ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Mandrake Hero(ine) - ผู้กล้าพืชป่วน ยกก๊วนปราบมังกร

    ลำดับตอนที่ #15 : 12 - เมืองการค้าพรีม่า - “เอ่อ...ข้าว่านั่นมันเปลือกปูนะ”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 385
      1
      21 ธ.ค. 53

     

    บทที่ 12

    เมืองการค้าพรีม่า

     

    นี่น่ะหรือ...พรีม่ามาเทียสพึมพำขณะกวาดมองภาพของเมืองตรงหน้า

    เมืองท่าเรือใหญ่คับคั่ง อันมีจุดเด่นคือหอประภาคารสูง กลับแตกต่างจากรูปวาดหรือพิมพ์ไม้ที่ช่างตีเหล็กเคยเห็น ตลอดจนนึกวาดภาพในจินตนาการเหลือเกิน

    พรีม่ายังคงเป็นเมืองใหญ่ น่าจะใหญ่กว่าพาร์ฟถึงสามสี่เท่า ถนนหนทางตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็กใหญ่ทับซ้อนกัน เรียกได้ว่าหากหลงทางในตรอกซอกซอยก็ขอแค่เลือกเดินตรงไปเรื่อยๆ สักทาง แล้วย่อมออกสู่ถนนใหญ่เองในไม่ช้า ป้ายบอกทาง ทั้งทางไปจัตุรัสใหญ่ ศาลาที่ทำการของเมือง โรงละครประจำเมือง ท่าเรือ ตลอดจนย่านจับจ่ายซื้อของติดอยู่ชัดเจนแทบทุกหัวมุม

    ความใหญ่โตของเมืองยังคงอยู่ และเมืองนี้ก็ใช่จะร้างสนิทจนดูเหมือนจะมีผีดิบเดินชูแขนแข็งทื่อออกมาจากหัวมุมเมื่อใดก็ไม่รู้ เนื่องด้วยผู้คนอพยพหนีภัยมังกรชั่วคราวอย่างที่มาเทียสคิดไว้ เวลานี้ยังคงมีคนออกมาค้าขาย หรือเดินจับจ่ายซื้อของ แม้จะไม่มากถึงขั้นเบียดเสียดเต็มถนน ทว่าเป็นองค์ประกอบแปลกปลอมอย่างอื่นต่างหากที่เขาไม่ทันคาดยิ่งกว่า

    คนที่ออกมาเดินล้วนสวมหมวกเหล็กที่ดูประหลาด คล้ายหมวกศึก แต่ไม่ได้ตกแต่งมีรายละเอียดเท่า หลายคนยังสวมชุดที่ดูเหมือนเสื้อเกราะเบาทับเสื้อข้างใน มีหลายขนาดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ...น่าจะเป็นชุดป้องกันบางอย่าง

    นอกจากนี้ ที่หน้าบ้านแทบทุกหลัง ตลอดจนร้านค้า ยังมีแผ่นเหล็กเลื่อนลงมาปิดครอบผนังไว้ บ้านเรือนที่ติดกันเป็นแถวก็ปิดเพียงด้านหน้าอย่างเดียว ส่วนบ้านหรือร้านค้าที่ตั้งโดดๆ ก็ดูเหมือนจะมีกำแพงเหล็กล้อมทั้งสี่ด้าน กระทั่งหอประภาคารของเมืองก็ดูจะมีผนังเป็นเหลี่ยมๆ แปลกตา มิหนำซ้ำสะท้อนแสงวาวอย่างโลหะ

    ด้วยความสงสัย ช่างตีเหล็กจึงลองชะเง้อมองขณะขับเกวียนผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่ง และพบว่ากำแพงเหล็กเหล่านั้นประกอบด้วยเหล็กกล้าทนทานสั้นราวสองข้อนิ้วหลายแผ่นซ้อนกัน ทำกลไกให้สามารถยืดออกมาเป็นผืนใหญ่ และเก็บโดยพับขึ้นไปในร่องใต้ชายคา จัดเป็นองค์ประกอบถาวรอย่างหนึ่งของที่อยู่อาศัยไปเสียเลย

