เสียงซอสามสายเสียงสุดท้ายค่อยๆเงียบหายไป  แทนที่ด้วยเสียงปรบมืออันดังกึกก้อง  แต่ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์กว่าวัยอันแท้จริง  และสายตาอันกลมโตเป็นประกายกลับเพิกเฉยต่อเสียงยกยอเหล่านั้น  หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้น  ลายเลื่อมอันวิจิตรที่ปักลงบนสไบแก้วได้ส่องแสงแวววับจับตา  ทำให้ผิวพรรณที่ขาวนวลนั้นดูผ่องใส  ผ้าถุงยาวกลอมเท้าสีเขียวใบตองอ่อนส่งให้เรือนร่างอันบอบบางดูสูงโปร่งยิ่งขึ้น
เธอเดินกลับเข้าหลังเวทีและเก็บซอแสนรักอันเป็นมรดกตกทอดมาจากยายทวดลงในกระเป๋าสำหรับใส่ซอสีดำ  ก่อนที่จะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับมาลบเครื่องสำอางที่หน้ากระจก  เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามตามธรรมชาติ  จากนั้นเธอก็ดึงปิ่นทองลวดลายพิสดารอันเป็นมรดกอีกชิ้นที่เธอได้รับ  และมรดกสิ่งสุดท้ายที่เธอได้มาจากทางพันธุกรรมนั่นก็คือ  เรือนผมเหยียดตรงที่ทิ้งตัวลงอย่างมีน้ำหนักถึงกลางหลังและมีสีดำขลับตามแบบฉบับสาวมอญ  เธอนั่งจ้องมองเงาที่สะท้อนกลับมาอยู่ครู่หนึ่ง  ญาติผู้ใหญ่ของเธอแต่ละคนก็ต่างกล่าวกันว่า  เธอนั้นมีรูปร่างน่าตา  รวมทั้งลักษณะท่าทางที่คล้ายคลึงกับยายทวดมาก  ทั้งๆที่ตัวเธอและยายทวดนั้นไม่เคยได้พบปะกันมาก่อน  เนื่องจากยายทวดท่านได้สิ้นก่อนที่เธอจะเกิดเพียงไม่กี่วัน  ดังนั้นญาติทั้งหลายจึงได้บอกว่าเธอนั้นคือยายทวดกลับชาติมาเกิด 
จิตรคีตเก็บของทุกชิ้นก่อนที่จะเดินทางออกจากโรงแรม  แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ได้กล่าวคำอำลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว  คงไว้เพียงแต่แสงจากตึกรามบ้านช่อง  ที่ส่องสว่างเสียจนลบแสงแห่งดวงดาว  แต่ยังไม่สว่างพอที่จะบดบังแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญได้  จิตรคีตเรียกรถแท็กซี่ให้หยุดก่อนที่จะก้าวขึ้นไปพร้อมสัมภาระรุงรัง  แสงไฟจากข้างถนนผ่านสายตาของเธอไปอย่างรวดเร็วไม่สามารถเข้ามารบกวนจิตใจเธอได้แม้แต่น้อย  เพราะตอนนี้เธอมีแต่เพียงเสียงเพลงที่ดังกังวาลจากจิตใต้สำนึกของเธอ
“วันนี้...แสนสุดยินดี...พระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญ...สายใจ...เจ้าไปนั่งเล่น
ลมพัด...เย็นเย็น...หอมกลิ่นมาลี...เอย...”
