คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ขอเลือกใหม่อีกครั้ง
บทที่ 6
ขอเลือกใหม่อีกครั้ง
“โอ้ย...ถึงสักที” เหรินเหยียนชิงเอ่ยออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเขาแบกสหายตัวโตกลับมาถึงเรือนพักของพวกเขาได้สำเร็จ
จินเฟยหลงไม่รู้ว่าด้วยเพราะฤทธิ์สุราที่เขากินเข้าไปหรือด้วยเพราะอะไร ยามนี้เขาถึงได้อยากกอดคนตรงหน้าเหลือเกิน และก็อาจจะเพราะความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันทำให้เขาคิดไปถึงความรู้สึกในคืนนั้น...คืนที่เขาพยายามจะลืม แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถลืมมันได้สักที ถึงแม้ว่าในยามนั้นจินเฟยหลงจะทำมันลงไปเพราะไม่สามารถคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ก็ตาม
และหากในคืนนั้นเขาจะเรียกมันว่าความผิดพลาด เขาก็คงจะพลาด...ที่เลือกทำตามใจของตัวเอง แล้วก็เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้น มันได้ทำให้เขารู้ว่าที่จริงแล้วเขารู้สึกกับคนตรงหน้าเช่นไร
ตั้งแต่จำความได้คนที่จินเฟยหลงเคยกอดมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น นั่นก็คือท่านแม่ใหญ่และพี่ใหญ่ของเขา นอกเหนือจากนั้นเขาไม่เคยคิดอยากจะกอดหรือไม่เคยคิดอยากจะสัมผัส แม้แต่กับสตรีที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตเขาตอนนี้ก็ตาม
และในยามนี้จินเฟยหลงได้รู้แล้วว่ากลิ่นที่เขาชื่นชอบก็คือกลิ่นกระดาษและกลิ่นน้ำหมึกที่มักจะติดมากับตัวของเหรินเหยียนชิง หาใช่กลิ่นน้ำอบหรือกลิ่นถุงหอมจากสตรีนางไหน
และก็ด้วยเพราะความที่เขารู้ตัวแล้ว จินเฟยหลงจึงคิดว่า เขาควรต้องหยุด...หยุดความรู้สึกของตนเองเอาไว้ ก่อนที่มันจะหยุดไม่ได้ แต่ว่าในคืนนี้...
‘ข้าขอโทษนะเหยียนชิง ข้าขอทำตามใจของตัวเองอีกสักครั้ง แล้วหลังจากนี้ข้าจะขอหยุดทุกอย่างด้วยตัวของข้าเอง’ จินเฟยหลงเอ่ยขอโทษและบอกกับตัวเองในใจ แม้ยามนี้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำ มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่หลังจากนี้เขาก็คงไม่มีโอกาสได้ทำตามใจของตัวเองอีกแล้ว
เหรินเหยียนชิงเมื่อแบกจินเฟยหลงเดินเข้าไปในห้องนอนของเจ้าตัวได้ เขาก็พยายามประคองอีกฝ่ายให้ลงไปนอนบนเตียง แต่แล้วเขากลับถูกแขนของคนเมาที่เขานำมาคล้องคอเขาเอาไว้ ดึงรั้งจนตัวเขาตกลงไปนอนทับอยู่บนตัวของคนเมา
“เฮ้ย!” เหรินเหยียนชิงอุทานขึ้นพร้อมกับพยายามเอาตัวเองลุกออกมาจากตัวของจินเฟยหลง แต่เขาก็ต้องตกใจซ้ำ เมื่อคนเมาใช้แขนข้างหนึ่งมาโอบกอดรอบเอวเขาเอาไว้จนแน่น จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้แขนข้างที่คล้องคอเขาอยู่กดรั้งศีรษะเขาลงไป จนยามนี้ใบหน้าของเขาขยับเข้าไปใกล้...จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนตรงหน้า
“เฟยหลง! หยุด! ปล่อยข้า...นี้เจ้ากำลังจะ...อือ”
