ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พระชายาอ้วนขององค์ชายสาม

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 10: คำเชิญของฮ่องเต้

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 67


    ซูเฟยหรงได้แต่ยืนนิ่ง ขณะมองฝูกงกงที่เข้ามาถวายบังคมและแจ้งว่า "ฝ่าบาททรงทราบว่าพระชายาเสด็จเข้าวังพะย่ะค่ะ และทรงรับสั่งเชิญพระชายาไปจิบน้ำชาในสวนหลวงด้วย"

    นางรู้สึกใจเต้นแรง ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ในวันนี้ ใจหนึ่งนางอยากจะปฏิเสธเพราะหวั่นใจ แต่ในฐานะพระชายา การปฏิเสธเชิญจากฝ่าบาทย่อมไม่เหมาะสม หยางเซียงที่อยู่เคียงข้างเอ่ยเตือนเบา ๆ ว่า "พระชายาเพคะ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ นะเพคะ"

    ซูเฟยหรงพยักหน้าอย่างไร้ทางเลือก ก่อนจะตอบฝูกงกงด้วยความเคารพ "รบกวนฝูกงกงนำทางด้วย"

    ฝูกงกงยิ้มรับและนำทางนางไปยังสวนหลวงที่ประดับประดาด้วยต้นไม้และดอกไม้หลากสี นางสูดลมหายใจลึกขณะเดินตามฝูกงกงไปจนถึงศาลาริมน้ำที่ฮ่องเต้นั่งรออยู่ พระองค์ทรงมีพระพักตร์ยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นนางก้าวเข้ามา

    "อ้อ พระชายาเจ้าสาม ข้ามีโอกาสได้พบเจ้าสักที นั่งลงเถิด" ฝ่าบาทเอ่ยเรียบ ๆ แต่สายพระเนตรแฝงความสนใจบางอย่าง ซูเฟยหรงทำความเคารพอย่างนอบน้อมและนั่งลงตรงข้ามพลางคิดถึงเหตุผลที่ฮ่องเต้ทรงเชิญนางมาพบในวันนี้

    ซูเฟยหรงแอบถอนหายใจในใจ คิดว่าวันนี้ช่างดวงไม่ดีเสียจริง ๆ ที่ต้องมาพบกับฝ่าบาทโดยไม่ทันตั้งตัว ฝ่าบาททอดพระเนตรมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามเสียงนุ่มนวลว่า "เป็นอย่างไรบ้าง ปรับตัวกับชีวิตในจวนได้หรือยัง?"

    นางพยายามเก็บความรู้สึกกังวล พลางยิ้มบาง ๆ ตอบกลับอย่างสุภาพ "ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใยเพคะ หม่อมฉันยังพอปรับตัวได้"

    ฝ่าบาทพระนามว่า หลี่เจิ้ง ทรงเป็นฮ่องเต้ผู้มีพระปรีชาและทรงบารมีเหนือใคร รูปลักษณ์ของพระองค์สะท้อนถึงความสง่างามและอำนาจอันแข็งแกร่ง พระพักตร์ขาวกระจ่าง ใบหน้าเรียวแฝงความเฉียบคม นัยน์ตาคมดั่งพญาอินทรีที่เปี่ยมด้วยความสุขุมเยือกเย็น อีกทั้งมีแววความอ่อนโยนซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งมีผลทำให้เหล่าข้าราชบริพารและผู้คนที่เข้าเฝ้ารู้สึกเคารพและเกรงขามพร้อมกัน

    พระองค์ทรงพระเกศาสีดำเข้มมักเกล้าเก็บอย่างเรียบร้อยภายใต้พระมาลาทรงมังกรสีทองประดับด้วยหยก เข้ากันกับฉลองพระองค์สีเข้มปักลายมังกรที่สวยงามและวิจิตรงดงามราวกับมีชีวิต แม้จะทรงแผ่รัศมีแห่งอำนาจ แต่ยามนี้สายพระเนตรของฝ่าบาทสะท้อนความอ่อนโยนและความเอ็นดูต่อนาง

    "ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็ไม่มีอะไรมากหรอก แต่เมื่อวานนะสิ บิดาของเจ้าเจ้ากรมพระคลังซูเขาเป็นห่วงเจ้าเลยมาถามข้านะสิ เขากลัวว่าเจ้าจะคิดมาก"

    นางรู้สึกตัวว่าหัวใจเริ่มเต้นแรงเมื่อได้ยินชื่อบิดา นางพยายามทำให้สีหน้าเรียบเฉยแล้วตอบด้วยเสียงที่มั่นใจ “เพคะ หม่อมฉันไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนั้น หม่อมฉันเข้าใจว่าองค์ชายสามมีภารกิจสำคัญ”

    ฝ่าบาทมองนางด้วยความเข้าใจ ทรงรู้ว่าคำพูดนั้นไม่ได้หมายถึงความรู้สึกที่แท้จริงของนาง แต่ทรงเลือกที่จะไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดอีก “ดีแล้ว” ทรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ข้าต้องขอโทษเจ้าแทนเจ้าสามด้วย ที่เขาต้องไปชายแดนอย่างกะทันหัน เขาอาจจะไม่ได้กล่าวลาสักคำเลยใช่ไหม?"