“เฮ้ย!!!”  คนขับแท็กซี่ร้องลั่นก่อนจะหักหลบมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งที่ขับตัดหน้าอย่างรวดเร็ว  ถนนมืดมิดส่งผลให้คนขับไม่สามารถมองเห็นเส้นทางได้
“โครม!!!”  รถแท็กซี่และมอเตอร์ไซด์ต่างก็พากันพลิกคว่ำลงไปที่ข้างทาง  เศษกระจกรถแตกเกลื่อนกลาดบนท้องถนน  ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ต่างก็กลายสภาพเป็นเศษเหล็ก  ชาวบ้านออกมามุงดูตามวิสัยของคนไทย  ไม่นานนักเหล่าตำรวจ  หน่วยกู้ชีวิตและรถพยาบาลก็มาถึง ชาวบ้านทั้งหลายพากันชี้ไปยังศพของชายผู้เสียชีวิตสองคน  ซึ่งสภาพนั้นไม่น่าดูเอาเสียเลย  แต่ละคนก็วิพากษ์วิจารณ์และเล่าเหตุการณ์ปากต่อปากไม่หยุดหย่อน  แต่ไม่ช้าก็มีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจแทนชายทั้งสองนั้น  นั่นก็คือร่างของหญิงสาวผมยาวที่ยังคงมีลมหายใจ  ถึงแม้จะน้อยนิด  บุรุษพยาบาลต่างก็ช่วยกันปฐมพยาบาลและนำส่งไปรักษาอย่างเร่งด่วน
หลังจากที่รถพลิกคว่ำ  จิตรคีตก็มีความรู้สึกว่า  สายลมกรรโชกได้พัดพาตัวเธอมาตกอยู่ณ.สถานที่แห่งหนึ่ง  จิตรคีตกำลังเดินอยู่บนผืนหญ้าที่เปียกชื้น  เสียงกรุ๊งกริ๊งที่ดังมาจากข้อเท้าระหว่างก้าวเดิน  ทำให้เธอสังเกตว่าเธอกำลังสวมชุดไทยสีเขียวใบตองอ่อน  ตัวเดียวกับที่เธอสวมเมื่อครู่  เพียงแต่เนื้อผ้านั้นละเอียดอ่อนนุ่มกว่ามาก  ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆของเนื้อผ้า  เป็นกลิ่นที่จิตรคีตนั้นไม่ใคร่จะรู้จักนัก 
“อยู่นี่เองรึ  แม่แก้ว”  จิตรคีตหันไปตามต้นเสียงที่ได้ยิน  หญิงสาววัยเดียวกันกับเธอ  สวมชุดไทยแบบเดียวกับที่เธอสวมอยู่  เพียงแต่ว่าของหญิงคนนั้นเป็นสีม่วง  กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมายังเธอ 
“คุณหลวงจะให้แม่แก้วขับเพลง  แต่งตัวเสร็จแล้วทำไมยังมาเดินด้อมอยู่แถวนี้อีก  รีบๆไปเถิด  อีกเดี๋ยวแขกคงจะมากันเต็มงาน”  จิตรคีตเดินตามหญิงคนนั้นโดยไม่พูดจา  ปล่อยให้หญิงสาวพร่ำเพรื่อไปสารพัน
“นี่นะแม่แก้ว  ฉันถามจริงๆเถิดเพลงที่เธอเข้าไปฟังในวังหลวงกับคุณหลวงและน้องสาวท่านน่ะ  เพราะถึงปานไหนเชียว  ท่านถึงให้เธอมาขับอีก”  ไม่ทันที่จิตรคีตจะกล่าวตอบ
“ก็คงจะเพราะอยู่ ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่เรียกเธอมาขับให้แขกฟังดอกเนอะ  แม่แก้ว”
