คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
บทที่ 4
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
นับตั้งแต่มีการปรากฏตัวของสัญญาณของมหาเวทย์มนต์ดำ ชาวบ้านต่างก็หามาตรการในการป้องกันตัวทุกวิถีทางเท่าที่พวกเขาจะทำได้ วันหนึ่งเฟวาย่ำเตาะแตะไปตามถนนในตลาดกลางเมือง เห็นพวกพ่อค้าแม่ค้าห่อผ้าคลุมศีรษะอย่างมิดชิด แต่ถึงยังไงๆ เฟวาก็จำคุณป้าแมลด้าขายผลไม้ป่าได้อยู่ดี ถึงแม้ว่าเธอจะปฏิเสธเสียงแข็ง ทั้งยังเอาสามีคือลุงวิลลี่มาเป็นพยานอีกยิ่งทำให้เฟวาแน่ใจว่าเธอทักไม่ผิดคน ถ้าหากเอญ่าไม่สะกิดบอกให้ตามน้ำไปป่านนี้คงมีสงครามเล็กๆ ระหว่างสองตายายกับสาวน้อยหัวรั้นเป็นแน่
ยิ่งผู้คนทำตัวแปลกๆไปกว่าเดิม นี่ไม่รวมกษัตริย์แห่งฟารันเทียที่หมกตัวอยู่ในโบสถ์ พร่ำสวดมนต์อะไรไม่รู้ ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่ทรงเคยทำเช่นนี้มาก่อน นั่นยิ่งทวีความสงสัยในกับเฟวาอย่างยิ่ง ถามใครในวังก็มีแต่เลี่ยงไปเรื่องอื่น คิดว่าเธอเป็นแค่เด็กอ่อนสมองนิ่มกันหรือไง ทำอย่างกับว่าเธอไม่มีตัวตน เฟวาคิดอาฆาตทุกครั้งที่เอ่ยปากถามใครต่อใคร
เป็นช่วงเวลาที่แสนน่าเบื่อหน่ายที่สุดในชีวิตของเธอ ในวันที่อากาศปลอดโปร่งแต่สมองของผู้คนกำลังตึงเครียด เฟวาก็เดินย่ำท้าวไปทั่วเมืองมองหาสิ่งที่จะชูใจให้เธอมีความสุขมากขึ้นกว่าเท่าที่เธอมีเหลือน้อยเต็มทน ผู้คนก็ยังคงคลุมศีรษะด้วยผ้าหลากสีตามเดิมออกจะหนักกว่าเดิมเสียอีกเมื่อเฟวาเห็นพ่อค้าหนังสือเวทย์มนต์มือสอง ใส่เสื้อเกาะที่คิดว่าทำมาจากหม้อเก่าๆ หลายใบ เฟวาอดขำไม่ได้ไม่รู้ว่าเป็นความตื่นกลัวของพ่อค้าคนนี้หรือว่าเป็นเทคนิคการขายกันแน่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั่นเขาทำได้เยี่ยมยอดมาก
"ว่าไงจ๊ะสาวน้อย...สนใจเล่มไหนเป็นพิเศษจ๊ะ" ชายร่างถ้วมเจ้าของร้านหนังสือเวทย์มนต์มือสอง ที่เต็มยศไปด้วยเกาะกำบังแสนทนทานและสูงค่ายิ่ง เฟวาแอบประชดในใจ
"ก็หรอกค่ะ..อืม..." เธอครางพลางมองกวาดสายตาไปทั่ว "เล่มไหนที่คนเขาชอบซื้อกันค่ะ" เฟวาถามเอื่อยๆ
"เล่มนี้เลยจ้า หนูน้อย" เจ้าของร้านหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา โดยที่ไม่ต้องเลือกเลย
"เล่มนี้เหรอค่ะ" เฟวาว่าขณะรับหนังสือมาเปิดอ่านในมือ เป็นหนังสือเล่มหนาขนาดที่ใครเห็นเป็นต้องวาง เพราะอ่านทั้งชาติก็ไม่จบ แต่รูปเล่มที่สวยงามที่ยังพอลบล้างกับขนาดของมันได้
หน้าปกสีทองมีลวดลายสลักสวยงามตามมุมทั้งสี่ของหน้าปก ตรงกลางเป็นกรอบวงรีมีตัวอักษรย่อเป็นอักษรโบราณซึ่งเฟวายังอ่านไม่ออก แต่ก็ยังปั้นสีหน้ารอบรู้ "อ้อ" เธออุทานอย่างผู้รู้ เล่มที่ฉันตามหามานาน
