คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ขอเป็นเพียงอดีตสหาย
บทที่ 5
ขอเป็นเพียงอดีตสหาย
“ท่านแม่ทัพกำลังรอผู้ใดอยู่หรือขอรับ?” หยงหมินเอ่ยถามผู้เป็นนายเพราะอีกฝ่ายพาเขาควบม้าออกมาจากจวน เพื่อเดินทางไปตรวจงานที่ค่ายทหารในเมืองหลิ่งจู แต่พอมาถึงประตูเมืองหลวงผู้เป็นนายกลับไม่ยอมเดินทางต่อ ทำเพียงเดินไปดูรายชื่อของผู้ผ่านทาง จากนั้นก็กลับมายืนอยู่ที่เดิม
“อ้าว! เฟยหลง อาหมินพวกเจ้ากำลังจะเดินทางไปที่ใดกันหรือ?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยทักพร้อมกับขี่ม้าเข้าไปหาจินเฟยหลงกับหยงหมิน หลังจากที่เขาเห็นคนทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตูเมือง
“พวกข้ากำลังจะไปตรวจงานที่ค่ายทหารในเมืองหลิ่งจูน่ะ” จินเฟยหลงตอบกลับสหายพร้อมกับมองหาคนที่เขากำลังรออยู่
“แล้วคุณชายรองจิงกำลังจะเดินทางไปที่ใดหรือขอรับ?”
“ข้ากำลังจะเดินทางไปตรวจโรงเตี๊ยมที่ไปเปิดในเมืองซือโฉวน่ะ” เมื่อตอบคำถามของหยงหมินจบ จิงเสี่ยวจางก็หันไปมองทางเหรินเหยียนชิงที่กำลังขี่ม้าเข้ามาหาเขา พร้อมกับรถม้าอีกหนึ่งคันที่มีเพ่ยฉีเป็นผู้ขับ
จินเฟยหลงเมื่อเห็นเหรินเหยียนชิงที่กำลังขี่ม้าตรงมาทางพวกเขา มันก็ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนอีกฝ่ายแทบจะไม่ยอมขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งที่เห็นในยามนี้...สำหรับเขาแล้วมันจึงดูแปลกตาไปอีกแบบ
“แปลกใจใช่หรือไม่? ตอนแรกข้าก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างไปจากเจ้า ข้าก็เลยแอบไปถามอาฉีกับอาหยีมาแล้ว เป็นเพราะเหยียนชิงต้องออกเดินทางอยู่บ่อยครั้ง ท่านตาของเหยียนชิงก็เลยบังคับให้ฝึกขี่ม้าจนคล่อง แล้วนี่เจ้าตัวยังถูกฝึกการใช้มีดสั้นกับธนูด้วยนะ เห็นอาหยีบอกว่าเหยียนชิงยิงธนูกับปามีดสั้นแม่นมาก!” จิงเสี่ยวจางแอบกระซิบบอกจินเฟยหลง
“คุณชายรองจิงขอรับ ท่านแม่ทัพกับข้าน้อยก็ต้องผ่านไปทางเมืองซือโฉวเหมือนกันขอรับ” หยงหมินรีบหันไปกล่าวกับจิงเสี่ยวจาง ยามนี้เขารู้แล้วว่าผู้เป็นนายกำลังรอผู้ใด และเขาก็รู้ด้วยว่าตอนนี้ผู้เป็นนายต้องการอะไร
“อย่างนั้นพวกเราก็ร่วมเดินทางไปด้วยกันเลยดีหรือไม่?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยชวน แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าตัวเขากำลังร่วมเดินทางไปกับพวกเหรินเหยียนชิง เขาจึงหันไปถามอีกฝ่าย
“เจ้าเห็นว่าอย่างไรเหยียนชิง?”
