ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อลิเซีย แวนเวิร์ธ กับ พันธสัญญาอาถรรพ์

    ลำดับตอนที่ #13 : เช้าสีเทาๆ

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.พ. 54


    เช้าวันต่อมาอลิเซียตื่นขึ้นด้วยเสียงระฆังที่คุ้นเคย เธอภาวนาให้เรื่องที่ได้ยินเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ภาพฝัน ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง และเมื่อเธอออกมาข้างนอกห้อง เขายังอยู่ที่นั่น ยังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น แต่เธอกลับไม่มีอารมณ์จะพูดคุยสิ่งใดกับเขาทั้งนั้น แต่ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องเธอพูดเพียงเบาๆว่า

    “ลุกขึ้นเถอะ เจ้ากลายเป็นคนโง่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่งอยู่อย่างนั้นไม่ใช่ทางแก้ปัญหาหรอกนะ”

    แอนเรียสซึ่งเสนอหน้ามาร่วมวงรับประทานเช้ากับไลโอเนลและอเล็กเนื่องจากตอนนี้เธอได้รับอนุญาตให้เข้าออกได้อย่างอิสระแล้ว

    แต่เธอก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นเพื่อนสาวเดินหน้าตึงตาบวมลงมาจากด้านบน ในขณะที่คนตามหลังดูท่าเหมือนแบกโลกเอาไว้สักสิบใบ

    “ทะเลาะกันเหรอ”แอนเรียสถามเมื่อเพื่อนสาวเดินมานั่งข้างๆ

    “เปล่า”อลิเซียตอบสั้นๆ ก่อนจะโกยข้าวต้มเข้าปากและขอตัวขึ้นไปพักผ่อนอ้างว่าไม่ค่อยสบาย

    ส่วนอีกคนที่ไม่เคยแตะต้องอาหารเป็นปกติอยู่แล้วกลับเลือกหนังสือสองสามเล่มก่อนจะนั่งอ่านอย่างเงียบๆ ที่โต๊ะเขียนหนังสือและปล่อยออร่าประจำตัวด้วยอารมณ์เหมือนติดป้ายไว้หน้าโต๊ะว่าห้ามถาม ร้อนถึงหญิงสาวใจกล้าจากโอเชนเซียต้องลุกฝ่าออร่านั้นไปยืนหน้าโต๊ะ

    “ขอกุญแจหน่อยสิ”

    คริสเงยหน้าขึ้นมาประมาณว่ากุญแจอะไรของเธอ

    “กุญแจที่สามารถไขได้ทุกประตู ฉันรู้ว่านายมีเอามาให้ฉันยืมหน่อย”น้ำเสียงวางก้ามข่มขู่มากกว่าขอร้องของแอนเรียสทำให้คนแบกโลกหยิบกุญแจสีทองส่งให้

    “ขอบใจ แล้วจะเอามาคืน”แอนเรียสที่เพิ่งรับกุญแจมารีบวิ่งขึ้นไปข้างบนทันที

    “หลายครั้งฉันก็นับถือความกล้าของยัยนั่นจริงๆ ถ้าไม่เห็นวันที่ประลองแพ้อลิเซีย ฉันก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะกลัวใครหรือกลัวอะไรสักอย่าง ใครได้ยัยนี่ไปเป็นแฟนคงต้องหัวหงอกก่อนวัยอันควรแน่”ไลโอเนลเสียดสีลับหลังแอนเรียสไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าแต่ขี้เกียจฟังเสียงบ่น

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ไม่ได้ตอบรับเสียงเคาะนั้นแต่อย่างใด จนประตูเปิดออกเธอก็ยังคงไม่หันไปมองแต่อย่างใด

    “อลิเซีย”เสียงเรียกเบาๆของแอนเรียสทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงไหวตัวเล็กน้อย

    “เกิดอะไรขึ้น เธอทะเลาะกันเหรอ”