    ข้าบอกแล้วนี่ พี่ชาย จะมาช้ามาเร็วก็มีค่าเท่ากัน แม่มดดำเอ่ยพลางแง้มหน้าต่าง (ที่มีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อหยุ่นๆ เหมือนเครื่องในวัวบางอย่าง) ของรถม้าสุดพิสดารของเธอ ชาวเมืองพรีม่าน่ะ เป็น มืออาชีพ กับเรื่องแบบนี้จะตาย ยิ่งไม่นับว่ากว่าพวกไวเวิร์นจะบุกโจมตี ก็น่าจะเป็นคืนเดือนมืด นับจากนี้อีกตั้งสิบคืน

    ดูเหมือนหลังจากพบลิมนาเดสในทะเลสาบแล้ว เธอจะอารมณ์ดีกว่าใครในคณะเดินทาง ...มาเทียสเดาว่าคงเป็นเพราะเพิ่งรับทรัพย์ก้อนโตโดยไม่คาดฝันมาหมาดๆ

    มืออาชีพ...เหรอ เป็นคำเปรยของอาเน่ ซึ่งเวลานี้อยู่ในเกวียนกับเมลิส ก็จริงนะ หนังสือ แนะนำเมืองต่างๆ ในมิโทเซีย บอกว่าพรีม่าเป็นสถานที่อันดับสามที่จอมมารนิยมเลือกเป็นเป้าหมาย ตามสถิติที่มีการเก็บในอิลลูเซียศักราชสามพันสองร้อยสิบสี่...หรือเมื่อสี่ปีก่อนนี่นา

    ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ข้าไม่นึกว่า...เขาจะเป็นมืออาชีพกันขนาดนี้เลย มาเทียสลอบมองหน้าร้านขายผ้าชื่อ พรีเมี่ยม ที่อยู่ไม่ไกล นึกทึ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายลงทุนทาสีแผ่นเหล็กป้องกันภัยเป็นรูปหน้าร้านและตัวอย่างสินค้า มิหนำซ้ำพ่วงภาพป้ายไม้ต่างๆ ซ้อนอยู่ในรูป ตั้งแต่คำขวัญประจำร้าน พรีเมี่ยม...คุณภาพแห่งพรีม่าทุกผืน ป้ายชี้แจง เปิดบริการตามปกติ ตลอดจนรายชื่อกับราคาสินค้ากำกับไว้เสร็จสรรพ

    ช่างตีเหล็กนึกชมอยู่ได้ครู่เดียว สายตาก็เลื่อนไปเห็นรายละเอียดที่ทำให้เบิกตากว้าง

    ผ้าฝ้ายขนแกะอินดิก้า ดิบ หลาละ 1,000 เกล

    ฝ้าฝ้ายขนแกะอินดิก้า ย้อมสี หลาละ 1,200 เกล

    ...บ้าน่า!...

    ...ก็ไหนแอนนาลีบอกว่าอย่างเก่งไม่เกินหลาละหกร้อยเกลไม่ใช่เรอะ...

    ท...ทำไมราคามันแพงขึ้นเป็นเท่าตัวอย่างนี้ล่ะ เขาเผลอตัวพูดออกไป

    อย่าแปลกใจเลยน่า ช่างตีเหล็ก แม่มดหัวเราะน้อยๆ ปลุกจิตของผู้ฟังขึ้นจากหุบเหวแห่งตัวเลขมหาศาล นี่ล่ะ มาตรฐานของ พรีม่า ในช่วงภัยพิบัติยังมีสินค้าขายพร้อมสรรพเสมอ หรือหากไม่มีก็จ้างวานหาได้เป็นพิเศษ อ้อ...แต่ต้องบวกค่าบริการเพิ่มเติม จำพวกค่าเก็บรักษาของในโกดังนิรภัย กับค่าความเสี่ยงเวลาเปิดประตูซื้อขายแต่ละครั้งหรอกนะ

