คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เจ้าหญิงหนีงานหมั้น
เมื่อเจ้าหญิงอลิเซียแห่งอาณาจักรแวนเวิร์ธที่ขึ้นชื่อว่ายิ่งใหญ่และมั่งคั่งที่สุดเกิดอาการเบื่อหน่ายชีวิตในรั้วในวัง เกิดความคิดที่จะวางแผนลักพาตัวเองและปลอมตัวเข้าไปในโรงเรียนอัศวินที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก จะเกิดอะไรขึ้น
เช้าวันใหม่ที่แสนสงบสุขของอาณาจักรแวนเวิร์ธเริ่มขึ้นอย่างเช่นทุกวันที่ผ่านมา เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีอันไพเราะดังออกมาจากหอคอยหลวงซึ่งเป็นที่ประทับของพระธิดาทั้งเจ็ดของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้น แน่นอน เจ้าหญิงทุกพระองค์มีความงามที่เป็นเลิศกว่าหญิงใดในอาณาจักรโดยเฉพาะเจ้าหญิงอลิเซียซึ่งได้ชื่อว่างดงามที่สุด พระธิดาองค์สุดท้องซึ่งเป็นเพียงพระองค์เดียวที่ยังไม่มีคู่หมั้นหมาย
ประชาชนภายนอกที่สัญจรผ่านไปมายามเช้ามักจะหยุดชื่นชมลำนำเพลงที่เหล่าเจ้าหญิงบรรเลงรับอรุณ พลางชื่นชมความเก่งกาจในทางดนตรีและความงามของเจ้าหญิงทั้งหลาย
ภายในหอคอยหลวง เจ้าหญิงหกองค์กำลังเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ บนเตียงของตัวเอง เมื่อจบเพลงเหล่าเจ้าหญิงก็จะหยอกเย้ากันเล่น เป็นภาพที่งดงามมาก และเช่นทุกวันเตียงสีขาวที่ด้านในสุดของห้อง ม่านคลุมรอบเตียงยังไม่ถูกแหวกออกมาเป็นสัญลักษณ์ว่าน้องน้อยของบรรดาเจ้าหญิงยังอยู่ในห้วงนิทรา แต่ก็คงจะอีกไม่นานเพราะเสด็จแม่ของพวกเธอได้เดินเข้ามาในห้องแล้ว
“อลิเซีย อลิเซียตื่นเถิด อลิเซีย”
เสียงเรียกเบาๆของพระราชินีแห่งแคว้น พร้อมกับมือที่เอื้อมมาเขย่าตัวสาวน้อยตรงหน้า
สาวน้อยบิดตัวเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าสดใสที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ผมสีดำที่ยุ่งเหยิงเพราะขาดการดูแลจากเจ้าของ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านแม่”
“แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าหนูจะต้อง”
“ตื่นแต่เช้าและเล่นดนตรีขับกล่อมชาวเมืองเช่นเดียวกับพวกท่านพี่ทั้งหลาย และ”เธอเหยียดแขนและบิดขี้เกียจช้าๆ ด้วยกริยาที่ไม่สมกับการเป็นเจ้าหญิงทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับขมวดคิ้ว
“อลิเซีย หนูก็รู้นี่นาว่าควรจะต้องทำอะไร แล้วทำไมหนูยัง”