“ข้าอย่างไรก็ได้”
จินเฟยหลงพยักหน้าตอบรับคำชวนของจิงเสี่ยวจางทันที เมื่อได้ยินคำตอบของเหรินเหยียนชิง ในใจของเขายามนี้รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ที่อีกฝ่ายยินดีให้พวกเขาร่วมเดินทางไปกับเจ้าตัวด้วย
จากนั้นพวกจินเฟยหลงก็พากันเดินทางออกจากเมืองหลวง โดยจินเฟยหลงได้ควบม้าขึ้นไปอยู่ข้างเหรินเหยียนชิง และระหว่างการเดินทางพวกเขาก็ได้พูดคุยกันเป็นระยะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นจิงเสี่ยวจางที่คอยพูดคุยและคอยซักถามสหายทั้งสองของเขา
แล้วในระหว่างนั้นจิงเสี่ยวจางที่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงหันไปถามจินเฟยหลง
“เฟยหลง เรื่องที่เจ้าจะไปตรวจงานในค่ายทหารที่เมืองหลิ่งจู ความจริงแล้วเจ้าจะไปตรวจความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในเมืองนั้นใช่หรือไม่?”
จินเฟยหลงพยักหน้าตอบคำถามของจิงเสี่ยวจาง ซึ่งตอนนี้เขาก็คิดจะตอบคำถามของอีกฝ่ายเท่าที่พอจะตอบได้เท่านั้น
“พอดีคนของข้าที่ทำงานอยู่ในเมืองนั้น สังเกตเห็นคนแปลกหน้าจำนวนไม่น้อยทยอยกันเข้ามาพักในโรงเตี๊ยม ลักษณะของคนพวกนั้นดูเหมือนจะเป็นคนที่มีวรยุทธ แต่กลับทำตัวให้คล้ายกับว่าเป็นเพียงกลุ่มพ่อค้าต่างเมือง และการเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมของคนพวกนั้นก็ใช้เวลาพักยาวนานเกินไป จนถึงตอนนี้คนพวกนั้นก็ยังไม่มีท่าทีที่กลับออกไปจากเมืองนั้นเลย ซึ่งมันผิดนิสัยของการเป็นพ่อค้าที่จะเข้ามาหาคู่ค้าหรือเข้ามาหาทำเลเพื่อใช้ในการค้าขาย” จิงเสี่ยวจางพูดสิ่งที่เขารับรู้มาให้สหายฟังจนจบ
จินเฟยหลงเมื่อได้ฟังที่จิงเสี่ยวจางเล่า เขาก็เริ่มรู้สึกเอะใจด้วยเพราะข้อมูลที่เขาได้มาจากฮ่องเต้มีเพียงว่า...ได้เกิดมีการเคลื่อนไหวแปลก ๆ ภายในเมืองหลิ่งจูแต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ฮ่องเต้จึงอยากให้เขาใช้อำนาจทางการทหารเข้าไปตรวจสอบดู แต่เนื่องจากผู้ที่เป็นเจ้าเมืองของเมืองนี้มีศักดิ์เป็นอาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน พวกเขาจึงไม่อาจเข้าไปขอตรวจค้นแบบโจ่งแจ้งหรือทำการตรวจสอบอะไรในเมืองนี้ได้มากนัก
แล้วการที่จิงเสี่ยวจางเอ่ยปากเล่าให้เขาฟังแบบนี้แสดงว่าการเคลื่อนไหวแปลก ๆ ภายในเมืองหลิ่งจูคงหาใช่เพียงเล็กน้อยเสียแล้ว ด้วยเพราะจิงเสี่ยวจางค่อนข้างจะเป็นผู้กว้างขวางแหล่งข่าวของอีกฝ่ายจึงมีมากอยู่พอตัว
“ท่านแม่ทัพขอรับ มีคนเดินทางเข้าออกผิดปกติแถวบริเวณชายป่าเขตเมืองหลิ่งจูด้วยนะขอรับ คนของข้าที่ต้องเดินทางผ่านไปคุ้มกันการรับและส่งของบริเวณนั้นมักจะเจอกลุ่มคนแปลก ๆ เข้าออกแถวนั้นอยู่บ่อยครั้งเลยขอรับ” เพ่ยฉีกล่าวขึ้นหลังจากที่เขาฟังพวกจินเฟยหลงพูดคุยกันมาได้สักพัก แล้วก็คิดว่าข้อมูลที่เขามีอยู่อาจจะพอเป็นประโยชน์ให้กับอีกฝ่ายได้บ้าง
“อย่างไร...ในเมื่อเจ้าจะต้องเข้าไปทำงานในเมืองนั้น เจ้าก็ระวังตัวเพิ่มอีกสักหน่อยเถอะนะเฟยหลง” จิงเสี่ยวจางเอ่ยเตือนสหาย เพราะถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นตง แต่เมื่อต้องเข้าไปอยู่ในเมืองนั้น อำนาจที่อีกฝ่ายมีในมือก็อาจจะไม่เพียงพอ หากจะต้องไปต่อกรกับผู้มีอำนาจที่อยู่ในเมืองนั้น
