ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Mandrake Hero(ine) - ผู้กล้าพืชป่วน ยกก๊วนปราบมังกร

    ลำดับตอนที่ #18 : 15 - มหรสพปราบมังกร - ...เกรงว่า...ข้าจะฉวยโอกาสเข้าแทรกแซงงั้นเหรอ เฮลี่...

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 372
      1
      4 ก.พ. 54

     

    บทที่ 15

    มหรสพปราบมังกร

     

    ที่นั่งชั้นบ็อกซ์ด้านขวา สองท่านนะคะ เป็นคำเอ่ยของจอมเวทสาวในชุดเครื่องแบบสีขาว ซึ่งมีตราของโรงละครอยู่ที่อกเสื้อ หลังจากดูบัตรเข้าชมของสองพี่น้อง

    จากนั้น เธอก็ร่ายมนตร์ให้เกิดแสงบางอย่าง ส่องอาบร่างของมาเทียสกับเมลิส ให้ความรู้สึกอุ่นๆ ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

    การตรวจสิ่งของและวัดขนาดร่างกายสำหรับเตรียมชุดป้องกันเสร็จสิ้น พวกท่านไม่มีวัตถุต้องห้าม แต่เราต้องขอเก็บค่าบริการพิเศษในการนำสัตว์เลี้ยงเข้าชมเพิ่มเติมนะคะ เนื่องจากพวกท่านนำสัตว์เลี้ยงเกินมาจากที่ระบุไว้หนึ่งตัว

    ครับ? มาเทียสสงสัย

    ในรายการจองแจ้งว่าจะมีสัตว์เลี้ยงติดตามมาด้วยหนึ่งตัว แต่เมื่อครู่ข้าตรวจสอบแล้ว พบว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในกระเป๋าเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว จึงขอเก็บค่าบริการเพิ่มเติมอีกหนึ่งพันเกลค่ะ

    ช่างตีเหล็กแทบสำลัก แต่ก็ค่อยๆ คิดตามคำพูดนั้น จนพอจับได้ว่าผู้กล้าเฮลิออสรอบคอบพอที่จะคิดเผื่อไว้ ว่าสองพี่น้องต้องนำเจ้าไฟติดมาดูแลด้วย ...ทว่าในเมื่อยังไม่ได้บอก เขาย่อมไม่รู้ว่าจะมีเจ้าหนีบเพิ่มขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง

    หนึ่งพันเกลค่ะ จอมเวทสาวเอ่ยอีกครั้ง ด้วยเสียงที่ฟังแข็งขึ้นบ้าง มาเทียสจึงรีบล้วงเหรียญทองในถุงเงินส่งให้อีกหนึ่ง

    ...มันน่าเปลี่ยนชื่อปูตัวนั้นเป็น เจ้าแพง หรือ เจ้าสามพัน ดีไหมนะ... ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้

    ขอบคุณที่ใช้บริการของโรงละคร พรีม่า อินเตร์ลูด้า นะคะ จอมเวทสาวหน้าแฉล้ม (ซึ่งเพิ่งรับทรัพย์ไปหมาดๆ ) ยิ้มหวานปานนางฟ้าอีกครั้ง ขอให้พวกท่านพบกับค่ำคืนอันแสนสนุกน่าประทับใจค่ะ

    สิ้นเสียงนั้น วงเวทสว่างขึ้นรอบร่างของชายหนุ่มกับเด็กหญิง เจิดจ้าเสียจนมาเทียสต้องยกมือขึ้นป้องตา

    และเมื่อแสงจางลง ช่างตีเหล็กก็พบตนยืนอยู่บนผืนพรมแดง ด้านบนเป็นฟ้าราตรีที่สว่างไสวด้วยแสงประภาคารลิบๆ แม้จะมีกลุ่มเมฆหนาเป็นฉากหลัง มองตรงไปเบื้องหน้าคือระเบียงหินอ่อนอีกด้าน มีผู้คนที่แต่งกายหรูหราราวกับอยู่ในงานเลี้ยงนั่งอยู่เต็ม คนที่เป็นผู้หญิงก็ล้วนแต่เกล้ามวยประณีต สวมเครื่องประดับพราวแพรว และถือพัดผ้าลูกไม้ ...ดูอย่างไรก็น่าสงสัยว่าปรุงโฉมมาทันในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังประกาศได้อย่างไร

