คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ค่ำคืนใต้เสียงจันทร์
ตกเย็นเมื่อเวลาแห่งมื้ออาหารมาถึง บรรยากาศภายในเรือนใหญ่ของจวนแม่ทัพถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย บ่าวไพร่ต่างขะมักเขม้นในการเตรียมสำรับอาหารอย่างประณีตเพื่อรองรับบุคคลสำคัญที่มาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำในวันนี้ โดยที่ไม่มีใครได้บอกกล่าวอวี้เหมย บุตรสาวของอนุคนนี้เลย
ฮูหยินใหญ่ของเรือนซึ่งเป็นภรรยาเอกของท่านแม่ทัพ ได้ยืนอยู่ที่หัวโต๊ะมองสำรับอาหารที่ถูกจัดเรียงอย่างประณีต นางมีบุคลิกที่สง่างามและอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด สมกับการเป็นผู้นำครอบครัวที่คุมบังเหียนเรือนมาอย่างยาวนาน
ข้างกายของนางคือ อวี้หลันฮวา บุตรสาวคนโตของนาง นางเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าสง่างาม รอยยิ้มอ่อนหวาน ท่วงท่าของนางสงบเสงี่ยม และความประพฤติเรียบร้อยของนางทำให้ใครต่อใครชื่นชม ทั้งยังเป็นที่รักใคร่ของบิดามารดาอย่างมาก
ส่วนอีกด้านคือ อวี้เหวินฉี บุตรชายคนรองของครอบครัว เขามีรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าหล่อเหลา นิสัยขรึมแต่ก็อ่อนโยนเช่นเดียวกันกับแม่และน้องสาว แม้จะยังไม่มีประสบการณ์ในสนามรบมากเท่าบุตรชายคนโต แต่เขาก็เป็นที่ไว้วางใจของบิดา
ที่นั่งสำคัญอีกแห่งเป็นของ อวี้เหวินฉาง บุตรชายคนโตที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากสนามรบ เขานั่งด้วยท่าทางสงบ เรียบง่ายแต่ทรงพลัง แม้ว่าจะเพิ่งเดินทางมาถึงและมีความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่ท่าทีของเขากลับไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ ให้เห็น นี่เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทุกคนยำเกรงเขา
ในมื้อเย็นนี้ยังมีบุรุษปริศนาที่ติดตามอวี้เหวินฉางมาร่วมโต๊ะด้วย เขานั่งอยู่ข้างๆ อวี้เหวินฉาง บุรุษคนนี้มีใบหน้าคมคาย ท่าทางเคร่งขรึม ชุดเครื่องแบบที่เขาสวมดูหรูหราไม่ต่างจากคนในวังหลวง ทำให้ทุกคนที่มองดูยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเขามากขึ้นไปอีกว่าเป็นใครกันแน่
ขณะที่ทุกคนบนโต๊ะอาหารพูดคุยกันเบาๆ ระหว่างรอให้สำรับอาหารมาครบ อวี้หลันฮวาซึ่งมักเป็นคนช่างพูดก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสนใจ
"พี่ใหญ่ คือ..บุรุษผู้นี้คือผู้ใดกันเจ้าค่ะ?" นางกล่าวอย่างสุภาพ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอยากรู้ "เขาคงมีความสำคัญมาก จึงได้เดินทางกลับมาพร้อมท่าน"
อวี้เหวินฉางหันไปมองชายคนนั้นด้วยสายตาที่แฝงความเคารพเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยเสียงนิ่ง ๆ
"เขาเป็นผู้ช่วยสำคัญ และมีภารกิจสำคัญในครั้งนี้ ข้าเองก็เพิ่งได้รู้จักเขาเมื่อไม่นานมานี้"
คำตอบของอวี้เหวินฉางดูจะไม่ให้รายละเอียดมากนัก แต่ก็พอทำให้ทุกคนในโต๊ะเข้าใจได้ว่าบุรุษคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาน่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจที่สำคัญหรือมีตำแหน่งที่สูงส่ง ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะจึงพยายามสงบปากสงบคำ ไม่พูดอะไรที่จะเป็นการล่วงเกินเขา
"ข้าน้อยแซ่เหอ ช่วงนี้ต้องรบกวนตระกูลอวี้สักระยะ"เขาเอ่ยขึ้นบอกแค่แซ่เท่านั้น
ฮูหยินใหญ่มองดูบุตรชายของนางอย่างภาคภูมิใจและพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามคุณชายหลี่นั้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "คุณชายเหอ ท่านเดินทางมาไกล คงเหนื่อยล้ามาก พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการเพิ่มเติมในระหว่างอยู่ที่นี่ บอกข้าได้เลย" ฮูหยินเอ่ยพลางครุ่นคิด 'แซ่เหอหรือ?' ไม่เห็นจำได้ว่ามีขุนนางใดในเมืองหลวงมีแซ่เหอเลยนี่?
คุณชายเหอเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวขอบคุณอย่างเรียบง่าย "ขอบคุณฮูหยินใหญ่ ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมเพียงแค่ท่านแม่ทัพอนุญาตให้ข้าพักอยู่ในจวนสักระยะ ข้าก็พอใจแล้ว"
แม้ว่าบรรยากาศจะดูสงบสุข แต่กลับมีบางสิ่งที่ขาดหายไปอย่างชัดเจนในมื้ออาหารนี้—นั่นก็คือการไม่มีเงาของ อวี้เหมย บุตรสาวของอนุในจวน นางไม่ได้ถูกเชิญให้มาร่วมโต๊ะอาหารมื้อสำคัญนี้เหมือนคนอื่นๆ ทั้งที่ตามปกติแล้วควรจะมีคนจากเรือนอื่นมาอยู่ด้วย
การที่ ฮูหยินใหญ่ ละเลยการเชิญอวี้เหมยมาร่วมทานอาหาร นับว่าเป็นเรื่องที่น่าคิด ทั้งในแง่ของตำแหน่งของอวี้เหมยในครอบครัว และความสัมพันธ์ที่อาจเต็มไปด้วยความเย็นชาและการถูกกีดกัน
ในระหว่างที่มื้ออาหารดำเนินไป บ่าวไพร่ต่างก็คอยบริการอย่างเอาใจใส่ ฮูหยินใหญ่คอยพูดคุยกับบุตรชายคนโตด้วยความห่วงใยและรักใคร่ ส่วนอวี้เหวินฉีก็เข้าร่วมสนทนาด้วยบ้างเป็นครั้งคราว ขณะที่อวี้หลันฮวาก็นั่งนิ่งฟังอย่างตั้งใจ คอยเติมบรรยากาศให้ไม่เงียบเหงาเกินไป
แต่ถึงแม้ว่าทุกคนในโต๊ะอาหารจะดูเป็นกันเอง คุณชายเหอก็ยังคงนั่งอย่างสงบนิ่ง ไม่พูดมาก ท่าทางของเขาแฝงไปด้วยความเป็นทางการ และไม่ยอมเปิดเผยตัวตนหรือข้อมูลใดๆ มากไปกว่าที่จำเป็น
บรรยากาศในมื้ออาหารยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความลับบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเงามืดภายในจวนนี้ยังคงไม่ถูกเปิดเผย...
