คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : กำชับและน้ำตา
ก่อนที่ทั้งสองจะเตรียมแยกกัน เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองซูเหม่ยหลินด้วยความสนใจ พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงที่ยังคงมีอาการสั่นระริกอยู่ “พี่สาว ข้าขอถามชื่อของท่านได้หรือไม่?”
ซูเหม่ยหลินยิ้มให้กับเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน “ข้าชื่อซูเหม่ยหลิน เรียกข้าว่าเหม่ยหลินก็ได้”
“ซูเหม่ยหลิน...” เด็กหนุ่มทำเสียงพึมพำเบาๆ ราวกับพยายามจดจำชื่อของนาง “ข้าชื่อจางเจิ้ง ขอบคุณพี่สาวมากที่คุยกับข้า”
“ไม่เป็นไรหรอก” นางตอบกลับ พร้อมส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม “หากเจ้าเจอปัญหาหรือรู้สึกกลัวอีก ก็อย่าลังเลที่จะปรึกษาคนในครอบครัว”
จางเจิ้งพยักหน้าด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะจำไว้ ขอบคุณพี่สาวมาก!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูเหม่ยหลินก็รู้สึกดีใจที่สามารถช่วยเด็กหนุ่มได้ แม้เพียงเล็กน้อย แต่การให้กำลังใจอาจทำให้เขามีกำลังใจต่อสู้กับความกลัวได้มากขึ้น
“ข้าไปก่อนนะ” นางบอกลา และเดินห่างออกไปเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้จางเจิ้งอีกครั้ง “เจ้าต้องมั่นใจในตัวเองนะ!”
จางเจิ้งยิ้มตอบกลับ แม้จะมีความกังวลอยู่ในใจ แต่ความอบอุ่นจากคำพูดของซูเหม่ยหลินก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น พวกเขาจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยที่ทั้งคู่ยังรู้สึกว่าได้สร้างสัมพันธ์ที่ดีขึ้น แม้จะมีอุปสรรคข้างหน้าก็ตาม
ในช่วงนี้ บรรยากาศของหมู่บ้านเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ชาวบ้านที่เคยทำงานในไร่ทำนาอย่างขยันขันแข็งกลับหยุดชะงักจากการฟังข่าวที่น่าเศร้าเกี่ยวกับการเรียกตัวไปเป็นทหาร ทุกคนต่างรู้สึกถึงความเครียดที่ลอยอยู่ในอากาศ บางบ้านยังมีเสียงร้องไห้จากผู้เป็นแม่ที่กลัวจะต้องเสียลูกชายไป
ในขณะที่ชาวบ้านทุกคนยังคงอยู่ในบ้าน หลายคนได้รวมตัวกันที่ศาลาไม้กลางหมู่บ้าน เพื่อพูดคุยและระบายความรู้สึก ในระหว่างที่อากาศร้อนอบอ้าว เสียงการสนทนาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“เราไม่มีทางเลือกเลยเหรอ?” เสียงของอาหวังดังขึ้น ทำให้ทุกคนหันมามอง “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กหนุ่ม ต้องไปเสี่ยงชีวิตที่สนามรบ”
“ข้าเองก็รู้สึกเหมือนกัน” เสียงของป้าจินที่นั่งอยู่ข้างๆ กล่าวขึ้น “หลานชายข้ากำลังเตรียมตัวอยู่ เขาเพิ่งอายุสิบแปดเอง! ทำไมต้องเป็นเขา?”
“แล้วพวกเราจะทำอะไรได้?” ชายแก่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ทุกคนต้องทำตามคำสั่ง...”
ในขณะนั้น เสียงสะอื้นจากบ้านหลังหนึ่งดังก้องออกมา ซึ่งดึงความสนใจของทุกคนไปที่หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในมุมห้องน้ำตาไหลนองหน้า
“แม่ของอี้หลง!” อาหวังเอ่ยออกมา พร้อมหันไปมอง “นางคงกังวลใจมากเกี่ยวกับลูกชาย”
“อี้หลงเป็นเด็กดี ข้าไม่อยากให้เขาไปเสี่ยงชีวิตเลย” หญิงสาวน้ำเสียงสั่นเครือ กล่าวด้วยความเศร้า “แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชาย แต่การออกไปในสนามรบมันอันตรายเกินไป”
เสียงของความเสียใจและความวิตกกังวลนี้ค่อยๆ กลายเป็นเสียงกระซิบที่ลอยไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ทุกคนมีความรู้สึกเดียวกัน ที่พวกเขารู้สึกว่าอนาคตอันไม่แน่นอนกำลังรออยู่ข้างหน้า
เมื่อจางเจิ้งกลับถึงบ้าน เขาก็พบว่าบรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แม่ของเขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง น้ำตาไหลรินบนแก้ม ขณะที่พ่อของเขาโน้มตัวไปข้างหน้า คอยปลอบใจภรรยาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเรียกตัวไปเป็นทหารของลูกชาย