    แต่ที่มาเทียสประหลาดใจยิ่งกว่า คือเหตุใดเขาจึงไม่ได้ยินเสียงคนพวกนั้นพูดคุยกันเลย แต่พอมองดูดีๆ จึงเห็นว่าที่ขอบระเบียงหินอ่อนซึ่งทำเป็นทรงโค้งอยู่ด้านนี้มีม่านเวทมนตร์ใสๆ เคลือบทับอีกชั้นหนึ่ง

    มองลงไปข้างล่างก็เห็นอัฒจันทร์รูปครึ่งวงกลมอันเต็มไปด้วยผู้ชม ซึ่งบ้างสวมชุดธรรมดา และบ้างสวมชุดเกราะและหมวกป้องกันภัยที่มีตราของโรงละครประทับอยู่ชัดเจน

    และเมื่อมองไปยังด้านหน้าของที่นั่งผู้ชม ก็พบหลืบที่มีวงดนตรีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยวาทยกรหนึ่งคน เครื่องสายนับสิบ เครื่องเป่าจำนวนพอกัน ตลอดจนนักดนตรีอื่นๆ ซึ่งมาเทียสมองไม่เห็นชัดนัก เลยไปข้างหน้าอีกคือลานโล่งซึ่งทอดลงสู่ท้องทะเล มีแสงไฟเวทมนตร์สาดส่องจนสว่างเรืองรอง

    พี่แมท! นุ่มจัง!”

    ชายหนุ่มหันกลับไป เห็นเด็กหญิงทิ้งตัวลงบนเบาะกำมะหยี่สีแดงหนานุ่มตัวใหญ่ซึ่งโอบล้อมเป็นวงโค้ง และเด้งตัวขึ้นลงพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ยังผลให้ชุดเกราะและหมวกนิรภัยสองชุดที่วางอยู่บนนั้นเขย่าดังเคล้งๆ ตามไปด้วย มิหนำซ้ำบนโต๊ะไม้เนื้อดีฝังมุกตรงหน้ายังมีแก้วเจียระไนใส่เครื่องดื่ม กับจานใส่ขนมของว่างสารพัดอย่างซ้อนกันถึงสี่ชั้น

    ...นี่ข้าจะมาดูเขาปราบมังกร หรือมาดูละครอุปรากรกันละนี่... ชายหนุ่มอดตั้งคำถามไม่ได้

    อย่างไรก็ดี เขาไม่มีเวลาคิดอะไรนอกจากนั้น เพราะเสียงดนตรีทำนองเร็วอันประกอบด้วยแตรเป็นหลักดังขึ้นเหมือนจะเรียกความสนใจ ตามด้วยเสียงของชายคนหนึ่งซึ่งดังก้องไปทั่ว พร้อมกับร่างเล็กๆ ในเครื่องแต่งกายภูมิฐานที่ปรากฏกายขึ้นบนลานแสดง

    สวัสดีท่านผู้ชมทุกท่านขอรับ โรงละครพรีม่า อินเตร์ลูด้า ขอต้อนรับทุกท่านเข้ามาสู่ค่ำคืนแห่งการต่อสู้กับฝูงไวเวิร์นสีขี้เถ้า ณ บัดนี้ ข้า อีวาน โกชิล รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้รับใช้พวกท่านในฐานะโฆษกประจำการต่อสู้ และก่อนหน้าฝูงไวเวิร์นจะมาถึง ขอเชิญพวกท่านสวมชุดป้องกัน และนั่งลงคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ขณะที่เรามาทำความรู้จักกับประวัติของเหล่าผู้กล้า ซึ่งจะมาพิทักษ์พรีม่าและอิลลูเซียเป็นขวัญตาแก่พวกท่านในคืนนี้กันเลยขอรับ!”

    มาเทียสทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมข้างน้องสาว ต่างคนหยิบเสื้อเกราะหน้าตาประหลาดกับหมวกนิรภัยขึ้นสวม ขณะที่เพลงบรรเลงเปลี่ยนทำนองออกห้าวหาญ พร้อมกับที่ภาพคนปรากฏขึ้นบนม่านเวทมนตร์ตรงหน้า เป็นผู้กล้าเฮลิออสในชุดเกราะเต็มยศ บนหลังม้าเปกาซัสสวมเครื่องรบ ซึ่งขยับเขยื้อนได้เหมือนจริง และหมุนรอบด้านในแนวนอนอย่างช้าๆ