“ขอบใจพวกเจ้ามาก” จินเฟยหลงเอ่ยขอบคุณทั้งจิงเสี่ยวจางและเพ่ยฉี เพราะด้วยข้อมูลที่คนทั้งคู่ให้มาถือว่ามีประโยชน์กับพวกเขาอยู่ไม่น้อย
“พวกเราพักค้างแรมกันที่นี่ดีหรือไม่?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยชวนสหายเพราะตอนนี้ได้เข้าต้นยามโหย่วแล้ว (ยามโหย่ว เวลา 17.00 – 18.59 น.) ดังนั้นพวกเขาควรต้องหยุดการเดินทาง เพื่อพักเอาแรงกันเสียก่อน และด้วยเพราะจิงเสี่ยวจางได้ยินเหมือนเสียงน้ำไหล ซึ่งแสดงว่าไม่ไกลจากบริเวณนี้น่าจะมีลำธารหรือแม่น้ำ ดังนั้นพวกเขาควรหาที่พักแถวนี้
เหรินเหยียนชิงเมื่อได้ยินที่จิงเสี่ยวจางถาม เขาจึงหันไปพยักหน้าตอบรับคำชวนของสหาย
เมื่อได้รับคำตอบจิงเสี่ยวจางก็ขี่ม้าไปยังบริเวณที่พวกเขาน่าจะพอใช้พักค้างแรมในคืนนี้ได้ จากนั้นเขาจึงลงมาจากหลังม้าเพื่อเข้าไปช่วยทุกคนจัดเตรียมที่พัก ก่อนจะขอแยกตัวเพื่อออกไปยังบริเวณที่เขาได้ยินเสียงน้ำไหลพร้อมกับเพ่ยฉีและจินเฟยหลงที่ตามออกไปด้วย เพื่อไปตรวจดูความปลอดภัยบริเวณโดยรอบให้กับทุกคน
“เหยียนชิงหลังต้นไม้ใหญ่ตรงนั้นมีลำธารด้วยนะ เจ้าไปล้างหน้าสักหน่อยดีหรือไม่ เดี๋ยวข้าจะช่วยเตรียมของต่อให้เอง” จิงเสี่ยวจางบอกกับสหาย หลังจากที่เขากลับมาจากการเดินสำรวจ
“ได้ขอบใจเจ้ามากนะอาจาง”
จากนั้นเหรินเหยียนชิงจึงเดินออกไปยังลำธารที่จิงเสี่ยวจางบอก
“พี่เหยียนชิงข้า...” เพ่ยหยีรีบพูดขึ้น เมื่อเห็นเหรินเหยียนชิงกำลังจะเดินออกไป แต่เด็กสาวก็ถูกหยงหมินเอ่ยขัดคำพูดของนางขึ้นมาเสียก่อน
“คุณหนูเพ่ยหยีขอรับ เสบียงที่เตรียมมาอยู่ตรงไหนหรือขอรับ?” เมื่อหยงหมินเห็นสัญญาณที่ผู้เป็นนายส่งมา เขาจึงรีบเอ่ยรั้งเด็กสาวเอาไว้ทันที
เพ่ยหยีที่ถูกเรียกตัวเอาไว้นางจึงต้องหันกลับมาช่วยหยงหมินจัดเตรียมเสบียงและที่พักต่อ
จินเฟยหลงแอบเดินตามเหรินเหยียนชิงมาที่ลำธาร เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว เขาจึงก้าวออกมาจากที่ซ่อน ก่อนจะเอ่ยทัก
“เหยียนชิง”
“ท่านแม่ทัพใหญ่” เหรินเหยียนชิงเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเมื่อหันกลับไปแล้ว เห็นว่าใคร...เป็นผู้เรียกชื่อเขา
“เหตุใดเจ้าถึงเรียกข้าแบบนี้ เจ้าเรียกข้าแบบเดิมได้นะ” จินเฟยหลงรู้สึกปวดใจและแปลกใจกับคำเรียกขานที่ห่างเหินจากคนตรงหน้า
“ไม่ดีกว่าขอรับ ข้าขอเรียกแบบนี้น่าจะสะดวกใจกว่า” เหรินเหยียนชิงเอ่ยปฏิเสธทันที เพราะเขาไม่อยากกลับไปเป็นสหายกับจินเฟยหลงอีก
“แต่ข้าไม่เคยถือยศกับเจ้า เราเป็นสหายกันเรียกชื่อข้าแบบเดิมเถิด ข้าไม่ถือ” จินเฟยหลงก็ไม่คิดจะยอมแพ้ เพราะเขาอยากกลับไปพูดคุยกับคนตรงหน้าได้เหมือนเดิม
“ข้าขอเป็นเพียงแค่อดีตสหายของท่านน่าจะดีกว่านะขอรับ เพราะข้าคงไม่บังอาจกลับไปเป็นสหายกับท่านหรอกขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่”
“แต่สำหรับข้าเจ้ายังเป็น...”
