คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตามหน้าที่
บทที่ 3
ตามหน้าที่
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพขอรับ!” หยงหมินเอ่ยเรียกผู้เป็นนายอยู่หน้าห้องพัก เพราะยามนี้พวกเขาอยู่ในค่ายทหาร เขาจึงต้องเรียกอีกฝ่ายแบบเต็มยศ
“เข้ามา” จินเฟยหลงหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตัวเอง แล้วลุกขึ้นมานั่งบนเตียงหลังจากได้ยินเสียงเรียกของหยงหมิน
“ตอนนี้เสบียงและยาจากเมืองหลวงได้มาส่งถึงค่ายเราเรียบร้อยแล้วขอรับ แต่รอบนี้ท่านผู้ช่วยไม่ได้มาส่งของด้วยตัวเองนะขอรับ แต่...ได้จ้างผู้คุ้มกันจากภายนอกมาส่งของให้แทนขอรับ”
“แล้วของมาครบหรือไม่?” จินเฟยหลงเอ่ยถามทันทีเมื่อหยงหมินรายงานจบ ด้วยเพราะเขารู้นิสัยของบุตรชายเสนากลาโหมเป็นอย่างดี อีกฝ่ายเป็นพวกรักสบาย แต่ถ้าหากความรักสบายของอีกฝ่ายมาทำให้เขาหรือคนของเขาต้องลำบากเมื่อใด...ยามนั้นเขาก็ไม่คิดจะไว้หน้าอีกฝ่ายเช่นกัน
“ครบขอรับ”
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับ
“ท่านแม่ทัพขอรับ คือ...” หยงหมินยังไม่ทันจะได้รายงานเรื่องของคนที่ติดตามมาพร้อมกับขบวนส่งของ เขาก็ถูกขัดขึ้นมาโดยทหารในกองเสียก่อน
“ท่านแม่ทัพขอรับ มีจดหมายด่วนมาขอรับ”
“เอาเข้ามา”
จินเฟยหลงเมื่อรับจดหมายมาเขาก็รีบเปิดอ่านทันที แล้วเมื่อเขาอ่านจบ...เขาก็หันไปสั่งการกับหยงหมินต่อ...
“อีกสองวันข้าต้องกลับเมืองหลวง”
“ขอรับ” หยงหมินรับคำผู้เป็นนายอย่างรู้งานว่าเขาจะต้องรีบไปเตรียมตัวและเตรียมของสำหรับเข้าเมืองหลวงพร้อมกับผู้เป็นนาย
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยหลงเดินทางไปหาจินเฟยเทียนที่เรือนพัก หลังจากที่เขาไปหาอีกฝ่ายในโรงหมอแต่ได้พบเพียงหยางหมิงเซียน แล้วเจ้าตัวก็ได้บอกกับเขาว่า วันนี้พี่ชายของเขาต้องนอนพักผ่อนอยู่ที่เรือนเพิ่มอีกหนึ่งวัน
“พี่ใหญ่ขอรับ ท่านไม่สบายหรือขอรับ?” จินเฟยหลงเดินเข้าไปหาจินเฟยเทียนในห้องพักพร้อมกับหยงหมิน หลังจากที่พวกเขาได้รับอนุญาตจากคนในห้องแล้ว
“ข้าสบายดี เพียงแต่...ยังรู้สึกอ่อนแรงอยู่บ้างเล็กน้อยเท่านั้น” จินเฟยเทียนเอ่ยตอบจินเฟยหลง ก่อนจะแอบบ่นหยางหมิงเซียนในใจ...
