ตอนที่ 16 : บทที่ 6.1 หวั่นไหว
“โอ๊ะ!”
อุทานเมื่อกระดานวาดภาพบนตักร่วงลงผืนทราย รีบเอื้อมไปเก็บขึ้นมาทันที...และความคิดบรรเจิดก็พวยพุ่งทันทีเช่นกัน วีชนัฏถอยกลับไปนั่งยังต้นไม้ที่จากมาเมื่อครู่อีกครั้ง...
สองชั่วโมงต่อมา เสียงโทรศัพท์ของโซลดัง เล่นเอาเจ้าตัวสะดุ้งกดรับแทบไม่ทัน
“ครับ”
“เมื่อไหร่จะกลับบ้าน”
“ผมยังไม่อยากกลับ”
โซลขยับตัวจากต้นไม้ใหญ่ เลี่ยงไปคุยโทรศัพท์อีกทาง วีชนัฏมองตามตาละห้อย ชะเง้อสังเกตเขาเป็นระยะ รายนั้นทำหน้าเครียดตลอดเวลา เหมือนกับว่ากำลังทะเลาะกับคนที่โทรเข้ามา เธอมองภาพวาดในมือแล้วตัดสินใจพับเก็บไว้
โซลเดินกลับมาหาวีชนัฏหลังจากเสร็จธุระ มองเธอด้วยสายตาไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“เสร็จหรือยัง” ถามเสียงแข็ง
“เรียบร้อยค่ะ” ฝั่งนี้พยายามทำร่าเริงเข้าใส่ ยื่นภาพวาดส่งให้เขา
“มีฝีมือนี่แต่ยังไม่ผ่าน ฉันคิดผิดหรือเปล่าที่พามาถึงทะเล เปลืองค่าน้ำมันรถจริงๆ”
เพราะโมโหจากพ่อมาหมาดๆ จึงอาละวาดใส่วีชนัฏ คนวาดสุดความสามารถน้ำตาคลอจ้องหน้าเขา
“คุณคงลืมไปว่าหนูไม่ได้ร้องขอ แต่คุณเป็นคนพามาเอง”
จ้องเขาอย่างแค้นเคือง เชือดเฉือนด้วยวาจาก่อนเดินผ่านร่างสูงไปอย่างกระแทกกระทั้น โซลเหมือนโดนตบหน้าแล้วชิ่งหนี รีบหมุนตัววิ่งตามเธอไปจนทัน
“นี่! จะกลับเองยังงั้นเหรอ”
ตะโกนถามร่างบางที่เดินฉับๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด วีชนัฏหนีเขาโดยไม่เหลียวหลัง กลับบ้านอย่างไรเธอไม่รู้แต่ที่แน่ๆ ไม่มีทางกลับกับคนอย่างเขาเป็นอันขาด
“วีต้า พี่ถามไม่ได้ยินหรือไง”
แน่ะ! ทีอย่างนี้มาแทนตัวเองว่าพี่ สงสัยผีที่สิงอยู่เมื่อกี้คงออกไปแล้วกระมัง วีชนัฏได้แต่ครุ่นคิดในใจ...เดินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกร้อนเท้าทั้งสองข้างขึ้นมา จึงหยุดก้มดู
“ตายแล้ว! ลืมใส่รองเท้ามาหรอกหรือ”
“หยุดได้ซักทีสินะ”
ร่างสูงหยุดตรงหน้า รายนั้นค้อนตากลับเม้มริมฝีปาก เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างหยิ่งผยอง
“กลับไปถึงบ้านเมื่อไหร่ คุณกับหนูไม่ต้องมาเจอกันอีก ไม่ต้องรอให้ถึงตามที่กำหนดหรอก...หนูไม่ไหวกับคุณแล้ว”
“ฉันก็ไม่อยากทนสอนเด็กเอาแต่ใจไร้เหตุผลอย่างเธอเหมือนกัน อะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆ โรงเรียนก็ไม่ไป เป็นบ้าอะไรมาทำตัวผลาญเงินพ่อกับแม่”
เหมือนถูกน้ำร้อนสาดหน้าที่เป็นแผลเหวอะ เขามีสิทธิ์อะไรมาว่าเธอเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วีชนัฏน้ำตาไหลพราก กะพริบตาถี่อยู่หลายหนเพื่อไล่เครื่องหมายแห่งความอ่อนแอออกไป
“พ่อแม่จะหมดเงินไปกับอะไรมันก็เป็นเงินของครอบครัวเรา หนูจะใช้อะไรไปบ้างมันก็เรื่องของหนูคุณไม่มีสิทธิ์มาว่า...คนอย่างคุณก็เป็นทาสให้กับอำนาจเงินไม่ใช่เหรอ? ที่มาสอนหนูเพราะค่าตอบแทนสูงใช่ไหมล่ะ? นี่!...คุณรู้อะไรไหม ถ้าตอนนี้หนูมีเงินอยู่ในมือล่ะก็ หนูจะใช้มันฟาดหัวคุณแรงๆ สักที”
สีหน้าและท่าทางเจ้าหล่อนทำคนอย่างเขาสั่นเทิ้ม ใบหน้าสวยยิ้มหยันน่าหมั่นไส้ โซลย่างกรายเข้าไปใกล้ หรี่ตามองอย่างจดจ้อง