    ซูเฟยหรงชะงักไปเล็กน้อย ใจหนึ่งนางรู้สึกขมขื่นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์นั้น แต่พยายามเก็บความรู้สึกไว้ พลางตอบอย่างนอบน้อมว่า "ไม่เป็นไรเพคะ หน้าที่สำคัญกว่า หม่อมฉันเข้าใจดี"

    ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์เบา ๆ ก่อนจะทอดพระเนตรนางด้วยสายตาคล้ายจะสำรวจ

    ฝ่าบาททรงยิ้มเล็กน้อยอย่างเป็นกันเอง พร้อมตรัสด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายมากขึ้น "หากทางชายแดนไม่เกิดเหตุฉุกเฉิน เจ้าสามคงไม่รีบไปอย่างนั้น แต่ไม่ต้องกังวลไป หากเขากลับมาแล้ว ข้าจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อยเอง"

    ซูเฟยหรงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกคลายกังวลลงเล็กน้อย แต่ก็ยังประหม่าเล็กน้อยที่ได้ยินฝ่าบาททรงเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างใส่ใจ นางโค้งตัวแสดงความเคารพพลางกล่าวเสียงนุ่มนวล "ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาห่วงใยเพคะ"

    ฝ่าบาททรงแย้มสรวลเบา ๆ ก่อนจะเสริมว่า "หากมีเรื่องใดที่เจ้าลำบากใจ ก็สามารถบอกข้าได้เสมอ ข้าอยากให้เจ้าสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจริง ๆ"

    ซูเฟยหรงรู้สึกซาบซึ้งกับความเมตตาของฝ่าบาทอย่างยิ่ง แม้ในใจยังมีความรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง แต่คำพูดอันอ่อนโยนของฝ่าบาทช่วยให้นางรู้สึกได้รับกำลังใจในการเดินหน้าในเส้นทางที่ไม่อาจเลี่ยงได้

    ฝ่าบาททรงหันไปทางฝูกงกงแล้วตรัสเบา ๆ ว่า “ฝูกงกง ไปนำสิ่งนั้นมาให้พระชายาซู”

    ฝูกงกงโค้งคำนับรับคำสั่ง ก่อนจะรีบเดินออกไป และไม่นานนักก็กลับเข้ามาพร้อมกล่องไม้สลักลวดลายวิจิตร ฝ่าบาททรงรับกล่องนั้นด้วยพระองค์เองแล้วส่งให้นางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

    “นี่เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า” ฝ่าบาทตรัสพลางเปิดกล่อง เผยให้เห็นปิ่นหยกสีเขียวอ่อนงดงามเจียระไนวิจิตร ที่กลางปิ่นมีอัญมณีสีสดใสแต่งประดับ นางมองปิ่นในกล่องด้วยความตกตะลึง

    “เพื่อให้เจ้ามีสิ่งดี ๆ ประดับ” ฝ่าบาทตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน ความอบอุ่นที่ทรงแสดงออกทำนางรู้สึกประทับใจลึก ๆ พลางคำนับขอบพระทัยอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันขอขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ ของสิ่งนี้ช่างงดงามนัก”

    ฝ่าบาททรงยิ้มอ่อนเมื่อเห็นท่าทีของนางที่ยังดูเกร็งอยู่ จึงตรัสขึ้นอย่างเป็นกันเองว่า “แล้วก็เรียกข้าว่าเสด็จพ่อเถิด ไม่ต้องเป็นทางการนัก ข้าอยากให้เจ้ารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในวังนี้”

    นางก้มหน้าลงเล็กน้อย รู้สึกกดดันเล็กน้อยกับคำขอของฝ่าบาท แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นแต่ก็ยังไม่อาจปล่อยวางความรู้สึกเกรงกลัวได้ทันที นางรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยเสียงเบา ๆ ว่า “เพคะ…เสด็จพ่อ”

    "ฮ่า ฮ่าๆ ดี!" ฝ่าบาททรงยิ้มกว้างเมื่อได้ยิน นัยน์ตาสะท้อนความอ่อนโยนอย่างชัดเจน ทรงเอ่ยปลอบนาง “อย่าได้เกรงไปเลย เจ้าเป็นคนของตระกูลหลี่แล้ว เราคือครอบครัวเดียวกัน”