    ท่านแรก...ข้าเชื่อว่าพวกท่านย่อมรู้จักเขาเป็นอย่างดี ขอเชิญพบกับท่านอัศวินผู้กล้าเฮลิออส เอเธลเวียร์ด ทายาทของท่านผู้กล้าซิกมันด์ เอเธลเวียร์ด ผู้พิชิตมังกรแดงแห่งซันเควรอนท์ ท่านผู้กล้าเฮลิออสมีอายุยี่สิบสองปี เป็นบัณฑิตจากภาควิชาจอมดาบรุ่นที่สี่ร้อยเจ็ดสิบสาม ของโรงเรียนผู้กล้าแห่งอิลลูเซีย แม้จะเพิ่งเป็นผู้กล้าอิสระมาได้สามปี แต่วีรกรรมของเขานั้นมากล้นเกินกว่าที่ข้าจะกล่าวออกมาได้หมดในเวลาจำกัด ทั้งนี้ ข้าควรบอกพวกท่านว่าเพียงปีเดียวหลังจบจากโรงเรียน เขาก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งเป็นผู้กล้าอิสระในพระมหาราชูปถัมภ์ ย่อมเป็นเพราะวีรกรรมการปราบมิโนทอร์ที่อาละวาดในเหมืองวงกตครีทัน ทั้งที่ยังเป็นบัณฑิตจอมดาบใหม่หมาดๆ แน่นอน ยัง...ข้าเชื่อว่าพวกท่านจะยิ่งตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้ เมื่อได้ทราบว่าครั้งนี้ ท่านผู้กล้าเฮลิออสได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญ แกรม ดาบพิฆาตจอมมังกรฟาฟเนียร์ของผู้กล้าซิกฟรี้ด มาเพื่อกำราบฝูงไวเวิร์นสีขี้เถ้าโดยเฉพาะด้วย!”

    มาเทียสรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงผู้ชมจากที่นั่งข้างล่างโห่ร้องขึ้นมาแว่วๆ แต่ก็ไม่แน่ใจนัก

    ทว่า!” อีวานเว้นช่วง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเร่งเร้าความตื่นเต้น อ้า...ขอพวกท่านอย่าเสียใจ หากข้าบอกว่าท่านผู้กล้าเฮลิออสจะไม่ใช่ผู้ใช้แกรมด้วยตนเอง แกรมเป็นดาบที่เปลี่ยนรูปร่างให้เหมาะสมกับผู้กล้าที่ใช้มันได้ และครั้งนี้! ท่านผู้กล้าเฮลิออสจะช่วยผู้กล้าอีกผู้หนึ่งพิสูจน์! ว่าขนาดไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต่อชัยชนะเสมอไป!”

    ภาพบนฉากเวทมนตร์แปรเปลี่ยนไป เป็นอาเน่ผู้ถือดาบแกรมย่อสวนชูตรงมาข้างหน้า และขี่อยู่บนหลังห่านเพรียง ซึ่งมีอานกับสายนิรภัยทำจากเอ็นอย่างเหนียวและยืดหยุ่นเป็นพิเศษผูกกับเข็มขัดที่เอว กันไม่ให้ร่วงหล่นหากพลาดพลั้ง

    ดูเหมือนจะมีเสียงหัวเราะ ปนเสียงโห่ในอีกแบบกับคราวแรกดังขึ้นประปราย

    ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านขอรับ! นี่คือผู้กล้าอาเน่ ซึ่งจะมาปฏิบัติภารกิจใหญ่ที่นี่เป็นครั้งแรก! ข้ารับรองต่อพวกท่านได้...ว่านี่คือผู้กล้าตัวจริง! ไม่ใช่ตุ๊กตาหรือหุ่นเวทมนตร์ใดๆ ! นางเป็นมนุษย์ที่มีความสูงเพียงยี่สิบเจ็ดเซนทร่า! และมีประวัติอันน่าพิศวงยิ่ง...ในฐานะมนุษย์ที่ถือกำเนิด...และมีอำนาจมาจากต้นแมนเดรกโดยแท้!”

    หา? มาเทียสเริ่มงุนงง

    ที่ข้างหอคอยของแม่มดผู้หนึ่ง... โฆษกเอ่ยราวกับกำลังเล่านิทาน มีบ้านของคู่สามีภรรยาผู้ยากจน ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์มองเข้าไปในสวนของแม่มด และเห็นผักกาดใบเขียวชนิดหนึ่ง ซึ่งดูน่ารับประทานเหลือเกิน

    มีอะไรเหรอพี่แมท น้องสาวสะกิดเขา เขาฉายภาพท่านเฮลิออสกับอาเน่ทำไม

    ช่างตีเหล็กเพิ่งตระหนักได้ ว่าน้องสาวของตนไม่อาจได้ยินเสียงประกาศ

    เอ่อ... ม...ไม่มีอะไร เขาแค่...แนะนำตัวผู้กล้าก่อนจะไปต่อสู้เฉยๆเขาพยายามพูดไม่ให้เธอตกใจ ขณะที่ ประวัติ ของอาเน่ถูกอ่านต่อไป ...ยิ่งฟังยิ่งคล้ายนิทานสักเรื่องที่เขารู้จักพิกล แต่กระนั้นยังพิสดารยิ่งกว่า

