ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Mandrake Hero(ine) - ผู้กล้าพืชป่วน ยกก๊วนปราบมังกร

    ลำดับตอนที่ #25 : 22 - หน้าที่ของอิกดราซิล - “ผิด! หักร้อยล้านจุดเจ็ดเจ็ดเจ็ดเจ็ดคะแนน”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 315
      0
      25 ก.พ. 54

    บทที่ 22

    หน้าที่ของอิกดราซิล

     

    นี้ดฮ็อก...งั้นหรือ เป็นชื่อที่ไม่คาดฝันเลยว่าจะได้ยิน ชายผมฟูสวมแว่นซึ่งเด็กหญิงแมนเดรกเพิ่งพบหน้าเปรยขึ้น หลังจากที่อาเน่เล่าความฝันให้ทุกคนในห้องฟัง

    มังกรที่ว่าไล่กินรากของต้นอิกดราซิล ต้นไม้ที่ค้ำจุนโลกงั้นเหรอ อัลบัสรับอย่างครุ่นคิด ให้ตายสิ จอมมารมันมีลูกน้องใหญ่โตขนาดนั้นเชียว

    มันไม่ใช่ลูกน้องของจอมมารหรอกนะ ท่านจอมแว่น...เอ๊ย จอมเวทขาว โยฮันน์แย้งพลางขยับแว่นของตน

    แล้วท่านรู้ได้ยังไงจอมเวทขาวจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

    ท่านลืมไปแล้วหรือ ว่าข้าเป็นคนทำวิจัยเรื่องจอมมารศึกษา สิ่งที่อยู่ในอาณัติของจอมมารมีแต่พืชและสัตว์อสูรบนแผ่นดินอิลลูเซียเท่านั้น เรื่องจะเอามังกรสำคัญระดับโลกอย่างนี้ดฮ็อกมาเป็นลูกน้องน่ะ ลืมไปได้เลย แล้วก็อย่างที่ข้าบอก จอมมารจะลงมือที่ใด ย่อมมีการประกาศแสดงความรับผิดชอบเสมอ

    ครั้งนี้มันอาจจะประกาศช้าก็ได้ หรือตั้งใจปิดบังก็ได้ แล้วอีกอย่าง นี้ดฮ็อกมันตั้งใจจะทำลายล้างโลก จุดประสงค์อย่างเดียวกันกับจอมมารชัดๆ ทำไมจะร่วมมือกันไม่ได้

    ...ใช่หรือ... อาเน่นิ่งฟังอย่างไม่สบายใจ บางสิ่งยังคงกระตุกความคิดของตน เกี่ยวกับนี้ดฮ็อก เสียงที่ได้ยิน ...และความเจ็บปวดที่ตนสัมผัส

    ทำลายล้างโลก...นั่นน่ะ มันก็แค่เรื่องที่มนุษย์คิดกันไปเองฝ่ายเดียวไม่ใช่รึ โยฮันน์ยักไหล่

    ...หมายความว่ายังไง

    ก็หมายความว่า...มนุษย์เห็นอะไรที่ทำร้าย มนุษย์ เป็นสิ่งที่ทำลายล้าง โลก ทั้งหมดนั่นล่ะ อาจารย์แห่งโรงเรียนผู้กล้าดูเหมือนจะยิ้มขื่นๆ ทั้งอสูรเกรนเดลที่กินมนุษย์เป็นอาหาร หรือมังกรฟาฟเนียร์ซึ่งฆ่ามนุษย์ที่พยายามชิงสมบัติของมัน หรือพวกท่านจะปฏิเสธ