“ลูก! ลูกกลับมาแล้วเหรอ?” เสียงของมารดาดังขึ้นเมื่อเห็นลูกชายเดินเข้ามา แม้จะมีความตึงเครียดในเสียง แต่นางก็พยายามยิ้มให้กำลังใจ
“ข้ากลับมาแล้วขอรับ” จางเจิ้งตอบกลับ และก้าวเข้าไปใกล้แม่ที่นั่งอยู่ “ท่านแม่ อย่าเศร้าเลยขอรับ”
“ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน...” แม่ของเขายังคงร้องไห้ น้ำเสียงสั่นเครือ “แม่ไม่อยากให้เจ้าไปเป็นทหารเลย เจ้ายังเด็กเกินไป”
“แม่... ข้าเข้าใจว่าท่านแม่เป็นห่วง แต่พวกเราต้องทำตามที่ทางการเรียกร้อง” จางเจิ้งพยายามพูดอย่างมั่นใจ แม้ว่าในใจเขาก็รู้สึกกลัวไม่ต่างกัน “ข้าจะทำให้ดีที่สุด แม่ต้องเชื่อใจข้านะ”
“แม่จะเชื่อใจเจ้า แต่ข้าก็กลัว...” น้ำเสียงของแม่เจิ้งยังเต็มไปด้วยความวิตก “ถ้าเจ้าถูกส่งไปสนามรบ ข้าจะเป็นยังไง?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” จางเจิ้งพูดอีกครั้ง พร้อมจับมือแม่ “ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าสัญญา”
“เจ้าเด็กโง่!” พ่อของเขาเงยหน้าขึ้นมา “ข้ายังกลัวเลย แล้วเจ้าจะไม่กลัวได้ยังไง?”
จางเจิ้นนั่งอยู่ที่มุมห้อง มือของเขาขยับเล่นกับปลายเสื้ออย่างไม่รู้ตัว ขณะที่สายตาของเขาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างที่แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามา แต่ใจของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “แต่ท่านพ่อ ข้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ ไม่ใช่หรือ? ทุกคนต่างต้องไป”
“การไปเป็นทหารไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” พ่อจงเจิ้นกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มันหมายถึงการเสี่ยงชีวิตและต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่รู้จัก หลายคนไม่เคยกลับมา”
“ข้าเข้าใจ” จงเจิ้นตอบ ปล่อยเสียงที่แสดงถึงความไม่มั่นใจ “แต่ถ้าข้าไม่ไป... ”
“ข้าเป็นพ่อของเจ้าและเป็นคนหนึ่งที่เคยไปสงครามมาแล้ว” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ “ข้าพบว่าไม่ใช่ทุกคนที่กลับมา และเมื่อพวกเขากลับมา... พวกเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป”
จงเจิ้นเงียบไป เขารู้สึกถึงความหนักอึ้งในใจ คิดถึงความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า
“แต่ข้าไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้” เขาพูดในที่สุด
“ลูกชายของข้า...” พ่อจางเจิ้นพูดช้าลง “การเป็นทหารนั้นเป็นเกียรติ แต่ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ข้าต้องการให้เจ้ารู้ว่ามีชีวิตที่มีค่ามากกว่าการสู้รบ”
“ข้ารู้ ท่านพ่อ” จงเจิ้นตอบเสียงเบา “แต่ความรู้สึกที่อยู่ข้างในมันทำให้ข้ารู้ว่าข้าต้องไป ถ้าข้าไม่ทำให้ดีที่สุด... ข้าก็จะไม่มีวันรู้ว่าข้าจะสามารถเป็นใครได้ในอนาคต”
พ่อของเขาเงียบไป เห็นได้ชัดว่าจงเจิ้นตัดสินใจที่จะทำตามเส้นทางของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม
---
ซูหรงนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องครัว โดยรอบเป็นกลิ่นหอมของข้าวต้มน้ำซุปที่เธอกำลังทำอยู่ ขณะที่มือของเธอขยันจัดเตรียมชุดและเสบียงให้กับลูกสาว ซูเหม่ยหลิน ซึ่งกำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางไปยังชายแดนเพื่อแทนที่น้องชายของเธอ
“หลินเอ๋อร์!” ซูหรงเรียกลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่มีความกังวล แต่อีกใจก็มีความรักล้นเหลือ “เจ้ามาลองใส่ชุดนี้ดู มันจะช่วยให้เจ้าสบายตัวในระหว่างการเดินทาง”
ซูหรงถือชุดผ้าหนา ๆ ที่นางเย็บขึ้นมาเองเข้ากับรูปร่างของลูกสาว “นี่คือชุดที่แม่ทำให้เจ้าสำหรับการเดินทางครั้งนี้” นางพูดอย่างอ่อนโยน นางยิ้มให้ซูเหม่ยหลิน แม้ว่าจะมีความเศร้าในน้ำเสียง
