คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ไม่อยู่ในสายตา
บทที่ 4
ไม่อยู่ในสายตา
“รอบนี้หายไปนานเลยนะเฟยหลง” จิงเสี่ยวเจี้ยนกล่าวทักจินเฟยหลงที่เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมของเขาพร้อมกับหนิงฮุ่ยหลิง
จินเฟยหลงเมื่อเดินมาถึงโต๊ะเขาก็ทำเพียงพยักหน้าทักทายจิงเสี่ยวเจี้ยน ส่วนหนิงฮุ่ยหลิงก็ได้ก้มลงไปคำนับให้กับสหายของเขา
“ข้าได้สั่งสำรับไว้รอพวกเจ้าแล้ว ดีนะที่เจ้าส่งคนมานัดเจอพวกข้าในวันนี้ เพราะพวกเราสี่คนไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันมานานแล้วนะ”
จินเฟยหลงแปลกใจกับคำพูดของสหายแต่เขาก็ยังไม่ทันที่จะได้ถามเอาคำตอบจากอีกฝ่าย คำตอบที่เขาต้องการก็ได้เดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“มากันแล้วหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนหันไปทักแฝดผู้น้องของเขากับสหายที่ได้หายหน้าไป ตั้งแต่วันที่พวกเขาจบจากสำนักศึกษา
“เหยียนชิง” จินเฟยหลงเอ่ยชื่อคนตรงหน้าพร้อมกับมองไปที่เจ้าตัว เหรินเหยียนชิงทำเพียงพยักหน้าทักทายเขา ก่อนจะละสายตากลับไปสนใจเด็กสาวและบุรุษที่เดินเข้ามาพร้อมกับเจ้าตัว ยามนี้เหรินเหยียนชิงดูสงบและดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แล้วตอนนี้อีกฝ่ายก็ได้พกพัดเล่มเล็กติดมือแทนสมุดอย่างที่เจ้าตัวเคยพูดเอาไว้แล้ว
“ข้าขอไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งดีกว่า พอดีข้ามีคนมาด้วยหากนั่งโต๊ะเดียวกันดูท่าจะอึดอัด” เหรินเหยียนชิงพูดกับจิงเสี่ยวเจี้ยน เมื่อเห็นอีกฝ่ายจะเรียกคนเข้ามายกเก้าอี้เพิ่มให้กับคนของเขา ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ ซึ่งก็ไม่ไกลจากโต๊ะของอีกฝ่ายมากนัก
“อย่างนั้นข้าขอไปนั่งกับพวกเจ้าด้วยนะ” จิงเสี่ยวจางพูดพร้อมกับเดินตามเหรินเหยียนชิงไปที่โต๊ะ
เหรินเหยียนชิงหันไปพยักหน้าตอบจิงเสี่ยวจาง ก่อนจะหันมาสนใจเด็กสาวที่กำลังกระตุกชายเสื้อของเขาอยู่ตอนนี้
“พี่เหยียนชิงเจ้าคะ ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นพวกเราสั่งอาหารกันเลยดีหรือไม่?” เหรินเหยียนชิงหันกลับมาพูดกับผู้ร่วมโต๊ะคนอื่น
“เต็มที่เลยนะ มื้อนี้ข้าขอเลี้ยงเอง” จิงเสี่ยวจางกล่าวขึ้นอย่างใจกว้าง แต่ก็โดนเหรินเหยียนชิงเอ่ยขัดอย่างรู้ทัน
“ที่นี่โรงเตี๊ยมของตระกูลเจ้าไม่ใช่หรือ?”