"ดีเลย" เจ้าของร้านรีบบอก
"ใช่...เอ่อเท่าไรล่ะ" เฟวายื่นหนังสือออกมาเล็กน้อยขยับไปมาอย่างไร้ค่า
" 200 เบล่าร์ก็พอจ๊ะ" ก่อนที่เฟวาจะเอ่ยขัดเขาก็ชิงตัดหน้าเสียก่อน "สำหรับหนังสือทรงคุณค่าที่ใครๆ ก็ฝันถึง เป็นหนังสือในตำนาน" เจ้าของร้านยิ้มอย่างมีชัย
"ถ้าเป็นหนังสือในตำนานอย่างที่คุณลุงบอกจริง และสมมติว่าฉันเป็นเจ้าของมัน ฉันคงบ้าตายที่ต้องขายหนังสือเล่มนี้ให้ใคร และคงเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะให้ใครด้วยความรักใคร่ หรือขายไปให้ราคาเฉียดล้านเบล่าร์ ถึงอย่างนั้นฉันคงไม่ยอมยกให้ใครแน่นอน ถ้าไม่มีใครขโมยมันไปจากฉัน" เฟวาหลิ่วตาเล็กลงอย่างน่ากลัว และก่อนที่จะมีการคัดค้าน "คงไม่น้อยเกินไปถ้าจะ 50 เบล่าร์ สำหรับของโจร"
"แต่มัน.." เจ้าของร้านท่าทางกำลังจะค้าน
"งั้นฉันต้องขอโทษด้วยที่คิดมากเกินไป และเสียดายที่มันอาจไม่ใช่ของจริง และเสียดายที่สุดที่ของปลอมยังขายไม่ได้เลยในราคา 50 เบ.."
" 50 เบล่าร์" เจ้าของร้านพูดอย่างปลงสุดกำลัง เอากระดาษมาห่อให้อย่างรีบเร่ง "และขอบอกเลยนะสาวน้อยว่านั่นน่ะของจริงร้อยเปอร์เซ็น" เจ้าของร้านหลิ่วตาให้ข้างหนึ่ง
เฟวาหลิ่วตาให้แล้วเดินแกว่งห่อกระดาษอย่างไม่ใส่ใจหลังจากจ่ายเงินให้เจ้าของร้านเพียง 30 เบล่าร์ ก่อนที่เจ้าของร้านจะนับเงินเธอก็หายลับไปจากฝูงชน หายไปจากแววตาเอ็นดูของเจ้าของร้านขายหนังสือเวทย์มนต์มือสอง แต่ชั่ววินาทีต่อมาเจ้าของร้านหนังสือดวงตาก็ว่างเปล่า ล้มตึงลงบนพื้นอย่างน่าเวทนา (เฟวานะเฟวา ช่างทำได้ลง)
เฟวายังคงเดินย่ำไปตามถนนที่ปูด้วยหินขรุขระสองข้างทางเป็นตึกแถวเบียดเสียด เพราะส่วนใหญ่ย่านนี้เป็นย่านการค้า มีร้านต่างๆ มากมาย ย่านพาร์กินส์สัน เป็นย่านที่เฟวามาเยี่ยมเยียนน้อยที่สุดและแน่นอนเธอคุ้นเคยน้อยที่สุดด้วย แต่น่าแปลกที่เธอกลับชอบที่นี่มากที่สุด เพราะย่านนี้เป็นที่รวบรวมสินค้าที่เกี่ยวกับเวทย์มนต์คาถาต่างๆ และเป็นย่านของผู้ใช้เวทย์ด้วย เฟวาเดินผ่านร้านขายต้นไม้ปลูกด้วยเวทย์ เพียงพริบตาเดียวจากเมล็ดก็กลายเป็นต้นอ่อน จากต้นอ่อนก็ผลิดอกออกผล หวังว่ามันคงไม่ใหญ่จนทำให้ย่านพาร์กินส์สันระเบิดได้ อีกครั้งที่เฟวาแปลกใจเกี่ยวกับร้านขายของที่มองยังไงๆ ก็ไม่น่าเข้าไป ข้างในท่าทางอับชื้นพิกล แต่ยังทำหยิ่งติดป้ายไว้ที่น่าร้านว่า ห้ามผู้ใช้เวทย์ต่ำกว่าระดับ 5 เข้าร้าน --คงคิดว่าแน่ล่ะซิ-- เฟวาคิดในใจ --ลองดูคงไม่เป็นไร-- เฟวาคิดท้าทายแถมไม่คิดเปล่า มือบางเอื้อมไปที่ประตูกระจกหน้าร้าน ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกับประตู จากกระจกใสกลับกลายเป็นผิวน้ำบางๆ แต่ดูข้นเหนียวกว่าที่เคย เฟวาลองยื่นมือเข้าไปในผิวน้ำเย็นๆ เหมือนเมือกนั้นเข้าไป ตอนนี้แขนเธอพ้นเข้าไปเกือบทั้งแขนแล้วเฟวาทั้งแปลกใจทั้งตื่นเต้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอก้าวต่อผ่านผิวน้ำเย็นนั้น ทันใดนั้นเฟวาสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น ตอนแรกก็ไม่สงสัยอะไรพอจะก้าวเท้าต่อเท่านั้น น้ำนั้นก็คล้ายกลับเดือดขึ้นมากะทันหัน เฟวารีบผละตัวถอยหลังมาจนพ้นประตูปีศาจ (เฟวาตั้งชื่อให้) เฟวารีบจ้ำอ้าวจากไปเพราะพวกเด็กแถวนั้นพากันหัวเราะเธออย่างกับเจอดาราตลก อายเพราะขายหน้า โกรธที่เธอก็ใช้เวทย์แล้วทำไมต้องมาแบ่งระดับบ้าบออะไรนั่นด้วย (เฟวาตวาดกับตัวเอง)
เฟวาล้วงถุงหนังใบเท่าฝ่ามือออกมาจากเข็มขัดหนัง ซึ่งออกจะลำบากเล็กน้อยเพราะเธอดันไปใส่เสื่อเชิ้ตมีสายหนังเป็นเอี้ยมระโยงระยางและกางเกงหนังแบบผู้หญิงซึ่งเฟวาเรียกชุดนี้ว่าเป็นชุดของนักเพเนจร เพื่อไม่ให้ชาวบ้านสงสัย เพราะอย่างนี้มันจึงดูรกรุงรังไม่รู้อะไรต่อมิอะไรบนตัวเธอกว่าจะควักถุงของยียเอญ่าออกมาก็ลำบาก
"เอญ่า...เอญ่า...เอญ่า" ระดับเสียงเรียกดังขึ้นทุกครั้งๆ ที่เอ่ยเรียก
"อะไรอีกล่ะ ข้ารำคาญจะแย่อยู่แล้ว" เอญ่าบินออกมาจากถุงใบจ้อย สีหน้าปั่นปึ่งบ่งบอกอารมณ์กรุ่น
"ฉันเป็นผู้ใช้เวทย์ใช่มั๊ย" เฟวาถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"ทำไมเหรอ" เอญ่าถามกลับ
"ฉันถาม..." น้ำเสียงอย่างสะกดอารมณ์
"ก็ร้อยวันพันปีเธอไม่เคยสนใ...จ"
"ฉันถามว่า-ฉัน-เป็น-ผู้-ใช้-เวทย์-ใช่มั๊ย" เฟวาข่มอารมณ์อย่างยากเย็น
"ใช่" เอญ่าตอบสั้นๆ แต่แววตายังคงแปลกใจ ที่อยู่ดีๆ เฟวามาสนใจเรื่องเวทย์มนต์นั่นก็ไม่น่าแปลกใจไปกว่าที่เธอสนใจเวทย์มนต์ในตัวเองทั้งๆ เธอออกจะเป็นพวกไม่รู้จักเวทย์มนต์ด้วยซ้ำไป
"แล้วฉันอยู่ในระดับไหน" เฟวายังคงวางท่านิ่ง หวังว่าจะให้เอญ่าเกรงใจบ้าง "ฉันหมายถึงระดับของเวทย์มนต์ของฉันน่ะ"
"ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะๆๆๆๆๆ" เอญ่าหัวเราะเหมือนกับกรีดร้อง อย่างพอใจ "เธอ...ฮ่ะ ฮ่ะๆๆ"เอญ่ายังไม่หยุดหัวเราะ
"ไม่ตลก" เฟวาพูดอย่างเบื่อหน่าย
"เธอไม่ต้องรู้หรอก" เอญ่ากลับเปลี่ยนสีหน้าจากบิดเบี้ยวจากการหัวเราะแบบเสแสร้งมาพูดอย่างจริงจัง "มันเป็นข้อตกลงระหว่างฉันกับองค์เฟเดรอา กราเดรียน่า ท่านสั่งไม่ให้ฉันพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้"
ต่างนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
