ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดดวงใจแม่ทัพทมิฬ

    ลำดับตอนที่ #2 : การปรับตัวในชีวิตใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 67


    ในยามค่ำคืน ไป่หลินจะนั่งอยู่หน้าหน้าต่าง มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว นางนึกถึงชีวิตเก่าที่สูญเสียไป และความทรยศที่นางได้รับในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แต่แม้จะมีความเจ็บปวดเหล่านั้น นางก็เลือกที่จะไม่ปล่อยให้มันมากำหนดชีวิตใหม่ของนาง

    'ข้าจะใช้ชีวิตใหม่นี้เพื่อปกป้องพวกเขา'แล้วนางก็หลับไป

    ในยามเช้าของหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ไกลจากเมืองใหญ่ ท้องฟ้ายังคงมืดมิดเมื่อไป่หลินตื่นจากที่นอน ร่างกายที่เคยบอบช้ำจากการป่วยเริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้นตามการฝึกฝนทุกวันของนาง หลังจากลุกขึ้น นางล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อให้ร่างกายตื่นตัว จากนั้นนางก็เปลี่ยนชุดเรียบง่ายก่อนจะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการออกกำลังกายที่คุ้นเคย

    ทุกเช้าก่อนฟ้าสาง นางจะออกไปที่ลานหลังบ้าน ฝึกฝนร่างกายด้วยการยืดเส้นยืดสาย การเคลื่อนไหวช้าๆ แต่ทรงพลังเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่ง นางฝึกฝนท่าทางที่เคยชำนาญในชาติที่แล้ว แม้ว่าร่างกายของซูเหม่ยหลินจะยังไม่พร้อมเต็มที่ แต่นางรู้ว่าด้วยการฝึกอย่างต่อเนื่อง สักวันนางจะกลับมาแข็งแกร่งได้เหมือนเดิม

    เมื่อแสงแรกของวันเริ่มส่องผ่านยอดไม้ นางจึงหยุดฝึกและเดินเข้าบ้านเพื่อช่วยซูหรง มารดาของซูเหม่ยหลินเตรียมอาหารเช้า ซูหรงนั้นเป็นหญิงที่ขยันขันแข็ง นางต้องรับผิดชอบทุกอย่างในบ้านตั้งแต่บิดาของซูเหม่ยหลินออกไปสงครามและไม่ได้ข่าวกลับมาอีกเลย

    “เจ้าไม่ต้องมาช่วยหรอกเหม่ยหลิน พักผ่อนให้มากๆ ยังไม่ต้องทำงานหนัก” ซูหรงบอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงห่วงใย

    “ข้าแข็งแรงขึ้นแล้วท่านแม่ ข้าไม่อยากให้งานหนักตกอยู่กับท่านเพียงคนเดียว” ไป่หลินตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะหยิบหม้อขึ้นตั้งไฟเพื่อเตรียมทำข้าวต้ม

    ซูหรงมองดูลูกสาวที่เปลี่ยนไปตั้งแต่ฟื้นจากป่วย นางสังเกตเห็นว่าซูเหม่ยหลินมีความมุ่งมั่นและดูแข็งแกร่งกว่าที่เคย แม้ว่าร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่นางกลับมีท่าทางที่มั่นคง ไม่อ่อนแอเหมือนเดิม นี่ทำให้ซูหรงรู้สึกภูมิใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน

    หลังจากเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว นางจึงเรียกซูเหม่ยอี้ น้องชายของซูเหม่ยหลินมากินข้าว ซูเหม่ยอี้ในวัยสิบห้าปี เป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนแอและมักเจ็บป่วยบ่อย แต่มีหัวใจที่ใฝ่รู้และรักการเรียน นางเห็นเขามักอ่านตำราตั้งแต่เช้า จนบางครั้งต้องคอยเตือนให้เขาพักผ่อนบ้าง

    “พี่เหม่ยหลิน ท่านแม่ ข้าขออ่านตำราต่อนะขอรับ” ซูเหม่ยอี้พูดขณะที่นั่งลงที่โต๊ะ เขาหยิบตำราเล่มหนึ่งที่วางอยู่ใกล้มือขึ้นมา พร้อมกับอ่านอย่างตั้งใจ

    “เจ้าควรพักบ้างเหม่ยอี้” ไป่หลินพูดอย่างนุ่มนวล “ข้ารู้ว่าเจ้ามุ่งมั่นในการเรียน แต่เจ้าต้องดูแลสุขภาพด้วย”

    ซูเหม่ยอี้เงยหน้ามองพี่สาว ก่อนจะยิ้มอย่างเกรงใจ “ข้าแค่ต้องการช่วยครอบครัว หากข้าสอบผ่านและได้เป็นขุนนาง ข้าก็จะสามารถทำให้ท่านแม่กับพี่ไม่ต้องลำบากอีก”