“ก็ในเมื่อมื้อนี้ข้าจะไม่เก็บเงินพวกเจ้า ดังนั้นก็ถือว่าข้าเป็นผู้เลี้ยงพวกเจ้าอย่างไรล่ะ” จิงเสี่ยวจางตอบกลับคำพูดของสหายอย่างโอ้อวด
เหรินเหยียนชิงทำได้เพียงส่ายหน้าให้กับคำพูดของสหายที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่ก็ดูเหมือนว่านิสัยของอีกฝ่ายจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย เพราะหลังจากที่พวกเขาเรียนจบจากสำนักศึกษา เขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปหาผู้ใดอีกเลย จนกระทั่งเขาบังเอิญเจอกับจิงเสี่ยวจาง ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางเข้ามาส่งของให้กับลูกค้าในเมืองหลวง
และในระหว่างที่พวกเขาเดินทางร่วมกัน จิงเสี่ยวจางก็ได้เล่าความเคลื่อนไหวตลอดสี่ปีที่ผ่านมาของเจ้าตัวและแฝดผู้พี่ให้เขาฟัง จนเขาได้รู้ว่ายามนี้สหายทั้งสองคนของเขาได้รับช่วงดูแลโรงเตี๊ยมของตระกูลต่อจากผู้เป็นบิดาแล้ว ซึ่งจิงเสี่ยวเจี้ยนเป็นคนบริหารงานและดูแลงานด้านบัญชีทั้งหมดของโรงเตี๊ยมทุกสาขา ส่วนจิงเสี่ยวจางมีหน้าที่ไปตรวจดูงานและความเรียบร้อยตามโรงเตี๊ยมสาขาต่าง ๆ แล้วส่งรายงานกลับมาแจ้งให้กับแฝดผู้พี่ที่เมืองหลวง
แล้วจิงเสี่ยวจางก็ยังได้เล่าเรื่องราวของจินเฟยหลงให้เหรินเหยียนชิงฟังด้วย ไม่ว่าจะเรื่องที่ยามนี้อีกฝ่ายได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นตง รวมไปถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของจินเฟยหลงเมื่อสองปีก่อน และในเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องดีเกิดขึ้น เพราะยามนี้จินเฟยหลงได้พี่ชายคนสำคัญของเจ้าตัวกลับคืนมาแล้ว ซึ่งเขาก็เพิ่งได้เจอกับพี่ชายคนสำคัญของจินเฟยหลงมาแล้วด้วย และจิงเสี่ยวจางก็ได้แอบบอกกับเขามาด้วยว่า...อีกไม่นานจวนแม่ทัพก็น่าจะมีข่าวดี
และถ้าหากจะให้เหรินเหยียนชิงเดา ข่าวดีที่จิงเสี่ยวจางแอบบอกกับเขา ก็คงจะไม่พ้นข่าวดีของจินเฟยหลงกับสตรีที่กำลังนั่งอยู่ข้างกายของอีกฝ่ายในยามนี้เป็นแน่
“อาจางบังเอิญเจอกับเหยียนชิงระหว่างเดินทางกลับเข้ามาในเมืองหลวงน่ะ เห็นอาจางบอกว่าเหยียนชิงเพิ่งจะไปส่งของที่ค่ายทหารกับที่โรงหมอของพี่ชายเจ้า พวกเจ้าไม่ได้เจอกันที่นั่นหรอกหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนพูดขึ้นเมื่อเห็นจินเฟยหลงเอาแต่มองไปที่เหรินเหยียนชิง โดยไม่สนใจเขาหรือแม้แต่สตรีที่นั่งอยู่ข้างกาย
“ไม่เจอ” จินเฟยหลงตอบกลับสหาย แต่สายตาของเขาก็ยังคงมองไปที่เหรินเหยียนชิง...ผู้ที่ยังคงติดอยู่ในความคิด และความทรงจำของเขาตลอดสี่ปีที่ผ่านมา
“พี่เหยียนชิงน่ารักที่สุดเลยเจ้าค่ะ” เพ่ยหยีเอ่ยชมเหรินเหยียนชิง เมื่ออีกฝ่ายนำเนื้อปลาที่แกะเอาก้างออกเรียบร้อยแล้วมาวางไว้ที่ถ้วยข้าวของนาง
“เหยียนชิงนี่เจ้ายังไม่เลิกดูแลผู้อื่นยามรับสำรับอีกหรือ?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่เหรินเหยียนชิงทำ
“อะ...แบบนี้พอใจเจ้าหรือไม่?” เหรินเหยียนชิงตักเนื้อปลาที่แกะก้างปลาออกเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือไปใส่ในถ้วยข้าวของจิงเสี่ยวจาง
“ครั้งนี้แกะก้างปลาออกให้ข้าด้วย แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าใช้ได้” จิงเสี่ยวจางเอ่ยชมสหาย