“ว่าแต่ว่าเถิดแม่แก้ว” หญิงสาวลดเสียงลงเป็นกระซิบ  แต่กระนั้นฝีเท้าก็ยังคงเร่งรีบ  “เมื่อคราวที่เธอมาขับเพลงคราวก่อนนั้น  ฉันลอบเห็นคุณหลวงนั้นจ้องเธอไม่วางตาเลยนะ  แต่อีกไม่นานท่านก็จะแต่งกับลูกสาวกงสุล  วาสนาสาวมอญอย่างเธอก็คงได้เป็นเพียงคนขับร้องเสียกระมัง”  ถึงคราวนี้จิตรคีตก็หน้าแดงซ่านไม่รู้ตัว  หากไม่มีความมืดอำพลางไว้  หญิงสาวคงจะหาเรื่องล้อเธออีกแน่ๆ
“ท่านงามราวกับพระลอจริงๆเชียว  ฉันล่ะอิจฉาวาสนาลูกสาวกงสุลนั่น”  หญิงสาวคนนั้นหัวเราะร่วน  จิตรคีตก็เพียงซ่อนเงาหน้าไว้ในความมืดเท่านั้น
เสียงหัวเราะยังไม่ทันขาดหาย  แสงไฟจากงานเลี้ยงก็ส่องสว่างขึ้นอยู่ตรงหน้า  เวทีเตี้ยๆที่คลุมด้วยพรมสีแดงถูกจัดวางไว้ในที่เหมาะเจาะ  เบื้องหลังเป็นต้นดอกราตรีที่ส่งกลิ่นหอมรวยระรินไปทั่วบริเวณ  แขกเหรื่อเริ่มเข้ามาในงาน  ต่างก็เป็นสุภาพบุรุษที่คุยกันถึงเรื่องการเมือง  สุภาพสตรีนั้นก็มีประปราย  โดยส่วนใหญ่เป็นภริยาหรือเพื่อนสาวของบุรุษเหล่านั้นทั้งสิ้น
วงมโหรีเริ่มบรรเลงเพลงขับกล่อมไปหลายต่อหลายเพลง  แต่แขกทั้งหลายก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจในเสียงเพลงเหล่านั้น  เพลงแขกมอญบางช้างได้จบลง  จิตรคีตขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเอื้อนเอ่ยวลีแรกที่สะกดคนในงานไว้ได้ทั้งหมด
“วันนี้
แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น
ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี
หอมดอกราตรี แม้ไม่สดสีหอมดีน่าชม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย....”
เมื่อจบท่อนแรกวงมโหรีก็บรรเลงรับร้องต่อไป  เป็นเวลาเดียวกันกับคุณหลวงได้ออกมารับแขก  สายตาที่คุณหลวงจับจ้องเธอนั้น  เหมือนได้ถ่ายทอดออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ  ว่าฉันรักเธอ
จิตรคีตพยายามรวบรวมสติที่เกือบจะแตกกระเจิงเมื่อสบสายตานั้น  และขับร้องเพลงต่อ
“หมู่ภมรร่อนหาช่อมาลี..หมู่ภมรร่อนหาช่อมาลี
แต่ตัวพี่จำจากพรากไปไกล
หอมดอก..หอมดอกจำปี 
นี่แนะพรุ่งนี้จะกลับมาเอย...”
วงมโหรีบรรเลงรับร้องท่อนสุดท้ายและลูกหมดจนจบ  เนื้อเพลงนั้นช่างสะกิดใจของคุณหลวงและจิตรคีตเสียนี่กระไร  ทั้งสองคงต้องจำจากกันไกล  แต่ไม่มีทางจะหวนคืนมาดั่งในเนื้อเพลงได้.......