“ข้าอยากกอดเจ้า ข้าอยากจุมพิตเจ้า ข้าอยากอยู่กับเจ้า...แค่กับเจ้าเท่านั้น!” พูดจบ จินเฟยหลงก็กดรั้งใบหน้าของอีกฝ่ายลงมาจนริมฝีปากของคนตรงหน้าแนบชิดกับริมฝีปากของเขา จากนั้นเขาจึงเริ่มขยับริมฝีปากของตนเองเข้าไปบดขยี้ริมฝีปากบางของเหรินเหยียนชิงทันที
แล้วหลังจากนั้นจินเฟยหลงก็พลิกขึ้นไปคร่อมอยู่บนตัวของอีกฝ่ายโดยไม่ยอมให้ริมฝีปากของพวกเขาได้หลุดออกจากกัน และก็ด้วยเพราะเขาไม่เคยทำแบบนี้กับผู้ใดมาก่อน นอกจากในครั้งนั้นกับคนตรงหน้า เขาจึงไม่รู้ว่าการจุมพิตกันแบบแท้จริงนั้นมันต้องทำกันอย่างไร ยามนี้เขาจึงได้แต่ปล่อยให้ความรู้สึกนำพาร่างกายของเขาไปเท่านั้น
“ปล่อยข้า...เฟยหลง! ข้าเหยียนชิงสหายของเจ้า! เจ้าได้ยินหรือไม่! ปล่อยข้า...ข้าไม่ใช่ อือ...” เหรินเหยียนชิงที่ดิ้นจนริมฝีปากหลุดออกมาได้ เขาจึงพยายามเรียกสติและดันคนตรงหน้าออกจากตัวเขา แต่เขาก็หลุดออกมาได้เพียงครู่เดียว จากนั้นอีกฝ่ายจะก้มลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาอีกครั้ง แล้วในครั้งนี้เขาก็รู้สึกว่าคนตัวโตตรงหน้าจะจุมพิตเขา และกอดรัดตัวเขาแนบชิดขึ้นกว่าเดิมด้วย
จินเฟยหลงปล่อยให้คนในอ้อมแขนได้พักหายใจ ก่อนที่เขาจะก้มลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากบางอีกครั้ง จนผ่านไปได้สักพักเขาก็รู้สึกว่าเหรินเหยียนชิงหยุดดิ้นรน และร่างกายของอีกฝ่ายก็เริ่มสั่นเทาขึ้นมา เขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างและคลายอ้อมแขนของตัวเองออก จากนั้นเขาจึงก้มลงมองคนตรงหน้า
แล้วเมื่อจินเฟยหลงมองเข้าไปในดวงตากลมโตของเหรินเหยียนชิง เขาก็ได้เห็นว่ายามนี้แววตาของอีกฝ่ายเริ่มสั่นไหว ดูท่าคนตรงหน้าคงเริ่มสับสนไปกับการกระทำของเขาแล้ว
จินเฟยหลงที่รู้ว่าเขาไม่ควรทำให้เหรินเหยียนชิงรู้สึกสับสนกับการกระทำของเขาไปมากกว่านี้ เพราะหลังจากวันนี้เขาจะต้องกลับไปทำตามหน้าที่ของตัวเองแล้ว และเรื่องระหว่างเขากับอีกฝ่ายมันก็ไม่มีวันที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในยามนี้ เขาต้องทำให้คนตรงหน้าคิดว่าเขาทำมันลงไปเพราะความเมา มันจึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด...สำหรับพวกเขาทั้งสองคน
เมื่อคิดได้ดังนั้น จินเฟยหลงจึงก้มลงไปกอดคนตรงหน้าแบบแนบแน่นอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะตัดใจและปล่อยมือจากคนที่เขารักทันที
‘ข้าขอโทษนะเหยียนชิง...เจ้าอย่าได้สับสนและอย่าได้จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลย ปล่อยให้มันเป็นความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในชีวิตของเจ้าก็พอ’
เมื่อเห็นคนเมาหยุดการกระทำทุกอย่าง เหรินเหยียนชิงจึงสามารถผลักอีกฝ่ายออกไปจากตัวเขาได้
“หลับ! เจ้าบ้าเฟยหลง เป็นแบบนี้อีกแล้วนะ” เหรินเหยียนชิงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วมองไปที่คนเมา ก่อนที่เขาจะยกมือของตัวเองขึ้นมาเช็ดที่ริมฝีปาก จากนั้นเขาจึงลุกออกมาจากเตียง แล้วคิดที่จะเดินออกไปจากห้องพักของจินเฟยหลง แต่เมื่อเขามองไปทางประตูห้อง เขาก็เห็นจิงเสี่ยวจางกำลังยืนเอามือปิดปากของตัวเองอยู่...