“ท่านแม่นั่น”อลิเซียร้องเสียงดังพร้อมกับชี้ไปทางหน้าต่าง ทุกคนในห้องต่างหันตามนิ้วของเธอไป แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ และเมื่อหันกลับมาเจ้าหญิงที่นอนอยู่บนเตียงเมื่อครู่ก็หายตัวไปพร้อมกับเสียงปิดประตู
ฟรีเซียเจ้าหญิงองค์โตลุกขึ้นจากเตียงและทรุดนั่งที่พื้นพลางกุมมือมารดาเพื่อปลอบใจกับกริยาของน้องสาว แต่ราชินีกลับเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย ไม่นานก็มีเสียงร้องของอลิเซียดังสะท้อนมาตามทางเดิน
“ปล่อยนะ ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้”
ทหารหญิงสองคนกำลังยกตัวเจ้าหญิงลอยเหนือพื้นเพื่อไม่ให้ดิ้นและพากลับเข้ามายังห้องบรรทม ก่อนจะลงกลอนล็อคประตู
“ฟรีเซีย ซินเดรีย ช่วยปิดหน้าต่างให้แม่หน่อย ก่อนที่เสียงน้องเจ้าจะดังไปถึงกระท่อมท้ายเมือง”
“วันนี้จะมีเจ้าชายจากสโนว์แลนด์เดินทางมาเพื่อดูตัวกับคู่หมั้นของพระองค์ ซึ่งก็คือลูกนะอลิเซีย โอลูกรักไม่ต้องทำหน้าเสียใจขนาดนั้น แคว้นสโนว์แลนด์เป็นแคว้นที่ห่างไกลจากที่นี่มาก หากลูกต้องแต่งงานออกไปอยู่ไกลขนาดนั้นแม่ก็คงคิดถึงลูกเช่นกัน”
“หนูไม่ได้เสียใจเรื่องนั้น หนูไม่ได้อยากจะแต่งงาน”
“ถ้าเจ้าชายสมัครใจ เราจะให้เขากลับมาปกครองเมืองที่นี่ก็ได้นะ เพราะพ่อกับแม่ยังไม่ได้ตกลงกันเรื่องที่ว่าจะให้ลูกเขยคนใดปกครองเมืองของเรา”องค์ราชินียังคงพูดต่อโดยไม่สนใจฟังเสียงทักท้วง
“ท่านแม่หนูไม่อยากแต่ง หนูเคยบอกท่านแม่ไปหลายรอบ”
“หนูไม่ต้องกลัวนะลูก แม่ได้ข่าวมาว่าเจ้าชายมีรูปร่างที่สง่างาม มีฝีมือทั้งทางด้านมนตราและการสงคราม หนูจะต้องชอบอย่างแน่นอน”
“หนูไม่หมั้นหมาย ไม่แต่งงาน ฟังหนูบ้างเถอะนะคะ”อลิเซียเน้นย้ำความตั้งใจของตัวเองใน
“แม่เลือกชุดที่จะให้หนูใส่ในงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าชายในคืนนี้แล้ว หนูเตรียมตัวให้ดีนะ เอาล่ะลูกๆจ๊ะ เราออกไปเตรียมตัวกันเถอะนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่จะล็อกประตูห้องนี้ แล้วตอนบ่ายๆ แม่จะกลับมาจัดการกับสภาพของลูกก่อนจะพบกับเจ้าชาย ไปเร็วสาวๆ เรายังมีงานอีกเยอะต้องทำ”
“พวกหนูอยู่ช่วยน้องแต่งตัวได้ไหมเพคะ”องค์หญิงในชุดสีม่วงงดงามถามขึ้น
“ไม่ได้ฟรีเซีย แม่จะให้น้องเตรียมตัวอยู่ในนี้ แล้วจะให้ยามเฝ้าหน้าประตูไว้ เพื่อกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบที่ผ่านมาอีกไง อ้อลูกรัก ราชินีแอนเจลินาร์มารดาของเจ้าชาย เป็นเพื่อนรักของแม่ตั้งแต่สมัยเรียน หวังว่าลูกๆจะไม่ทำให้แม่ขายหน้านะคะ”ผู้เป็นมารดายิ้มอย่างเยือกเย็นพลางมองสภาพที่ไม่สมกับเป็นเจ้าหญิงครั้งสุดท้าย