    หญิงมีครรภ์อยากกินผักกาดนั้น สามีเลยปีนกำแพงสวนของแม่มดเข้าไปขโมยออกมาให้ ...แต่เจ้ากรรม ที่แท้ผักกาดนั้นคือต้นแมนเดรกชนิดพิเศษที่เพาะและบำรุงพันธุ์ด้วยเวทมนตร์ ความสามารถของต้นแมนเดรกจึงแทรกซึมเข้าไปในเด็กทารก กระทั่งคลอดออกมาเป็นมนุษย์จิ๋วที่มีเสียงร้องอย่างแมนเดรกเป็นอาวุธ และเกือบสังหารพ่อแม่ กับหมอตำแย พี่ๆ และสัตว์เลี้ยงต่างๆ ในบ้านจนหมด (มาเทียสสงสัยว่าเอริเธียจะใส่สัตว์เลี้ยงลงไปทำไม)

    เดชะบุญ แม่มดผู้มีใจงามเข้าไประงับเหตุได้ทัน แต่คู่สามีภรรยานั้นก็ยังโวยวายขอค่าชดใช้ความเสียหาย และค่ารักษาสุขภาพทั้งกายและใจจากแม่มด แม่มดเป็นคนมีความรับผิดชอบ (ช่างตีเหล็กเริ่มคิดว่าแม่มดคนนั้นฟังดูไม่น่าใช่เอริเธียพิกล) จึงได้ขายสมบัติของตนชดใช้ให้พวกเขาไปจนหมด ทั้งยังรับเด็กจิ๋วผมเขียวที่มีอำนาจของแมนเดรกไปเลี้ยงดู แทนที่พ่อแม่ซึ่งหวาดกลัวเด็กน้อยจนไม่ต้องการดูแลต่อไป

    แม่มดเลี้ยงดูอาเน่ให้เติบโตขึ้นมา จนกระทั่งผู้กล้าเฮลิออสมาพบเข้าและเห็นแววพรสวรรค์ จึงฝึกหัดวิชาดาบให้ และเขาก็ไม่ผิดหวังเมื่ออาเน่สามารถใช้ทำให้ดาบปราบมังกรยอมรับเป็นนาย เพื่อขับไล่จอมมารที่มาลักพาตัวเด็กหญิงชาวบ้านซึ่งเป็นเพื่อนของอาเน่ ด้วยหวังจะนำไปเลี้ยงดูจนเติบโตเป็นชายาของจอมมาร

    อีวานเอ่ยต่อด้วยเสียงเปี่ยมความรู้สึก ว่าอาเน่มาที่นี่เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณแม่มดและผู้กล้าที่ดีต่อเธอ และเพื่อพิสูจน์ตนเอง ว่าเธอเป็นผู้กล้าที่สามารถปกป้องชาวอิลลูเซียได้ แม้จะเป็นคนแคระตัวจิ๋วเท่าต้นแมนเดรก มีผมสีเขียวประหลาดกับเสียงกรีดร้องบาดหู และเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ต้องการ

    มาเทียสรู้สึกว่าเอริเธียชักจะแต่งนิยายสนุกมือเลยเถิดเกินไปแล้ว...แต่ดูเหมือนเหล่าคุณหญิงที่ชั้นบ็อกซ์ฝั่งตรงข้ามจะพากันหยิบผ้าเช็ดหน้าขอบลูกไม้ขึ้นซับน้ำตาจากความซาบซึ้งใจกันเป็นที่เรียบร้อย

    อนุมานได้ว่าพวกเขายอมรับอาเน่...ก็ถือเป็นผลดี ช่างตีเหล็กจึงนั่งฟังประวัติของผู้กล้าคนต่อไป ขณะที่ภาพของชายในเสื้อคลุมยาวขาวสวมแว่นตา ขี่ม้าเปกาซัสอีกตัวหนึ่งปรากฏขึ้นแทน

    จอมเวทขาว อัลบัส เบลมิท อายุยี่สิบสอง บัณฑิตจากภาควิชาจอมเวทขาวรุ่นที่สี่ร้อยเจ็ดสิบสาม ของโรงเรียนผู้กล้าแห่งอิลลูเซีย เขาคือจอมเวทขาวอันดับเจ็ดแห่งอาณาจักร ผู้ประจำอยู่ที่มหาวิหารแห่งพรอสเพอร์โร นครหลวงของมิโทเซีย และยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของท่านผู้กล้าเฮลิออสด้วย

    ประวัติของอัลบัสไม่มีอะไรมากนัก นอกจากประกาศวีรกรรมในภารกิจปราบปรามปีศาจและอสูรต่างๆ ราวสิบกว่างาน จนสุดท้ายก็มาถึง...