“อาจาง! คือ...เมื่อครู่...”
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
จิงเสี่ยวจางที่คิดจะมาขอนอนค้างที่เรือนพักของสหายในคืนนี้ เพราะแฝดผู้พี่ของเขายังต้องการนั่งร่ำสุราอยู่กับสหายกลุ่มอื่น ๆ ต่อ แล้วเมื่อเขาเดินมาจนถึงหน้าเรือนพักของสหาย เขาก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายของเหรินเหยียนชิงดังออกมาจากห้องพักของจินเฟยหลง เขาจึงรีบพุ่งตัวไปที่ห้องนั้นทันที ในตอนแรกเขาคิดจะเข้าไปช่วยเหรินเหยียนชิง แต่เมื่อเขาได้เห็นสายตา ท่าทาง และได้ยินคำพูดของคนทั้งคู่ มันจึงทำให้เขารู้สึกตกใจและรู้สึกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้รับรู้
“เฮ้ย! เดี๋ยว!” เหรินเหยียนชิงที่คิดจะเรียกจิงเสี่ยวจางเอาไว้ แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ายได้ใช้วิชาตัวเบาพุ่งออกไปจากเรือนพักของพวกเขาแล้ว
เหรินเหยียนชิงยืนนิ่งอยู่กับที่สักพัก จากนั้นเขาจึงเดินกลับออกไปยังห้องพักของตัวเอง
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยหลงต้องรีบออกไปทำข้อสอบอีกหนึ่งวิชาที่เหลืออยู่ แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากเรือน เขาได้แวะเข้าไปดูเหรินเหยียนชิงในห้องพักของเจ้าตัว แล้วเขาก็ได้เห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง สงสัยว่าเมื่อคืนคนตรงหน้าคงนอนไม่หลับเหมือนกันกับเขา เพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าจิงเสี่ยวจางจะเข้ามาเห็นในสิ่งที่เขาทำเมื่อคืน
หลังจากที่จินเฟยหลงทำข้อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ เขาก็รีบตรงไปยังบริเวณที่กลุ่มของพวกเขาได้นัดหมายเอาไว้ว่าจะมากล่าวลากัน ก่อนที่พวกเขาทั้งสี่คนจะต้องแยกย้ายกันไปในวันนี้
แล้วเมื่อจินเฟยหลงเดินมาถึงบริเวณที่นัดหมาย เขาก็เห็นเหรินเหยียนชิงกำลังถูกคู่แฝดสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ และก็ดูเหมือนว่าจิงเสี่ยวจางน่าจะเล่าเรื่องที่ได้เห็นให้กับแฝดผู้พี่ของเจ้าตัวฟังหมดแล้ว
“เหยียนชิง เรื่องเมื่อคืน...” จิงเสี่ยวจางที่คิดจะถามเรื่องเมื่อคืนกับสหายตรงหน้า แต่เขาก็ยังไม่ทันได้เอ่ยคำถามจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ชิงตอบคำถามของเขากลับมาเสียก่อน
“ที่เจ้าเห็นมันไม่ใช่แบบที่พวกเจ้าคิด คือ...เมื่อคืนพวกเจ้าก็เห็นว่าเฟยหลงค่อนข้างที่จะเมาหนัก”
“อืม... แต่เจ้าไม่เมา” จิงเสี่ยวเจี้ยนกล่าวต่อ
“ใช่...แต่ตอนนั้นทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากและข้าเองก็ตกใจ แต่ข้าก็พยายามดันเฟยหลงออกไปจากตัวข้าแล้วนะ”
“เหยียนชิง ข้าขอถามเจ้าตามตรงเจ้าคิดอย่างไรกับเฟยหลง?” จิงเสี่ยวจางถามขึ้น เพราะเมื่อคืนเขาได้เห็นสายตาของคนทั้งสองบนเตียงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสายตาที่แสดงออกถึงความหวั่นไหวของสหายตรงหน้า ซึ่งแม้แต่ในยามนี้อีกฝ่ายก็ยังคงแสดงมันออกมาให้เขาเห็นอยู่เช่นกัน
