ่งเอง อีกไม่นานเมืองนี้จะกลายเป็นทะเลเพลิง ทัพพันธมิตร 18 หัวเมืองจะแตกแยก และยุคแห่งการช่วงชิงแผ่นดินจะเริ่มต้นขึ้น นี่คือคำทำนายของผม” น้ำเสียงนั้นเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก
ผู้ที่ได้ฟังต่างสะท้านไปทั้งร่าง แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของผู้พูด แต่อย่างน้อยดวงตาสีมรกตคู่สวยก็สร้างความหวาดกลัวไดไม่น้อย
--“โกหกหน้าด้านๆเลยนะนาย เอาเรื่องที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์มาใช้เป็นคำทำนาย แย่ชะมัดเลย”--
“เงียบไปเลยไกอา” เขาดุผ่านทางโทรจิต
“แล้วดรรชนีเมื่อครู่ล่ะ” หลิวเฉินท้วงขึ้น
“วิชาเซียนของผมมี สามเทพวิชาสองเคล็ด ที่เล่นงานคุณก็แค่ของพื้นๆ”
“ไม่ทราบว่าท่าน ได้ยอดวิชาแขนงนี้มาจากที่ใด?” กระบี่มรกตเฉี่ยวเป่ยเอ่ยปากถามเป็นครั้งแรก ระหว่างเอื้อมมือเก็บกระบี่ที่วางอยู่กับพื้นคืนฝัก
“นั่นเป็นความลับครับ” เขายกมือขึ้นแตะบริเวณปากใต้ชุดคลุม ก่อนจะใช้เท้าเตะเศษแขนของหลิวเฉินไปทางด้านหน้า เมื่อสัมผัสพลังควบคุมสนามแม่เหล็ก เศษซากของแขนดังกล่าวก็พุ่งออกไปด้วยความแรง เงาร่างหนึ่งตีลังกาพลิกตัวกระโดดลงจากกำแพงฟาดกำปั้นกระแทกมันนั้นจนระเบิดส่งเสียงดังกึกก้อง ชั่วพริบตาร่างสูงใหญ่ของใครสักคนก็ยืนประจันหน้ากับผู้มาจากอนาคต
“ลมปราณพยัคฆ์บูรพาขั้นสิบ หมัดทลายภูผา” เสียงนั้นคำรามลั่น
พลังที่รุนแรงลมปราณอันบ้าคลั่งกรีดผิวแทบขาด ซันซั่งเทียนไม่ประมาณกางฝ่ามือออกรับ อาศัยสมองสั่งการขับเคลื่อนพลังพิเศษของชิ้นส่วนจารึกแห่งการป้องกันผสานกับปราณคุ้มกายของเคล็ดวิชาที่บัญญัติขึ้น เกราะโปร่งใสยืดหยุ่นเหมือนฟองน้ำครอบคลุมร่างของเขาเอาไว้ คลื่นลมปราณถาโถมปะทะส่งความร้อนพวยพุ่งปกคลุม ไม่นานนักผู้โจมตีก็ต้องดีดตัวออกจากการปะทะเสียเอง
“รับมาแล้วไม่ตอบแทน เสียมารยาทแย่” ชายหนุ่มหมุนตัวจนชุดคลุมสีหม่นโบกสะบัด ประกายตาวาวโรจน์ นิ้วมือซ้ายถูกดีดออกไปสามครั้ง ดรรชนีกระบี่เก้าลำนำสีฟ้าอ่อนจากกระบวนท่า “ทุ่งหิมะสุดขั้ว” สามสายก็พลันพุ่งออกเป็นแนวยาว ชายผู้นั้นหลบพัลวัน สิ่งที่ถูกลำแสงก็พลันกลายเป็นน้ำแข็ง
แม้ร่างกายจะใหญ่โตแต่การเคลื่อนไหวว่องไวเสียยิ่งกว่าเฉียวเป่ย หมัดอันร้อนระอุถูกชกออกมาอีกระลอก ซันซั่งเทียนไม่หลบเขาซักดรรชนีตอบโต้ ทันทีที่สัมผัสกันพลังส่วนมากของเพลงหมัดรวมไปถึงพลังชีวิตภายในร่าง ก็ทะลักเข้าหาชายหนุ่มผู้มาจากอนาคตในทันที ฝ่ายโจมตีหน้าถอดสีไม่คิดไม่ฝันว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้
“ย้ากก!” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ระเบิดพลังกระแทกตัวเองออกจากชายหนุ่ม
ซันซั่งเทียนพลิ้วกายทะยานตัวกลางอากาศขึ้นไปยืนบนกำแพง ส่วนผู้มาเยือนกลับยืนนิ่งอยู่จุดเดิม เขารีบเร่งปรับลมปราณให้เข้าที่เพื่อเตรียมรับศึกระลอกใหม่ ทว่าไอเย็นที่แทรกซึมเข้าสู่จุดชีพจรดูจะทำให้เขาลำบากไม่ได้ ซึ่งดูเหมือนเจ้าของดวงตาสีมรกตใต้ผ้าคลุมจะไม่ยินยอมให้เขาได้พักผ่อน สิ่งของต่างๆรอบข้างถูกกระชากให้หมุนวนกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งโจมตีจากทุกสารทิศ ทุกอย่างมีพลังไอเย็นแฝงอยู่ทั้งหมด ชายร่างสูงกระอักเลือดคำโต ด้วยไม่สามารถรับมือกับการโจมตีที่ถี่ยิบแบบนั้น การรุกอย่างรุนแรงต่อเนื่องเกิดขึ้นเพียงเพราะซันซั่งเทียนขยับมือไปมา ยิ่งทำให้คนที่มาใหม่ห่างไกลจากคำว่าชัยชนะ