    จอมเวทดำ เอริเธีย พัลเชอร์ อายุยี่สิบเอ็ดปี บัณฑิตจากภาควิชาจอมเวทดำรุ่นที่สี่ร้อยเจ็ดสิบสี่ ของโรงเรียนผู้กล้าแห่งอิลลูเซีย เธอผู้นี้มีหอคอยเล็กๆ อันสมถะอยู่ที่เมืองพาร์ฟอันสงบสุข และเป็นผู้ที่ดูแลผู้กล้าอาเน่มาแต่เยาว์วัย ให้ความช่วยเหลือชาวประชาในเมืองเล็กๆ นั้นด้วยน้ำใจ และเพาะปลูกสมุนไพรเวทมนตร์ต่างๆ เพื่อจำหน่ายในราคาย่อมเยา

    ครั้งนี้ มาเทียสอดไม่ได้ที่จะมองภาพหญิงสาวผู้ยังสวมหน้ากากผมดำหน้าซีด ซึ่งนั่งตัวตรงมีสง่า (อย่างประหลาดในความทมิฬ) บนหลังม้าสีดำที่ดูไหวพร่าเหมือนหมอกควัน ทั้งยังมีตาสีแดงเจิดจ้าดั่งแสงไฟ ด้วยความสนใจ พอๆ กับประวัติของเธอที่เขาเพิ่งได้ยิน...แม้จะชวนเหงื่อตกไม่เว้นพฤติกรรมต่างๆ ของแม่มดดำ

    เอริเธียไม่ได้ใช้นามสกุล เอเธลเวียร์ด ของตระกูล มิหนำซ้ำ...ดูจากประวัติก็เหมือนจะไม่เคยเข้าร่วมภารกิจปราบปรามปีศาจหรือสัตว์ร้ายใดๆ เลยด้วย

    แสดงว่าเธอคงอยู่ที่หอคอยในพาร์ฟมาตั้งแต่เรียนจบแล้วกระมัง นึกดู มาเทียสก็เพิ่งระลึกได้ถึงความตื่นเต้นที่ออกจะเป็นตื่นตูมของชาวเมือง เมื่อเห็นยอดหอคอยดำทมิฬค่อยๆ ก่อตัวสูงขึ้น โดยที่เจ้าของสถานที่ไม่แม้แต่จะเยี่ยมหน้ามาทักทายใครๆ

    ...เพราะคิดว่าตัวเองอัปลักษณ์ หรือเพราะตั้งใจแต่จะหาเงินงกๆ เพื่อแก้คำสาปให้ได้โดยเร็ว ถึงได้ไม่คิดจะคบค้าสมาคมกับใครเลยอย่างนั้นหรือ...

    อย่างไรก็ดี ช่างตีเหล็กไม่ทันได้นึกต่อ เพราะอีวานจบการแนะนำตัวผู้กล้าแต่ละคน และเริ่มเข้าสู่การบรรยายช่วงต่อไป ขณะที่แสงไฟส่องให้เห็นร่างสี่ร่างที่บินอยู่บนฟ้า เก้าอี้นวมและม่านเวทมนตร์ซึ่งฉายภาพขยายชัดเจนก็ล้วนแต่เลื่อนไปตามทิศทางนั้น

    เวลานี้! ผู้กล้าทั้งสี่พร้อมสัตว์พาหนะได้ทะยานขึ้นสู่น่านฟ้าจากท่าเรือแล้วขอรับ! มุ่งตรงตามแสงประภาคารไปสู่ทิศทางที่ฝูงไวเวิร์นกำลังบุกมา...โอ! พวกเขาปะทะกับไวเวิร์นตัวแรกแล้วขอรับ!”

     

    * * * * *

    อาเน่รู้สึกใจเต้นรัวราวกับจะระเบิดออกมานอกอก ...หากว่าร่างกายเล็กๆ ของเธอมีหัวใจอย่างสิ่งมีชีวิตทั่วไป เด็กหญิงสัมผัสได้ว่าห่านเพรียงที่กำลังบินเร็วจี๋ไปข้างหน้าเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน

    อย่าเพิ่งโจมตี! เราต้องล่อให้พวกไวเวิร์นออกห่างจากเมืองก่อน!” เฮลิออสย้ำแผนการ จากนั้นค่อยใช้เสียงของอาเน่ เปลี่ยนเป็นสื่อสารทางจิต แล้วค่อยๆ ไล่เก็บมันไปทีละตัว!”