งานเสร็จสิ้นไม่ทันที่จิตรคีตจะรู้สึกตัว  เพราะเมื่อเธอขับกล่อมแขกอื่นๆด้วยเสียงซอด้วง  และซออู้ที่เธอถนัด  สมาธิของเธอนั้นมิได้จดจ่ออยู่กับบทเพลงเลย  แต่สายตาของเธอกลับพะว้าพะวงอยู่กับลูกสาวกงสุลที่แต่งตัวด้วยชุดที่นำสมัยที่สุดในช่วงปี พ.ศ. 2470  และกำลังควงแขนอยู่กับคุณหลวงซึ่งเธอแสดงถึงความเป็นเจ้าของ
จิตรคีตกลับมายังห้องไม้สี่เหลี่ยมแคบๆของเธออย่างเลื่อนลอย  จิตใจยัง สับสนในเรื่องการแต่งงานของคุณหลวง  เธอมิอาจรู้ได้ว่าสิ่งนี้คือความหึงหวงอันเกิดจากความรักอย่างเต็มเปี่ยมหัวใจที่เธอมีให้คุณหลวงไม่แพ้ที่คุณหลวงมีให้ต่อเธอ  จิตรคีตนั่งลงบนเตียงเล็กๆอย่างเศร้าสร้อย  น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย  และเธอเองก็ไม่สนใจที่จะเช็ดมันออก
“แม่แก้ว!! แม่แก้วเปิดประตูหน่อยเร็วคุณหลวงท่านฝากของมาให้เธอแน่ะ” เสียงชายแก่ๆคนหนึ่งตะโกนอยู่หน้าห้องของเธอ  จิตรคีตรีบเช็ดน้ำตาและเดินไปเปิดประตูให้ชายคนนั้น
“นี่แน่ะ  แม่แก้วท่านฝากมาให้ และนี่จดหมายจากท่าน  ท่านกำชับว่าจะต้องทำตามคำสั่งในจดหมายนี้อย่างเคร่งครัดเลยทีเดียว  ฉันไปก่อนล่ะนะ”  จิตรคีตรับของมาและปิดประตู  มือของเธอที่ประคองของและจดหมายอยู่นั้นสั่นไหวอย่างประหลาด  เธอกลับมาที่เตียงและค่อยๆเปิดจดหมายนั้นออกอ่านก่อน
แม่แก้วที่รักของฉัน
           
จากสายตาของแม่แก้วนั้น  ทำให้ฉันได้รู้ว่าความรู้สึกของเราทั้งสองมิได้ต่างกันเลย  ฉันจึงอยากขอให้แม่แก้วได้รับรู้ตรงนี้ไว้ด้วยว่า  ถึงแม้ว่าฉันจะต้องแต่งงานไป  แต่ความรักของฉันที่มีต่อแม่แก้วนั้นมิได้เปลี่ยนแปลง  อย่าได้พึงน้อยใจว่าฉันจักโสมนัสกับงานครั้งนี้  พึงรู้ไว้ว่าฉันนั้นโทมนัสอย่างหาที่สุดมิได้.....
ฉันให้ช่างฝีมือดีแกะซอสามสายคันหนึ่ง  เพื่อเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ฉันนั้นจักมอบไว้กับแม่แก้ว  จงถือว่านี่คือความรักของฉันทั้งหมด  ทุกคราที่แม่แก้วชักซอคันนี้  ขอให้รู้ไว้เถิดว่านั่นคือเสียงจากหัวใจของฉันที่จะมีให้แม่แก้วเพียงคนเดียว  แต่ฉันอยากจะขอสิ่งสุดท้ายจากแม่แก้ว  นั่นก็คือฉันขอให้แม่แก้วขับซอคันนี้ด้วยเพลงที่แม่แก้วขับร้องในวันนี้ในงานแต่งของฉัน  ฉันถือว่าเพลงเพลงนี้คือเพลงแห่งความรักของเรา  และจากนั้นฉันจักไม่ว่ากล่าวหากเธอไปมีใครอื่นอีก  และยังขอให้เธอมีความสุขในชีวิตในภายหน้า
รักแม่แก้วเพียงผู้เดียว
จิตรคีตแกะห่อของนั้นออกอย่างเบามือ  ราวกับว่ามันจะแตกสลายหากเธอสัมผัสแรงเกินไป  มันเป็นซอสามสายที่วิจิตรที่สุดเท่าที่เธอเคยพบ  น้ำตาที่แห้งไปเมื่อครู่ก็กลับเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง  และเธอก็ล้มตัวลงบนเตียง  ประคองซอสามสายคันนั้นและสะอื้นไห้จนหลับไป