“กินต่อได้แล้ว” เหรินเหยียนชิงเอ่ยตัดบท
เพ่ยหยีมองสหายของเหรินเหยียนชิงด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะบุรุษผู้นี้กำลังจะมาแย่งความสนใจของคนตรงหน้าไปจากนาง
“ข้าว่าจะทักเจ้าตั้งแต่เจอกันแล้ว พัดเล่มนี้...ใช่พัดเล่มที่ข้าเคยเลือกให้เจ้าหรือไม่?” จิงเสี่ยวจางถามขึ้นเมื่อเห็นพัดเล่มเล็ก ที่อีกฝ่ายมักจะหยิบติดมือไปไหนมาไหนด้วยตั้งแต่เจอกัน
เหรินเหยียนชิงพยักหน้าตอบรับคำถามของสหาย ก่อนจะกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อ
“ข้าบอกแล้วว่าพัดเล่มนี้เหมาะกับเจ้า” จิงเสี่ยวจางพูดจบก็กลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อเช่นกัน
จินเฟยหลงแม้ตัวจะนั่งอยู่ที่โต๊ะนี้แต่ทุกความสนใจของเขา ได้ย้ายไปอยู่ที่โต๊ะของพวกเหรินเหยียนชิงเรียบร้อยแล้ว และด้วยเพราะเมื่อก่อนทุกครั้งที่พวกเขารับสำรับด้วยกัน คนที่เหรินเหยียนชิงจะคอยให้ความสนใจและคอยให้การดูแลก็คือเขา...หาใช่ผู้อื่นไม่! และเนื้อปลาที่ถูกแกะก้างปลาออกเรียบร้อยแล้วคนที่จะได้กินเป็นคนแรกทุกครั้งก็คือเขา แต่ในยามนี้มันหาได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว
“คุณชายรองจินลองกินไก่จานนี้ดูนะเจ้าคะ ข้าลองแล้วใช้ได้เลยเจ้าค่ะ” หนิงฮุ่ยหลิงตักน่องไก่ทอดไปวางไว้ที่ถ้วยข้าวของจินเฟยหลง เพราะเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวและมองไปยังโต๊ะสหายของเจ้าตัวอีกโต๊ะหนึ่ง โดยไม่ยอมกินข้าวในชามเลยแม้แต่คำเดียว
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของหนิงฮุ่ยหลิง แต่เขาก็ไม่ได้กินน่องไก่ที่มาพร้อมกับกระดูกจากนางแต่อย่างใด
จิงเสี่ยวเจี้ยนเห็นจินเฟยหลงกับหนิงฮุ่ยหลิงยามนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเขาควรจะต้องพูดอะไรออกมาหรือไม่ เพราะจินเฟยหลงก็เอาแต่มองไปที่เหรินเหยียนชิงโดยไม่สนใจสตรีที่นั่งอยู่ข้างกาย ส่วนหนิงฮุ่ยหลิงก็ตักอาหารให้กับจินเฟยหลง โดยไม่รู้เลยว่าสหายของเขามีนิสัยการกินเช่นไร แต่...ดูท่าแล้วกระดูกที่อยู่ในไก่ชิ้นนั้นคงจะไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงของจินเฟยหลงในยามนี้
จิงเสี่ยวเจี้ยนเลิกสนใจสองคนตรงหน้า แล้วหันไปเอ่ยปากถามสหายอีกโต๊ะหนึ่ง โดยที่เขาหาได้สนใจเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร เพราะพวกเขามักจะชอบพูดคุยกันระหว่างรับสำรับจนติดเป็นนิสัย
“เหยียนชิง แล้วเจ้าจะอยู่ที่เมืองหลวงอีกกี่วันหรือ?”
“ข้าอยู่คืนนี้อีกแค่คืนเดียว พรุ่งนี้ข้าก็กลับแล้ว” เหรินเหยียนชิงเงยหน้าขึ้นมาตอบจิงเสี่ยวเจี้ยน
“แล้วเจ้าจะเข้าเมืองหลวงอีกครั้งเมื่อไหร่ นี่ข้าได้เจอเจ้าในรอบสี่ปีเลยก็ว่าได้นะ” จิงเสี่ยวจางถามต่อจากแฝดผู้พี่
“ยังไม่รู้เลยเพราะข้าต้องเดินทางตลอด อย่างไรหากมีวาสนาพวกเราคงได้มาเจอกันอีก”
“อย่างนั้นคืนนี้พวกเรามานั่งร่ำสุราด้วยกันสักหน่อยดีหรือไม่?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยถามหลังได้ฟังคำตอบของสหาย
“ได้สิ แล้วพวกเราจะไปร่ำสุรากันที่ไหนดีล่ะ” เหรินเหยียนชิงถามขึ้น
จินเฟยหลงอยากเอ่ยปากชวนให้ไปร่ำสุราที่จวนของเขา แต่ยามนี้เขายังไม่กล้าร่วมวงพูดคุยกับสหายทั้งสาม โดยเฉพาะกับ...