องค์หญิงทั้งหกพยักหน้ารับพลางนึกถึงเหตุการณ์ดูตัวของน้องสาวคนเล็กครั้งที่ผ่านมา อลิเซียเคยแอบลงไปห้องปรุงยาและต้มยาที่ทำให้ผิวกายเปลี่ยนเป็นสีเขียว แล้วดื่มก่อนที่จะมาพบเจ้าชาย หรือตอนที่เข้ามาห้องเสวยพร้อมกับใส่ชุดอัศวินและดาบเปื้อนเลือดซึ่งนางไม่ยอมบอกว่าเลือดอะไร ทำให้มารดาของเธอสติแตกทุกครั้งและอลิเซียต้องไปอยู่ที่หอสำนึกผิดเป็นอาทิตย์กว่าที่ฟรีเซียซึ่งเป็นพี่ใหญ่จะสามารถกล่อมให้ท่านแม่ยอมให้อภัยได้
“แต่อลิเซียที่รัก คราวนี้ต่างจากทุกครั้งนะ เพราะคราวนี้ไม่ใช่แค่การดูตัว แต่เป็นการรับของหมั้น หนูไม่ต้องทำอะไรมากในคืนนี้นะทูนหัว แค่รอรับสร้อยข้อมือก็พอนะจ๊ะ”
พระราชินียิ้มแย้มด้วยรอยยิ้มที่อลิเซียคิดว่านี่ล่ะคือสิ่งที่น่ากลัว
เมื่อทุกคนออกไปจากห้องและประตูถูกปิดลง
“โอ๊ย ท่านแม่ ทำไมท่านแม่ถึงทำอย่างนี้นะ แล้วคราวนี้จะทำยังไงดี รับหมั้น ยี้แค่คิดก็ขนลุก ถ้าแค่ป่วนอย่างทุกๆครั้งนายเจ้าชายนั่นต้องไม่ยอมกลับไปง่ายๆแน่ ทำอย่างไงดี”
อลิเซียเกลียดการเป็นเจ้าหญิงมาตั้งแต่เด็ก เมื่อพวกพี่ๆเรียนเย็บผ้าปักผ้า เธอก็จะแอบลงไปที่โรงฝึกของอัศวินและบังคับให้ครูฝึกสอนการใช้อาวุธให้ เธอร่ำเรียนได้เพียงปีเดียวก็ต้องหยุดเพราะถูกพระราชินีจับได้ ปีต่อมาระหว่างชั่วโมงเรียนวัฒนธรรมแคว้นและอาณาจักร เธอก็แอบหนีไปเรียนเวทย์มนต์กับนักเวทย์ประจำราชสำนัก และในระยะเวลาไม่นานการเรียนของเธอก็จบลงอีกเพราะพระราชินีจับได้ว่าผ้าปักผืนล่าสุดของเธอทำมาจากเวทย์มนต์เพราะด้ายปักนั้นเปลี่ยนสีเองได้เนื่องจากผลตกค้างของเวทย์มนต์
นอกจากเรื่องพวกนี้ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้เธอคิดว่าการเป็นเจ้าหญิงไม่เหมาะกับเธอ ในขณะที่พวกพี่ๆ ของเธอตัวเล็กน่ารัก มีเส้นผมสีทองสวย ผิวขาวและมีริมฝีปากสีแดงสด รวมไปถึงตาสีฟ้าใสดั่งแก้ว แต่สิ่งที่เธอมีเนี่ยสิ
อลิเซียยืนมองกระจกบานใหญ่ที่อยู่ข้างตู้เสื้อผ้าอย่างปลงๆ เธอเอามือสางเส้นผมที่เป็นสีดำสนิท พลางมองส่วนสูงที่มากกว่าพวกพี่ๆ เกือบยี่สิบเซนติเมตร ถึงแม้ว่าเธอจะมีดวงตาสีฟ้าใสแบบพวกพี่ๆ แต่ความขะมุกขะมอมของผิวที่ตากแดดอยู่เป็นนิจเนื่องจากเธอชื่นชอบการขี่ม้ากลางแจ้ง มือที่ด้านเพราะการแอบฝึกยิงธนูและฟันดาบ ยามไปเดินที่ตลาดไม่มีใครรู้สักคนว่าคนนี้น่ะคือเจ้าหญิง ต่างจากพี่สาวของเธอ ท่านพ่อกับท่านแม่เลยไม่ยอมให้ไปออกงานไหนถ้าไม่จำเป็น