"ฉันไม่เข้าใจ...เธอกับท่านพ่อมีข้อตกลงอะไรด้วยเหรอ" เธอหมายถึงเรื่องที่เธอไม่ได้ร่วมตกลงด้วย
"ฉันเป็นทูตประจำตัวเธอนะ (อาจจะเรียกว่าพี่เลี้ยหรือว่าผู้คุมความประพฤติก็ไม่ต่างกัน)" เอญ่าบอกอย่างผู้ปกครอง
"ก็...ใช่" เฟวาเริ่มหงุดหงิด
"แต่ว่าฉันเป็นลูกเจ้านายเธอนะ" เฟวาต่อลอง "ถ้าเธอเป็นเพื่อนที่ดี มันก็ไม่ผิดหรอกที่จะบอกอะไรก็ได้ที่ฉันอยากรู้ และโดยเฉพาะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฉันด้วย"
"คิดว่าคงไม่ได้หรอกนะถ้ามันจะทำให้ฉันซวย" เอญ่าทำเสียงแข็งแถมยังบินไปรอบๆ อย่างน่าเวียนหัว
"ถ้าเธอจะช่วย"
"ไม่ได้"
"ช่วยหยุดซักเดี๋ยวได้มั๊ย.....ฉันเวียนหัวจะแย่อยู่แล้ว" เฟวาว่าเอามือกุมขมับ
"อ้อ!" เธอหยุดบินแล้ว "บางทีฉันอาจจะมีอะไรบางอย่างจะบอกเธอ" เอญ่าหันไปมองแววตากระหายอยากรู้อย่างสังเวทลูกตาตัวเอง "ไปถามฝ่าบาทเองเถอะ" เอญ่าไม่รอช้าบินเข้าถุงประจำตัวอย่างรวดเร็วปล่อยให้เฟวาอ้าปากค้างซะงั้น
"อะไรกัน....แค่เรื่องกระจิดริดแค่นี้ ทำมีลับลมคมในไปได้ ให้ตายเถอะ" เฟวาทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนบ่นกับฟ้ากับอากาศรอบตัว ทางซ้ายมือเป็นเนินเขาเตี้ยๆ มีปราสาทตั้งตระหง่านอยู่สภาพไม่เก่าไม่ใหม่มากเกินไป เป็นอารยะธรรมยุคเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาจนมาถึงรุ่นเธอ เป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นใหญ่และรุ่งเรืองของฟารันเทีย ส่วนซ้ายมือเป็นทะเลสาบแองการ์ต้า เป็นทะเลสาบที่คลื้นลมรุนแรงผิดธรรมชาติ แต่ก็นั่นแหละเพื่อป้องกันศัตรูที่จะใช้เส้นทางนี้เข้ามารุกรานปราสาทฟารันต้า
เฟวาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นจากเดินเป็นวิ่ง "ต้องรู้ให้ได้ซินะ" ร่างสาวน้อยย่อส่วนลงไปเรื่อยๆ เมื่อเธอมุ่งหน้าไปตามทางเล็กทอดยาวไปยังปราสาท จนหายลับไปจากสายตาของชายหนุ่มที่คอยเฝ้าดูเธอตลอดเวลาตั้งแต่เธอต่อรองราคาหนังสือเวทย์มนต์ที่ตลาดนั่น
"ฝ่าบาทองค์หญิงเฟวา กราเดรียน่า ขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ" เสียงทหารองครักษ์รอดผ่านช่องว่างที่อากาศพอจะผ่านประตูบานใหญ่สีทองมาได้
"เข้ามา" เสียงบอกทรงอำนาจ
ประตูบานใหญ่สีทองอร่ามถูกผลักออกอย่างช้าๆ เพราะน้ำหนักมหาศาลของมัน ทันทีที่ช่องว่างระหว่างบานประตูขยายออกกว้างพอที่ร่างของเธอจะเบียดเข้าไปได้ เธอไม่รีรอรีบสาวเท้าเข้าไปย่างรวดเร็ว
"ท่านพ่อ" เฟวาเรียกเสียงออดอ้อน
"ว่าไงสาวน้อยหน้างอ" ผู้เป็นพ่อหยอกย่างอ่อนโยน นั่นยิ่งไปกระตุ้นต่อมหน้างอของเฟวาให้ทำงานหนักมากขึ้น
"ท่านพ่อ" เฟวาตัดพ้อเสียงอ่อย "คือ....เอ่อ...อืม..."