    คำพูดนั้นช่วยให้นางคลายความเกร็งลงเล็กน้อย ความอบอุ่นที่สัมผัสได้จากพระองค์ท่านทำให้นางเริ่มรู้สึกว่าบางทีวังหลวงแห่งนี้อาจไม่ได้เย็นชานัก

    ซูเฟยหรงฟังแล้วรู้สึกถึงความหนักใจของฝ่าบาท นางตั้งใจจะถามแต่ก็ยังลังเลอยู่ เมื่อเห็นฝ่าบาทมองมาที่นางอย่างตั้งใจ 

    "มีเรื่องอะไรจะพูดล่ะ?" ฝ่าบาทก็ถามขึ้น

    นางจึงตัดสินใจพูดออกไป “เพคะ หม่อมฉันเห็นเสด็จพ่อดูมีเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ ไม่ทราบว่าเรื่องอะไรหรือเพคะ?”

    “ฮึ... เจ้าสังเกตได้ดีนี่” ฝ่าบาทยิ้มบาง ๆ ทว่าในแววตามีความหนักใจ “ข้ากำลังรับมือกับปัญหานี้อยู่ ทางตอนใต้เกิดภัยแล้ง ส่งผลให้ประชาชนประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าจึงต้องคิดหาวิธีช่วยเหลือพวกเขา”

    นางพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง “ข้าหวังว่าเสด็จพ่อจะสามารถหาวิธีแก้ไขได้โดยเร็ว” นางกล่าวเสียงเบา

    “ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วง” ฝ่าบาทพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล 

    ขณะที่ฮ่องเต้ตรัสกับซูเฟยหรง เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่ร่างสูงขององค์ชายใหญ่จะปรากฏขึ้น เขาเดินเข้ามาก้มศีรษะถวายความเคารพต่อฝ่าบาทและกล่าวอย่างนอบน้อมว่า "กระหม่อมได้ยินว่าเสด็จพ่อทรงประทับอยู่ที่นี่ จึงมาหาพะย่ะค่ะ"

    ฮ่องเต้ทรงพยักหน้ารับอย่างพอพระทัย พลางหันไปตรัสกับองค์ชายใหญ่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เจ้ามาพอดีเลย เห็นทีจะได้พบกับน้องสะใภ้ของเจ้าแล้ว"

    ซูเฟยหรงก้มศีรษะต่ำอย่างนอบน้อม ในใจรู้สึกเกร็งไม่น้อยที่ได้พบองค์ชายใหญ่ ท่าทางของเขาดูสุขุมและสง่างาม แตกต่างจากองค์ชายสามผู้เย็นชาและห่างเหินนัก องค์ชายใหญ่ยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยให้ซูเฟยหรง พลางกล่าวอย่างสุภาพ "ยินดีที่ได้พบน้องสะใภ้ หวังว่าที่จวนจะทำให้เจ้ารู้สึกสบายใจนะ"

    ซูเฟยหรงรีบตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ "ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่เพคะ หม่อมฉันสบายดีเพคะ"

    ฮ่องเต้ทรงมองดูทั้งสองคนด้วยความพึงพอพระทัย แล้วตรัสกับองค์ชายใหญ่ว่า "พี่น้องก็ต้องดูแลกัน น้องสามของเจ้าไม่อยู่ ตอนนี้ข้าฝากให้เจ้าช่วยเหลือน้องสะใภ้ด้วยอีกแรงนะ"

    องค์ชายใหญ่พยักหน้าอย่างนอบน้อม รับปากด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "กระหม่อมยินดีจะดูแลและให้ความช่วยเหลือน้องสะใภ้ทุกอย่างพะย่ะค่ะ"

    หลังจากนั้น ฮ่องเต้ทรงพยักพระพักตร์และทรงอนุญาตให้ซูเฟยหรงกลับได้ แต่ก่อนจะไป นางได้ยินคำตรัสท้าย ๆ ของฮ่องเต้ที่มอบหมายให้องค์ชายใหญ่ช่วยเหลือนาง ทำให้นางรู้สึกเบาใจขึ้นเล็กน้อย พลางคิดในใจว่าบางทีการที่องค์ชายสามไม่อยู่ อาจทำให้นางได้มีโอกาสวางแผนบางอย่างได้สะดวก

    "พระชายาเดี๋ยวก่อนพ่ะย่ะค่ะ!"


     -----------------------------------------------------------

    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้จนถึงตอนนี้นะคะ! ถ้าชอบตอนนี้และอยากเป็นกำลังใจให้นักเขียน สามารถส่งของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้ได้เลยนะคะ ขอบคุณทุกการสนับสนุนมาก ๆ เลยค่ะ ^-^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×