ข่าวลือที่ว่าองค์หญิงเล็กของราชวงศ์แวนเวิร์ธมีรูปโฉมงดงามและมีกริยาที่อ่อนช้อยที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ทำให้มารดาของเธอยิ่งซ่อนเธอจากสายตาคนภายนอก แต่พอเริ่มต้นปีนี้ที่เธออายุครบสิบห้าปี พระราชาแห่งอาณาจักรดูจะเป็นเดือดเป็นร้อนที่จะให้เธอมีคู่เสียเหลือเกินโดยที่เธอเองก็ไม่ทราบสาเหตุ เพราะปกติแล้วท่านพ่อจะยุ่งกับงานเมืองจนลืมงานในบ้าน แม้จะเป็นพ่อลูกกันแต่เคยเจอกันนับครั้งได้ เพราะพระราชาจะไม่เสด็จมาส่วนของวังหลังเท่าไรนัก จะเจอกันเฉพาะพระราชพิธีใหญ่ๆ ที่เธอจะสวมหมวกที่มีผ้าคลุมหน้าเพื่อไม่ให้ใครหน้าตาที่ต่างกับฐานันดรเช่นนี้ โชคดีที่พี่สาวทั้งหกรักเธอมาและพากันสวมหมวกตามทำให้เธอไม่เคยรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง
“แต่คราวนี้ท่าทางท่านแม่จะเอาจริง ขังเราเสียขนาดนี้ แต่คราวนี้ถ้าเราลงไปรับหมั้น เราต้องติดกับและต้องเป็นเจ้าหญิงอย่างนี้ไปจนตายแน่ๆ ต้องหนีให้ได้”
อลิเซียเดินไปมาภายในห้องพักของตัวเอง และแล้วเธอก็เดินมาหยุดตรงหน้าต่างบานงามที่กั้นเธอจากโลกภายนอก เธอเปิดมันออกแล้วมองลงไปยังเบื้องล่าง ถ้าเพียงเธอรู้เรื่องเวทย์มนต์เพียงพอ เธอก็คงจะเสกให้พรมหรืออะไรสักอย่างที่พอจะนั่งได้ให้มันบิน เธอก็จะหลุดออกจากโลกที่ไม่ใช่ของเธอ
สายลมที่เย็นจนผิดธรรมดาเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าคนจากสโนว์แลนด์กำลังจะเดินทางมาถึง ผ้าคลุมเตียงของพี่สาวเธอพริ้วไหวตามสายลม ผ้าคลุมเตียง อลิเซียเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดรัดกุมก่อนจะฉีกดึงผ้าคลุมเตียง ผ้าปูเตียงและคว้าเสื้อผ้าทุกชิ้นในตู้มาผูกเป็นเส้นยาวๆ
อลิเซียเปิดลิ้นชักล่างสุดของตู้เสื้อผ้าแล้วล้วงเข้าไปลึกสุด เธอหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมา ด้านในมีเสื้อผ้าผู้ชายที่เธอตัดเย็บเองอยู่ห้าชุด แหวนอเลนอร์ของขวัญที่เธอเคยได้รับจากเพื่อนแปลกหน้า ทองคำอีกเล็กน้อย เธอหยิบแหวนเอเลนอร์มาสวมและตั้งสมาธิ รูปร่างของเธอก็เปลี่ยนไป ผมที่ยาวสลวยจนเลยเอวค่อยๆ หดสั้นลงเรื่อยๆ หน้าอกเล็กลง ร่างกายหนาและใหญ่ขึ้น อลิเซียจัดการห่อเสื้อผ้ากับทองจำนวนเล็กน้อยและผูกไว้กับหลัง เธอนำผ้าที่เหลือผูกเข้าด้วยกันเป็นเส้นยาวก่อนจะชุบน้ำและผูกด้านหนึ่งเข้ากับเตียงและโยนอีกด้านหนึ่งลงไปเบื้องล่าง สายลมที่เย็นเยียบบ่งบอกถึงการมาถึงของคณะจากสโนวแลนด์ ผ้าที่ชุ่มน้ำเริ่มแข็งตัว อลิเซียใช้จังหวะนั้นในการโรยตัวลงจากหอคอย ลงมายังสวนเบื้องล่าง ก่อนจะค่อยๆลัดเลาะไปทางโรงเลี้ยงม้า