“ท่านแม่ทัพเรียกข้าต้องการจะสอบถามหรือมีอะไรจะให้ข้าช่วยหรือไม่ขอรับ? เพราะถ้าหากไม่มีข้าขอตัวเลยนะขอรับ” เหรินเหยียนชิงเอ่ยตัดบททันทีเพราะไม่อยากยืดเยื้อ ยามนี้เขาอยากรู้ว่าจินเฟยหลงต้องการอะไรจากเขา
“ข้า...”
“เหยียนชิง อ้าว...เฟยหลงเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” จิงเสี่ยวจางเดินออกมาตามเหรินเหยียนชิง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหายออกมานาน แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเจอจินเฟยหลงมาอยู่ที่นี่กับเหรินเหยียนชิงด้วย
“ท่านแม่ทัพมาล้างหน้าน่ะ อาจางเจ้ามาตามข้าหรือ?”
“อืม...ข้าเห็นเจ้าหายออกมานาน” จิงเสี่ยวจางตอบกลับคำพูดของเหรินเหยียนชิงไปพร้อมกับความรู้สึกแปลกใจกับคำเรียกขานจินเฟยหลงของสหายตรงหน้า
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ” พูดจบ เหรินเหยียนชิงก็เดินเข้าไปจับชายเสื้อคลุมของจิงเสี่ยวจาง เพื่อให้อีกฝ่ายเดินตามเขากลับไปหาคนอื่น ๆ
จิงเสี่ยวจางยอมเดินตามแรงดึงของเหรินเหยียนชิง แม้เขาจะยังติดใจกับการกระทำยามนี้ของอีกฝ่าย
‘เหยียนชิงที่เป็นแบบนี้...มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วเจ้ายังจะต้องการอะไรอีกเฟยหลง!’ จินเฟยหลงถามตัวเองในใจขณะยืนมองคนทั้งสองเดินห่างออกไปจากเขาเรื่อย ๆ
จินเฟยหลงเมื่อเห็นสหายทั้งสองคนของเขาเดินห่างออกไปจนลับสายตาแล้ว เขาจึงลงไปนั่งข้างลำธาร แล้วมองไปยังสายน้ำที่กำลังไหลตามกระแส จากนั้นเขาจึงนึกย้อนไปถึงงานเลี้ยงฉลองการเรียนจบจากสำนักศึกษาหลวงของพวกเขาทั้งสี่คน...