‘เป็นเพราะเจ้าลูกกวางเลยที่ทำให้ข้าไม่มีแรงไปโรงหมอ’
จินเฟยเทียนลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปนั่งพูดคุยกับผู้เป็นน้องชายต่อที่โต๊ะกลางห้อง แล้วในระหว่างนั้นเขาก็ได้มองไปที่หยงหมิน ยามนี้อีกฝ่ายได้เติบใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว ยิ่งเขาได้เห็นอีกฝ่ายเติบใหญ่แบบนี้ มันก็ทำให้เขาอดคิดไปถึงหยงหม่า...ผู้มีศักดิ์เป็นอาของอีกฝ่ายไม่ได้
หยงหมินเมื่อเห็นคุณชายใหญ่มองมาทางเขาแล้วยิ้ม เขาก็ทำเพียงก้มลงไปคำนับให้กับผู้เป็นนายทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะถอยออกจากห้องเพื่อให้ผู้เป็นนายได้พูดคุยกัน
“พี่ใหญ่ขอรับ พรุ่งนี้ข้าต้องกลับเข้าเมืองหลวงแล้ว พี่ใหญ่จะฝากของไปให้พวกอาเปาอาปิงที่ร้านขายยาหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่มีแล้ว ข้ากับหมิงเซียนเพิ่งฝากของไปกับคุณชายเหรินที่มาส่งสมุนไพรให้พวกข้าเรียบร้อยแล้วล่ะ”
“คุณชายเหรินหรือขอรับ...” จินเฟยหลงเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกสะดุดหูกับแซ่ที่ผู้เป็นพี่ชายได้เอ่ยถึง
“ใช่ พอดีคุณชายเหรินเป็นคนจัดหาสมุนไพรส่งไปให้กับท่านลุงจงที่เมืองหลวง แต่ยามนี้ท่านลุงจงคิดอยากจะเลิกขายสมุนไพรแล้ว ท่านลุงจงเลยแนะนำให้หมิงเซียนติดต่อซื้อขายกับคุณชายเหรินโดยตรงเลยน่ะ” จินเฟยเทียนพูดจบก็สังเกตได้ว่าจินเฟยหลงเหมือนจะมีอะไรในใจ เขาจึงเอ่ยปากถามผู้เป็นน้องชายต่อทันที
“เฟยหลง ยามนี้มีอะไรกวนใจเจ้าอยู่หรือไม่?”
“ไม่มีขอรับ”
จินเฟยเทียนได้ยินดังนั้นก็เอื้อมมือไปลูบหัวผู้เป็นน้องชายเบา ๆ ในตอนแรกจินเฟยเทียนก็แอบมีชะงักเล็กน้อย เพราะหยางหมิงเซียนไม่ชอบให้เขาไปลูบหัวของผู้อื่นนอกจากหัวของเจ้าตัว แต่พอคิดได้ว่าจินเฟยหลงเป็นน้องชายแท้ ๆ ของเขา และอีกอย่างตอนนี้เจ้าลูกกวางก็ไม่อยู่ด้วย ดังนั้นเขาจึงขอทำตามใจตัวเองเลยแล้วกัน
จินเฟยเทียนที่รู้ว่ายามนี้จินเฟยหลงกำลังมีเรื่องรบกวนอยู่ในใจ แต่เพราะอีกฝ่ายมีนิสัยที่ชอบเก็บความรู้สึกไม่ต่างไปจากเขา และด้วยเพราะจินเฟยหลงเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ของตัวเองออกมาให้ผู้อื่นได้เห็นมากนัก ดังนั้นหากไม่ใช่คนในครอบครัวหรือคนที่ได้ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายจริง ๆ ก็แทบจะดูไม่ออกและไม่รับรู้เลยว่า จินเฟยหลงกำลังคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่
“ถ้ามีอะไรก็บอกกับข้าได้นะเฟยหลง อย่างไรเจ้าก็ยังมีพี่ชายคนนี้อยู่กับเจ้าเสมอ”