ทุกคนในปราสาทเตรียมตัวไปรับคณะเดินทางกันหมด ทำให้การป้องกันค่อนข้างหลวม อลิเซียตรงเข้าไปหาธันเดอร์ ม้าสีขาวที่มีฝีเท้าเร็วที่สุดในอาณาจักรซึ่งท่านพ่อให้ไว้เป็นของขวัญวันเกิด
“ไงธันเดอร์ไม่ได้วิ่งออกกำลังนานแล้วสิเจ้าน่ะ”อลิเซียลูบหัวม้าเบาๆ ก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นคร่อมม้าและควบออกไปด้วยความเร็วสูง กว่าคนที่ปราสาทจะรู้ว่าเธอหายไป อลิเซียก็มาถึงเขตชายแดนแล้ว
อลิเซียเลือกที่จะเข้าพักที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับตลาดสดของหมู่บ้าน เธอใช้เวลาทั้งวันเพลิดเพลินกับอิสรเสรีที่ไม่เคยได้รับ แต่เธอก็เดินชมตลาดจนเย็นก็มีเหตุให้ต้องรีบหลบกลับโรงเตี๊ยมเพราะทหารที่ถูกส่งมาเพื่อติดตามค้นหาตัวเธอมาถึงเมืองนี้แล้ว พร้อมกับประกาศตามหาเจ้าหญิงองค์เล็กที่หายตัวไป
คืนนั้นอลิเซียเลือกมาทานอาหารเย็นที่บาร์ของโรงเตี๊ยมพร้อมกับใส่เสื้อคลุมไว้ด้วย ในโรงเตี๊ยมของเขตชานเมืองซึ่งเป็นแหล่งพักพิงของผู้เดินทางซึ่งน่าจะคึกคักแต่กลับเงียบเหงา วันนี้มีลูกค้ามาใช้บริการเพียงแค่สามโต๊ะเท่านั้น
โต๊ะแรกเป็นเด็กผู้ชายที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับอลิเซีย ทั้งสองนั่งทานอาหารอยู่เงียบๆ ที่ฝั่งตรงข้าม อีกโต๊ะอยู่ด้านหลังของเธอสวมผ้าคลุมเช่นเดียวกัน แต่ความเงียบก็ถูกทำลายลงเมื่อลูกค้าใหม่เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงโวยวาย
“ไง ทอม ขอเหมือนเดิมนะ ไม่ได้มาที่นี่ตั้งนาน”
“สวัสดีมาร์คัส”เจ้าของบาร์กล่าวทักทายชายร่างใหญ่ที่แต่งตัวดูสกปรก และต่อบทสนทนากันสองคนจนกระทั่งบางประโยคที่ดังมากระทบหู
“นี่นายรู้มั้ยที่เขาไม่ติดรูปเจ้าหญิงอลิเซียน่ะ เพราะว่านางขี้เหร่มาก จนพระราชาอับอายเกินกว่าจะเผยรูปของนาง”มือที่จับแก้วน้ำของอลิเซียสั่นเล็กน้อยเพราะความหงุดหงิด
“จริงเหรอมาร์คัสแต่เขาลือกันมานานว่านางงดงามมากจนพระราชาหวงแหนมากไม่อยากให้ใครเห็น”คนคุมบาร์เอ่ยถามชายร่างใหญ่
“จริงเสียยิ่งกว่าจริงทอม เขาว่ากันว่านะพระองค์ดีใจสุดๆ ที่ยัยเจ้าหญิงนั่นหายไปดูสิหายไปเกือบวันแล้ว มีทหารออกมาตามหาแถวนี้สักกี่คน”
“แต่อาณาจักรแวนเวิร์ธของเราแม้ไม่กว้างใหญ่นัก แต่ที่นี่ก็เป็นเขตชายแดน เจ้าหญิงคงไม่อยากมาอยู่แถวนี้หรอกจริงไหมมาร์คัส”ทอมตอบ