งานเลี้ยงฉลองการเรียนจบจากสำนักศึกษาหลวงถูกจัดขึ้นในวันสอบวันสุดท้ายของพวกระดับสูงก่อนที่ทุกคนจะต้องแยกย้ายกันในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ก็จะมีเพียงจินเฟยหลงเท่านั้นที่ในเช้าวันถัดไปยังจะต้องไปตามสอบอีกหนึ่งวิชา เนื่องจากคนอื่น ๆ ได้สอบวิชานี้กันหมดแล้วในช่วงที่เขาไปออกรบ
ในวันนั้นหลังจากที่จินเฟยหลงสอบเสร็จเขาก็ต้องออกไปฝึกวรยุทธและศึกษาเรื่องกลศึกที่จวนของตนเองต่อ แล้วเมื่อฝึกเสร็จเขาก็ยังต้องออกไปรับสำรับเย็นร่วมกับครอบครัวของหนิงฮุ่ยหลิงที่โรงเตี๊ยมตามความต้องการของผู้เป็นบิดา
กว่าที่จินเฟยหลงจะได้กลับเข้ามาร่วมงานเลี้ยงฉลองกับพวกสหายของเขา ก็ได้ผ่านล่วงเลยเข้าสู่ช่วงค่ำของวันแล้ว
จินเฟยหลงเมื่อเดินทางมาถึงบริเวณงานเลี้ยง เขาก็เห็นจิงเสี่ยวเจี้ยนและจิงเสี่ยวจางที่ยามนี้คนทั้งสองได้เริ่มร่ำสุรากันไปบ้างแล้ว เนื่องจากงานนี้ท่านอาจารย์ใหญ่อนุญาตให้พวกเขาสามารถนำสุราเข้ามาดื่มร่วมกันได้
เมื่อเห็นสหายจินเฟยหลงจึงเดินตรงเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนทั้งสองทันที จากนั้นเขาจึงมองหาเหรินเหยียนชิง แต่เขากลับไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในบริเวณงาน
“มาแล้วหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยทักสหายที่เพิ่งมาถึง
จินเฟยหลงพยักหน้าตอบคำถามของอีกฝ่าย ก่อนจะถามหาคนที่เขากำลังมองหาอยู่
“เหยียนชิงไม่อยู่กับพวกเจ้าหรือ?”
“ตอนแรกก็นั่งอยู่กับพวกข้านี่ล่ะ แต่พอดีมีศิษย์น้องเข้ามาขอคุยด้วย เหยียนชิงจึงพาศิษย์น้องเดินออกไปคุยกันที่ศาลาข้างสระบัว แต่ก็คุยกันมาได้สักพักแล้วนะ” จิงเสี่ยวจางตอบพร้อมกับชี้ไปยังศาลาที่เหรินเหยียนชิงกำลังยืนคุยอยู่กับศิษย์น้อง
จินเฟยหลงมองไปทางศาลาที่จิงเสี่ยวจางบอก ก่อนจะยกจอกสุราที่จิงเสี่ยวเจี้ยนรินวางเอาไว้ให้เขาขึ้นมาดื่ม
“หิวหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยทักจินเฟยหลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายยกจอกสุราติดต่อกันไปแล้วถึงห้าจอก
“อืม” จินเฟยหลงตอบรับคำของสหายตรงหน้า แต่สายตาของเขาก็ยังคงมองไปทางศาลาที่เหรินเหยียนชิงกำลังยืนพูดคุยอยู่กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แล้วเมื่อเขาเห็นว่าเหรินเหยียนชิงกำลังจะเอื้อมมือไปจับแขนของเด็กหนุ่มคนนั้น เขาก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ศาลาหลังนั้นทันที
“เฟยหลงเจ้าจะไปไหน?” จิงเสี่ยวเจี้ยนถามขึ้น เพราะอยู่ ๆ สหายของเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปทันที และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาถามด้วยซ้ำ
“เฟยหลง” เหรินเหยียนชิงหันมาทักสหายที่เดินตรงเข้ามาหาเขาในศาลา
“คุยกันจบหรือยัง?” จินเฟยหลงเอ่ยถามเหรินเหยียนชิง
เด็กหนุ่มที่ขอคุยกับเหรินเหยียนชิง เมื่อเห็นจินเฟยหลงเดินเข้ามาในศาลาพร้อมกับบรรยากาศกดดัน เขาก็รีบคำนับให้กับคนทั้งคู่ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวแล้วถอยออกจากศาลาทันที