มันเหมือนมีลมกรรโชกแรงพัดพาจิตรคีตข้ามวันเวลามาจนถึงงานวันแต่งงานของคุณหลวง  เมื่อเธอรู้ตัวอีกครั้งเธอก็กำลังหิ้วซอสามสายคันนั้นเดินผ่านแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงไปยังแท่นเวทีที่เดิม  แสงจันทร์เต็มดวงทอแสงลงมายังงานเลี้ยง  กลิ่นดอกพิกุลโชยไปตามสายลม  ยิ่งพาให้จิตใจของจิตรคีตหวั่นไหวไปด้วย  เธอเข้าไปนั่งประจำที่  รอคู่บ่าวสาวที่ผ่านพิธีสมรสมาแล้วออกมาต้อนรับแขก  เจ้าสาวแลดูแช่มช้อยในชุดผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์  ในขณะที่เจ้าบ่าวนั้นสูงสง่าในชุดสูทสีครีม  เรียกได้ว่าบ่าวสาวคู่นี้นั้นเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากที่สุดทีเดียว
จิตรคีตเริ่มชักคันซอบรรเลงเพลงราตรีประดับดาว  เสียงแห่งความรักของทั้งสองดังกึกก้องไปบนมวลอากาศ  และยังกึกก้องอยู่ภายในหัวใจของทั้งสอง  มันเป็นเพียงบทเพลงแห่งความลับ....  ความลับที่ไม่อาจมีใครมาล่วงรู้ได้  บรรยากาศในคืนวันนั้นอาจจะอบอวลไปด้วยความรักสำหรับใครหลายๆคน  แต่สำหรับคุณหลวงและจิตรคีตนั้นมันคือคืนแห่งความปวดร้าว
จิตรคีตตัดสินใจที่จะขอออกจากบ้านคุณหลวง  หลังจากงานแต่งเพียงวันเดียว  ก่อนที่เธอจะจากไป  จิตรคีตเดินไปยืนหยุดอยู่ที่ต้นดอกราตรี
“หากชาติหน้ามีจริง  ฉันก็ขอเกิดมาเป็นคู่คุณหลวงอีกครั้ง”
ทันใดนั้นเองลมกรรโชกก็ได้พาตัวเธอปลิวข้ามผ่านกาลเวลากลับมายังปัจจุบัน  เธอนอนอยู่บนเตียงในห้องไอซียู ทันทีที่เธอฟื้นเธอก็ถาม
หาซอสามสายแสนรัก  และโชคดีที่ทั้งซอและตัวเธอนั้นไม่เป็นอะไร
ไม่นานแพทย์ก็อนุญาตให้จิตรคีตกลับบ้านได้  แม้ว่าเธอจะยังคงดูซูบซีดไร้เรี่ยวแรง  เธอก็ยังพาซอสามสายกลับไปทำงานที่โรงแรมตามเดิม  โดยที่ไม่ลืมว่านี่คือเสียงจากหัวใจ...ของคนที่เธอรัก...ซึ่งจะมีให้เธอแต่เพียงผู้เดียว
ในคืนเดือนแรม  ท้องฟ้าระยิบระยับไปด้วยแสงดาวอย่างหน้าประหลาด  จิตรคีตแหงนใบหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนที่จะก้าวขาผ่านประตูไป  จิตรคีตนั่งลงบนเวทีที่เดิม เธอตั้งใจที่จะบรรเลงเพลงราตรีประดับดาวอีกครั้ง  บทเพลงและท่วงทำนองแห่งความรักชวนให้คนฟังเคลิบเคลิ้มไปตามเสียงเพลง  ใบหน้าของคุณหลวงปรากฎท่ามกลางจิตสำนึกของเธออย่างเด่นชัด  สายตาอันอ่อนโยน  รอยยิ้มที่มุมปากซึ่งมีเพียงจิตรคีตเท่านั้นที่จะได้รับ  จิตรคีตรู้สึกคิดถึงคุณหลวงจนทนไม่ไหว  มือของเธอสั่นระริกแทบจะทำให้คันซอลื่นหลุดจากมือไป  แต่เธอก็พยายามประคับประคองเพลงจนจบ  ในขณะนั้นเองได้มีสายตาและหัวใจของคนคนหนึ่ง  ได้ถูกมนต์สะกดรั้งและติดตรึงเอาไว้กับเสียงเพลงตลอดเวลา