“นั่นคุณหนูรองเยว่ใช่หรือไม่...สงสัยว่าข่าวลือจะเป็นจริงนะเนี่ย” จิงเสี่ยวจางพูดขึ้นเมื่อเห็นเยว่ซือซือเดินผ่านหน้าโรงเตี๊ยมของเขาพร้อมกับบุตรชายของเสนาคลัง
“ข่าวลืออะไรหรือ?” เหรินเหยียนชิงหันไปมองเยว่ซือซือ เมื่อได้ยินจิงเสี่ยวจางเอ่ยถึงอีกฝ่าย
“ข่าวลือที่ว่า...บิดาของนางจะให้นางแต่งกับบุตรชายคนโตของเสนาคลังอย่างไรล่ะ”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าบุตรชายคนโตของเสนาคลังผู้นี้เป็นคนเช่นไร?” เหรินเหยียนชิงยังคงถามจิงเสี่ยวจางต่อ
“ข้าก็ไม่แน่ใจนะ เพราะบุรุษผู้นี้ค่อนข้างจะเก็บตัว แต่เท่าที่รู้ก็คือบุตรชายคนโตของเสนาคลังผู้นี้ยังไม่มีเรือนหลังเลยนะ”
“แต่...ไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตของเสนาคลังจะทนนางไหวหรือไม่ ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งปากร้ายเสียขนาดนั้น” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยขัดขึ้น
เหรินเหยียนชิงหันไปมองที่จิงเสี่ยวเจี้ยนทันที หลังจากได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายพูด
จิงเสี่ยวจางเห็นดังนั้นจึงแอบกระซิบบอกเรื่องของแฝดผู้พี่กับเยว่ซือซือให้เหรินเหยียนชิงฟัง
“เมื่อก่อนนางชอบมาตามหาเฟยหลงที่นี่บ่อย ๆ น่ะ เลยได้รับฝีปากกับอาเจี้ยนอยู่บ่อยครั้ง”
เหรินเหยียนชิงได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับคำพูดของจิงเสี่ยวจาง ก่อนจะหันกลับมาสนใจอาหารในสำรับต่อ
จินเฟยหลงที่มองเหรินเหยียนชิงมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายให้ความสนใจเรื่องของเยว่ซือซือ เพราะตั้งแต่ที่เขารู้จักกับเหรินเหยียนชิงมา อีกฝ่ายไม่ค่อยให้ความสนใจในเรื่องของสตรีมากนัก ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากตัวเขา ขนาดมีสตรีเข้ามามอบไมตรีให้กับเจ้าตัว อีกฝ่ายก็ยังไม่เคยให้ความสนใจ แต่ถ้าหากเมื่อใดที่เห็นหรือเป็นเรื่องของเยว่ซือซือ เหรินเหยียนชิงก็มักจะคอยแอบมอง และคอยให้ความสนใจเรื่องราวของเยว่ซือซือ แบบในตอนนี้เสมอ...
หนิงฮุ่ยหลิงที่คอยมองจินเฟยหลงอยู่...ยามนี้คนตรงหน้าเอาแต่มองไปยังสหายของเจ้าตัว ด้วยสายตาที่นางไม่เคยเห็นอีกฝ่ายใช้มองผู้ใดมาก่อน แม้แต่ตัวนางเองอีกฝ่ายก็ยังไม่เคยมองแบบนี้เช่นกัน!