"อ๋อ!" ท่านพ่ออุทาน
"ยัง...เพค่ะ"
"อ้าวเหรอ....ฮ้าๆๆๆๆ" พระราชาหัวเราะอย่างเป็นสุข "เป็นอะไรล่ะลูก มีอะไรบอกมาเลย"
"ลูกอยากรู้ว่า....เอ่อ...คือ..."
"ถ้าไม่พ่อจะทำงานต่อนะ" พระราชาเอ่ยเสียงนิ่มนวลทีเล่นทีจริง
"เพคะ...คือ...ลูกอยากรู้เกี่ยวกับ พลังเวทย์ในตัวลูกเพคะ อยากรู้ว่าลูกอยู่ในระดับไหน เอ่อหมายถึง รับเวทย์มนต์ของลูกเพคะ" สาวน้อยถามด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น
"ทำไมอยู่ดีๆ ลูกถึงอยากรู้เรื่องนี้" พระราชามีสีหน้าเคร่งขึ้น นั่นแหละยิ่งเป็นสิ่งตัดทอนกำลังใจเฟวาอย่างดีเยี่ยม "หรือ..เอญ่า...เขาบอกอะไรลูกเหรอ" เสียงนั้นยิ่งเข้มขึ้น
"ไม่เพคะ" เฟวารีบว่า
"แล้วทำไม..."
"คือลูก เอ่อ วันนี้ลูกเข้าไปในเมืองเดินเล่นตามธรรมดา แต่วันนี้ลูกเข้าไปในย่านพาร์กินสัน แล้วก็เจอป้ายเตือนที่ห้ามไม่ให้ผู้ใช้เวทย์ต่ำกว่าระดับห้าอะไรประมาณนั้นเข้าไปเพคะ" เฟวารีบพูดเร็วรัว ด้วยกลัวเอญ่าจะเจอความผิด
"อันที่จริง" พระราชาทำเสียงหนักใจ "พ่อก็ควรพูดเรื่องนี้กับลูกเสียที" เมื่อกับจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า
เฟวาจ้องเขม็งไปที่พระบิดา ดวงตาที่จ้องเค้นความรับเหมือนกับจะตรวจจับทุกอริยาบทของพระองค์เผื่อว่านั่นจะเป็นเบาะแสให้เธอบ้างเล็กน้อย
"ที่จริงลูกก็โตพอที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้แล้ว" พระราชายังพูดต่อไปเรื่อยๆ
เฟวายิ้มจืดๆ ส่งให้ รอคอยคำบอกเล่าจากพระบิดาเพียงอย่างเดียว
"ลูกควรจะเข้าโรงเรียนเสียที และเรื่องการปรากฏตัวของจอมปีศาจ ถึงแม้จะเป็นเพียงสัญญาณก็เถอะ แต่พ่อจะไม่นิ่งนอนใจเด็ดขาด ลูกต้องปลอดภัย" คำพูดที่คล้ายคำมั่นสัญญามีอะไรซ่อนไว้อยู่เป็นสิ่งที่ทำให้เฟวารู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก น้ำเสียงของพระบิดาช่างฟังดูเขว้งขว้างพิกล
"วางใจเถอะลูก พ่อจะส่งเจ้าไปเรียนที่โรงเรียนเวทย์มนต์ที่มีชื่อเสียง" พระราชากลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มแห้งๆ กับแวดตาเศร้าๆ ทำให้ยังไงๆ เฟวาก็อดคิดไม่ได้
"นี่มันเรื่องอะไรกัน หม่อมฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน โรงเรียนอย่างที่ว่านั่นมีจริงหรือเพคะ" เฟวาพูดด้วยน้ำเสียงปวดร้าว ยังงงกับข้อมูลใหม่ที่คิดแล้วเป็นสิ่งที่จะพลิกชีวิตของเธอเลยทีเดียว
"เมื่อก่อน พ่อไม่อยากไม่ให้เจ้าไปเรียนหรอก พ่อถึงสั่งให้เอญ่าห้ามพูดเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับการเรียน หรือเรื่องโรงเรียนเวทย์มนต์นั่น" พระราชาพูดอย่างเหนื่อยใจต่อไปว่า "แล้วระดับเวทย์มนต์นั่นก็ได้มาจากการเรียน เรียนที่โรงเรียนเวทย์มนต์นั่นแหละ มันเกี่ยวกับโรงเรียนเวทย์มนต์ เอญ่าถึงได้ไม่ยอมพูด"
