ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พระชายาอ้วนขององค์ชายสาม

    ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 12: ความประหลาดใจ

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ย. 67


    ซูเฟยหรงพยักหน้า “ข้าสังเกตร้านหนึ่งที่ค้าขายของนำเข้าจากตะวันตก ดูท่าพ่อค้าร้านนั้นเองก็ประสบปัญหา ข้าคิดว่าถ้าร่วมมือกัน น่าจะเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”

    หยางเซียงยิ้มอย่างตื่นเต้น พลางเอ่ยว่า “พระชายาช่างคิดอ่านเก่งนักเจ้าค่ะ”

    ซูเฟยหรงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาเปล่งประกายด้วยความทะเยอทะยาน “เราต้องเริ่มที่จุดเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ให้ผู้คนรู้จักและติดใจ แล้วจึงขยายธุรกิจใหญ่ขึ้น ถ้าไปถึงจุดนั้นได้จริงๆ ข้าอาจมีธุรกิจเป็นของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งองค์ชายสามอีกเลย”

    เมื่อหยางเซียงได้ฟังคำพูดของนาง รู้สึกได้ถึงความกล้าหาญและอิสระในตัวพระชายาที่ต่างไปจากข้าหลวงคนอื่นๆ “พระชายาทำให้บ่าวนับถือเจ้าค่ะ บ่าวจะช่วยให้สุดความสามารถ ไม่ว่าพระชายาจะตัดสินใจทำอะไร”

    ทั้งสองคนหัวเราะกันเบาๆ เต็มไปด้วยความหวังในการเริ่มต้นใหม่ และนางกำนัลห้องเครื่องที่ยืนมองจากประตูอยู่ห่างๆ นั้นก็เผลอขมวดคิ้วแปลกใจ แต่ไม่กล้าเข้ามารบกวน เห็นทีว่าไม่เพียงแค่เฟยหรงและหยางเซียงเท่านั้นที่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวพระชายา แต่ยังส่งผลถึงคนรอบข้างให้มองนางด้วยสายตาที่ต่างออกไป

    หลังจากที่พวกนางใช้เวลาทั้งคืนพูดคุยกันเกี่ยวกับอนาคตและความฝันของพระชายา ซูเฟยหรงรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นกับแผนการที่วางไว้ ขณะที่หยางเซียงกลับรู้สึกว่าตนเองยังคงมีพลังมากกว่าปกติ ทั้งที่เป็นเวลาที่ควรจะพักผ่อน

    “พระชายา ข้ารู้สึกเหมือนร่างกายข้าเต็มไปด้วยพลังงานเลย” หยางเซียงเอ่ยออกมาเมื่อพวกนางเดินกลับมาถึงเรือนของพระชายาในช่วงดึก “โดยปกติแล้ว ข้าต้องหลับไปนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่า”

    “มันคงเป็นผลมาจากกาแฟที่เราทานกันเมื่อช่วงเย็น” ซูเฟยหรงตอบอย่างยิ้มแย้ม “จริงอยู่ที่กาแฟทำให้ข้าไม่ง่วง แต่กลับทำให้ความคิดของข้ากระจ่างชัดขึ้น”

    พวกนางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในห้องนั่งเล่น ซูเฟยหรงเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมเย็นๆ คืนนี้สดชื่นและเงียบสงบ เสียงนกร้องและเสียงลมพัดเบาๆ สร้างบรรยากาศที่น่าหลงใหล

    ----

    ในกระโจมที่ตั้งอยู่กลางค่ายทหาร บรรยากาศนั้นเงียบสงัด ยกเว้นเสียงลมพัดผ่านทำให้ผ้าห่มบนเตียงโบกสะบัดเล็กน้อย หลี่หยางเจี้ยน องค์ชายสามที่เพิ่งกลับมาจากการลาดตระเวนก็เพิ่งจะได้พักอย่างเต็มที่ ไม่นานไป๋จีก็เดินเข้ามาพร้อมจดหมายในมือ

    “องค์ชาย ข้านำจดหมายจากเมืองหลวงมาให้ขอรับ” ไป๋จีพูดอย่างเคารพ ขณะยื่นจดหมายให้กับเขา

    หลี่หยางเจี้ยนรับจดหมายมาและมองดูบรรยากาศภายนอก ก่อนจะเปิดอ่านอย่างใจจดใจจ่อ หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นเมื่อเห็นชื่อของพระชายา แต่เมื่ออ่านไปถึงเนื้อความ สัมผัสที่ใจกลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

    “ขอหย่า”

    หลี่หยางเจี้ยนอ่านจดหมายซ้ำไปซ้ำมา แต่ก็ไม่พบคำอธิบายเพิ่มเติมใด ๆ คำเพียงแค่สองคำนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่แน่นอนและสับสนในใจ เขาไม่สามารถเชื่อได้ว่าพระชายาของเขาจะตัดสินใจเช่นนี้ โดยไม่บอกเหตุผล หรือแม้กระทั่งอธิบายความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังคำขอ

    “นางหมายความว่าอย่างไร?” หลี่หยางเจี้ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ปฏิกิริยาของเขาแสดงถึงความขุ่นเคืองใจ แม้ว่าตนจะไม่เคยรู้สึกผูกพันกับนาง แต่ความคิดที่นางจะขอหย่าโดยไม่บอกกล่าวเหตุผลใดๆ กลับทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ

    “ขอรับ” ไป๋จีกล่าวตอบ “ไม่ทราบว่าพระชายามีเหตุผลอะไรที่ทำเช่นนั้น หรืออาจจะมีการเข้าใจผิด?”

    องค์ชายหยุดคิดไปชั่วขณะ พลางยิ้มเย็นชาที่มุมปาก เขาไม่ได้ใส่ใจกับการแต่งงานครั้งนี้มากนัก เนื่องจากมันเกิดจากการถูกบังคับให้แต่งโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเขา แต่การที่นางกล้าส่งคำขอหย่าโดยไม่ไตร่ตรองถึงเขากลับทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ

    หลี่หยางเจี้ยนยืนอยู่ในกระโจม ทบทวนความรู้สึกที่ผสมปนเปกันในใจหลังจากอ่านข้อความสั้นๆ ในจดหมายของพระชายา ความงุนงงและไม่พอใจทำให้เขากลอกตาไปมา คิ้วหนาของเขาขมวดเข้าหากันแน่น "นางคิดจะทำอะไรกันแน่?" เขาพูดกับตัวเองเสียงต่ำ ขณะยกมือขึ้นทาบไปที่หน้าผาก รู้สึกถึงความกดดันที่ถาโถมเข้ามา

    "เสด็จพ่อไม่มีทางยอมให้หย่าแน่ และพ่อของนางก็ยิ่งไม่ยอม" เขาคิดถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างตระกูลของเขากับตระกูลของพระชายา แม้ว่าการแต่งงานนี้จะเกิดขึ้นจากการบังคับของทั้งสองฝ่าย แต่ในสายตาของผู้คน การหย่าร้างคงเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้

    ในความคิดของเขา การหย่าร้างจะทำให้เสียชื่อเสียงทั้งสองฝ่าย "นางไม่รู้หรือว่าเส้นทางนี้มันเต็มไปด้วยอันตราย?" เขานึกถึงเหตุการณ์ในอนาคต ถ้าหากพระชายาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะขอหย่า มันจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน

    “หากนางต้องการจะหย่า ก็ให้เป็นไปตามที่นางต้องการเถอะ” หลี่หยางเจี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่แยแส เขาก็อยากจะหย่าเหมือนกัน

    “แต่หากพระชายามีความเห็นอย่างนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อท่าน” ไป๋จีกล่าวอย่างระมัดระวัง “พระชายาอาจต้องการแสดงความไม่พอใจต่อสถานการณ์ที่ท่านไม่ได้อยู่ใกล้”

    “มันไม่มีความหมายสำหรับข้า” องค์ชายตอบพลางหยิบจดหมายขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้านางทำได้ก็ดีกับข้าเหมือนกัน” ในใจเขาก็ได้ตัดสินใจไปก่อนหน้านี้แล้วว่าถ้าทำผลงานได้ดีเขาก็จะทูลขอเสด็จพ่อหย่ากับนางอยู่แล้ว

    แม้จะตอบกลับไปเช่นนั้น แต่ลึกๆ แล้ว องค์ชายกลับรู้สึกถึงความขัดแย้งในใจ นี่คือการตัดสินใจของนาง แต่เขาก็รู้ว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นการที่เขาไม่เคยผูกพันกับนาง หรือการที่นางต้องเผชิญกับสิ่งที่จะตามมา

    “จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย” เขากล่าวต่อ “บอกนางไปว่สถ้านางคิดจะหย่า ให้นางจัดการเอาเอง อย่าให้เกิดเรื่องอื้อฉาวได้” เขาก็อยากจะรู้นักว่านางจะทำได้อย่างไร เสด็จพ่อไม่มีทางยอมแน่

    “ขอรับ” ไป๋จีกล่าวรับคำ พร้อมๆ กับวางจดหมายไว้ที่โต๊ะก่อนจะเดินออกไปจากกระโจมเพื่อดำเนินการตามคำสั่งขององค์ชาย

    หลี่หยางเจี้ยนยังคงนั่งอยู่ในกระโจม รู้สึกถึงความวุ่นวายภายในใจ ในเมื่อความรู้สึกของเขาไม่มีที่อยู่ และเขาต้องตัดสินใจว่าจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร เขามองไปที่จดหมายอีกครั้ง คิดถึงพระชายาและเหตุผลที่อาจทำให้นางตัดสินใจเช่นนั้น