“เฟยหลงเจ้ามีอะไรกับข้าหรือ?” เหรินเหยียนชิงหันกลับมาคุยกับสหาย เมื่อเห็นว่าศิษย์น้องที่เข้ามาขอแสดงความยินดีกับเขาเดินออกไปจากศาลาแล้ว
“วันนี้เป็นงานเลี้ยงของสหาย”
“อืม...ใช่” เหรินเหยียนชิงตอบรับคำของคนตรงหน้า
“ข้าอยากดื่มสุรา”
“เจ้าอยากดื่มสุรา? อาจางกับอาเจี้ยนก็นั่งดื่มกันอยู่ตรงนั้นอย่างไรล่ะ” เหรินเหยียนชิงพูดพร้อมกับชี้ไปยังโต๊ะที่สหายแฝดของพวกเขากำลังนั่งร่ำสุรากันอยู่ให้จินเฟยหลงดู แต่คนตรงหน้าก็ได้พูดขยายความในสิ่งที่เจ้าตัวต้องการจะบอกกับเขาต่อทันที
“กับเจ้า” จินเฟยหลงพูดพร้อมกับจดจำใบหน้าของเหรินเหยียนชิง เพราะไม่รู้ว่าหลังจากวันนี้เขาจะได้มีโอกาสอยู่กับคนตรงหน้าแบบนี้อีกหรือไม่
“อยากดื่มสุรากับข้า...ได้! แต่ข้าคออ่อนนะคงดื่มกับเจ้าได้ไม่มากนัก”
“อืม เหยียนชิงแล้วเมื่อครู่เจ้า...” จินเฟยหลงที่คิดจะถามว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายพูดคุยอะไรกับเด็กหนุ่มคนนั้น แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาไม่มีสิทธิถาม เขาจึงเงียบปากของตัวเองลงทันที
เหรินเหยียนชิงที่กำลังเดินลงจากศาลา ก็ต้องหันกลับไปมองหน้าจินเฟยหลงเพราะเจ้าตัวเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาแต่ก็ไม่ยอมพูดให้จบประโยค แล้วเมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเขาหันกลับไปมอง เจ้าตัวก็เร่งเดินนำเขาออกไปจากศาลาเสียอย่างนั้น จนเขาต้องรีบเดินตามอีกฝ่ายไป
จากนั้นพวกเขาทั้งสี่คนก็นั่งร่ำสุราร่วมกับสหายคนอื่น ๆ ยาวไปจนเกือบครึ่งค่อนคืน และด้วยเพราะจิงเสี่ยวเจี้ยนกับจิงเสี่ยวจางไม่ได้พักอยู่ในสำนักศึกษาหลวง แล้วสหายแฝดคู่นี้ก็มักจะแอบหนีออกจากจวนไปนั่งร่ำสุราร่วมกับสหายด้านนอกอยู่บ่อยครั้ง เหรินเหยียนชิงจึงคิดจะปล่อยให้คนทั้งคู่นั่งร่ำสุรากับสหายคนอื่น ๆ ต่ออย่างเต็มที่ เนื่องจากวันนี้จินเฟยหลงที่ไม่รู้ว่านึกครึ้มอะไรขึ้นมาถึงได้ยกสุราขึ้นดื่มจอกต่อจอกอย่างไม่กลัวเมา และผลที่ได้ก็คือยามนี้เจ้าตัวเมาถึงขั้นฟุบใบหน้าลงไปแนบกับโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
เหรินเหยียนชิงจึงหันไปเอ่ยขอตัวกับสหายคนอื่น ๆ ก่อนจะเข้าไปประคองคนเมาเพื่อพากลับเรือนพักของพวกเขา
“เฟยหลง ทำไมเจ้าต้องดื่มสุราจนเมาหนักขนาดนี้ด้วยเนี่ย” เหรินเหยียนชิงบ่นพร้อมกับเอื้อมมือไปโอบกระชับรอบเอวและจับแขนคนตัวโตให้คล้องคอของเขาเอาไว้ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไหลลงไปกองกับพื้น ก่อนที่เขาจะพยายามลากคนเมาเดินโซเซกลับไปยังเรือนพัก
จินเฟยหลงไม่อยากทิ้งน้ำหนักของตนเองลงไปที่คนตัวเล็กมากจนเกินไป จึงพยายามเกรงตัวเอาไว้ เพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้เมา แต่เพราะว่าคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่ตัวเขากับเหรินเหยียนชิงจะได้พักอยู่ด้วยกัน เขาจึงอยากให้อีกฝ่ายจะหันมาดูแลและหันมาใส่ใจเขาอีกสักครั้ง ก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะต้องแยกจากกัน แล้วก็อาจจะไม่ได้เจอ ไม่ได้ใกล้ชิดกัน แบบที่ใจของเขาต้องการได้อีกต่อไป
ความคิดเห็น