"แล้วทำไมตอนนี้ท่านพ่อถึงอยากให้หม่อมฉันไปเรียนที่นั่นหละเพคะ" เฟวาถาม
"ก็พ่อเห็นสมควรอย่างนั้น ลูกโตพอที่จะต้องเรียนรู้ทั้งการปกครองและการรบ การมีเวทย์มนต์ก็เป็นอาวุธที่ดีเยี่ยม เมื่อก่อนพ่อผิดเองที่หวงลูกมากเกินไป ถึงตอนนี้พ่อจะหวงแต่ก็ต้องเอาเหตุผลเป็นที่ตั้ง ลูกคงเข้าใจ" พระราชากล่าว
"เพคะ" เฟวารับคำ ถึงแม้ไม่อยากไปนัก ด้วยห่วงพระบิดา "ลูกเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นลูกขอตัวนะเพคะ" พระองค์เพียงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วประตูบานใหญ่ก็เปิดกว้างออก ครั้งนี้กลับรู้สึกว่ามันเปิดเร็วกว่าครั้งที่เธอเข้ามา เฟวาเดินช้าๆ ออกไปนอกห้องของพระบิดา ดวงตาเหม่อลอย รู้เพียงว่าต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น
"เฟวา เธอจะไปไหน" เอญ่าร้องทัก
เฟวาชะงัก เงยหน้าขึ้นก็พบว่าตัวเองเดินพ้นหน้าห้องของตัวเองไปแล้วเกือบ
"เป็นอะไรของหล่อนอีกล่ะเนี่ย" เอญ่าพ่นลมออกจากจมูกแรงๆ อย่างไม่พอใจ แล้วก็บินผ่านเข้าไปในช่องประตูเล็กๆ พอที่เธอจะผ่านเข้าไปได้ ที่ถูกทำขึ้นอย่างพิเศษตรงกลางบานประตูบานหนึ่ง
"เฟวา เป็นไรไป" เอญ่าเอ่ยถามอย่างจริงใจ ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นเฟวาเลย
ห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราที่สุดเท่าที่ปราสาทหินอายุเก่าแก่กว่า 900 ปี จะทำได้ แต่กระนั้นก็ถือว่าหรูหราและทันสมัยพอสมควร โคมไฟลอยเขว้งอยู่บนอากาศ น่าจะเรียกว่าฟองอากาศห่อไฟซะมากกว่า ซึ่งลอยสวนผ่านกันไปมา เหมือนหิ่งห้อยสีเหลืองทอง ด้านหนึ่งของห้องเป็นไม้เลื้อยมีดอกคล้ายแก้วคริสตัลสีต่างๆ อยู่เต็มผนัง ลามขึ้นไปชั้นลอยที่มีระเบียงหินอยู่ ฝั่งตรงข้ามเป็นระเบียงกว้างใหญ่เมื่อเดินออกไปจะแลเห็นทะเลสาบเบื่องล่างอันกว้างใหญ่ เป็นเหตุผลให้ห้องนี้มีอากาศถ่ายเทดีเป็นพิเศษ ส่วนตรงข้ามกับประตูบานใหญ่ที่เอญ่าเพิ่งลอดผ่านเข้ามาจะเป็นเตียงสีทองสี่เสาหลังใหญ่อันโอ่อ่า มีผ้าม่านห้อยย้อยตามเสาสวยงามอ่อนพลิ้ว เอญ่ามองไปทางระเบียงใหญ่แล้วบินไปทางนั้น ผ่านสวนลอยฟ้าที่เฟวาชื่นชอบเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ที่ชิงช้าสีขาวที่กำลังแกว่งไกวอยู่
"เฟวา" เอญ่าเรียกเสียงเบา เพราะกลัวเจ้าของชื่อจะตกใจจนเอะอะโวยวาย
"ทำอะไรอยู่อ่ะ" ร่างเอญ่าบินเคลื่อนเข้ามาที่ร่างที่ยังนิ่งเงียบ แล้วร่อนลงนั่งที่หัวไหล่ของเฟวา
เฟวาละสายตาที่กำลังจ้องมองเหล่าน้ำผุด น้ำล้น น้ำตกต่างๆ ไปมองที่เอญ่า หลังจากที่เฟวาเอามือไปรับตัวเอญ่า