    ทุกคนล้วนเงียบไป จนกระทั่งชายผมฟูพูดขึ้นมาเอง

    ต่อให้ไม่มีนี้ดฮ็อก พวกท่านก็คงรู้สินะ ว่าสักวันต้นอิกดราซิลย่อมต้องถึงแก่อายุขัย และโลกซึ่งอาศัยต้นอิกดราซิลค้ำจุนอยู่ ก็ย่อมจะล่มสลายไปด้วย ไม่ว่าจะอีกกี่พันกี่หมื่นปีก็ตามอาจารย์สอนวิชาระบบนิเวศแห่งอิลลูเซียเอ่ยช้าๆ เช่นนี้ ตัวตนของ นี้ดฮ็อก ที่มนุษย์บอกกันว่ากัดกินรากของต้นอิกดราซิล และจะทำให้โลกถึงกาลล่มสลายไปพร้อมกับความตายของต้นไม้ มีไว้เพื่อทำสิ่งใดกัน ใครตอบได้เอาไปเลยสามคะแนน

    ถามได้ ก็มีเอาไว้ทำให้โลกนี้ล่มสลายเร็วขึ้นน่ะสิ อัลบัสตอบทันควัน ระหว่างต้นไม้ที่แก่ตายเอง กับต้นไม้ที่โดนกัดกินรากไปเรื่อยๆ อันไหนจะตายเร็วกว่ากันเล่า

    ผิด! หักร้อยล้านจุดเจ็ดเจ็ดเจ็ดเจ็ดคะแนน โยฮันน์ไขว้นิ้วชี้เป็นรูปกากบาทใส่จอมเวทขาว ต้องเปลี่ยนคำตอบเป็น มนุษย์ ถึงจะถูก

    อะไรเนี่ย จอมเวทขาวเกาศีรษะอย่างหัวเสีย

    เพราะมีมนุษย์นี่ล่ะ โลกถึงจะล่มสลายเร็วขึ้น แต่กลับมาคำถามเดิมกันก่อน ใครจะลองตอบอีกไหม ชายผมฟูกวาดมองไปโดยรอบ จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ห่างเด็กหญิงแมนเดรกไม่เท่าไร อ้า...เชิญท่าน

    เธอหันไปเห็นมาเทียสยกมือขึ้น

    นี้ดฮ็อกมีไว้รักษาต้นอิกดราซิล โดยการกินส่วนที่ตายไปแล้วใช่ไหม ช่างตีเหล็กพูด คือข้าเดาจากฝันของอาเน่ เห็นนางบอกว่านี้ดฮ็อกกินรากต้นไม้ที่กลายเป็นสีดำ ข้าคิดว่าส่วนนั้นคงเป็นเหมือนเนื้อร้ายที่จะแพร่กระจายออกไป

    ถูกต้อง!” โยฮันน์ปรบมือดังๆ กราวใหญ่อยู่เป็นนาน แต่เมื่อไม่เห็นใครปรบตามก็ลดมือลงและกระแอม แล้วรู้ไหมว่าทำไมต้นอิกดราซิลถึงได้ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ

    มันเน่าเองตามธรรมชาติ? อัลบัสพยายามอีกครั้ง

    ผิด! หักเก้าร้อยเก้าพันเก้าสิบเก้าล้านเก้าแสน—”

    โว้ย! จะหักอะไรกันนักกันหนา จิตพิสัยข้าไม่เหลือ...เอ๊ย มิน่าถึงไม่มีเด็กมาลงเรียนด้วยเลย จอมเวทขาวบ่น

    เฮ้อ เพราะกระทั่งบัณฑิตที่จบไปแล้วยังไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้แหละน้า ข้าถึงได้อยากให้บรรจุวิชาระบบนิเวศเป็นวิชาบังคับจริงๆ ชายหัวฟูเกาหัวแกรก พร้อมกับโคลงศีรษะ พืชมีความสำคัญอย่างไรกับโลกและสิ่งแวดล้อม จงอภิปรายอย่างกว้างขวาง คะแนนเต็มสิบคะแนน

    ปัจจัยสี่ มาเทียสเอ่ยขึ้นอีกครั้ง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย และยารักษาโรคล้วนทำจากพืช หมายความว่ามนุษย์อยู่ไม่ได้ถ้าขาดพืช

    อือม์...ก็ถูก แต่ยังไม่ตรงประเด็นเท่าไหร่นะ ข้าให้สักหกคะแนน โยฮันน์พยักหน้า หัวข้อของเราคือ พืชกับโลก ไม่ใช่พืชกับมนุษย์