“ขอรับพี่ใหญ่” จินเฟยหลงเอ่ยตอบคนเป็นพี่
จากนั้นจินเฟยหลงก็จับมือของจินเฟยเทียนที่กำลังลูบหัวของเขาลงมา แล้วนำมือของอีกฝ่ายมาวางไว้ที่โต๊ะก่อนจะแนบใบหน้าของตัวเองลงไปนอนบนฝ่ามือของคนตรงหน้า
“พี่ใหญ่ขอรับ ข้าขออยู่แบบนี้สักพักนะขอรับ”
“ได้สิ”
จินเฟยหลงหลับตาของตัวเองลงช้า ๆ เพื่อรับความอบอุ่นจากฝ่ามือของคนตรงหน้า ด้วยชีวิตนี้ของเขา...เขาได้ยกให้กับคนในครอบครัวของเขาแล้ว และคนตรงหน้าก็คือคนในครอบครัว เป็นคนสำคัญที่เหลืออยู่ในชีวิตของเขาเพียงไม่กี่คน และจินเฟยเทียนก็เป็นเพียงคนเดียวที่เข้าใจในตัวเขามากที่สุด
จินเฟยหลงดีใจอย่างสุดชีวิตที่เขาได้พี่ชายของเขากลับคืนมา เพราะความจริงแล้วเขาเป็นเพียงบุตรชายอนุคนที่หนึ่งของผู้เป็นบิดา และมารดาของเขาก็คือคนที่ถูกฮูหยินรองบีบบังคับให้ไปลงมือวางยาพิษฮูหยินเอก มารดาของคนตรงหน้ายามตั้งครรภ์ จนทำให้จินเฟยเทียนที่อยู่ในครรภ์มารดายามนั้น ได้รับผลกระทบจากยาพิษนั้นไปด้วย จนทำให้คนตรงหน้าเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอ ไม่สามารถฝึกวรยุทธได้
แล้วหลังจากนั้นฮูหยินรองที่กลัวว่ามารดาของเขาจะซักทอดความผิดไปถึงตัวนาง นางจึงส่งคนมาทั้งข่มขู่และกดดัน จนมารดาของเขาต้องเขียนจดหมายสารภาพผิดและจดหมายลา... ก่อนที่มารดาของเขาจะจบชีวิตของตัวเองลงทันที หลังจากที่คลอดเขาออกมา และก็เพราะความเมตตาของฮูหยินเอก อีกฝ่ายจึงขอรับเขาไปเลี้ยงดูต่อ...ชีวิตในวัยเยาว์ของเขาจึงได้รับทั้งความรักและการดูแลเอาใจใส่ จากฮูหยินเอกและจากคนตรงหน้า
ในยามนั้นจินเฟยหลงจึงได้ให้สัญญากับตัวเองไว้ว่า...เขาจะต้องเก่งให้มากกว่านี้ และจะต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ เพื่อที่วันข้างหน้า...เขาจะได้สามารถปกป้องคนสำคัญทั้งสองของเขาได้
แต่แล้ว...ในวันที่จินเฟยหลงเริ่มแข็งแกร่ง คนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาทั้งสองคนกลับต้องจากเขาไป ด้วยแผนลวงสังหารของฮูหยินรองกับบ่าวที่ทะเยอทะยาน อยากขึ้นเป็นอนุคนที่สามของบิดาเขา ในยามนั้นเขาทั้งรู้สึกเคว้งคว้าง หมดกำลังใจที่จะก้าวเดินหรือใช้ชีวิตต่อ... แต่ก็ยังดีที่ในยามนั้นเขามีเหรินเหยียนชิงคอยอยู่เคียงข้าง คอยช่วยประคอง คอยช่วยผลักดัน และคอยเตือนสติเขา ให้เขา...