"เปล่าหรอก เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี" น้ำเสียงของเฟวาที่ดูเศร้าหมองและสับสนพอที่จะทำให้เอญ่าปะติดปะต่อเรื่องราวได้คร่าวๆ แต่ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี
"เธอไปคุยกับพระราชาหรือยัง" เอญ่าพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"ไปแล้ว" เฟวาตอบสั้นๆ
"แล้วท่านพูดอะไรกับเธอบ้างล่ะ" เอญ่าถามเรื่อยๆ
"ก็..." เธอหายใจเฮือกหนึ่ง "พระองค์บอกว่าจะส่งฉันไปเรียนรงเรียนเวทย์มนต์" เฟวาบอกอย่างไม่สนใจแววตาเหลืกโล่ที่กำลังเบิ่งใส่เธออยู่
"แล้ว" เอญ่าคราง
"แล้วไง ฉันก็ต้องไปน่ะสิ ท่านไม่ได้บังคับตรงๆ หรอก แต่ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าที่ฉันได้ยินจากปากท่านพ่อ เอญ่า ฉันรู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ นะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างหนัก ในน้ำเสียงสั่นเครือ ก็มีหยดน้ำตาที่คลออยู่ในลูกตาคู่โต
"อย่าห่วงไปเลย มันอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ ไม่แน่อาจจะดีกว่าเดิมก็ได้" เอญ่าปลอบ แต่สีหน้ายังไม่หายกังวลไปน้อยกว่าเฟวาเลย อาศัยเพียงแต่แสงไฟเลือนรางและความมืดสีเทาอำพรางสีหน้าของเธอไว้ "ทุกอย่างจะดีเอง" เป็นคำพูดเดียวของคนที่จนปัญญาจะปลอบควรพูดที่สุด
"ถึงยังไง ฉันก็อดห่วงไม่ได้ เอญ่า" เฟวาน้ำตาล่วงรดสองแก้มแล้วตอนนี้ หากแต่ข่มเสียงสะอื้นไว้
"เธอก็คิดมากเกินไปอีกแล้ว เอาน่า....ถึงเธอจะไปเรียนที่ไหนฉันยังคงตามไปก่อกวนเธออยู่ดีนั่นแหละ" เอญ่าพูดกวนๆ เผื่ออะไรจะดีขึ้น และคงจะได้ผลเมื่อเฟวายกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างไม่ใส่ใจ
"ขอบใจ" เฟวาบอกด้วยรอยยิ้มกับดวงตาบวมฉ่ำ
ทั้งสองยังคงนั่งต่อไปในค่ำคืนที่เย็นสบายมีแสงจันทร์นวลๆ ทอดแสงอ่อนออกมาจากดวงจันทร์เสี้ยวใหญ่ๆ ในสวนลอยฟ้าบนระเบียงกว้างที่ถูกเนรมิตกลายเป็นสวนสวย กับเสียงน้ำเอื่อยๆ อย่างไม่ขาดสายจากน้ำผุด น้ำล้น น้ำตกในสวนแห่งนี้ กับกลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืน
ในยามที่ทุกข์ท้อใจอย่างนี้ สองคนนี้มักเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย ช่างเป็นคู่รักคู่แค้นกันจริงๆ เลยน้า
--ชีวิตของเจ้าหญิงที่เคยเพียบพร้อมไปทุกอย่างกับยศถาบรรดาศักดิ์และพระบิดาผู้เป็นที่รักยิ่งซึ่ง
เหลืออยู่เพียงผู้เดียว นี่หมายความว่าเธอจะต้องทิ้งทุกอย่างที่นี่ไปหรือ
ต่อจากนี้ไปคงต้องระหกระเหิน
และคงลำบากมาก มากเสียจนเธออาจรับไม่ไหว แล้วเมื่อไรกันที่เธอจะได้กับมา--
ความคิดเห็น