    ไป่หลินยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับน้องชาย นางรู้ดีว่าเขามีความตั้งใจอันแรงกล้า นี่เป็นความฝันของซูเหม่ยอี้มาตลอดที่จะได้สอบเข้ารับราชการเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัว แม้แต่ในชาติที่แล้ว ไป่หลินเองก็เคยมีความฝันที่จะทำให้ชีวิตของนางดีขึ้น แต่ความโหดร้ายในสนามรบกลับทำให้ฝันนั้นล่มสลาย นางจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นกับซูเหม่ยอี้

    ---

    หลังจากทานอาหารเสร็จ ไป่หลินก็ออกไปช่วยงานในไร่ของครอบครัว แม้ว่าจะเป็นงานที่แตกต่างจากสิ่งที่นางคุ้นเคยในชาติที่แล้ว แต่นางปรับตัวได้ดี ด้วยการใช้แรงงานในไร่และการเก็บเกี่ยวผลผลิต ทำให้ร่างกายของนางกลับมาแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

    ในระหว่างทางที่เดินออกไปที่ทุ่ง นางได้พบกับชาวบ้านหลายคนที่ออกมาทำงานเช่นกัน พวกเขามักจะทักทายนางอย่างเป็นกันเอง แม้ว่าเมื่อก่อนซูเหม่ยหลินจะเป็นเด็กสาวที่ไม่ค่อยเข้าสังคม แต่หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา พวกชาวบ้านกลับสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวนาง

    “เหม่ยหลิน เจ้าฟื้นแล้วเหรอ? ตอนนั้นข้าได้ยินว่าเจ้าป่วยหนัก นึกว่าเจ้าจะไม่รอดเสียแล้ว” หญิงชาวบ้านผู้หนึ่งทักทายนางขณะที่เดินผ่านไป

    “ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงเจ้าคะ” ไป่หลินตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม แม้ใจจริงนางจะไม่ได้คุ้นเคยกับผู้คนในหมู่บ้านนี้ แต่เพื่อปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ นางจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตเช่นนี้

    “ดีจริงๆ ข้าได้ยินจากท่านแม่ของเจ้าว่าเจ้าป่วยหนัก ข้าเองก็นึกห่วงเหมือนกัน” หญิงอีกคนหนึ่งพูดขึ้นบ้าง

    “ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงข้า” ไป่หลินกล่าวพร้อมโค้งหัวเล็กน้อยเป็นการแสดงความขอบคุณ

    ระหว่างที่เดินทางไปทำงานในไร่ นางได้พบกับผู้คนมากมายที่ออกมาทำงานเช่นเดียวกัน พวกเขาเป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ได้มีความหวังอันยิ่งใหญ่เหมือนชีวิตที่นางเคยมีในชาติที่แล้ว แต่นางกลับรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้เห็นวิถีชีวิตที่สงบสุขนี้

    เมื่อมาถึงทุ่งไร่ ไป่หลินเริ่มลงมือช่วยมารดาในการทำงานเก็บเกี่ยว นางทำงานเคียงข้างซูหรง ช่วยกันเก็บเกี่ยวผลผลิต แม้ว่าแรงกายจะยังไม่เต็มที่ แต่นางพยายามทำให้ดีที่สุด ซูหรงมองดูลูกสาวที่ขยันขันแข็งและรู้สึกภูมิใจในความแข็งแกร่งของนาง

    ในขณะที่ทำงานไป นางก็ได้พูดคุยกับมารดาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ซูหรงเล่าเรื่องของหมู่บ้าน ชีวิตในช่วงที่นางป่วย และความเป็นอยู่ของชาวบ้าน นางได้เรียนรู้ว่าในหมู่บ้านนี้ แม้จะไม่มีความหรูหรา แต่ก็เต็มไปด้วยน้ำใจและความช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างเพื่อนบ้าน

    หลังจากทำงานในไร่จนเหนื่อยล้า ไป่หลินและซูหรงก็เดินทางกลับบ้าน ขณะที่เดินกลับนางได้พบกับชาวบ้านที่ยังคงทำงานอยู่ในทุ่ง พวกเขาทักทายนางอย่างเป็นมิตร และบางครั้งก็หยุดคุยเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ แม้จะเป็นการสนทนาสั้นๆ แต่ไป่หลินกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของพวกเขา

    เมื่อถึงบ้าน ซูเหม่ยอี้ก็ยังคงนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่รักการเรียนอย่างยิ่ง มีความมุ่งมั่นที่จะสอบเข้ารับราชการเพื่อช่วยครอบครัว นางเห็นเขาหมกมุ่นอยู่กับตำราและบางครั้งนางต้องเข้าไปเตือนให้เขาพักผ่อน