ทำตามในสิ่งที่ตัวเองเคยคิดและเคยวาดฝันเอาไว้ แล้วเขาก็ยังมีสหายแฝดอีกคู่หนึ่ง ที่คอยช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นและหายเหงา จนเขาไม่รู้สึกเคว้งคว้างยามที่ต้องอยู่ในสำนักศึกษาอีกต่อไป แล้วหลังจากผ่านเหตุการณ์ในคราวนั้นมาได้ เขาก็เริ่มกลายเป็นคนที่พูดน้อยลง และก็เพราะเหตุการณ์ในคราวนั้น จินเฟยหลงก็แทบจะไม่กลับไปพักที่จวนแม่ทัพอีกเลย และถ้าหากไม่มีเรื่องงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้เป็นบิดา เขาก็จะเลี่ยง...ไม่เข้าไปพบและไม่เข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่าย
จนมาถึงวันที่พวกกลุ่มนักฆ่ากับบ่าวที่ทะเยอทะยานคนนั้น ตามกลับมาล้างแค้นฮูหยินรองของบิดาเขา จึงทำให้เขาได้รู้ว่าพี่ชายคนสำคัญของเขายังไม่ได้จากเขาไป และก็ด้วยเพราะแผนการณ์ของกลุ่มนักฆ่ากลุ่มนั้นเช่นกัน ที่ทำให้เขาได้รู้ว่าที่ผ่านมาฮูหยินรองของบิดาเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเขา แต่...ในเมื่อยามนี้สตรีชั่วช้าคนนั้นก็ได้จบชีวิตลงไปแล้ว และในตอนนี้เขาก็ได้พี่ชายคนสำคัญกับครอบครัวของเขากลับคืนมาแล้ว ดังนั้นจากนี้ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็จะไม่ยอมให้ใคร มาทำร้ายคนสำคัญผู้นี้ของเขาได้อีก และเขาก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนในครอบครัวของเขาได้อีกเช่นกัน
“เฟยเกอ เฟยเกอขอรับ ข้ากลับมาแล้วขอรับ ข้าซื้อซาลาเปามาฝากท่านด้วยนะขอรับ” หยางหมิงเซียนกลับมาถึงเรือนก็รีบตรงมาหาจินเฟยเทียนทันที แต่เมื่อเขาเปิดประตูห้องพักเขาก็เห็นจินเฟยหลงกำลังนั่งจับมือคนของเขาอยู่ หยางหมิงเซียนจึงเดินเข้าไปนั่งข้างจินเฟยเทียน ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงมือของคนของเขากลับมา แล้วนำซาลาเปาที่อยู่ในมือเขาไปวางไว้ที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายแทน
‘หมิงเซียนเจ้านี่ช่าง...’ จินเฟยเทียนแอบบ่นในใจเมื่อเห็นสิ่งที่หยางหมิงเซียนทำ ก่อนจะหันกลับไปพูดกับจินเฟยหลง
“เฟยหลงอยู่กินซาลาเปาด้วยกันก่อนกลับนะ”
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของจินเฟยเทียน พร้อมกับมองหยางหมิงเซียนด้วยความรู้สึกระอากับอาการหวงของอีกฝ่าย และเมื่อเขาได้เห็นแหวนหยก...ที่ห้อยอยู่ข้างจี้บนสร้อยคอของผู้เป็นพี่ชาย กับแหวนหยกอีกวง...ที่ห้อยอยู่บนสร้อยคอของหยางหมิงเซียนแล้ว ก็ให้รู้สึกเอือมระอาคนรักพี่ชายเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเป็นเท่าตัว