เมื่อมื้ออาหารเย็นจบลง สมาชิกของตระกูลอวี้และคุณชายเหอที่ถูกพาเข้ามาร่วมโต๊ะก็เริ่มแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนของตน อวี้หลันฮวา, ฮูหยินใหญ่, และอวี้เหวินฉีต่างพากันลุกขึ้นก่อน โดยที่ฮูหยินใหญ่กำชับบุตรชายคนโตด้วยความเป็นห่วงว่า "พักผ่อนให้เพียงพอ เดินทางมาเหนื่อยๆ คงต้องพักให้เต็มที่" จากนั้นพวกนางก็เดินออกไปโดยทิ้งอวี้เหวินฉางและคุณชายเหอไว้เพียงสองคน
อวี้เหวินฉางซึ่งมีท่าทีเหมือนจะรีบกลับเรือนของตนเอง ได้ลุกขึ้นเตรียมตัวออกไปเช่นกัน เขาหันไปมองคุณชายเหอและเอ่ยขึ้นว่า "พรุ่งนี้เราคงต้องคุยกันอีกหลายเรื่อง เจ้าก็คงเหนื่อยจากการเดินทางเหมือนกัน คืนนี้พักผ่อนก่อนก็ได้"
คุณชายเหอยิ้มบางๆ แต่ไม่รีบตามออกไป "เจ้าไปก่อนเถอะ ข้ายังมีเรื่องต้องคิดอีกสักหน่อย จะตามไปทีหลัง"
อวี้เหวินฉางขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า "ได้สิ ถ้าเจ้าต้องการอะไรขอให้บอกพ่อบ้าน เขาจะจัดการให้เอง" จากนั้นเขาก็เดินออกไป ทิ้งให้เขายังคงนั่งอยู่ในห้องโถงเพียงลำพัง
เมื่อทุกคนออกจากห้องไปหมดแล้ว บรรยากาศในห้องโถงก็เงียบสงัดลง แสงจากโคมไฟที่ห้อยลงมาส่องสว่างพอประมาณ ชายหนุ่มปริศนาเอนหลังพิงเก้าอี้ ก้มหน้าครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัว
เขาเดินทางมายังจวนแม่ทัพนี้ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง แต่ถึงแม้เขาจะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากอวี้เหวินฉางและครอบครัว ความคิดและความรู้สึกของเขากลับเต็มไปด้วยความสงสัยและคำถามบางอย่างที่ยังไม่ได้รับคำตอบ
'ข้าควรจะทำเช่นไรต่อไปดี...'
เสียงความคิดก้องอยู่ในหัวของเขา แต่ไม่ทันที่เขาจะคิดอะไรได้มากกว่านั้น เสียงเพลงเบาๆ จากนอกเรือนก็ลอยเข้ามาในโสตประสาท เสียงนั้นเป็นเสียงฮัมที่อ่อนหวาน ทว่ากลับเต็มไปด้วยความเศร้า และมันก็ทำให้ชายหนุ่มหยุดคิดในทันที
เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับถูกดึงดูดโดยเสียงเพลงนั้น ชายหนุ่มเดินออกไปนอกเรือนเพื่อดูว่ามันมาจากที่ใด
ด้านของอวี้เหมย หลังจากมื้ออาหารเย็นที่ถูกจัดส่งมาโดยสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของนาง นางไม่ได้รู้สึกพอใจหรือมีความสุขกับอาหารเย็นนั้นเท่าใดนัก แต่ก็ไม่มีทางเลือกมากนักในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อจบมื้ออาหารที่เงียบสงบในเรือนเล็ก นางก็พบว่าตัวเองยังคงไม่รู้จะทำอะไรต่อไป
ในชีวิตก่อนของอวี้เหมย เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่นางยังไม่นอน นางเคยชินกับชีวิตที่ยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยการจัดการธุรกิจและการแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา เวลานอนหลับพักผ่อนจึงเป็นสิ่งที่หายากสำหรับนาง ตอนนี้เมื่ออยู่ในร่างใหม่ ชีวิตใหม่ที่เป็นลูกอนุในจวนแม่ทัพ นางจึงรู้สึกว่างเปล่า ไม่คุ้นเคยกับความเงียบสงบนี้
อวี้เหมยเดินออกมาที่ลานหน้าบ้านเรือนเล็กของตนเอง สถานที่ที่เงียบสงบนี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกเหงาอย่างน่าประหลาด แม้ว่าชีวิตในอดีตของนางจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ก็มักเป็นความสัมพันธ์ที่สร้างจากผลประโยชน์ ซึ่งแตกต่างกับตอนนี้ที่นางรู้สึกเหมือนเป็นคนโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง
นางหายใจเข้าลึกๆ สูดอากาศยามเย็นที่เย็นสบาย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ ที่ตั้งอยู่ในลานเล็กนั้น แสงจันทร์อ่อนๆ ที่ส่องลงมาทำให้ลานนี้ดูงดงาม เงียบสงบจนเกือบจะเงียบเหงา
ในความเงียบนั้น จิตใจของอวี้เหมยกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย นางไม่รู้จะทำอะไรดี นางไม่รู้ว่าจะเริ่มชีวิตใหม่อย่างไรในร่างนี้ ทั้งยังไม่คุ้นเคยกับกฎระเบียบและการปกครองภายในจวนแห่งนี้ นางรู้สึกว่าชีวิตของตนเองอยู่ในสภาพที่ถูกจำกัด ไม่มีอิสระเสรีอย่างที่เคยมีในชีวิตก่อน
เพื่อคลายความกังวลและความรู้สึกหดหู่ในใจ อวี้เหมยเริ่มฮัมเพลงเบาๆ โดยไม่รู้ตัว นางร้องออกมาในจังหวะที่เนิบช้า เสียงเพลงนั้นเป็นเพลงในอดีตจากโลกที่นางจากมา แม้ว่ามันจะเป็นเพลงที่ไม่มีใครในโลกนี้รู้จัก แต่มันกลับให้ความสบายใจแก่ตัวนางเอง ราวกับเป็นการเชื่อมต่อกับอดีตของนางที่สูญหายไป
เสียงเพลงเบาๆ ล่องลอยไปตามสายลมยามค่ำคืน อ่อนหวานแต่มีกลิ่นอายของความเศร้าซ่อนอยู่ในเสียงนั้น ในขณะที่นางฮัมเพลงเบาๆ ความคิดของนางก็เริ่มล่องลอยไปเรื่อยๆ นางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของนาง ตั้งแต่การเกิดใหม่ที่นางยังไม่อาจทำใจยอมรับได้เต็มที่ ไปจนถึงการใช้ชีวิตในร่างของลูกอนุที่ต่ำต้อยซึ่งถูกเมินจากครอบครัวใหญ่
ขณะที่อวี้เหมยนั่งอยู่ที่ลานหน้าบ้านเล็กของตนเพียงลำพังนั้น นางก็ไม่รู้ว่ามีใครบางคนที่เดินอยู่ไม่ไกลเลย...
คุณชายเหอที่กำลังออกมาเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายหลังจากการเดินทางอันยาวนาน เขาเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์มาช้านาน ประสาทสัมผัสของเขาจึงเฉียบคมเหนือกว่าคนทั่วไป และเขาสามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งเล็กน้อยที่คนอื่นอาจมองข้ามไป
ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงเพลงเบาๆ ลอยมาตามลม มันเป็นเสียงที่อ่อนหวาน ทว่ากลับแฝงความเศร้าอยู่ในเนื้อเสียง เสียงนั้นทำให้เขาหยุดก้าวเดินชั่วขณะ และหันไปมองตามทิศทางที่เสียงนั้นมาจาก
เขาเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณลานเล็กของเรือนที่แยกตัวออกมาจากเรือนหลัก ที่นั่นเขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพังใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของนางสะท้อนแสงจันทร์อ่อนๆ ราวกับภาพวาดที่งดงาม นางนั่งอย่างผ่อนคลายและฮัมเพลงเบาๆ ราวกับไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังเฝ้ามองอยู่
ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงนั้น โดยไม่ขยับเข้าไปใกล้ นัยน์ตาของเขาจ้องมองนางด้วยความสนใจ นางเป็นใครกัน? ทำไมนางถึงนั่งอยู่ที่นี่เพียงลำพัง? และทำไมเสียงเพลงของนางถึงมีความเศร้าเช่นนั้น?
ความเงียบของค่ำคืนนี้ยิ่งทำให้เสียงเพลงของอวี้เหมยชัดเจนมากขึ้นในหูของเขา แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่นางร้องออกมานั้น แต่กลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่นางต้องการจะสื่อสารออกมา ความเหงา ความเศร้า ความไม่พอใจต่อชะตากรรม...ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดออกมาในเพลงที่ไม่มีใครรู้จัก
ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปทักทายหรือทำให้นางรู้ตัว เขาเพียงแต่ยืนฟังอยู่ไกลๆ และใช้เวลาสำรวจนางในความเงียบ....
-----------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะทุกคนมาลุ้นกันว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร ติดตามได้ในตอนต่อไป....
ความคิดเห็น