    จะดูสินค้าอะไรก็ไว้ก่อนเถอะ ผู้กล้าตัดบท พันธมิตรของข้านัดพบกันที่โรงแรม พรีม่า ดอนน่า จากนี้เราค่อยพักผ่อนและหารือแผนการกัน

    อ...อือม์ มาเทียสพยายามตั้งสติ และคิดว่าจะบริหารอย่างไรดี กับงบประมาณซื้อผ้าห้าหลา ซึ่งช่างตัดเสื้อฝากมาให้เขาล่วงหน้าสามพันเกล แยกกับค่าของที่ต้องการฝากซื้ออื่นๆ

    ตอนแวะไปที่ร้านอีกครั้งก่อนออกเดินทาง จู่ๆ หญิงสาวก็ซักเขาเสียละเอียดยิบเกี่ยวกับลักษณะของและราคาของโลหะต่างๆ ก่อนจะยอมเผยในที่สุดว่าเธอต้องการโลหะผสมมาทำเครื่องประดับสักชุดใหญ่ ไว้ตกแต่งชุดสำหรับประกวดเทพีฤดูใบไม้ผลิ จึงอยากขอให้เขาช่วยหาวัตถุดิบที่มีความยืดหยุ่นพอ และเนื้อสวยงามในราคาไม่แพงนักมาด้วย

    แทนที่จะห่วงว่าในเมืองขาดแคลนสินค้าจนไม่มีขาย มาห่วงว่าเขาจะมีปัญญาซื้อของแพงมหาวินาศขนาดนี้ได้อย่างไรดีกว่ากระมัง

    แต่ว่า...ถ้าปราบไวเวิร์นเสร็จแล้วเมืองกลับมาสู่สภาวะปรกติ ราคาของก็จะลดลงเท่าเดิมด้วยสินะ

    ช่างตีเหล็กพยายามให้ความหวังตนเอง

     

    * * * * *

     

    โรงแรม พรีม่า ดอนน่า เป็นโรงแรมชั้นหนึ่งของเมือง และก็ดูหรูหราโอ่อ่าสมมาตรฐานเสียจนหากมาเทียสไม่ได้รับภูมิคุ้มกันต่อโรงแรมชั้นหนึ่งต่างๆ มาตลอดห้าวันของการเดินทาง...เขาก็อาจจะเกิดอาการแพ้ของแพงจนผื่นขึ้นเต็มตัวเลยก็ได้ หน้ากำแพงเหล็กเขียนภาพบริเวณนั่งพักผ่อนหน้าคอกเสมียนโรงแรมท่ามกลางไม้ดอกผลิบานสะพรั่ง มีป้ายกระจกแกะสลักวางอยู่บนโต๊ะนั้น กับตัวอักษรลากหางสวยงามว่า พรีม่า มารินาร่า

    มิหนำซ้ำ...มาเทียสยิ่งทึ่งกว่าที่พวกเขายังอุตส่าห์วาดภาพแขกในเครื่องแต่งกายอย่างดีนั่งพักรื่นรมย์กับเครื่องดื่มสีสวยแปลกตา และอาหารทะเลต่างๆ ทั้งปลาแซลมอนตัวอวบใหญ่คาบลูกเฮเซลนัทไว้คาปาก ข้างตัวถูกแล่ให้เห็นเนื้อแทรกมันสีส้ม และเฮเซลนัทที่ยัดเต็มทั้งตัวซึ่งเป็นที่มาของความพอง นัยว่าทำเลียนแบบแซลมอนแห่งปัญญาในตำนาน ซึ่งได้สติปัญญามาจากผลเฮเซลนัทแห่งปัญญาที่ขึ้นอยู่รอบบ่อที่มันอาศัยอยู่ กุ้งเริงระบำ...หรือกุ้งมังกรสีเขียวมรกตจัดจ้าจากหมู่เกาะทะเลตะวันออกที่ถูกแยกหัวจากลำตัว เผยเนื้อดิบใสสะท้อนแสง ก้ามปูยักษ์ขนาดเท่าแขนคนอบมาในหม้อใบเท่าโอ่ง และหนวดคราเคนอันอวบหนาพอกับจานเปล หั่นเป็นแว่นๆ บนถาดเงิน โดยเรียงต่อกันให้คงรูปร่างของหนวดชัดเจน (มีชื่ออาหารตัวเล็กๆ เขียนกำกับอยู่ทุกจาน)