เพราะในวันที่จินเฟยหลงนำสร้อยคอที่ท่านแม่ใหญ่ ทำขึ้นมาเป็นสร้อยคู่ให้กับเขาและผู้เป็นพี่ชายคนละหนึ่งเส้นไปคืนให้กับจินเฟยเทียน สายตาที่หยางหมิงเซียนใช้มองมาที่สร้อยคอของพวกเขาในวันนั้น มันได้ทำให้เขารู้สึกระแวงสร้อยที่คอของตัวเองขึ้นมา และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เขาก็เห็นแหวนหยกคู่บนสร้อยคอของคนทั้งสองแบบนี้แล้ว
แต่เอาเข้าจริง...การที่จินเฟยหลงได้เห็นความเป็นอยู่ และคนรักของพี่ชายที่เป็นแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกวางใจที่ได้เห็นว่ามีคนรักและดูแลพี่ชายคนสำคัญของเขาได้เป็นอย่างดี
จินเฟยหลงเดินเข้าไปคำนับผู้เป็นบิดาเมื่อกลับมาถึงจวนแม่ทัพ หลังจากที่เขาเข้าไปรายงานตัวกับฮ่องเต้มาเรียบร้อยแล้ว
“กลับมาแล้วหรือ...แล้วครั้งนี้เจ้าจะได้พักอยู่ที่เมืองหลวงกี่วัน?” จินเฟยหมิงกล่าวทักพร้อมกับเอ่ยถามบุตรชายคนรอง เนื่องจากเขาพอจะรู้เรื่องที่ฮ่องเต้ส่งจดหมายไปเรียกตัวบุตรชายเขากลับมา
“น่าจะสามวันขอรับ ฝ่าบาทอยากให้ข้าไปดูความผิดปกติในค่ายทหารที่เมืองหลิ่งจูขอรับ”
“อืม...อย่างนั้นสามวันนี้เจ้าก็พักผ่อนให้มากสักหน่อยเถอะ” จินเฟยหมิงเห็นสภาพของบุตรชาย แล้วก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ยิ่งหลังจากที่จินเฟยหลงได้ขึ้นมารับตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่แทนเขา อีกฝ่ายก็ยิ่งไม่ยอมดูแลตัวเอง
“ขอรับ”
“เฟยหลงเรื่องเจ้ากับฮุ่ยหลิง...เจ้าจะให้พ่อไปคุยกับอาหนิงให้เจ้าเลยดีหรือไม่?” จินเฟยหมิงพูดขึ้นยามนี้เขาคิดว่าบุตรชายคนรองของเขาควรมีคนมาช่วยดูแล และหลายปีมานี้เขาก็เห็นมีเพียงสตรีนางเดียวที่บุตรชายของเขายอมให้เข้ามาอยู่ใกล้ตัว และมักจะพาสตรีนางนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ
“ข้า...เอาตามที่ท่านพ่อเห็นสมควรได้เลยขอรับ” จินเฟยหลงเมื่อยินที่บิดาพูด ตอนแรกเขาก็คิดอยากจะเอ่ยถ่วงเวลาให้ตัวเองอีกสักพัก แต่เมื่อคิดได้ว่าจะช้าหรือเร็ว...อย่างไรเขาก็คงต้องแต่งงานตามหน้าที่ และตามที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว เขาจึงเอ่ยตอบรับเพื่อให้ผู้เป็นบิดารู้สึกสบายใจทันที
“ได้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ พ่อจะเข้าไปพูดคุยกับอาหนิงไว้ให้เจ้าเลย และเดี๋ยวพ่อจะให้ทางนั้นหาดูเรื่องฤกษ์ยามไว้ให้พวกเจ้าด้วยเลยดีหรือไม่”
“ได้ขอรับ ขอบคุณขอรับท่านพ่อ”
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะเฟยหลง”
จินเฟยหลงคำนับให้ผู้เป็นบิดา ก่อนจะกลับไปยังห้องพักของตัวเอง