    แม้ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น จอมเวทขาวก็ตั้งต้นร่ายมนตร์แล้ว กำแพงสีขาวเรืองบางอย่างอาบร่างของอัศวินผู้กล้า พร้อมด้วยม้ามีปีกของเขา และไม่ช้า กำแพงอันอบอุ่นดังกล่าวก็สว่างขึ้นรอบร่างของเด็กหญิงแมนเดรกกับห่านเพรียงบ้าง ตามด้วยความรู้สึกฮึกเหิมในใจ และเปี่ยมกำลังวังชาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    เอริเธียควบไนท์แมร์ซึ่งไร้ปีกแต่วิ่งกลางอากาศได้ เธอชูคทาขึ้นพร้อมกับร่ายมนตร์ เตรียมเปิดช่องทางการสื่อสารทางจิตตามแผนที่วางไว้ ขณะที่อัศวินกับผู้กล้าแมนเดรกบินล่วงหน้าไป เฮลิออสโห่ร้องเรียกความสนใจของไวเวิร์นตัวที่ใกล้ที่สุด

    นัยน์ตาสีเหลืองดวงโตของมังกรยักษ์กลอกตามเสียงดังทันที ทว่าดูท่าทางประสาทรับกลิ่นของมันจะช่วยให้รับรู้เป้าหมายที่น่ากินกว่านั้น

    ฮ้องงงงงง!” ห่านเพรียงร้องลั่นพร้อมกับผวาเสียจนอาเน่ต้องยึดคอมันไว้แน่น เขี้ยวหน้าที่เป็นมันวาวลื่นด้วยน้ำลายของไวเวิร์นเฉียดมันไปเพียงเสี้ยวยาแดงผ่าแปด กระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่มีกลิ่นสาบสาง

    หนังสือไม่ยักบอกเลยนี่...ว่าไวเวิร์นจมูกไวด้วย

    อย่างไรก็ดี เจ้าไวเวิร์นนั้นไม่ยอมลดละ จนอาเน่เริ่มคิดว่ามันคงจะอยากกินห่านตุ๋นแมนเดรกมากกว่าผู้กล้าสวมเกราะทั้งตัวบนหลังเปกาซัสอย่างพิกล มันเชิดหัวขึ้น หางติดเงี่ยงป่ายกวาดจนจอมเวททั้งสองที่แนวหลังชักพาหนะหลบแทบไม่ทัน ครั้นแล้วก็บินตามเป้าหมายตัวเล็กสุดไปเร็วรี่

    อาเน่! ระวัง! อย่าไปไกลเกิน!” เฮลิออสตะโกนบอก แต่เป็นเจ้าห่านเพรียงต่างหากที่ตัดสินใจว่าควรไปไกลขนาดไหน ยิ่งบินเชิดหัวขึ้นมันยิ่งไล่ตามด้วยความเร็วที่เหนือกว่า กระทั่งเงาเงื้อมของขากรรไกรบนขนาดใหญ่ทอดลงบนร่าง...

    แล้วงับโผง

    อาเน่เผลอหลับตาไปชั่วแวบ แต่ดูเหมือนคมเขี้ยวจะไม่ได้ต้องร่างของเธอหรือเจ้าห่าน แสงสีขาวต่างหากที่สว่างขึ้นราวกับไร้ที่มา

    แต่เด็กหญิงแมนเดรกรู้ นั่นคือเวทคุ้มกันของอัลบัส มันเพิ่งช่วยชีวิตเธอไปครั้งหนึ่ง ทว่าไม่อาจช่วยให้ห่านอ้วนพ้นจากการต้องรีบตีปีก พุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อหนีจากคมเขี้ยวที่งับพลาดไปแค่ปลายขนหาง

    ...แมนเดรก ขืนไปไกลกว่านี้จะเข้าใกล้รัศมีของไวเวิร์นอีกตัวแล้วนะ...