    อลิเซียลุกขึ้นมานั่งมองหน้าเพื่อนก่อนที่จะประเมินว่าควรจะเล่าเรื่องพวกนี้ดีไหม เรื่องนี้น่าจะเกินกว่าที่แอนเรียสจะคาดเดาอย่างแน่นอน

    “ให้ฉันเป็นคนอธิบายดีไหม จับมือเพื่อนของเธอไว้ก่อนเธอจะหลับสิ”

    อลิเซียลุกขึ้นไปจูงมือแอนเรียสมาที่เตียง อย่างน้อยเธอคิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเพราะเธอเองก็ไม่อยากพูดเรื่องเหล่านี้ออกจากปากตัวเอง และเมื่อทั้งสองเข้าสู่ห้วงความฝัน สวนดอกไม้สวนเดิมก็ปรากฏขึ้น

    “นั่งสิสาวๆ”อิลิซาเบธเชื้อเชิญ

    “ค่ะ”

    “ต้องขอโทษที่เรื่องของฉันสร้างปัญหาให้พวกเธอ”

    “เรื่องของคุณ”

    “จริงๆ แล้วฉันคืออิลิซาเบธ บาร์โธรี่ เป็นตัวฉันที่จะต้องแต่งงานกับพ่อของคริส”

    แอนเรียสเบิกตากว้างเมื่อได้ยิน แต่อลิเซียกลับสงบนิ่ง

    “ฉันถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับหนูด้วยฝีมือของสามีฉันหรืออีกฐานะหนึ่งคือพี่ชายของฉันเอง”

    “คุณหมายความว่าคุณแต่งงานกับพี่ชายตัวเองงั้นเหรอคะ”แอนเรียสตั้งคำถาม

    “ใช่ ฉันแต่งงานกับพี่ชายตัวเองและคริส บาร์โธรี่ก็คือลูกชายคนเดียวของเรา”

    “แต่พวกคุณเป็นพี่น้องกัน”

    “เธอคงจะรู้มาบ้างว่าตระกูลบาร์โธรี่เป็นเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างจากพวกเธอ พวกเราไม่ใช่มนุษย์และเชื่อมั่นว่าเราสูงส่งกว่ามนุษย์ เราสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและสามารถเรียกดวงจิตที่หลุดลอยกลับมาได้ด้วยวิธีของพวกเรา ทำให้เราสามารถถือกำเนิดใหม่ภายใต้หัวใจดวงเดิมได้หลายต่อหลายครั้ง”

    อิลิซาเบธหยุดจิบชาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

    “ฉันถูกทำให้ถือกำเนิดโดยมีร่างกายของหนูเป็นพาชนะ จริงๆ แล้วฉันสามารถยึดครองร่างกายของหนูโดยสมบูรณ์ได้ แต่ฉันไม่ได้ทำ ฉันรับรู้ถึงภารกิจบางอย่างที่หนูจะต้องทำ และที่สำคัญกว่านั้นคือหากหนูต้องหายตัวไปหัวใจของใครอีกหลายคนคงจะต้องร้องไห้แน่ๆ”อิลิซาเบธยิ้มแต่อีกสองสาวไม่ยิ้ม

    “แล้วคุณอนุญาตให้ฉันเข้ามารับฟังอะไรพวกนี้ด้วยเพื่ออะไรคะ”แอนเรียสตั้งคำถาม

    “เพราะฉันคิดว่าหนูจะช่วยอลิเซียได้น่ะสิ อย่างที่ฉันบอกฉันไม่ต้องการยึดร่างของอลิเซีย แต่สามีของฉันไม่เข้าใจและเขาก็คงเชื่อว่าพ่อแม่ของอลิเซียพยายามกักขังตัวฉันไม่ให้ได้กลับไปพบกับเขา เฟรดเดอริกจึงส่งคริสมา อันที่จริงฉันคิดว่าคำสั่งก็คือพาตัวฉันกลับอาณาจักรทันที แต่ฉันก็ยิ่งสงสัยก็ตอนที่คริสตามใจเธอโดยการมาส่งที่มิเอลทินาร์แห่งนี้ ฉันเชื่อว่าการศึกษาที่บาร์โธรี่ดีเยี่ยมจนไม่ต้องมาศึกษาที่โรงเรียนของพวกมนุษย์แบบนี้ แล้วอะไรคือเหตุผลที่ลูกชายของฉันขัดคำสั่งสามีของฉันกันแน่”อิลิซาเบธยังคงยิ้มแบบสื่อความหมายและคนที่เข้าใจรอยยิ้มนั้นไม่ใช่อลิเซียแต่เป็นแอนเรียส