จินเฟยหมิงมองตามหลังจินเฟยหลงไป... เมื่อก่อนหากไม่ใช่เรื่องในกองทัพ อีกฝ่ายก็แทบจะไม่ยอมพูดคุยกับเขา และจินเฟยหลงก็แทบจะไม่ยอมกลับมาพักที่จวนแม่ทัพเลยสักครั้ง จนเมื่อครอบครัวของเขาได้ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายครั้งล่าสุดมา... ก็เหมือนกับสวรรค์จะยังหลงเหลือความเมตตาให้กับเขา เพราะเขาได้จินเฟยเทียนกลับคืนมา และจินเฟยหลงก็ยอมกลับมาพูดคุย ยอมกลับมานอนพักที่จวนแม่ทัพอีกครั้ง ยามนี้จินเฟยหมิงต้องการเพียงแค่ได้เห็นบุตรทั้งสามคนของเขาได้มีความสุขอยู่บนเส้นทางที่เจ้าตัวเป็นผู้เลือก แค่เพียงเท่านี้ชีวิตบั่นปลายของเขาก็มีความสุขที่สุดแล้ว
“เฟยหลง วันนี้เจ้าแวะไปชวนฮุ่ยหลิงมารับสำรับเย็นกับพวกเราที่จวนดีหรือไม่?” จินเฟยหมิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขารับสำรับเช้าด้วยกันเสร็จ
จินเฟยฮวาก็หันไปมองที่จินเฟยหลงด้วย เพราะนางชอบพูดคุยกับหนิงฮุ่ยหลิงจึงอยากให้พี่ชายคนรองพาอีกฝ่ายมาเที่ยวเล่นที่จวน
“วันนี้ข้ามีนัดกับพวกอาเจี้ยนที่โรงเตี๊ยมขอรับ แต่เดี๋ยวข้าจะแวะเข้าไปชวนฮุ่ยหลิงไปรับสำรับเย็นด้วยกันที่นั่นเลยขอรับ”
จินเฟยหมิงพยักหน้ารับคำพูดของบุตรชาย และเมื่อพวกเขาพูดคุยกันจบ จินเฟยหลงก็แยกตัวออกไปทำตามหน้าที่ของตัวเอง
จินเฟยหลงเมื่อแยกตัวออกมาจากผู้เป็นบิดาและน้องสาว เขาก็ออกไปจัดการตรวจงานในส่วนต่าง ๆ ที่ค่ายทหารกับหยงหมิน และเขาก็ได้สั่งการให้หยงหมินเตรียมการที่จะไปตรวจงานในค่ายทหารที่เมืองหลิ่งจูเอาไว้ตั้งแต่วันนี้เลย และเมื่อเขาจัดการสั่งงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาตัวเองไปหาหนิงฮุ่ยหลิงที่จวนรองแม่ทัพ
“คุณชายรองจินรอข้าตรงนี้สักครู่นะเจ้าคะ” หนิงฮุ่ยหลิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่จินเฟยหลงเข้าไปชวนนางออกมารับสำรับเย็นที่โรงเตี๊ยมกับสหายของเจ้าตัว แต่เพราะนางได้รับปากผู้เป็นมารดาเอาไว้ เรื่องออกมาตรวจงานที่ร้านผ้าในตลาด นางจึงขอแวะมาจัดการงานของตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน และจินเฟยหลงก็ยินดีที่จะมาส่งนาง
จินเฟยหลงพยักหน้ารับคำของหนิงฮุ่ยหลิง ก่อนจะเดินไปดูของในร้านแผงลอยที่ตั้งอยู่ข้างร้านผ้าเพื่อรอนาง
และเมื่อจินเฟยหลงได้เห็นพัดเล่มเล็กเล่มหนึ่งในร้านแผงลอยนั้น มันก็ทำให้เขาเผลอคิดไปถึงใครบางคนขึ้นมาอีกแล้ว...