“ข้า...ข้าไม่รู้” เหรินเหยียนชิงตอบกลับคำถามของสหายตามตรง เพราะในยามนี้เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาควรจะต้องคิดอะไร หรือเขาควรจะต้องรู้สึกอย่างไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“หรือว่าเจ้าชอบเฟยหลง?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยถามในสิ่งที่เขาสงสัยต่อทันที
“อาจาง หยุด!” จิงเสี่ยวเจี้ยนรีบขยับเขาไปตบบ่าแล้วเอ่ยขัดแฝดผู้น้อง เมื่อเขาเห็นจินเฟยหลงกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา
จิงเสี่ยวจางหยุดพูด แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองตามสายตาของแฝดผู้พี่
เหรินเหยียนชิงที่กำลังตกใจกับคำถามของจิงเสี่ยวจาง ก็ต้องมาตกใจซ้ำเมื่อเห็นจินเฟยหลงมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วในยามนี้
“เฟยหลง! เจ้า...เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด?” เหรินเหยียนชิงทักคนตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยถามต่อ เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันมากน้อยแค่ไหน
จิงเสี่ยวเจี้ยนเดินนำจิงเสี่ยวจางออกมาจากตรงนั้นทันที เพราะยามนี้เขาคิดว่าพวกเขาควรจะปล่อยให้สหายทั้งสองคนได้พูดคุยและได้จัดการเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ออกไปไหนไกล แต่คอยมองสหายของพวกเขาอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
“เรื่องเมื่อคืนข้าขอโทษ แต่ข้า...” จินเฟยหลงตั้งใจพูดประโยคที่เขาได้คิดเอาไว้ ตั้งแต่ตอนที่เขาแอบฟังคนทั้งสามพูดคุยกัน แต่พอเขาจะต้องพูด...เขากลับพูดมันต่อไม่ออก เมื่อเขาได้เห็นสายตาที่แสดงออกถึงความสับสนและความไม่มั่นคงของคนตรงหน้า
‘เหยียนชิงข้าขอโทษ...แต่ความรักสำหรับข้ามันคือเรื่องไม่จำเป็น’ จินเฟยหลงเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะกำมือทั้งสองข้างของตนเองจนแน่นแล้วหันหลัง จากนั้นเขาจึงพูดในสิ่งที่คิดเอาไว้ต่อ...
“ข้าไม่ได้คิดอะไรกับเจ้า ข้าเห็นเจ้าเป็นเพียงสหาย”
“เพราะข้าไม่ใช่แบบที่เจ้าคิด!” จินเฟยหลงพูดจบจึงหันกลับไปมองสหายสนิทเพียงคนเดียวของเขา
“อืม” เหรินเหยียนชิงมองคนตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
จินเฟยหลงทำเพียงมองอีกฝ่ายเดินจากไป...จนลับสายตา
“ท่านแม่ทัพขอรับ คุณชายรองจิงให้ตามท่านกลับไปรับเสบียงอาหารขอรับ” หยงหมินเดินเข้าไปเรียกผู้เป็นนายเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งมองสายน้ำในลำธาร
จินเฟยหลงพยักหน้ารับคำของหยงหมิน หลังจากที่เขาหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตนเอง จากนั้นพวกเขาจึงเดินกลับไปรวมกลุ่มกับผู้อื่น
จินเฟยหลงเมื่อเดินมาถึงบริเวณที่พวกเขาจะใช้พักค้างแรมกันในคืนนี้ เขาก็เห็นเหรินเหยียนชิงกำลังนั่งรับเสบียงอาหารข้างจิงเสี่ยวจางกับเพ่ยหยี และดูเหมือนว่ายามนี้อีกฝ่ายน่าจะมีความสุขดี