    พืชก็เป็นอาหาร ที่อาศัย และยารักษาโรคสำหรับสัตว์เหมือนกันนี่ครับ ฟรานซิสพูดขึ้นบ้าง

    อ้า...แต่ไม่เสมอไปนี่นะ สัตว์ที่กินเนื้อ หรือไม่ได้อาศัยพืชเป็นที่อยู่ก็ยังมีอาจารย์โรงเรียนผู้กล้าแย้ง

    แต่สัตว์พวกนั้นก็กินสัตว์ที่กินพืช หรือถ้าสาวไปจนสุดทาง ก็จะพบว่าสิ่งที่ถูกกินเป็นลำดับแรกก็คือพืชอยู่ดี ช่างตีเหล็กเสริม ดังนั้นถ้าไม่มีพืช มนุษย์และสัตว์ก็อยู่ไม่ได้

    ก็ถูก เพิ่มเป็นแปดคะแนนแล้วกัน โยฮันน์ยักไหล่ แต่...พืชกับ โลก ล่ะ โลกนี้ไม่ได้มีจำกัดแต่มนุษย์ กับสัตว์

    อาเน่ครุ่นคิดตามนั้น เธอรู้ว่าพืชเองก็ต้องพึ่งพาพืชเช่นกัน ไม้ใหญ่ป้องกันฝน ไม่ให้ไม้ล้มลุกที่อยู่ข้างใต้ถูกกระหน่ำแรงเกินไป พวกไม้กาฝากอาศัยน้ำหล่อเลี้ยงของไม้อื่นเป็นอาหาร...ที่จริงนั่นเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไร แต่ตราบใดที่ไม่ทำให้พืชที่ถูกเกาะกินถึงกับเหี่ยวเฉา พวกพืชก็พอจะยอมรับกันได้ และออกจะสงสารธรรมชาติของกาฝากนั้นเสียด้วย

    แต่นั่นสินะ พืชหล่อเลี้ยงสิ่งต่างๆ ทั้งมนุษย์ สัตว์ หรือพืชด้วยกันเอง ...แล้วโลกล่ะ

    พืชให้สิ่งใดต่อโลก

    อากาศ เด็กหญิงเอ่ยขึ้นมา

    หือม์ หลายคนดูจะขมวดคิ้ว โดยเฉพาะผู้กล้ากับจอมเวทขาว

    พืชฟอกอากาศ เด็กหญิงผมเขียวพูดช้าๆ ชำระล้างน้ำ อณูพืชที่มนุษย์มองไม่เห็นจะย่อยสลายซากพืชและซากสัตว์ให้กลายเป็นดิน ส่วนพืชที่ใหญ่กว่านั้นนำสิ่งที่ถูกย่อยสลายกลับมาใช้ประโยชน์ ถ้าไม่มีพืช อากาศและน้ำก็จะกลับมาสะอาดไม่ได้ และซากพืชซากสัตว์ก็จะล้นโลก

    ใช่แล้ว!” โยฮันน์ปรบมือ ตอบได้สมกับเป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์พืชจริงๆ นี่ล่ะ หลายอย่างยังสรุปง่ายไปหน่อย แต่ในเมื่อมีคนพื้นฐานไม่แน่นอยู่ในนี้ ก็ขอไม่ลงลึกในรายละเอียดแล้วกัน

    แต่ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี อัลบัสขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม อากาศกับน้ำมันสกปรกเพราะอะไร