“ใช่ แต่พี่สาวของนางทั้งหกคนน่ะสวยอย่างกับนางฟ้า พระราชาถึงให้พี่สาวของนางทั้งหกออกงานทุกงาน แต่นางไม่เคยได้ออกแม้แต่งานเดียวนะสิ เฮ้ยแล้วเจ้าสองคนนั่นนะคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้”มาร์คัสขอความเห็นไปยังโต๊ะของเด็กหนุ่มทั้งสอง
เพราะชั้นเกลียดงานสังคมงี่เง่าพวกนั้นต่างหาก เกลียดชุดที่ดูเหมือนผ้าม่านพวกนั้นด้วย อลิเซียเข่นเขี้ยวในใจ
“ข้าไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้”เด็กชายผมสีน้ำตาลตอบก่อนจะดื่มน้ำ รวบช้อนและเตรียมตัวลุก
“ดูแล้วแกสองคนนี่ยังดูเด็กอยู่เลยนี่นา มาทำอะไรที่นี่”มาร์คัสที่ดูท่าทางเป็นนักเลงลากเก้าอี้จากหน้าบาร์ไปที่โต๊ะของเด็กทั้งสองคนนั้น
“เรากำลังจะไปสอบเข้าโรงเรียนอัศวินมิเอลทินาร์”เด็กผมสีดำตอบอย่างยืดๆ
“โอ้ คุณหนูผู้สูงศักดิ์จากตระกูลอะไรกันครับเนี่ย”มาร์คัสแสร้งทำท่าประจบประแจงทันที
“ไม่ เราเป็นแค่เด็กกำพร้าเท่านั้น”คนผมสีน้ำตาลรีบตอบทันทีเพราะกลัวเดวิดจะพูดอะไรออกไป
มาร์คัสละทิ้งท่าประจบประแจงแล้วเริ่มต้นหัวเราะทันที แม้แต่ทอมคนคุมบาร์ก็ร่วมหัวเราะด้วยเช่นกัน
“มีอะไรน่าขำอย่างนั้นเหรอ”ลูกค้าอีกคนที่นั่งเงียบมาแต่ต้นถามขึ้น
“ก็ต้องขำนะสิ สถาบันงี่เง่านั่นรับแต่พวกผู้ดีมีเงินเท่านั้น เด็กกำพร้าอย่างพวกแก ต่อให้เข้าไปสอบได้ที่หนึ่ง ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปเรียนอยู่ดีนั่นแหละ เลิกฝันเถอะเจ้าหนู”
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี ผมขอตัวขึ้นไปพักผ่อนด้านบนก่อน”เด็กคนผมสีน้ำตาลกล่าวอย่างสุภาพ
“นี่เจ้าหนูมิเอลทินาร์ ชั้นอุตส่าห์ชี้ทางสว่างให้ จ่ายค่าเหล้าให้ชั้นด้วยแล้วกันนะ”
“เราไม่จำเป็นต้องจ่าย”เด็กผมดำพูดเสียงดัง
“งั้น ข้าก็คงจำเป็นต้องใช้กำลังกับเจ้าเสียหน่อยอยู่กันแค่สองคนน่าจะพอมีเงินติดตัวมาบ้าง”มาร์คัสย่างสามขุมมาที่เด็กทั้งสอง
ฉึก มีดสั้นสีเงินวาววับบินตัดปอยผมเล็กๆของมาร์คัสและปักเข้าที่ผนัง
“ข้าว่าเจ้าควรจะจ่ายเงินค่าข้าวให้พวกเขานะในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“หนอย แกเป็นใครอย่ามาบังอาจ”แล้วมาร์คัสก็หน้าถอดสีเมื่อแขกลึกลับที่อยู่โต๊ะถัดจากอลิเซียปลดผ้าคลุมออกเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำเงินเข้ม เด็กผู้ชายคนนั้นน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาเช่นกันแต่ทำไมมาร์คัสถึงดูลนลาน
“แล้วแกเป็นใคร”