“มาพูดเรื่องร่ำสุราของพวกเรากันต่อดีกว่า ข้าว่าพวกเราไปนั่งดื่มกันที่จวนของพวกข้าดีหรือไม่? แล้วคืนนี้พวกเจ้าทั้งสามคนก็เปลี่ยนมาพักที่จวนของพวกข้าด้วยเลย”
“จะไม่เป็นการรบกวนพวกเจ้าหรือ?” เหรินเหยียนชิงเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ เมื่อได้ยินคำชวนของจิงเสี่ยวเจี้ยน
“ไม่เลยห้องว่างในจวนของพวกข้ามีตั้งหลายห้อง พวกเจ้าอย่าได้เกรงใจไป” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยตอบเหรินเหยียนชิง
เหรินเหยียนชิงหันไปมองเด็กสาวกับบุรุษที่มากับเขา เพราะคนอื่น ๆ ได้ขอแยกตัวกลับหมู่บ้านกันไปหมดแล้ว หลังจากที่เห็นเขาได้เจอกับสหายเหลือเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้น ที่ขอตามมาเที่ยวเล่นในเมืองหลวงกับเขาด้วย
“พวกข้าแล้วแต่พี่เหยียนชิงเจ้าค่ะ” เพ่ยหยีเอ่ยตอบเหรินเหยียนชิงแทนพี่ชาย
เหรินเหยียนชิงเมื่อได้ยินดังนั้นจึงยิ้มให้กับเด็กสาวก่อนจะหันกลับมาตอบสหาย
“อย่างนั้นพวกข้าทั้งสามคน คงต้องขอรบกวนพวกเจ้าแล้ว”
จิงเสี่ยวเจี้ยนพยักหน้ารับคำตอบของเหรินเหยียนชิง ก่อนจะหันมาถามจินเฟยหลง
“เฟยหลงแล้วเจ้าจะมาร่ำสุรากับพวกข้าด้วยหรือไม่?”
จินเฟยหลงพยักหน้าตอบรับคำชวนของสหายแต่สายตาของเขาก็ยังคงมองไปที่เหรินเหยียนชิง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้หันกลับมาสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่พวกเขารับสำรับเสร็จ และนัดเจอกันอีกครั้งในต้นยามซวี (ยามซวี เวลา 19.00 – 20.59 น.) จินเฟยหลงก็ขอแยกตัวออกไปส่งหนิงฮุ่ยหลิง จิงเสี่ยวเจี้ยนก็รีบสั่งคนไปเตรียมห้องพักรับรองในจวนให้กับพวกเหรินเหยียนชิง ก่อนที่เขาจะกลับขึ้นไปจัดการงานบนโรงเตี๊ยมของตัวเองต่อ ส่วนจิงเสี่ยวจางก็ตามพวกเหรินเหยียนชิงไปช่วยเก็บของแล้วย้ายเข้ามาพักที่จวนของเขา
“เหยียนชิงทำไมเจ้าถึงหายหน้าไปเลย ไม่ยอมติดต่อกลับมาหาพวกข้าบ้างเลยล่ะ” จิงเสี่ยวจางเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขาทั้งสี่คนมานั่งร่ำสุราอยู่ที่สวนท้ายจวนคหบดีจิง โดยมีคนของเหรินเหยียนชิงมาร่วมวงกับพวกเขาด้วย
“ข้ายุ่งน่ะพอดีต้องรับช่วงต่อจากท่านตา” เหรินเหยียนชิงตอบคำถามจิงเสี่ยวจาง จากนั้นเขาจึงแนะนำคนที่มากับเขาให้สหายได้รู้จัก
“เออ...จริงด้วยข้ายังไม่ได้แนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกับสองคนนี้เลย บุรุษผู้นี้มีนามว่าเพ่ยฉี ส่วนสตรีนางนี้มีนามว่าเพ่ยหยี ทั้งสองคนเป็นคนของสำนักคุ้มภัยที่อยู่ติดกับจวนข้า”
“และก็เป็นว่าที่ฮูหยินของพี่เหยียนชิงด้วยเจ้าค่ะ” เพ่ยหยีเด็กสาววัยสิบสามหนาวเอ่ยขึ้นมาอย่างมาดมั่น
“ขออภัยแทนน้องสาวของข้าด้วยนะขอรับ นางค่อนข้างจะแก่แดดไปหน่อยน่ะขอรับ” เพ่ยฉีชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหนาวเอ่ยแก้ตัวแทนน้องสาวผู้ไม่รู้ความของตัวเอง เป็นเพราะนางเห็นเหรินเหยียนชิงใจดี ไม่เคยถือตัวและยังให้ความสนิทสนมกับพวกเขาราวกับพี่น้อง จึงทำให้น้องสาวของเขามักหลงลืมตัวเอาแต่ใจกับคนตรงหน้าอยู่บ่อยครั้ง
“ก็ข้าชอบพี่เหยียนชิงนี่เจ้าคะ ข้าเลยขอจองเอาไว้ก่อนเจ้าค่ะ” เพ่ยหยีเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะนางชอบพี่ชายข้างเรือนผู้นี้ของนาง และยามนี้นางก็รู้สึกได้ว่านางกำลังจะมีคู่แข่ง