ซูเหม่ยหลินรับชุดนั้นและไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องจากนั้นไม่นานนางก็กลับออกมาสวมชุดที่พอดีตัว ชุดนี้เป็นสีเข้มที่ไม่เด่นสะดุดตามากนัก เสื้อมีแขนยาวที่ปกปิดแขนและมีชายเสื้อยาวที่ช่วยซ่อนสรีระของนางได้อย่างดี
“เจ้าดูดีมากเลย” ซูหรงกล่าวอย่างจริงใจ ขณะที่มองดูลูกสาวที่สวมชุดผู้ชายอย่างภาคภูมิใจ “พอดีตัวไหม? ถ้าหากมันไม่สบายตัว แม่จัได้ปรับแก้ให้”
“พอดีมากเจ้าค่ะ ท่านแม่” ซูเหม่ยหลินตอบอย่างมีความสุข “ไม่รู้สึกอึดอัดเลย”
“ดีแล้ว” ซูหรงพยักหน้าด้วยความโล่งใจ “ข้าจะต้องเย็บให้เจ้ามีหลายชุดเผื่อไว้สำหรับการเดินทาง ”
ซูเหม่ยหลินยิ้มกว้างและรับคำพูดของมารดาอย่างดี “เจ้าค่ะ”
ซูหรงพยักหน้า “แม่เชื่อว่าลูกสาวของแม่จะต้องทำได้ดีแน่นอน แต่เจ้าต้องไม่ลืมว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นมีความสำคัญ ขอให้เจ้ามีสติในทุกก้าวที่เดิน”
“ข้าจะจำไว้เสมอค่ะ” ซูเหม่ยหลินกล่าวพร้อมยิ้มและรู้สึกมั่นใจขึ้นมาในใจ
เมื่อเห็นว่าได้เวลาอาหาร ซูหรงก็ยิ้มให้ลูกสาวและเอ่ยขึ้นว่า “ไปนั่งเถอะลูก เดี๋ยวแม่จะได้เตรียมอาหารไว้ให้”
บรรยากาศภายในครัวเต็มไปด้วยเสียงเคาะจานและเสียงกินอาหาร แต่ในขณะเดียวกันกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่ซูหรงพยายามจะกลบเกลื่อน ซูหรงคอยตักอาหารให้ลูกๆ อย่างเอาใจใส่ พลางยิ้มให้กำลังใจและพยายามทำให้บรรยากาศสดใสขึ้น
“กินเยอะๆ นะ” ซูหรงเอ่ยขณะยิ้มให้กับลูกๆ ทั้งคู่
หลังจากนั้น พวกเขาทั้งสามก็นั่งลงร่วมกัน พูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตและการเดินทางที่รออยู่ข้างหน้า นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญและอบอุ่นที่สุดในชีวิตของพวกเขา แม้ว่าจะมีความตึงเครียดอยู่บ้าง แต่หัวใจของพวกเขาก็เชื่อมโยงกันผ่านความรักและความหวัง
นางได้ใช้เวลานี้กำชับมารดาและน้องชายอย่างจริงจัง “เมื่อข้าไม่อยู่แล้ว ท่านจงบอกคนอื่นว่าข้าป่วยหนัก อย่าให้ใครรู้ว่าข้าไปแทนเหม่ยอี้” นางมองมารดาและน้องชายด้วยแววตาหนักแน่น พลางย้ำคำพูดเพื่อให้พวกเขาจำได้ดี
ซูหรงผู้เป็นมารดารู้สึกหนักใจ แต่ก็ก้มหน้ารับปาก เพราะนางเองก็รู้ดีว่าไม่มีทางอื่น หากบอกไปว่าเหม่ยหลินออกไปแทนน้องชาย นั่นอาจนำความลำบากและปัญหามาสู่ครอบครัวในอนาคต การบอกว่าเหม่ยหลินล้มป่วยหนักจะช่วยให้ไม่มีใครมาคาดคั้นเรื่องนี้
"ส่วนเจ้าห้ามออกไปไหนเด็ดขาด ถ้าจะออกไปก็ปลอมตัวเป็นข้าออกไปเข้าใจไหม?"
ส่วนซูเหม่ยอี้ น้องชายของนาง มองพี่สาวด้วยสายตาลึกซึ้ง แม้จะรู้สึกเจ็บใจที่ต้องให้พี่สาวรับภาระแทน แต่เขาก็เข้าใจในความจำเป็น จึงพยักหน้าช้าๆ พร้อมคำมั่นว่าจะทำตามที่พี่สาวขอร้อง
“ข้าสัญญา... ข้าจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่าง” น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความเสียใจ ขณะที่นางมองน้องชายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“เจ้าโตขึ้นแล้ว ข้าฝากท่านแม่ด้วยนะ” นางเอื้อมมือไปลูบศีรษะน้องชายอย่างอ่อนโยน เพื่อให้เขามั่นใจว่านางเชื่อใจเขา
หลังจากกำชับทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็กลับไปเตรียมตัวที่ห้อง ซูเหม่ยหลินก็มองไปที่มารดาและกล่าวเบาๆ “ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ”
ซูหรงยิ้มและพยักหน้า “ได้ เจ้ารีบไปพักเถอะ”
-----------------------------------------------------------
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้จนถึงตอนนี้นะคะ! ถ้าชอบตอนนี้และอยากเป็นกำลังใจให้นักเขียน สามารถส่งของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้ได้เลยนะคะ ขอบคุณทุกการสนับสนุนมาก ๆ เลยค่ะ ^-^
ความคิดเห็น