    ชายหนุ่มไม่ใคร่รู้รสนิยมด้านอาหารของเมืองอื่น แต่เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าการกินปลาที่โดนบังคับกรอกเฮเซลนัทจนเต็มท้อง กุ้งที่ยังดิบแถมชูก้ามอย่างกับยังมีชีวิต ตลอดจนก้ามปูยักษ์ขนาดฟาดหัวคนตาย และหนวดของคราเคน อสูรที่หน้าตาเหมือนหมึกกระดองตัวใหญ่กว่าบ้าน...ออกจะน่าสยองขวัญมากกว่าน่าเอร็ดอร่อย

    อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่เวลาที่ควรวิจารณ์ เมื่อเฮลิออสสั่นกระดิ่งหน้าโรงแรม พนักงานต้อนรับก็เปิดประตูเหล็กออกมา ก่อนจะให้พนักงานอื่นๆ นำม้ากับรถของพวกเขาไปเก็บ และขนสัมภาระขึ้นไปบนห้องพักที่จองไว้ (พวกเขาไม่อิดออดเมื่อเห็นสภาพรถม้าของเอริเธีย และเพียงแต่พูดเรียบๆ ว่าขอเพิ่มค่าเก็บรักษารถม้าคันนี้เป็นพิเศษ)

    ส่วนผู้มาเยือนทุกคนในคณะของผู้กล้าก็เข้ามาพบกับชุดโต๊ะเก้าอี้ และซุ้มไม้ดอกที่ฉากเหล็กคงจำลองมาอย่างเสมือนจริง ตลอดไปจนถึงหน้าภัตตาคารในโรงแรม ซึ่งเวลานี้มีแขกผู้ชายในชุดขาวนั่งอยู่เพียงลำพัง

    ท่านเฮลิออส ชายคนนั้นเอ่ยทัก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วตรงเข้ามาจับมือด้วย เขาอยู่ในวัยหนุ่มราวยี่สิบกลางๆ ร่างกายสันทัด ออกจะผอมบาง ชุดเสื้อคลุมสีขาวขลิบปลายสีน้ำเงินนั้นเป็นอย่างชุดของจอมเวทขาว ผมสีทองหม่นตัดสั้นเรียบร้อย และนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนมองตรงมาจากหลังแว่นตากรอบทอง

    ท่านอัลบัส เฮลิออสเรียกตอบ ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีใช่ไหม

    ก็เรื่อยๆ เวลานี้ทางเมืองหลวงสงบเรียบร้อยดี ว่าแต่...ท่านหญิงออโรร่าบ่นถึงท่า—“

    แม่มดดำกระแอมขึ้นทันที

    ฝากบอกท่านหญิงด้วยว่าอย่าห่วง ข้าตามมาดูแลพี่ชายทั้งที จะไม่ปล่อยให้เขาทำอะไรงี่เง่าขายขี้หน้าตัวเองออกมาหรอก

    จ...เจ้าเงียบไปเลย ผู้กล้าดูเหมือนจะอยากตวาด แต่เสียงกลับออกมาตะกุกตะกักพิกล

    อ้าว ความสนใจของอัลบัสเลื่อนไปทางหญิงสาวบ้าง เซเล...ไม่สิ เอริเธีย ไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านสบายดีหรือ

    ถ้าไม่นับอาการปวดศีรษะข้างเดียวจากการคุมความประพฤติของพี่ชาย ก็คงใช่กระมัง แม่มดดำตอบหน้าตาเฉย