    ไม่เห็นจะต้องบอกเลย แม่มดดำพูดขึ้นบ้าง ก็ มนุษย์ ไม่ใช่เหรอ

    นี่ อะไรๆ ก็โทษมนุษย์นี่ข้าว่ามันง่ายไปหน่อยนะจอมเวทขาวแย้ง

    ก็ไม่ง่ายไปกว่า อะไรๆ ก็โทษจอมมาร หรอกกระมัง เอริเธียตอบกลับ

    นี่ท่าน—” คนถูกพาดพิงเริ่มทำเสียงไม่พอใจ

    ทั้งสองคน อย่าเพิ่งเลย เฮลิออสปราม ฟังท่านอาจารย์โยฮันน์ต่อเถอะ

    ผู้ถูกพูดถึงดันแว่นและยิ้มน้อยๆ

    เอาล่ะ เราเก็บคะแนนกันได้เต็มสิบเสียที มาถึงเรื่องอิกดราซิลกันบ้าง ตามตำนานบอกว่าอิกดราซิลเป็นต้นไม้ที่ค้ำจุนโลก แต่...จากการสำรวจดินแดนรอบด้าน พวกเราต่างก็รู้กันว่าลักษณะทางกายภาพ หรือน้ำหนักของโลก ไม่ได้ถูกแบกไว้ด้วยต้นอิกดราซิลเหมือนที่เคยเข้าใจกัน ดังนั้น คำว่า ค้ำจุน นั้นย่อมถูกใช้ในเชิงสัญลักษณ์ หรือมีความหมายอื่น

    แล้ว? อัลบัสกอดอกพลางมองตรงมาอย่างใจร้อน

    ต้นไม้ ไม่ว่าจะมีส่วนไหนที่สิ่งมีชีวิตนำไปใช้ประโยชน์ได้ ก็ล้วนแต่มีหน้าที่ต่อโลก...ไม่สิ มีกิจกรรมหนึ่งที่ต้นไม้ต้องทำเพื่อให้มีชีวิตรอด นั่นคือ หายใจ และมันยังเป็นการฟอกอากาศของโลกด้วย อิกดราซิลก็มีหน้าที่นั้นเช่นกัน ...แต่ อิกดราซิลไม่ได้ฟอกเพียงแต่อณูในอากาศเหมือนพืชทั่วๆ ไป...

    อิกดราซิลฟอกความชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากมนุษย์

    ความเงียบตรงเข้าครอบคลุมทุกคนในห้องอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งมันถูกทำลายลง

    ...นี่มันทฤษฎีบ้าบออะไรกันนั่น ...ด้วยเสียงของอัลบัส

    ถ้าท่านไปค้นในหอสมุดของโรงเรียนผู้กล้า จะพบรายงานวิจัยเรื่องนี้อยู่ แต่เนื่องจากอิกดราซิลไม่ใช่ต้นไม้ที่อยู่ใน มิติกายภาพซึ่งพวกเราอยู่ จึงใช่จะเข้าถึงเพื่อเก็บข้อมูลได้ง่ายๆ

    งั้นไอ้มังกรบ้านั่นมาโผล่ในมิติกายภาพได้ยังไง! จะบอกว่ามันกินรากเสียของอิกดราซิล เลยติดเชื้อความชั่วร้ายของมนุษย์ แล้วออกมาอาละวาดเรอะ!” จอมเวทขาวขึ้นเสียง

    สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในมิติกายภาพ หากมีความเข้มข้นของพลังงานสูง ก็ก่อร่างกายภาพขึ้นมาได้ เหมือนภูตผีวิญญาณนั่นแหละ โยฮันน์ยังคงอธิบายอย่างเยือกเย็น อ้อ แล้วท่านพูดผิดไปนิดนะจอมแว่น...เอ๊ย จอมเวทขาว นี้ดฮ็อกได้รับผลกระทบจากความชั่วร้ายของมนุษย์ก็จริง แต่มันไม่ได้ออกมาอาละวาดด้วยจิตชั่วร้าย

    อาเน่เข้าใจในทันที

    นี้ดฮ็อกกำลังทรมาน เด็กหญิงรับ เสียงที่ข้าได้ยินที่บึงตอนนั้นไม่เหมือนเสียงของอิกดราซิล...แต่เป็นเสียงของนี้ดฮ็อกเอง

    ใช่ ข้าคิดว่านี้ดฮ็อกออกมาสู่มิติกายภาพเพื่อหาทางขับพิษ มันจึงได้มุ่งตรงไปยังแหล่งน้ำนั่นอย่างไร อาจารย์ระบบนิเวศรับ ดังนั้นไม่ต้องทำอะไรกับมันหรอก พอมันอาศัยน้ำสะอาดชำระพิษจนหายดีแล้ว ก็จะกลับไปดูแลต้นอิกดราซิลตามเดิม