“ร้ายกาจเกินไป” ชายฉกรรจ์รู้ตัวในที่สุด
“ท่านพี่”หลิวเฉินร้องขึ้นด้วยความเป็นห่วง ฐานะของผู้ที่ปะทะกับซันซั่งเทียนเมื่อครู่ย่อมต้องเป็นเจ้าของจวนล่าพยัคฆ์หลิวเต๋อคนสนิทของเตียวเลี้ยว บุรุษผู้นี้มีผิวสีเข้มดวงตาดุดันรูปร่างล่ำสันเต็มไปด้วยมัดกล้าม ผมสีแดงเพลิงอันเป็นผลจากการฝึกวิชาที่ร้อนระอุ เขานับเป็นยอดคนผู้หนึ่งมีผู้ใต้บังคับบัญชานับพัน ถูกจัดอยู่ในระดับ 30 ยอดยุทธ์ เมื่อครั้งปะทะกับลิโป้เขารับมือได้ถึงหกกระบวนท่า วันนี้รับได้เพียงสามเขาก็พ่ายหมดรูปแล้ว
“เคล็ดอมตะนิรันดรของท่าน สมคำอ้างเมื่อครู่นัก” หลิวเต๋อยกมือคำนับจากใจ
“หยุดมือแล้วหรือ น่าเสียดายแฮะ แต่ว่าจะปล่อยไปเฉยๆก็ใช่ที่ รบกวนท่านชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้พ่อหนุ่มนี่เสียเวลาสักหน่อยก็แล้วกัน”น้ำเสียงเจ้าเล่ห์รอดออกไรฟัน ระหว่างที่ผายมือไปทางหลังเอ๋อผู้ยืนหลบอยู่ไกลๆ
“ขอเพียงท่านไม่ถือสาหาความ ข้ายินดีจ่ายให้ 100 ตำลึงทอง” หลิวเต๋อไม่ใช้เวลาคิดแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่ามีโอกาสรอด
“ดี! เงินพวกนั้นถือว่าข้าบริจาคเข้าวัดก็แล้วกัน” ซันซั่งเทียนหันไปบอกหลงเอ๋อ แต่กลับไม่มีเสียงใดๆตอบกลับ
“ตามที่ท่านเล่าเมื่อครู่ ดูเหมือนท่านจะมาเที่ยวเล่นเฉยๆกระมัง”หลิวเต๋อกล่าวถาม
“ไม่ต้องกลัวไป ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้น แค่เที่ยวไปเรื่อยๆ”
“ถ้าเช่นนั้น คืนนี้ท่านจะไปร่วมงานเลี้ยงของท่านตั๋งโต๊ะในวังหลวงด้วยหรือไม่ เห็นว่าบรรดาขุนนางน้อยใหญ่รวมไปถึงคหบดีมีชื่อต่างก็ถูกเชิญไปเกือบหมด การแสดงต่างๆก็มากมายน่าจะถูกใจท่านไม่น้อย” เจ้าจวนล่าพยัคฆ์เชื้อเชิญ เพราะหวังจะทำความชอบด้วยการหาคนที่เก่งกาจระดับเซียนไปร่วมงานกับตั๋งโต๊ะ
“ไว้ผมจะไป แล้วพบกันคืนนี้” กล่าวจบซันซั่งเทียนก็พลิ้วกายหายไป
แม้เจ้าจวนล่าพยัคฆ์จะไม่พอใจแต่เขาไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัว ด้วยการเป็นศัตรูกับบุคคลที่มีความน่ากลัวขนาดนี้ จึงได้แต่ยกมือคำนับน้อมส่ง พร้อมให้บ่าวไพร่ผู้ติดตามช่วยกันพยุงหลิวเฉินกลับที่พัก ทูตซ้ายเองก็ไม่คิดอยู่ต่อาร่างโรยแรงของทูตขวารีบเร่งกลับไปรายงานลิหยูผู้เป็นเจ้านาย เช่นเดียวกับชาวยุทธ์คนอื่นๆ ข้างฝ่ายเฉียวเป่ยไม่พูดอะไร เพียงเดินจากไปเงียบๆ ไม่นานนักสถานที่แห่งนั้นก็เหลือเพียงหลงเอ๋อคนเดียว
นับจากนี้เหล่ายอดยุทธ์ทั่วแผ่นดินคงจะตื่นตัว เตรียมพร้อมรับมือกับยุคสมัยใหม่ ที่มีบุรุษผู้ร้ายกาจราวกับทวยเทพคนหนึ่ง เป็นคนเปิดฉากเรื่องราวทั้งหมด...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl
Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl