คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลง
เช้าวันถัดมา ไป่หลินตื่นแต่เช้าตรู่เช่นเคย นางออกไปฝึกฝนร่างกายตามปกติ ท่าทางที่นางใช้ในการฝึกคล่องแคล่วและมั่นคงขึ้นมาก นางเริ่มวิ่งรอบๆ ลานบ้านเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของร่างกาย แม้ว่าร่างนี้จะไม่แข็งแกร่งเท่าในชาติที่แล้ว แต่นางก็รู้สึกว่ามันมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้อีกมาก
หลังจากฝึกเสร็จ นางก็กลับเข้าบ้านเพื่อช่วยงานมารดาในครัวและดูแลน้องชาย นางรู้ดีว่าซูหรงและซูเหม่ยอี้ต้องพึ่งพานางมากขึ้นในช่วงเวลานี้ ดังนั้นนางจึงพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อแบ่งเบาภาระของพวกเขา
เมื่อเวลาใกล้สาย นางและซูหรงก็ออกไปทำงานในไร่อีกครั้ง การทำไร่ในวันนี้เหมือนกับทุกวัน คือการเก็บเกี่ยวผลผลิตและทำความสะอาดทุ่งนา เมื่อพวกเขามาถึงทุ่ง ก็พบกับชาวบ้านหลายคนที่ออกมาทำงานเช่นกัน
“เหม่ยหลิน วันนี้เจ้าดูสดชื่นขึ้นมากนะ ดูเหมือนร่างกายจะฟื้นตัวดีแล้ว” ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวขึ้นขณะเดินผ่านไป
“ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก ขอบคุณที่เป็นห่วงนะเจ้าคะ” ไป่หลินตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
พวกชาวบ้านที่รู้จักนางล้วนถามไถ่อาการของซูเหม่ยหลินด้วยความเป็นห่วง เพราะเมื่อก่อนนางเคยป่วยหนักมากจนทุกคนคิดว่านางอาจจะไม่รอด แต่หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา นางกลับมีพลังและความมุ่งมั่นมากกว่าเดิม ซึ่งทำให้ชาวบ้านหลายคนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น
ระหว่างการทำงาน ไป่หลินได้ยินชาวบ้านบางคนพูดคุยถึงข่าวคราวเกี่ยวกับสงครามที่กำลังเกิดขึ้นทางชายแดน พวกเขาพูดถึงกองทัพที่กำลังต้องการแรงงานเพิ่มเพื่อเสริมกำลัง ไป่หลินตั้งใจฟังแต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร นางรู้ดีว่าวันหนึ่งข่าวนี้อาจส่งผลกระทบต่อครอบครัวของนางโดยตรง
“ซูเฟยหลง...ท่านพ่อทำไมยังไม่กลับมาอีก” นางพึมพำเบา ๆ ในใจ ขณะที่นางใช้มือจับเคียวเก็บเกี่ยวข้าวอย่างระมัดระวัง
สองปีก่อน ซูเฟยหลงต้องเข้าร่วมกองทัพและเดินทัพไปยังชายแดนเพื่อปกป้องแผ่นดินจากศัตรูต่างแดน ทว่าหลังจากการสู้รบครั้งสุดท้าย กลับไม่มีข่าวคราวจากเขาอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา บ้างก็ว่าถูกศัตรูจับไป บ้างก็ว่าถูกทรยศโดยคนในกองทัพเอง เหตุการณ์นี้ทำให้ครอบครัวซูอยู่ในความเศร้าและไม่รู้ชะตากรรมของเขา จนส่งผลให้ภรรยาและลูกต้องเผชิญกับความยากลำบาก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อตะวันเริ่มคล้อยต่ำ นางกับมารดาก็เตรียมตัวกลับบ้าน ระหว่างทาง นางคิดถึงชีวิตในชาติที่แล้วที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง การต่อสู้และความขัดแย้ง แต่นางกลับรู้สึกว่าวิถีชีวิตที่สงบสุขนี้กลับมีความหมายและมีคุณค่ามากกว่า
เมื่อถึงบ้าน ซูเหม่ยอี้ยังคงนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะ เขายังมีความมุ่งมั่นที่จะสอบขุนนางเพื่อช่วยเหลือครอบครัวเช่นเดิม นางยิ้มเมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเขา แต่ในใจก็ยังหวังว่าเขาจะไม่กดดันตัวเองมากเกินไป
ในยามค่ำคืน หลังจากที่ทุกคนหลับไป ไป่หลินนั่งอยู่ที่ข้างหน้าต่าง มองดูดวงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างท่ามกลางท้องฟ้ามืด นางรู้ว่าชีวิตนี้ไม่ใช่ชีวิตของซูเหม่ยหลินเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่มันเป็นชีวิตใหม่ของไป่หลินที่นางจะต้องรับผิดชอบ นางจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องครอบครัวนี้
หลังจากตื่นนอนในเช้าวันใหม่ ไป่หลินรู้สึกสดชื่นและมีกำลังใจ นางแต่งตัวเรียบร้อยและลงไปช่วยมารดาทำอาหารเช้า ซึ่งวันนี้นางตั้งใจจะออกไปเก็บสมุนไพรตามป่าที่อยู่ใกล้ ๆ หมู่บ้าน
“วันนี้เจ้าจะไปไหนอีกหรือ?” ซูหรงถามขณะกำลังจัดเตรียมอาหารในครัว
“ข้าจะไปเก็บสมุนไพรเจ้าค่ะท่านแม่ เห็นว่าสมุนไพรใกล้หมดแล้ว ข้าจึงอยากจะหาสมุนไพรบำรุงร่างกายมาไว้ให้เขา” ไป่หลินตอบด้วยเสียงสดใส
“ดีแล้ว แต่อย่าลืมระวังตัวด้วยนะ ในป่ามีสัตว์ป่าอยู่บ้าง” มารดาของนางยิ้มและเตือนด้วยความเป็นห่วง
“ข้าจะระวังเจ้าค่ะ แล้วจะรีบกลับมา” ไป่หลินยิ้มรับคำ และหลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ นางก็เริ่มเตรียมอุปกรณ์สำหรับเก็บสมุนไพร ทั้งมีดตัดและตะกร้าสำหรับใส่สมุนไพร นางจึงออกจากบ้านไปยังป่าที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน
เมื่อไปถึงป่า ไป่หลินมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้น ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงอ่อน ๆ ผ่านต้นไม้สูง ทำให้บรรยากาศดูงดงามและเงียบสงบ นางรู้สึกว่าในวันนี้จะต้องมีสมุนไพรที่ดีให้กับน้องชายอย่างแน่นอน
นางเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ ที่มีหญ้ารกและดอกไม้ป่าขึ้นอยู่ข้างทาง พยายามสังเกตดูสมุนไพรที่มีอยู่ ซึ่งนางก็จำได้หลายชนิดจากชาติที่แล้ว นางหยุดดูสมุนไพรประเภทหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์ โดยเฉพาะสำหรับการบำรุงร่างกาย นางจึงใช้มีดตัดมันออกและใส่ลงในตะกร้า
ขณะที่นางเก็บสมุนไพรไปเรื่อย ๆ นางก็ได้ยินเสียงนกร้องเพลงดังอยู่ข้าง ๆ เสียงที่สดใสทำให้นางรู้สึกสบายใจและมีความสุข นางรู้สึกว่าในชีวิตนี้มีความสุขมากขึ้นกว่าที่เคย แม้จะมีความยากลำบาก แต่นางก็ยังมีครอบครัวที่รักและคอยสนับสนุน
“เก็บสมุนไพรแค่นี้คงพอแล้ว” ไป่หลินคิดในใจขณะมองไปที่ตะกร้าที่เต็มไปด้วยสมุนไพรที่เก็บมา
นางเดินต่อไปอีกสักพักหนึ่งจนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำไหลจากลำธารที่อยู่ใกล้ ๆ นางจึงตัดสินใจเดินไปดู นางมองเห็นน้ำใสไหลลื่นผ่านหินก้อนใหญ่ นางรู้สึกสดชื่นกับบรรยากาศ และเมื่อนางมองเห็นกลีบของดอกไม้สีม่วงเบ่งบานอยู่ข้าง ๆ นางจึงตัดสินใจเก็บมาด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้น นางได้ยินเสียงกิ่งไม้หักดังขึ้น นางหันไปดูและพบว่ามีสัตว์ป่าขนาดเล็กกำลังเดินผ่านอยู่ใกล้ ๆ นางจึงค่อย ๆ ย่อตัวลงเพื่อไม่ให้มันตกใจ แต่สัตว์ตัวนั้นก็เดินจากไปอย่างเงียบ ๆ นางโล่งใจและคิดว่าโชคดีที่ไม่ได้เกิดอันตรายขึ้น
เวลาผ่านไปจนกระทั่งนางรู้สึกว่าได้เก็บสมุนไพรจำนวนมากพอสมควร นางจึงเริ่มคิดจะกลับบ้าน แต่ในขณะที่นางกำลังเดินกลับ ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ ๆ นางหยุดเดินและคอยฟังเสียงอย่างระมัดระวัง
เสียงนั้นดูเหมือนจะมาจากที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ นางตัดสินใจเข้าไปดูและเห็นว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาดูเหมือนจะบาดเจ็บที่ขาและกำลังพยายามปีนต้นไม้ขึ้นไป
“เฮ้! เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” ไป่หลินถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกลัว แต่เมื่อนางยิ้มให้เขา เขาก็เริ่มรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น “ข้า...ข้าลื่นตกจากต้นไม้ ขาข้าบาดเจ็บ” เขาตอบเสียงแผ่ว
ไป่หลินรีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับตรวจดูบาดแผล “เจ้าต้องระวังตัวให้ดีสิ ไม่อย่างนั้นอาจจะบาดเจ็บมากกว่านี้” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ข้าไม่สามารถลุกเดินได้แล้ว” เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยดูให้เจ้าเอง” ไป่หลินกล่าวขณะที่นางสำรวจดูรอบ ๆ เพื่อหาทางช่วยเหลือเด็กชาย
นางมองไปรอบ ๆ จนเห็นเศษกิ่งไม้และผ้าอยู่ใกล้ ๆ นางรีบเก็บมามัดเป็นที่ประคองขาให้เด็กชาย “ข้าจะช่วยประคองเจ้า ข้าจะพาเจ้าไปส่ง”
เด็กชายพยักหน้าและเอ่ยคำขอบคุณอย่างขอโทษ “ขอบคุณมากขอรับพี่สาว”
ไป่หลินจึงช่วยประคองเด็กชายให้เดินอย่างช้า ๆ โดยระมัดระวัง
ระหว่างทางกลับ บ้านไป่หลินพูดคุยกับเด็กชายเพื่อทำให้เขารู้สึกสบายใจ “เจ้ามาจากไหนเหรอ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
“ข้าชื่อเฉินเสวียน ข้ากับครอบครัวอยู่ในหมู่บ้านใกล้ ๆ นี่ ข้าแค่อยากขึ้นไปดูรังนกที่ต้นไม้จากนั้นก็....” เด็กชายตอบขณะเดินไปด้วยกัน
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” ไป่หลินพยักหน้าเข้าใจ พร้อมทั้งบอกเด็กชายว่า “ต่อไปเจ้าก็อย่าขึ้นต้นไม้บ่อย ๆ เลย มันอันตราย ถ้าข้าไม่ผ่านไปแถวนั้นป่านนี้เจ้าคงได้นอนอยู่ในป่าแล้ว”
“ต่อไปข้าจะระมัดระวัง ขอบคุณพี่สาวที่ช่วยข้าขอรับ” เด็กชายกล่าวด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ และถ้าไม่มีใครผ่านมาเขาคงได้นอนในป่าจริงๆแน่
ในที่สุด นางก็มาถึงหมู่บ้านข้างๆและเดินต่ออีกไม่นานก็ถึงบ้านของเด็กชาย ไป่หลินช่วยเด็กชายเข้ามาในบ้านและพบกับมารดาของเขา ซึ่งดูเป็นห่วงอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าลูกชายของตนกลับมาอย่างปลอดภัยก็รีบเข้ามาดูอาการ “ลูก! เจ้าเป็นอะไร?”
“ท่านแม่ เอ่อ..พอดีข้า...ลื่นตกจากต้นไม้....แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว พี่สาวเป็นคนช่วยรักษาให้ข้าแล้ว” เด็กชายตอบ
“โชคดีที่มีคนช่วยเจ้าไว้ ต่อไปจะไปไกนห้ามไปคนเดียว เข้าใจไหม?” แล้วมารดาของเขาหันไปขอบคุณไป่หลินด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมากจริง ๆ ที่ช่วยลูกข้า”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ” ไป่หลินยิ้ม
หลังจากนั้น ไป่หลินขออำลาพวกเขาและเริ่มเดินกลับบ้าน
-----------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะทุกคนมาลุ้นกันว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร ติดตามได้ในตอนต่อไป....
ความคิดเห็น