    “แอนเรียสหนูเป็นเด็กฉลาด หนูรู้ในสิ่งที่เด็กสองคนนี้ไม่รู้ แต่ฉันอยากจะเตือนคือหนทางของสองคนนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน”

    “ทำไมคุณไม่เลือกให้คนที่มารับฟังเรื่องเหล่านี้เป็นคริส ไม่ใช่หนูละคะ เรื่องมันจะได้ง่ายขึ้น”

    “เรื่องมันจะยากขึ้นน่ะสิ อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดคนที่จะต้องไปเปิดใจเฟรดเดอริกก็คืออลิเซียไม่ใช่ฉัน เพราะฉันได้เลือกแล้วว่าจะไม่กลับไป เฟรดเดอริกต้องเลิกที่จะรอฉันได้แล้ว”

    “แล้วทำไมคุณถึงไม่กลับไป เพราะคุณไม่ได้รักสามีของคุณ”แอนเรียสตั้งคำถาม

    “การแต่งงานของฉันกับเฟรดเดอริกเป็นการแต่งงานที่เกิดจากความรักที่แท้จริง แต่ฉันมีเหตุผลบางอย่างที่เลือกที่จะไม่กลับไป”

    “แล้วคุณไม่รู้สึกแปลกเหรอคะที่รักพี่น้องของตัวเอง”

    “ก็เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งในอดีตที่แสนนาน ที่น้องสาวไม่สามารถรักพี่ชายของตัวเองได้เพราะเธอได้มอบหัวใจให้กับใครบางคนไปแล้ว โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้น กฎของตระกูลที่ถูกตั้งขึ้นไม่ได้มีไว้เพื่อให้ทำลาย การแต่งงานกันในสายเลือดเป็นการรักษาพลังเวทที่ตกทอดมาตั้งแต่ต้นตระกูล เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงสร้างพลังเวทได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นเป็นสื่อกลางนอกจากร่างกายของตัวเอง”

    “งั้นที่ประลองกันวันนั้นก็ไม่ใช่อลิเซียแต่เป็นพลังของท่านเหรอคะ”

    “เป็นพลังของอลิเซีย นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลายข้อที่ฉันไม่อาจยึดครองร่างกายของแม่หนูนี่ได้ ฉันคิดเอาเองว่าถ้าไม่เป็นการผ่าเหล่าก็น่าจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้หนูมีพลังเวทติดตัวมาตั้งแต่เกิด”

    “หนูบอกถึงการมีอยู่ของท่านให้กับคริสรู้ได้ไหมคะ”อลิเซียถามอย่างไม่แน่ใจ

    “ฉันคิดว่ายังไม่ถึงเวลา เขาเองก็ต้องผ่านอะไรอีกหลายอย่างถ้าเขาเลือกที่จะดื้อกับเฟรดเดอริกและทรยศต่อกฎของตระกูล”

    “ท่านแม่”

    “คริส”เสียงของแอนเรียสดังขึ้นพร้อมอลิเซีย

    “นายเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”

    “ท่านแม่”คริสพูดพร้อมกับวิ่งมากอดท่านอิลิซาเบธอย่างโหยหา

    “เด็กน้อยของแม่”อิลิซาเบธพูดพลางลูบหัวของคริสอย่างรักใคร่

    ท่ามกลางความงุนงงของสองสาว อิลิซาเบธก็ลุกขึ้นและจูงมือบุตรชายเดินไปทางลานประลอง ส่วนอลิเซียกับแอนเรียสที่ต้องการจะลุกตามไปก็ถูกห้ามไว้