    “ในเมื่อเจ้าต้องการจะเป็นอิสระ ข้าจะไม่ขัดขวาง” เขาพึมพำกับตัวเอง พร้อมๆ กับความคิดที่หมุนวนในหัวของเขา

    หลี่หยางเจี้ยนรู้สึกถึงความตึงเครียดที่ลดน้อยลงเมื่อเขาอ่านจดหมายจากพ่อบ้านที่ส่งมา พร้อมกับข้อมูลที่ชวนให้สงสัยเกี่ยวกับพระชายาของเขา "นำสินเดิมไปเก็บเอง?" เขาครุ่นคิดในใจ ขณะที่อ่านต่อ

    "ตามที่สังเกต พระชายาได้ให้หยางเซียงช่วยเตรียมการและจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการนำสินเดิมที่มีค่าของพระชายามาเก็บไว้ในเรือนตนเอง"

    คำบรรยายนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความแปลกประหลาดในใจ นางเป็นคนที่แสนจะไม่สนใจในเรื่องของการเงินมาก่อน แต่ตอนนี้นางกลับสนใจขึ้นมา

    "นางคิดจะทำอะไรอีกกันแน่?" หลี่หยางเจี้ยนคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและความเป็นไปได้ที่พระชายาอาจจะมีแผนการบางอย่างที่เขายังไม่เข้าใจ

    หลี่หยางเจี้ยนวางจดหมายลงอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินไปยังมุมหนึ่งของกระโจมซึ่งมีดาบยาวแขวนอยู่ เขาได้หยิบดาบออกมา ดาบที่มีน้ำหนักพอสมควร แต่ในมือของเขากลับรู้สึกคล่องแคล่วราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

    เสียงโลหะของดาบที่ถูกดึงออกมาและเสียงผิวหนังสัมผัสกันสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ แต่กลับเต็มไปด้วยความดุเดือดในใจของเขา องค์ชายหยางเจี้ยนเริ่มเคลื่อนไหว ก้าวเท้าตามจังหวะการหายใจที่หนักแน่น พร้อมกับมีดาบในมือที่ค่อยๆ เลื่อนขึ้นลงในท่าที่คุ้นเคย

    “หนึ่ง…สอง…สาม…” เขานับเบาๆ ในใจขณะที่เคลื่อนไหวไปกับการซ้อม สายตาของเขาจับจ้องไปที่จุดที่ไม่มีใครอยู่ ขยับไปทางซ้ายและขวาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางการเคลื่อนไหว เขาเริ่มปลดปล่อยอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ภายในออกมา

    จังหวะการซ้อมมีทั้งความเร็วและความเฉียบคม ดาบล่องลอยไปในอากาศเสมือนจะตัดผ่านความเงียบได้ด้วยตัวมันเอง องค์ชายคำนึงถึงการฝึกฝนที่ต้องใช้ทั้งร่างกายและจิตใจ ความโกรธ ความวิตกกังวล และความรู้สึกขัดแย้งที่เกิดจากพระชายากลายเป็นแรงผลักดันให้เขาเพิ่มความเข้มข้นในการซ้อม

    “หากนางต้องการหย่า ก็จงไปเถอะ” หลี่หยางเจี้ยนพูดกับตัวเองขณะก้าวข้ามมุมป้องกันในท่าที่สูงขึ้น “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำให้ข้าต้องเสียหน้า”

    เขาตวัดดาบไปข้างหน้าอย่างรุนแรง เสียงดาบฟาดอากาศนั้นดังกึกก้อง พลางจินตนาการถึงศัตรูที่ต้องเผชิญในสนามรบ ความตึงเครียดที่ก่อตัวภายในใจถูกคลายออกด้วยการขยับร่างกายของเขา เขาเคลื่อนไหวได้อย่างสง่างาม ทั้งยังมีความมุ่งมั่นและความแข็งแกร่งที่เกิดจากการฝึกฝนมาอย่างหนัก

    การต่อสู้ในจินตนาการของเขาทำให้รู้สึกถึงความดุเดือด เขาหายใจเข้าออกอย่างลึกซึ้ง ตอกย้ำทุกจังหวะที่ดาบถูกฟาดไปในอากาศ กระทั่งในขณะนั้นเอง ความรู้สึกหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นในใจว่าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เขาก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำให้ชื่อเสียงของเขาตกต่ำ

    ก่อนจะปล่อยดาบฟาดลงบนดินอย่างรุนแรง เสียงดังสะท้อนกลับไปยังผืนดินที่เขายืนอยู่

     

    -----------------------------------------------------------

    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้จนถึงตอนนี้นะคะ! ถ้าชอบตอนนี้และอยากเป็นกำลังใจให้นักเขียน สามารถส่งของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้ได้เลยนะคะ ขอบคุณทุกการสนับสนุนมาก ๆ เลยค่ะ ^-^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×