“ขออภัยด้วยนะขอรับ ไปอาหยีไปนอนได้แล้วพวกคุณชายจะได้พูดคุยกัน” เพ่ยฉีพูดจบก็รีบดึงตัวน้องสาวของเขากลับห้องพักทันที
“เสน่ห์แรงเหมือนกันนะเนี่ย...สหายของข้า” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยเย้าเหรินเหยียนชิง
“อาหยีนางยังเด็กน่ะ” เหรินเหยียนชิงตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมกับยกสุราขึ้นมาดื่ม
“แล้วพรุ่งนี้เจ้าจะกลับหมู่บ้านที่เมืองซือโฉวเลยหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยถามสหายต่อ
“ใช่”
“เหยียนชิงเจ้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลยนะ” จิงเสี่ยวเจี้ยนพูดขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่ดูสงบขึ้นของอีกฝ่าย
“อืม...วันคืนแปรเปลี่ยน ทุกอย่างก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลง”
“เหยียนชิง พรุ่งนี้ข้าขอไปกับเจ้าด้วยนะ ข้าจะได้ไปแวะตรวจงานโรงเตี๊ยมแถวนั้นด้วยเลย” จิงเสี่ยวจางพูดขึ้น หลังจากนั่งฟังแฝดผู้พี่พูดกับสหายมาได้สักพัก
“แล้วงานที่นี่ล่ะอาจาง เจ้าเพิ่งกลับมาเองนะ” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยขัดแฝดผู้น้องของเขา
“เจ้าก็ดูแลไปสิอาเจี้ยน”
“เจ้านี่แทบจะไม่อยู่ติดเมืองหลวงเลยนะ” จิงเสี่ยวเจี้ยนบ่นแฝดผู้น้องของเขาอย่างเหลืออด
“ก็ข้าอยากไปเที่ยวจวนของเหยียนชิง และอีกอย่างข้าก็ต้องไปตรวจงานที่โรงเตี๊ยมในเมืองนั้นอยู่แล้วนี่”
“หึ! อาจางเจ้าช่างมีเหตุผล” เหรินเหยียนชิงเอ่ยเย้าสหาย
“ใช่ไหมล่ะ...” จิงเสี่ยวจางตอบรับคำเย้าของเหรินเหยียนชิงทันที
จินเฟยหลงทำเพียงนั่งดื่มสุราเงียบ ๆ แล้วฟังสหายทั้งสามคนของเขาพูดคุยกัน เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยนั่งร่ำสุรากันแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกแตกต่างไปจากทุกที เพราะที่ผ่านมาแม้เขาจะไม่ค่อยพูดแต่เหรินเหยียนชิงก็จะคอยหันมาซักถามหรือคอยหันมาให้ความสนใจกับเขา แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะหันมาสบตาหรือพูดกับเขาเลยสักคำ หลังจากที่อีกฝ่ายเข้ามาทักเขาที่โรงเตี๊ยม จากนั้นก็เหมือนเขาจะไม่อยู่ในสายตาของเหรินเหยียนชิงอีกเลย
“เดี๋ยวก็เมาหรอก...คืนนี้เจ้าจะกลับไปนอนที่จวนหรือจะนอนค้างที่นี่กับพวกข้า หากเจ้าจะนอนที่นี่ข้าจะได้ให้คนไปจัดห้องพักรับรองเพิ่มให้เจ้า” จิงเสี่ยวเจี้ยนหันมาถามจินเฟยหลง
“ค้างที่นี่ คืนนี้คงต้องขอรบกวนเจ้าแล้ว” จินเฟยหลงตอบกลับจิงเสี่ยวเจี้ยน จากนั้นเขาก็ยังคงนั่งฟังคนทั้งสามพูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ เหมือนเดิม
“ข้าเริ่มง่วงแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อนนะ” เหรินเหยียนชิงเอ่ยขึ้น หลังจากนั่งดื่มสุราและพูดคุยกับสหายมาได้สักพัก
“เดี๋ยวข้าไปส่งที่ห้องพัก อาเจี้ยน เฟยหลงข้าก็ขอตัวด้วยเลยแล้วกันนะ” จิงเสี่ยวจางพูดจบก็เดินนำเหรินเหยียนชิงออกไป
“เดี๋ยวข้ามา” จินเฟยหลงเอ่ยกับจิงเสี่ยวเจี้ยนเมื่อเห็นสหายทั้งสองของเขาเดินห่างออกไป จนเลยระยะการได้ยิน
“เหยียนชิง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” จิงเสี่ยวจางพูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องพักรับรอง
“ข้า! ข้าเป็นอะไรหรือ?”