    หมายความว่า... ผู้กล้าเฮลิออสพูดขึ้นบ้าง นี้ดฮ็อกไม่ใช่สิ่งที่เราต้องปราบ แต่ปล่อยไว้เฉยๆ ก็จะไปเองหรือ

    บ้าไปแล้ว! ข้าไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย!” ใบหน้าของจอมเวทขาวเริ่มแดงก่ำ เจ้า...เจ้าเป็นสาวกของจอมมารใช่ไหม หรือเป็นลูกน้องของมัน...หรือจะเป็นมันปลอมตัวมาเอง! ถึงได้พูดจาเข้าข้างมันนัก นี่คิดจะทำให้พวกเราไขว้เขว ปกป้องไอ้มังกรที่จอมมารมันส่งมาสินะ!”

    อะไรกันๆ ท่านอัลบัส กล่าวหากันแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยรึ โยฮันน์ยักไหล่พร้อมกับยิ้มแห้งๆ ข้าก็เป็นแค่อาจารย์โรงเรียนผู้กล้า ที่ทำวิจัยเรื่องจอมมารศึกษาเท่านั้นเอง

    คำโกหกของเจ้า...กระทั่งเด็กอมมือยังมองออก!” อัลบัสตวัดมือเรียกคทาออกมา ชี้ตรงไปทางชายผมฟูอย่างคุกคาม โยเวียสกับโยฮันน์ กระทั่งชื่อพยางค์แรกยังเหมือนกัน คงจะไม่บังเอิญไปหน่อยกระมัง

    อาจารย์โรงเรียน (ตามคำอ้าง) หัวเราะแหะๆ

    ท่านอุตส่าห์เข้าใจว่าข้าเป็นจอมมารปลอมตัวมา ช่างนับเป็นเกียรตินะนี่

    เจ้า!”

    แสงที่หัวคทาของจอมเวทขาวสว่างวาบก่อนใครทันขยับตัว

    ...แต่แล้วก็ดับวูบ เมื่อมีเสียงเคาะประตู

    ท่านผู้กล้า! มีเรื่องใหญ่ขอรับ!”

    เฮลิออสดูเหมือนจะต้องตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง จึงบอกให้คนข้างนอกเข้ามาได้

    นั่นคือเจ้าเมือง ซึ่งมาพร้อมกับจดหมายสีดำ ประทับตราครั่งสีแดง

    จ...จดหมาย...

    ของจอมมารงั้นเรอะ!” อัลบัสร้อง

    อัศวินรับจดหมายฉบับนั้นมา พึมพำว่าตราที่ประทับเป็นของวังจอมมารไม่ผิดแน่ ก่อนจะใช้มีดสั้นของตนแซะมันออก

    และอ่านจดหมายนั้นด้วยเสียงดังฟังชัด ให้ทุกคนในห้องได้ยินทั่วกัน (ยกเว้นเมลิส)

    ข้าจะสังหารนี้ดฮ็อกภายในวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เพื่อทำลายต้นอิกดราซิลและโลกไปพร้อมกัน

    ไม่มีเสียงตอบจากใครในห้อง...นาน นับนาน

    ...จนกระทั่งโยฮันน์เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

    เอ้อ! ข้าขอจดหมายฉบับนี้ไปเข้ากรุสะสม...เอ๊ย...ไปเป็นหลักฐานทางการวิจัยเกี่ยวกับจอมมารต่อไปได้ไหม

     

    * * * * *

     

    คนเขียนขอคุย

     

    ตอนนี้มีแค่ฉากเดียว เลยสั้นหน่อย แต่ก็รู้สึกว่าเป็นทั้งตอนที่เขียนยาก และมีความสำคัญไปในขณะเดียวกันเลยแฮะ

    หลายๆ ท่านที่อ่านมาถึงตอนนี้แล้วนึกถึงกัปตันแพลเน็ต ก็...ขอบอกว่ามาถูกทางเลยฮะ ^^a