    เสียงของเอริเธียดังก้องขึ้นในใจ เป็นอันว่าใช้มนตร์เปิดการสื่อสารทางใจสำเร็จ

    อาเน่สั่งห่านเพรียงในใจ ให้มันวกตัวกลับ เลี้ยวลอดใต้ร่างใหญ่มหึมา ซึ่งไม่อาจตีลังกาตามมาโดยง่าย อย่างไรก็ดี มังกรบินสองขาก็เลี้ยวโค้ง ก่อนจะอาศัยขนาดตัวของมันตรงมาดักหน้าเหยื่อ ซึ่งมันรู้ที่อยู่จากการส่งคลื่นเสียงแหลมเล็กออกไป

    แต่ครั้งนี้ ผู้กล้าตัวจิ๋วพร้อมแล้ว

    วี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    รูม่านตาอันเป็นเส้นเรียวของมังกรหดเล็กและสั่นไหว แค่ชั่วแวบก่อนมันชะงักค้าง ปีกหยุดกระพือ ทิ้งร่างใหญ่โตให้ตกลงสู่ทะเลมืดเบื้องล่าง สร้างน้ำกระเซ็นสูงและสาดเข้าฝั่งรุนแรง

    ...ระวังๆ ! เดี๋ยวก็ทำเมืองพังไปด้วยหรอก!... เสียงเตือนมาจากจอมเวทขาว

    ...แล้วยังไง ต้องตามลงไปซ้ำไหม... อาเน่ตั้งคำถาม ขณะก้มลงมองฟองคลื่นขาวที่ค่อยๆ แผ่กระจายออกไป

    ...ไม่ต้อง ทิ้งมันให้จมน้ำตายนี่แหละ... เอริเธียตอบ ...ซากไวเวิร์นทั้งตัวในสภาพสมบูรณ์แบบ เสียแต่แก้วหูแตกตาย ขายได้ราคาดีจะตายไป...

    ...งั้นก็มุ่งหน้าหาตัวต่อไปเลย... เฮลิออสสั่งการ

    ...เดี๋ยว! เดี๋ยว! ทิ้งมันไว้แบบนั้นได้ยังไง แน่ใจเหรอว่ามันตายไปแล้วจริง... อัลบัสแย้ง ...อีกอย่าง ถ้าไม่จัดการให้แน่ใจ ทิ้งไว้ก็ไม่รู้ว่าจอมมารจะเอามันไปทำซอมบี้ไวเวิร์นที่ร้ายการกว่าเดิมหรือเปล่า...

    อาเน่เงียบเฉย รอฟังการตัดสินใจของเหล่าผู้กล้าที่เป็นมนุษย์ต่อไป จนกระทั่งจอมเวทขาวพูดขึ้น

    ...เจ้าหัวเขียว ตามลงมากับข้า ถ้ามันยังไม่ตายก็ซ้ำมันเสีย แต่ถ้ามันตายแล้ว ข้าจะร่ายเวทสะกดซากมันไว้ เข้าใจใช่ไหม...

    ครั้นแล้ว อัลบัสกลับไม่รอคำตอบ เขาชักม้าโผลงทันที ยังผลให้เด็กหญิงต้องบอกให้เจ้าห่านบินตามลงไปบ้าง แม้จะมีเสียงปรามจากหัวหน้าคณะอยู่แว่วๆ

    ...อัลบัส! อย่าเพิ่งแยกกัน! ข้าเกรงว่า...

    ...เกรงว่า...ข้าจะฉวยโอกาสเข้าแทรกแซงงั้นเหรอ เฮลี่...

    นั่นเป็นเสียงจากการสื่อสารทางจิตเช่นกัน

    อาเน่รั้งห่านเพรียงไว้ และเงยมองขึ้นไป...

    ร่างสูงในผ้าคลุมสีดำยืนอยู่ตรงนั้น...บนหลังของสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งมีนัยน์ตาแดงวาวโรจน์ ขนของมันเป็นสีเข้มทะมึน ปีกอย่างค้างคาวแผ่กว้าง ส่วนหัวและลำตัวเป็นสิงห์ ทว่าปลายหางกลับโค้งขึ้น ม้วนเข้าตัวและมีเหล็กในอย่างแมงป่อง

    ...แมนติคอร์ สิงโตหางแมงป่องอันมีพิษร้ายแรง... เด็กหญิงแมนเดรกทบทวนข้อมูลที่ตนรู้จากหนังสือ แต่สิ่งที่ทำให้เธอสะดุดตายิ่งกว่า คือเคียวใหญ่ที่ดูเหมือนจะเรืองแสงในมือของร่างที่ยืนอยู่บนตัวมัน แทนที่จะขี่หลังของมันอย่างปรกติ

    โยเวียส!” เฮลิออสเผลอตะโกนอย่างเดือดดาล

    ...ไม่ได้พบกันเสียนานนะ เฮลี่... โยเวียสยักไหล่น้อยๆ ...เจ้าอุตส่าห์มาถึงพรีม่าทั้งที ข้าก็ต้องออกมาต้อนรับให้เต็มที่ จริงไหม...