“ก็เรื่องเจ้ากับเฟยหลง”
“เรื่องในตอนนั้นใช่หรือไม่...ข้าไม่ได้คิดอะไรแล้ว”
“แต่ตอนนั้นเจ้า...” จิงเสี่ยวจางอยากจะถามออกมาตรง ๆ แต่เมื่อนึกไปถึงใบหน้าของสหายในยามนั้นขึ้นมาได้ เขาจึงเงียบปากของตัวเองลงทันที
“ตอนนั้นข้าก็แค่สับสน แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดอะไรแล้ว เจ้าก็คิดมากไป”
“ดีแล้ว เออ...พรุ่งนี้เจ้าจะออกเดินทางยามไหน?” จิงเสี่ยวจางรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้า ดูเหมือนว่ายามนี้อีกฝ่ายคงไม่ได้รู้สึกสับสนอย่างที่พูดแล้วจริง ๆ เขาจึงเลิกถามถึงเรื่องราวที่ผ่านมา และอีกอย่างสหายทั้งสองของเขาโอกาสที่จะได้เจอกันอีก...ก็คงจะมีไม่มากแล้ว
“เจ้าจะไปกับข้าจริง ๆ หรือ?”
“ข้าพูดจริง”
“อย่างนั้นข้าก็จะออกเดินทางปลายยามซื่อ (ยามซื่อ เวลา 9.00 – 10.59 น.) ก็แล้วกัน”
“ได้ เจ้ารอข้าด้วยนะ”
เหรินเหยียนชิงพยักหน้าให้กับสหาย ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องพักรับรอง ส่วนจิงเสี่ยวจางก็เดินไปยังเรือนพักของตัวเอง โดยที่ทั้งสองคนไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนมาแอบฟังเรื่องที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่
“ข้าขอตัวกลับจวน” จินเฟยหลงพูดขึ้นเมื่อเดินกลับมาถึงบริเวณที่จิงเสี่ยวเจี้ยนนั่งอยู่ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากลับจวนของเขาทันที
“อ้าว! ไหนเจ้าบอกจะค้างที่นี่อย่างไรล่ะเฟยหลง?” จิงเสี่ยวเจี้ยนตอบกลับสหายยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็หายตัวออกไปจากจวนของเขาแล้ว
“ท่านพ่อขอรับ ข้าจะออกเดินทางไปเมืองหลิ่งจูวันนี้เลยนะขอรับ” จินเฟยหลงเอ่ยขึ้นหลังจากรับสำรับเช้ากับผู้เป็นบิดาเสร็จ
“ไม่ใช่เจ้าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้หรอกหรือ?”
“ข้ามีที่ต้องแวะด้วยขอรับ”
“อืม...เฟยหลงเรื่องมงคลของเจ้ากับฮุ่ยหลิง พ่อมีไปพูดคุยกับอาหนิงให้เจ้าแล้วนะ หากได้ฤกษ์ยามเมื่อใด เดี๋ยวพวกพ่อจะบอกกับพวกเจ้าให้เตรียมตัวกันอีกที”
จินเฟยหลงรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้ยินเรื่องที่บิดาพูด เขาจึงเผลอกำมือทั้งสองข้างของตัวเองจนแน่นขึ้น ก่อนที่เขาจะพยายามคลายมือออก แล้วหันกลับไปตอบรับคำพูดของผู้เป็นบิดา
“ขอบคุณขอรับ”
จากนั้นจินเฟยหลงก็คำนับให้กับผู้เป็นบิดา ก่อนจะเดินทางออกจากจวนพร้อมกับหยงหมิน
ความคิดเห็น