จิตรคีตขยับตัวลุกขึ้นเพื่อลงจากเวที  ก่อนที่จะถึงพื้นพรมสีโอรสเบื้องล่าง  ก็ดูเหมือนว่าขาของเธอนั้นไม่สามารถที่จะรับน้ำหนักของตัวเธอไว้ได้  จิตรคีตล้มลงอย่างรวดเร็ว  ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็เข้ามาประคองเธอไว้  เขาช่างสูงสง่าและละม้ายคล้ายเหมือนใครบางคน  ใครบางคนที่เธอคิดว่าเป็นไปไม่ได้
“คุณหลวง!!”  จิตรคีตเผลอพึมพำออกมาเบาๆ 
\"ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ\"  ชายคนนั้นถามด้วยเสียงนุ่มลึกและกังวาล  จิตรคีตรีบพยุงตัวเองขึ้นยืนในทันทีที่พอจะตั้งสติได้
\"ไม่เป็นไรค่ะ  ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดิฉันไว้\"  เธอรีบเดินเข้าหลังเวทีเพื่อจะได้ไม่ต้องสนทนากับชายผู้นั้น  เพราะเธอรู้ดีว่าเธออาจจะไม่สามารถห้ามใจได้  เธอไม่ควรที่จะทรยศต่อคุณหลวง  แต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับเรียกเธอไว้
“ขอโทษนะครับ........บทเพลงเมื่อสักครู่นี่ไพเราะมากเลยนะครับ  ไม่ทราบว่ามีชื่อเพลงว่าอะไรครับ”  ชายหนุ่มเดินเข้ามาหา  พร้อมยิ้มที่มุมปาก  จิตรคีตตะลึงในลักษณะถ้าทางนั้นจนพูดอะไรไม่ออก
“ว่าอย่างไรครับ”  ชายหนุ่มถามซ้ำ  สายตาอันอ่อนโยนนั้นช่างไม่ต่างไปจาก....
“รา...ราตรีประดับดาวค่ะ  เป็นบทเพลงในสมัยรัชกาลที่ 7”
“อย่างนั้นหรือครับ  ผมว่าผมเคยได้ยินเพลงนี้ที่ไหนสักแห่งเมื่อนานมาแล้ว  ทั้งๆที่ผมก็ไปอยู่ที่อังกฤษมาตั้งแต่เด็ก”  สายตาของชายคนนั้นเริ่มเลื่อยลอยเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน  “มันเหมือนกับอยู่ในความทรงจำ.............และเสียงของซอคันนั้นเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เสียงดนตรี  แต่กลับเป็นคำพูด........ที่พยายามกลั่นออกมาจากหัวใจ................อืม...ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย  ผมชื่ออติชาต  ใครๆก็เรียกผมว่าชาต”
“ดิฉันชื่อจิตรคีตค่ะ”
“เออ.....อืม....  คือว่า...ไม่ทราบว่า...คุณจิตร...จะให้เกียรติมารับประทานอาหารกับผมสักมื้อจะได้ไหมครับ”  อยู่ๆอติชาติถามก็ขึ้น  จิตรคีตหน้าแดงซ่าน  กลิ่นของพุ่มดอกราตรีส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ  บรรยากาศแห่งความรักกำลังจะเริ่มต้น....อีกครั้ง
จิตรคีตกลับมายังหลังเวทีด้วยจิตใจอันปลอดโปร่งอย่างมีความสุข และแล้วบทเพลงแห่งความรักของทั้งสอง  ก็ทำให้เขาและเธอกลับมาพบรักกันได้...ในที่สุด
“หอมดอก..หอมดอกจำปี 
นี่แนะพรุ่งนี้จะกลับมาเอย...”
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น