    “เจ้าควรพักบ้างเหม่ยอี้” ไป่หลินพูดขณะที่เดินเข้ามาใกล้ “เจ้าอ่านหนังสือทั้งวันแบบนี้ ร่างกายจะแย่ลงได้นะ”

    ซูเหม่ยอี้เงยหน้าจากตำราแล้วยิ้มให้กับพี่สาว

    “ข้าจะตั้งใจศึกษาและจะได้สอบผ่านและทำให้ครอบครัวเราอยู่ดีกินดี ข้าจะไม่ยอมให้ท่านแม่กับพี่ต้องลำบากอีกต่อไป” ซูเหม่ยอี้กล่าวด้วยความมุ่งมั่นที่สะท้อนออกมาในแววตา

    ไป่หลินมองน้องชายด้วยความอ่อนโยน นางเข้าใจถึงความฝันของเขาดี แต่นางก็อดห่วงไม่ได้ “เจ้าต้องดูแลสุขภาพด้วย ต่อให้เจ้าสอบผ่านได้เป็นขุนนางจริง ถ้าเจ้าป่วยหนักจนไม่อาจทำหน้าที่ได้ เจ้าจะทำประโยชน์ให้ใครได้หรือ?”

    คำพูดของไป่หลินทำให้ซูเหม่ยอี้นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เขาพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก “ข้าจะพยายามพักบ้าง ข้าไม่อยากให้พี่เป็นห่วง”

    ไป่หลินยิ้มบาง ๆ “ดีแล้ว เช่นนั้นคืนนี้เจ้าพักเสีย ข้าจะช่วยท่านแม่เตรียมอาหารเย็นเอง”

    เมื่อนางพูดจบ นางก็หันไปช่วยมารดาเตรียมอาหารในครัวอย่างขยันขันแข็ง ท่าทางของนางในวันนี้ดูเปี่ยมไปด้วยพลังและความตั้งใจ ไม่เหมือนกับเด็กสาวผู้เคยอ่อนแอและซูบผอมในอดีต นี่ทำให้ซูหรงอดยิ้มไม่ได้เมื่อมองดูลูกสาวที่เปลี่ยนไปอย่างมาก

    ---

    หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ครอบครัวนั่งพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายภายใต้แสงตะเกียง ในเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สงบที่สุดในวัน ทุกคนล้วนเหนื่อยล้าจากงานหนัก แต่หัวใจกลับอิ่มเอมไปด้วยความสุข

    ไป่หลินมองเห็นภาพนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นในใจ นางคิดถึงชีวิตที่วุ่นวายในชาติที่แล้ว ที่นางไม่เคยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นนี้ การได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในยามสงบ ทำให้นางรู้ว่าชีวิตที่สงบสุขนั้นมีค่ามากแค่ไหน

    เมื่อน้องชายและมารดาเข้านอน ไป่หลินกลับยังไม่หลับ นางตัดสินใจออกไปเดินเล่นรอบบ้านเพื่อผ่อนคลาย นางยืนมองท้องฟ้าซึ่งประดับด้วยดวงดาวนับพันที่ส่องแสงระยิบระยับ นางสูดลมหายใจลึก ๆ พยายามดึงสติและสมาธิกลับมาหลังจากผ่านวันอันเหน็ดเหนื่อย

    นางรู้ว่าชีวิตของซูเหม่ยหลินที่ได้รับมาใหม่นี้ อาจจะเต็มไปด้วยความสงบสุขในตอนนี้ แต่ไม่ช้าก็เร็ว นางจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยากลำบากอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องครอบครัวจากอันตรายภายนอก หรือการแก้ปัญหาที่ยังคงรออยู่ นางจะไม่ยอมปล่อยให้ชีวิตนี้ถูกทำลายเหมือนชาติที่แล้ว

    “ซูเหม่ยหลิน ข้าสัญญาว่าชีวิตนี้ ข้าจะไม่ยอมสูญเสียอะไรอีก ข้าจะปกป้องทุกคนที่เจ้ารัก” นางพึมพำเบาๆ ต่อหน้าท้องฟ้าที่สว่างไสว

    หลังจากนั้น นางจึงเดินกลับเข้าบ้านไปยังห้องนอนของตนเอง นางนั่งลงข้างเตียงแล้วมองดูกล้ามเนื้อแขนที่ยังคงไม่แข็งแรงเท่าที่เคยเป็นในชาติที่แล้ว แม้ว่าการฟื้นฟูร่างกายจะค่อยเป็นค่อยไป แต่นางรู้ว่าด้วยความพยายาม นางจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลานั้น นางจะสามารถปกป้องครอบครัวและเผชิญหน้ากับทุกปัญหาที่จะเกิดขึ้น


    สวัสดีค่ะทุกคนมาลุ้นกันว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไรบ้างมาเอาใจช่วยไป่หลินกันด้วยนะ ขอบคุณค่ะเจอกันตอนหน้านะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×