ดาบด้ามงามถูกชักออกมาจากฝักของมันแล้วจ่อที่คอของมาร์คัสแทนคำตอบ เสียงร่ายมนต์เบาๆ ที่ทำให้ขาของมาร์คัสมีน้ำแข็งมาปกคลุม ทำให้เจ้าตัวถึงกับหน้าซีดตัวสั่น เมื่อดาบถูกเก็บเข้าฝัก และน้ำแข็งอันตราธานไป มาร์คัสก็แทบจะล้มทั้งยืน
“ท่านชาย กระผมขอโทษ นี่ทอม ค่าอาหารเจ้าสองคนนั่นรวมเข้ากับบัญชีข้านะ วันนี้ข้าปะ ปะไปก่อนล่ะ”
เด็กผู้ชายผมสีขาวเดินมานั่งที่โต๊ะของทั้งสองหลังจากที่มาร์คัสรีบร้อนออกจากบาร์ไป
“ฉันชื่อไลโอเนล คาร์ลตัน”
“ฉันชื่อเดวิด ไม่มีนามสกุล ส่วนนี่อเล็ก ฟอร์น”เดวิดที่ดูท่าทางตื่นเต้นกับเรื่องที่เห็นมากรีบแนะนำตัวในขณะที่เด็กอีกคนยังดูนิ่งเฉย
“ได้ยินว่าพวกนายจะไปมิเอลทินาร์ รู้หรือเปล่าว่าโรงเรียนนี้ไม่รับเด็กกำพร้าหรือเด็กไม่มีที่มา”
“ก็พอจะรู้มาบ้าง”อเล็ก ฟอร์นตอบ
“แล้วนายจะไปสอบให้เสียเวลากับเสียเงินค่าสมัครทำไม”
“ข้าก็แค่อยากได้ความบันเทิงเท่านั้น เจ้าว่ามันไม่น่าสนใจเหรอที่คนได้คะแนนดีที่สุดจากการสอบ แต่ไม่ได้เรียนในขณะที่พวกผู้ดีที่แพ้ข้ากลับได้เข้าเรียน”
ไลโอเนลยิ้มก่อนจะปลดผ้าคลุมหัวออกทั้งหมดเผยให้เห็นเส้นผมสีบรอนซ์เงินที่สวยงามราวกับเส้นผมของหญิงสาว และทรงผมที่รับกันได้ดีกับรูปหน้าและจมูกโด่งสวย ไลโอเนลจึงจัดว่าเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดูดีคนหนึ่ง
“แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจะได้คะแนนที่ดีที่สุดจากบททดสอบที่ไม่เคยมีใครได้คะแนนเต็มมาก่อนอย่างนั้นเหรอ”
“ก็คาดหวังย่อมดีกว่าไม่หวังไม่ใช่เหรอท่านชาย”อเล็กตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“น่าสนใจจริงๆ นานมาแล้วที่ข้าไม่เคยพบคนที่น่าสนใจ รอบตัวข้ามีแต่คนที่น่าเบื่อ”
“วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเปิดรับสมัครแล้ว หวังว่าคงจะเจอพวกเจ้าที่นั่นและอย่าลืมทำให้ข้าหายเบื่อด้วยล่ะ”
เมื่อพูดจบไลโอเนลก็ลุกขึ้นและเดินขึ้นบันไดไปเพื่อไปสู่ส่วนที่เป็นห้องพัก ไม่นานเด็กชายทั้งสองคนก็ลุกและเดินขึ้นไปเช่นเดียวกัน ตอนนี้เหลือเพียงอลิเซียกับบาร์เทนเดอร์เท่านั้น ความเงียบจึงเข้ามาทำหน้าที่ของมันอีกหน เธอจึงวางค่าอาหารและเดินขึ้นไปเช่นเดียวกัน
เมื่อเข้ามาในห้องพักเธอถึงรู้ว่ามีคนๆหนึ่งมารอเธออยู่ที่ห้องพัก ผู้มาเยือนที่มีเส้นผมสีบรอนซ์เป็นประกายเมื่อต้องแสงจันทร์นอกหน้าต่าง
***********************************************************************************
ความคิดเห็น