‘ตลอดสี่ปีที่เจ้าไม่มีข้า เจ้าคงมีความสุขดีสินะเหยียนชิง แต่เป็นแบบนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? ยามนี้เหยียนชิงก็ได้มีชีวิตในแบบของตัวเอง และข้า...ก็ได้เป็นแค่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในชีวิตของเหยียนชิงอย่างที่ตัวข้าเคยต้องการแล้ว แต่ทำไม...ข้าถึงได้รู้สึกเจ็บปวดใจมากขนาดนี้ล่ะ’ จินเฟยหลงคิดในใจพร้อมกับมองไปที่เหรินเหยียนชิง
ตกดึกจินเฟยหลงได้ขอเป็นผู้เฝ้าระวังภัยพร้อมกับหยงหมิน ยามนี้เขานั่งอยู่หน้ากองไฟแล้วมองไปทางเหรินเหยียนชิง ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายกำลังนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
วันสุดท้ายในสำนักศึกษาของพวกเขา ตอนนั้นจินเฟยหลงเคยคิดว่าสิ่งที่เขาเลือกและสิ่งที่เขาทำ มันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับตัวเขากับเหรินเหยียนชิง และหากมีสักวันที่พวกเขาทั้งสองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ยามนั้นเขาเคยคิดว่าตัวเขาคงจะไม่รู้สึกอะไรกับอีกฝ่ายแล้ว และเวลาก็คงจะช่วยทำให้เขากับเหรินเหยียนชิงสามารถกลับมาเป็นสหายสนิทกันได้เหมือนเดิม
แต่ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา มันได้พิสูจน์แล้วว่า...ไม่เคยมีเลยสักวันที่เขาจะไม่รู้สึกเสียใจ และไม่เคยมีเลยสักวันที่เขาจะไม่คิดถึงเหรินเหยียนชิง แล้วในยามนี้เมื่อเขาได้กลับมาเจอกับเหรินเหยียนชิงจริง ๆ อีกครั้ง ความรู้สึกรักที่เขาเคยคิดว่ามันน่าจะเลือนหาย แต่กลับกลายเป็นมีมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนที่จินเฟยหลงเคยคิดว่า...ความรักมันคือเรื่องไม่จำเป็นสำหรับเขา และเขาก็พยายามห้ามความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเหรินเหยียนชิง จนเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกับครอบครัวของเขาอีกครั้ง
ยามนั้นเขาได้เห็นผู้เป็นบิดานั่งเสียใจกับการสูญเสียและนั่งเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเคยเลือก เพราะบิดาของเขาเลือกทำตามหน้าที่มากกว่าความรักและความต้องการของตนเอง แล้วเมื่อเขาได้เจอกับพี่ชายของเขาอีกครั้ง เขาก็ได้เห็นว่าผู้เป็นพี่ชายเลือกที่จะทำตามความรู้สึกไปพร้อมกับหน้าที่และความฝันของตนเอง ซึ่งในยามนี้พี่ชายของเขาก็ดูมีความสุขดีและมีคนที่ตนเองรักคอยอยู่เคียงข้าง
และในวันที่ครอบครัวของเขาได้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง ผู้เป็นบิดาก็ได้บอกกับบุตรทุกคนแล้วว่า...ความสุขของบิดาในยามนี้ ก็คือการได้เห็นบุตรทุกคนมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเลือก
แล้วตัวเขาล่ะ? หากตอนนี้เขาจะขอละทิ้งหน้าที่ของตัวเองที่ต้องแบกรับเอาไว้บางส่วนบ้าง เขาพอจะทำได้หรือไม่? แล้วถ้าหากทำได้...
‘เหยียนชิงหากข้าจะขอเลือกใหม่อีกครั้ง เจ้าจะให้โอกาสข้าได้กลับเข้าไปในชีวิตของเจ้าอีกครั้งหรือไม่?’ จินเฟยหลงเอ่ยถามอีกฝ่ายในใจ
ความคิดเห็น