    พร้อมคำพูดนั้นคือการสะบัดคมเคียว สร้างคลื่นปราณมหาศาลกระแทกออกไป กระทั่งผู้กล้าเฮลิออสยังต้องชักม้าหนีแรงมหาศาล ซึ่งทำให้เกราะเวทมนตร์ของจอมเวทขาวแตกกระจายในชั่วครู่เดียว

    ...เฮลิออส!... อาเน่ร้องถาม ...ให้ข้าขึ้นไปช่วย...

    เสียงร้องอีกเสียงกลับดังมาจากห้วงน้ำเบื้องล่าง

    แมนเดรกหันกลับไป เห็นอัลบัสกำลังบังคับม้าหลบจากปากของไวเวิร์น ซึ่งเวลานี้ตีน้ำอย่างเดือดดาล เหมือนจะพยายามพาตนเองบินขึ้นมาให้ได้

    ...ไม่ต้องห่วงข้า! อาเน่! ลงไปช่วยอัลบัสก่อน!... อัศวินตอบ ...ข้ากับเอริเธียจะจัดการทางนี้เอง! ใช้แกรมฆ่าไวเวิร์นนั่นซะ!...

    ...ใช่! ลงไปตัดหางไวเวิร์นนั่นซะ! แต่รอข้าเปิดห้วงมิติไว้รับเลือดกับรองหางมันก่อนล่ะ!... แม่มดดำบอกตามมา ก่อนจะรีบหันไปร่ายมนตร์ให้เปลวไฟขนาดใหญ่พุ่งใส่จอมมาร ซึ่งสะบัดเคียวรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    ...จอมมารมันอยู่ต่อหน้าแล้ว! ยังจะห่วงแต่เก็บของไปขายอีกเรอะ! ยัยหน้าเงินเอ๊ย!... เฮลิออสบ่นตาม

    แต่อาเน่ไม่สนใจอีกแล้ว เธอสั่งห่านเพรียงให้โฉบลงไป ที่หมายคือไวเวิร์นซึ่งสะบัดหัวไล่งับจอมเวทขาว...หรือกล่าวให้ถูกคือไล่งับสุ่มสี่สุ่มห้าไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง

    หางของมันฟาดเข้ากับกำแพงเหล็กกล้าที่มีไว้ป้องกันท่าเรือ จนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว...

     

    * * * * *

     

    คนเขียนขอคุย

     

    ตอนเขียนโรงละครแห่งพรีม่าก็นึกถึงเกม Final Fantasy VI ฉากโรงละครอันลือลั่น (กับเพลงสุดไพเราะทดสอบความจำ เกมการไล่ล่าบนเพดานโรงละคร ไปจนถึงเรื่องที่ดันต้องมารบกับปลาหมึก...) กับ Phantom of the Opera นิดๆ ถึงจะเป็นโรงละครกลางแจ้งดีไซน์ผสมผสานประหลาดๆ แบบมีชั้นบ็อกซ์กับหลืบออร์เคสตร้าก็เถอะ ^^a คิดไว้ว่ามันมีโดมกลไก เปิดปิดได้ตามสถานการณ์ เลยเป็นได้ทั้งกลางแจ้งและในร่มในตัวน่ะครับ

    ประวัติของอาเน่ เพื่อนคนหนึ่งอ่านแล้วฮาก๊าก ตั้งชื่อใหม่ให้เสร็จสรรพว่า ราพุนเน่ ที่จริงเอริเธียน่าจะไปเอาดีทางแต่งนิยายนะนี่

    ส่วนการปราบมังกร นึกยากหน่อยนึงเพราะผมก็ไม่เคยเขียนฉากรบกลางอากาศมาก่อน แต่ก็จะทำให้เต็มที่ครับ ยิ่งมีท่านจอมมารโผล่ออกมาด้วย ผู้ชมก็คงฮือฮากันยกใหญ่ทีเดียว

    ช่วงนี้ผมเขียนได้ช้าลงหน่อย เพราะมีงานด่วนท้ายปีเข้ามาพอดี ดังนั้นเรื่องนี้จะอัพตอนใหม่หลังปีใหม่เลยนะครับ แต่อาจจะอัพเดทแก้ไขตอนเก่าเล็กๆ น้อยๆ บ้างครับ

    ศึกครั้งนี้จะจบลงอย่างไร เลือดของใครจะสาดกระจาย ขอเชิญชมในตอนหน้าเลยครับ :)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×