    “รอที่นี่สักพักนะจ๊ะสาวๆ เดี๋ยวข้ากลับมา”

    สองสาวทำหน้างุนงงใส่กัน แต่ก็ไม่ได้ตามสองแม่ลูกไป แอนเรียสยกชามาจิบอีกหลายครั้งก่อนจะพูดว่า

    “อลิเซีย เธอรู้ว่ามีท่านอิลิซาเบธอยู่ในตัวนานแค่ไหนแล้ว”

    “ก็ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่นั่นแหละ”

    “เหลือเชื่อจริงๆ นี่มันเกิดขึ้นจริงหรือเป็นแค่ความฝันของข้าคนเดียวเนี่ย”

    “เดี๋ยวตอนตื่นก็รู้เองนั่นแหละ”

    ทั้งสองกินขนมและน้ำชาจนเกือบหมดแล้วเมื่อสองแม่ลูกจูงมือกันกลับมา

    “ไว้โอกาสหน้าเราคงจะได้เจอกันใหม่นะสาวๆ ดูแลตัวเองด้วยนะลูกแม่”อิลิซาเบธกอดลูกชายอีกครั้งก่อนกระซิบบางอย่างใส่หูของแอนเรียส และโบกมือลาเธอ แล้วภาพตรงหน้าก็ถูกดึงให้หลุดออกไปเหมือนกับทุกครั้งที่เธอตื่น

    อลิเซียรู้สึกถึงน้ำหนักของใครบางคนที่กดทับลงบนตัวเธอ และอลิเซียก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นหน้าชัดๆ ของคนที่กำลังหลับอยู่บนตัวเธอโดยใบหน้าคมนั้นซบอยู่ที่หมอนด้านข้างหน้าของเธอ แอนเรียสเองก็คงจะตื่นแล้วเช่นกัน

    “อุ๊ย”เสียงของแอนเรียสที่รีบชักมือออกจากการเกาะกุมของคนอีกสองคน

    “พอดีฉันนึกได้ว่าต้องลงไปช่วยงานอเล็ก ฉันไปก่อนนะ ฝากคืนกุญแจให้คริสด้วยล่ะ”แอนเรียสพูดด้วยน้ำเสียงรัวเร็วก่อนจะรีบร้อนออกไปจากห้อง ทิ้งปัญหากองใหญ่ไว้บนตัวเธออลิเซียพยายามออกแรงเพื่อดิ้นให้หลุดจากการถูกทับ แต่คนที่นอนทับเธออยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

    “ฉันรู้นะว่านายตื่นแล้วลุกไปเดี๋ยวนี้”อลิเซียเข่นเขี้ยว ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองคนที่ยังหลับตาอยู่อย่างเอาเรื่อง มืออีกข้างของเธอก็ยังคงถูกกุมไว้ อลิเซียพยายามดิ้นอีกครั้ง แต่ก็แทบหมดแรงเมื่อได้ยินเสียงกระซิบข้างหู

    “ขอนอนต่ออีกหน่อยได้ไหม ไม่ได้นอนทั้งคืน ง่วง”

    “ก็กลับไปนอนห้องนายสิ ลุกไปเดี๋ยวนี้ด้วย”อลิเซียโวยวาย

    คนที่แกล้งหลับยังคงแกล้งหลับต่อไปโดยไม่สนใจเสียงโวยวาย ทำให้อลิเซียต้องใช้มืออีกข้างตีเบาๆที่หลังแข็งแรงของคนข้างบน

    “เจ็บนะ”

    “อย่ามาสำออย ตื่นก็ลุกไปได้แล้ว ถ้าง่วงก็ไปนอนห้องตัวเอง”