“จะเอาเงินฟาดหัวฉันเรอะ! ถ้าเธอเอาเงินฟาดหัวฉันได้ ฝ่ามือของฉันก็อาจฟาดกลับตามสัญชาตญาณคนเอาตัวรอด เอาสิ! จะลองดูก็ได้”
“เชื่อค่ะว่าคุณทำร้ายร่างกายหนูได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราสองคนก็อย่ามาเดินร่วมทางกันอีก หนูจะกลับบ้านด้วยตัวเองส่วนคุณก็ขับรถคนอื่นกลับบ้านไปเถอะ อ้อ! แล้วสะดวกจะเข้าไปรับเงินวันไหนก็เชิญที่บ้านได้ตลอดนะคะ จะตอบแทนให้คุณอย่างงาม ไม่ต้องห่วง”
ประโยคหลังที่ออกมาจากปากช่างเน้นหนัก วีชนัฏไม่สนใจหน้าตาที่เหมือนยักษ์มารของเขาสักนิด หมุนตัวกลับหลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินอย่างรีบร้อน ทว่าไปไม่ถึงไหน เสียงใสที่เคยเชือดเฉือนเขาเมื่อกี้กลับร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ร่างของเธอทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้นทราย โซลอดห่วงไม่ไหววิ่งตามมาดูคนปากเสีย
“โอ๊ะ!”
ครางหงุงหงิงกำเท้าซ้ายไว้แน่น โซลจับดูอาการของนักเรียน แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะเธอสะบัดมือหนี และผลักเขาอย่างรังเกียจ
“เก่งนักเรอะ! แก้วชิ้นใหญ่ปักลงกลางเท้าขนาดนี้ยังจะทำผยองอยู่ได้”
วีชนัฏไม่สนใจคำพูดต่อว่า มองเศษแก้วที่ปักอยู่กลางฝ่าเท้าด้วยสีหน้าซีดเผือด ตัดสินใจจับมันพร้อมกับหายใจเข้าออกยาวๆ อย่างมาดมั่น ก่อนดึงแก้วที่ฝังอยู่ลึกพอสมควรออก โซลมองดูความกล้าบ้าบิ่นของสาววัยสิบแปดอย่างอึ้งๆ ยายนี่กล้าและบ้าดีเดือดกว่าที่เขาคิดไว้เยอะ วีชนัฏปาเศษแก้วทิ้งไปอีกทาง เลือดแดงสดไหลทะลักออกมาไม่หยุด...สร้างความเจ็บปวดให้เจ้าของแผลจนน้ำตาไหลพราก
“ลุกไหวไหม ให้พี่พาไปดีกว่า”
โซลอ่อนลงเพราะสงสารเธอเหลือเกิน เลือดไหลออกมาไม่หยุดจนเขาเองยังตกใจ แต่เจ้าของแผลหาสนใจไม่ เธอไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนอย่างเขาแม้แต่น้อย
“อย่ามายุ่งหนูไปเองได้ คุณจะไปไหนก็เชิญ”
ร่างเล็กพยายามยันกายขึ้นมา กัดริมฝีปากข่มความเจ็บปวดจนปากเลือดซิบ ยิ่งทำเหมือนยิ่งแย่แผลดูเหมือนจะฉีกกว้างมากกว่าเดิม เจ้าของแผลร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดสุดขีด
“โอ๊ย! ฮือๆ”
เมื่อลุกไม่ได้จึงนั่งจ้ำเบ้าลงไปอีกหน คราวนี้ไม่ได้ร้องปวดแผลเพียงอย่างเดียว วีชนัฏร้องไห้โยเยเหมือนเด็ก โมโหตัวเองที่ต้องมาทำท่าทางทุเรศทุรังให้คนอย่างเขาเห็น ดีไม่ดีตานี่มีแต่จะหัวเราะเยาะเข้าไปอีก ให้ตายสิ! น่าอายชะมัด
“มานี่ เดี๋ยวพี่จะห้ามเลือดไว้ก่อน”
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เขาย่อตัวลงยื่นมือมาจับบริเวณข้อเท้าน้อยออกแรงดึงมันเข้าหาตัวเบาๆ วีชนัฏมองทั้งน้ำตา เธอไม่ได้ร้องห้ามหรือปฏิเสธผู้ชายปากร้ายอีกต่อไป โซลใช้ผ้าเช็ดหน้าตัวเองพันห้ามเลือดตรงตำแหน่งที่โดนแก้วบาดไว้ เขากระทำมันลงไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อนแม้กระทั่งปรางทิพย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