    ตอนแรกที่เขียนเรื่องอาเน่ ผมก็คิดแค่ว่าอยากเห็นมุมมองของผู้กล้าที่ไม่ใช่มนุษย์ และจอมมารที่ไม่ได้ชั่วร้ายบ้าง แต่เรื่องที่ออกระบบนิเวศนี่ก็เริ่มมาคิดและต่อยอดขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงทะเลสาบของลิมนาเดสนี่เอง

    ส่วนตัวผมก็ไม่ใช่กรีนพีซอะไรขนาดนั้น แต่ก็มีหลายครั้งที่อดคิดไม่ได้เหมือนกัน ว่า มนุษย์เอาตัวเองเป็นที่ตั้งในโลก เกินไปหน่อยมั้ยนะ มองในมุมมองของโลก เราเป็นกาฝากที่โลกต้องอดทน หรือตอนนี้โลกสุดจะทนกับเราแล้วหรือเปล่า

    แต่ถึงอย่างนั้น เคยดูช่อง Animal Planet ผมกลับชอบแฮะที่มีสปอตรณรงค์หนึ่งบอกว่า มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่สามารถเลือกได้ บางทีนะ...บางที ถ้าเราเลือกที่จะเข้าใจระบบนิเวศกับโลกมากกว่านี้ และรักษาโลกมากกว่านี้ก็คงจะดี (ซึ่งก็ยากกกก กระทั่งมนุษย์ยังไม่เข้าใจมนุษย์ด้วยกันจนดราม่าอยู่บ่อยๆ เลย)
              ตอนเรียนป. โท ใหม่ๆ ในภาควิชามีวิชาสัมมนาตัวหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับ eco-criticism หรือการวิจารณ์วรรณกรรมในเชิงสิ่งแวดล้อมครับ ผมไม่ได้ลงเรียนวิชานี้ แต่นึกดูก็น่าคิดเหมือนกัน เพราะถ้าดูในประเด็นสิ่งแวดล้อมในนิยายยุคต่างๆ แนวต่างๆ ก็คงจะเห็นอะไรที่น่าสนใจ เช่นเรื่องสมัยล่าอาณานิคมหนึ่งล่ะ
                คงเพราะอย่างนี้ ผมเลยคิดไปถึงที่พี่ปัน (คุณพัณณิดา ภูมิวัฒน์) เขียนเกี่ยวกับ Dragon Delivery ด้วย ว่าอยากลองเขียนแฟนตาซีแนวเศรษฐศาสตร์ดู ว่าเรื่องนี้จะเป็นแฟนตาซีแนวใหม่อีกแนวได้มั้ยนะ เป็น eco-fantasy หรือแฟนตาซีสิ่งแวดล้อม เพราะถ้านับว่าทุกสิ่งมีหน้าที่ในสิ่งแวดล้อม จอมมารก็ควรจะมีเช่นกัน ไม่ใช่เป็นเพียง "สิ่งผิดปกติ" ที่ผู้กล้าต้องกำจัด (หรือท่านผู้อ่านจะพากันบอกว่ากลับกันนะ...เพราะมนุษย์ที่ผู้กล้าปกป้อง ก็ดันกลายเป็นกาฝากของโลก ที่จอมมารอาจคิดจะกำจัดก็ได้ซะแล้ว)

    คุยซะยาวเลย เพราะไม่ได้ลงตอนใหม่ของเรื่องนี้มานาน เลยคิดถึงจนอยากคุยบ้างอะไรบ้าง แล้วก็คิดถึงผู้อ่านทุกท่านเหมือนกัน ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดนะครับ :)

    ทุกคนจะปกป้องนี้ดฮ็อกไว้ได้หรือไม่ โยเวียสกับโยฮันน์ใช่คนเดียวกันไหม และเมื่อจบเรื่องแล้วอัลบัสจะเหลือคะแนนจิตพิสัยติดลบเท่าไร (???) โปรดติดตามชมตอนต่อไปครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×