    คริสลืมตาขึ้นและพลิกตัวหนี เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะนอนทับคนตรงหน้าหรอกแต่พอเขาแตะมือที่สองสาวกุมกันไว้สติก็หลุดออกจากร่างและอยู่ในสภาพที่เห็นเนี่ยแหละ

    พอเจ้าหญิงตัวแสบหลุดจากการถูกทับไปได้ก็หนีไปตั้งหลักอีกฝั่งของห้อง มองดูคนที่ไม่ใช่เจ้าของห้องนอนตะแคงอยู่อย่างสบายใจ

    “กลับไปห้องนายได้แล้ว”เจ้าของดวงตาสีฟ้าใสยังพูดด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง

    “ลุกไม่ไหว ขอนอนตรงนี้ก็แล้วกัน”

    “งั้นก็ตามใจฉันลงไปข้างล่างก่อน”

    “อย่าลืมหวีผมล่ะ เดี๋ยวพวกข้างล่างอาจจะเข้าใจอะไรผิด”

    อลิเซียหันไปมองผมที่ฟูยุ่งกับเสื้อผ้าที่ผิดรูปร่างในกระจกทำให้ใบหน้าที่เพิ่งจะขาวใสครั้งแรกในชีวิตต้องมีสีแดงระเรื่อ เธอรีบหวีผมและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยทันทีก่อนจะรีบหนีออกไปจากห้องตัวเอง

    ที่ห้องสมุดแอนเรียสนั่งอมยิ้มอยู่ตรงกลางระหว่างอเล็กกับไลโอเนลที่กำลังยิ้มเช่นกัน

    “แอนเรียส วันหลังถ้าเกิดมีประเทศไหนทำสงครามกันเนี่ย ฉันจะส่งเธอไปห้ามศึกคงจะดี”

    “ไม่ดีหรอกไลโอเนล ฉันกลัวโดนลูกหลงน่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรมากด้วยนะแค่ขึ้นไปนอนเป็นเพื่อนอลิเซียเฉยๆ”

    แต่เห็นชัดว่าสิ่งที่ไลโอเนลและอเล็กรู้จากอลิเซียคงไม่ใช่แค่นอนเฉยๆ เพราะไลโอเนลยังมุ่งมั่นที่จะแซวอย่างต่อเนื่องจนคนอีกคนตามลงมาพร้อมออร่าประจำตัวที่เข้มข้นกว่าเมื่อเช้า ทำให้ไลโอเนลถึงกับเงียบ

    “ขอโทษนะคะ”เรนเนลซึ่งเข้ามาในห้องสมุดหลังจากพวกเขาเอ่ยทำลายความเงียบนั้นโดยที่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ก็ช่วยลบบรรยากาศน่าอึดอัดได้

    “มีอะไรเหรอ”อลิเซียถาม

    “พ่อค้าในตลาดแจ้งมาว่าพวกปีห้ากำลังเริ่มสั่งซื้ออาวุธแล้ว คาดว่าไม่เกินอาทิตย์หน้าจะต้องมีเมืองใดเมืองหนึ่งโดนโจมตีแน่นอน”

    “พวกพี่เขารีบจังเลยนะ”ไลโอเนลพูดพลางเอนหลังพิงเก้าอี้

    “พี่เอริคคงอยากชนะสงครามไวๆ เพราะต้องการไปช่วยอาณาจักรแวนเวิร์ธแน่ๆ เพราะอาณาจักรที่ชนะสงครามจะได้รับอนุญาตให้ออกนอกโรงเรียน”แอนเรียสวิเคราะห์

    “ใช่ และเราเองก็ต้องการตำแหน่งนั้นเช่นกัน เรนเนลเรียกประชุมขุนนางทั้งหมด คราวนี้นักการทูตของเราจะได้ออกโรงแล้ว”

    “ค่ะ คิง”

    “แล้วนายมีแผนอะไร”อลิเซียถามคริส

    “ตอนนี้เราจะนั่งบนภูดูเสือกัดกันไปก่อน หลังจากนั้นค่อยเริ่มของจริง”

    **********************************************************************************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×