“นี่เหยียนชิงตอนนี้พวกเราก็ใกล้จะจบจากสำนักศึกษาแล้ว อีกหน่อยเจ้าก็ไม่สามารถเดินถือสมุดไปไหนมาไหนได้อีกแล้วนะ แล้วหลังจากนี้เจ้าจะถืออะไรแทนล่ะ” จิงเสี่ยวจางเอ่ยถามเหรินเหยียนชิงเพราะอีกฝ่ายติดนิสัยชอบถือสมุดเล่มเล็กติดตัวไปไหนมาไหนด้วยทุกที่ และในยามที่เผลอหรือยามที่คิดอะไรไม่ออกเจ้าตัวก็มักจะนำสมุดเล่มนั้นขึ้นเคาะหัวหรือไม่ก็จะนำมาตีที่มืออีกข้างของตัวเองเบา ๆ ขนาดในยามนี้ที่พวกเขาออกมาเดินเล่นในตลาด คนตรงหน้าก็ยังคงพกสมุดเล่มเล็กติดตัวมาด้วยเลย
“ข้าขอแนะนำเป็นพัด นั่นอย่างไรล่ะในร้านนั้น...เราไปดูกันเถอะ” จิงเสี่ยวจางเดินนำสหายทั้งสองกับแฝดผู้พี่ของเขา เข้าไปยังร้านแผงลอยที่มีพัดเล่มเล็กวางขายอยู่ห้าหกเล่ม
“พัดเล่มนี้ดูน่าจะเหมาะกับเจ้านะ” จิงเสี่ยวเจี้ยนหยิบพัดเล่มหนึ่งในกองขึ้นมาให้เหรินเหยียนชิง
“แต่ข้าว่าพัดเล่มนี้ดูน่าจะเหมาะกับเจ้ามากกว่า...ไหนเหยียนชิงเจ้าลองถือให้ข้าดูหน่อยเร็ว” จิงเสี่ยวจางยื่นพัดอีกเล่มหนึ่งไปให้เหรินเหยียนชิงตัดหน้าแฝดผู้พี่ของเขา
จินเฟยหลงมองตามพัดเล่มที่จิงเสี่ยวจางส่งไปให้เหรินเหยียนชิง เขาคิดว่าพัดเล่มนี้ดูน่าจะเหมาะกับคนตรงหน้ามากกว่าเช่นกัน เพราะพัดเล่มนี้ทำด้วยไม้เนื้ออ่อนประดับด้วยพู่ห้อยสีน้ำเงินเข้ม และในยามที่เหรินเหยียนชิงถือก็จะเห็นพู่ห้อยจากพัดเล่มนี้ ตกลงมาคลอเคลียที่แขนของคนตรงหน้า
“ได้...ตอนนี้ข้าเหมือนบุรุษเจ้าสำราญหรือไม่?” เหรินเหยียนชิงเอ่ยถามหลังจากรับพัดจากจิงเสี่ยวจางมาลองถือดู
“หึ!”
“เจ้าหัวเราะข้า!” เหรินเหยียนชิงหันไปต่อว่าจิงเสี่ยวจาง
“ก็เจ้าเหมือนบัณฑิตหนีเที่ยวมากกว่าบุรุษเจ้าสำราญนี่นา”
“อาจาง!”
“ข้าพูดจริง...ใช่ไหมอาเจี้ยน เฟยหลง”
จิงเสี่ยวเจี้ยนพยักหน้าให้กับแฝดผู้น้องของเขา ส่วนจินเฟยหลงทำเพียงยืนมองแต่เขาก็แอบเห็นด้วยกับจิงเสี่ยวจาง
เหรินเหยียนชิงมองไปยังคู่แฝดตรงหน้าก่อนจะมองไปที่จินเฟยหลง แล้วเขาก็ได้เห็นสายตาของคนทั้งสามแสดงออกมาว่าคิดเห็นเช่นเดียวกัน
“เฟยหลงเจ้าก็คิดเหมือนกับสองคนนี้ใช่หรือไม่? พวกเจ้านี่...แต่จะว่าไปพัดเล่มนี้ก็เหมาะมือข้าดีเหมือนกันนะ ถ้าอย่างนั้นหากเรียนจบข้าจะเลือกถือพัดแทบสมุดก็แล้วกัน” เหรินเหยียนชิงพูดจบก็หันไปจ่ายเงินกับเจ้าของร้านแผงลอย
“คุณชายรองจินเจ้าคะ” หนิงฮุ่ยหลิงเดินเข้าไปเรียกจินเฟยหลง หลังจากที่นางเดินออกมาจากร้านผ้าแล้วเห็นอีกฝ่ายยืนมองพัดเล่มหนึ่งอยู่หน้าร้านแผงลอย
“เราไปกันเถอะ” จินเฟยหลงเอ่ยขึ้นเมื่อหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง จากนั้นเขาก็เดินนำหนิงฮุ่ยหลิงกลับไปที่รถม้าทันที
‘เหยียนชิงตอนนี้เจ้าไปอยู่ที่ไหน...แล้วเมื่อไหร่ข้าถึงจะเลิกคิดเรื่องเจ้าได้สักที’ จินเฟยหลงคิดในใจระหว่างที่นั่งอยู่บนรถม้า
ความคิดเห็น