    อย่างไรก็ดี จอมเวทขาวดูจะสนิทกับพวกเขาพอจะไม่ถือ และหัวเราะน้อยๆ เพื่อรักษาบรรยากาศ

    จริงสิ พวกท่านคงยังไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันใช่ไหม เชิญเลย ชายสวมแว่นผายมือมาทางโต๊ะขนาดสี่คนนั่งตัวหนึ่ง ของขึ้นชื่อของพรีม่าในฤดูนี้คือเค้กปูยักษ์ทอดกรอบ ข้าว่าเราน่าจะสั่งมาลองเป็นของเรียกน้ำย่อยสักหน่อย ว่าแต่...นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ

    หา? มาเทียสที่กำลังเลื่อนเก้าอี้อีกตัวเข้ามาเสริมที่โต๊ะหันไปมองเขา เอ่อ...ถามข้าหรือขอรับ

    ก็ใช่น่ะสิ เอาเก้าอี้มาเพิ่มทำไม มีกันแค่สามคนเอง เป็นบริกรก็หัดดูให้ดี...

    เอ้อ ท่านอัลบัส เฮลิออสแทรกขึ้น นี่ท่านช่างตีเหล็กมาเทียส เป็นคนดูแลดาบของข้า แล้วนี่น้องสาวเขาที่ร่วมทางมาด้วย ชื่อเมลิส

    อัลบัสนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแอมแล้วขยับแว่นของตน

    ขอโทษที่เข้าใจผิด แว่นตาข้าไม่ดีเท่าไร เลยไม่ทันเห็นพวกท่านแต่แรก

    หามิได้ ยินดีที่ได้รู้จักท่านอัลบัสขอรับ มาเทียสส่งมือให้เขา ...แต่ครั้นอีกฝ่ายถอดแว่นกรอบทองออก หยิบผ้ากำมะหยี่ขึ้นมาเช็ดมันอย่างทะนุถนอม แล้วหันไปขอหนังสือรายการอาหารจากบริกรตัวจริง โดยไม่สนใจเขาเลย... ก็รีบชักมือกลับมาป้ายกับชายเสื้อของตนอย่างเก้อๆ

    เวลานั้นเอง ที่จอมเวทขาวเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม

    ต้องเป็นฝีมือของจอมมารแน่ๆ

    หา? มาเทียสไม่แน่ใจว่าตนฟังถูกต้องดี

    ข้าว่าต้องเป็นฝีมือของจอมมารแน่ๆ ชายอีกคนย้ำคำเสียงหนักๆ มันต้องวางคำสาปไว้ที่แว่นของข้า ทำให้แว่นข้ามองไม่เห็นชาวบ้านทั่วไป มันจะได้ใส่ร้ายว่าข้าหยิ่งและถือตัว ไม่เห็นหัวสามัญชน ไม่มีคุณธรรมสมเป็นผู้กล้า ทำให้ข้าเสื่อมเสีย ช่างชั่วช้าสมกับเป็นจอมมารจริงๆ

    เอ่อ...แหะๆ ช่างตีเหล็กคิดว่านั่นอาจจะเป็นมุกแบบหนึ่ง จึงได้พยายามหัวเราะน้อยๆ ...แต่กลับถูกจอมเวทขาวผู้สวมแว่นปรายตามองอย่างไม่สบอารมณ์ เหมือนจะต่อว่าที่เขาขำไม่ถูกกาลเทศะ

    ชายหนุ่มเลยอดไม่ได้ที่จะลำบากใจกับสถานการณ์ตอนนี้ ต่อให้พยายามไม่คิดมาก...ว่าสายตาของพนักงานในโรงแรมก็ดูจะเหลือบมาทางตนอย่างไม่พอใจนัก และสีหน้าของเมลิสก็ฉายความไม่สบายใจชัดเจน

    ท่านเฮลิออสขอรับ คือข้ากับเมลิสว่าจะไปเดินชมเมืองสักหน่อย สุดท้าย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจปลีกตัว ล...แล้วคงจะหาอาหารรับประทานข้างนอกเลย เชิญพวกท่านสามคนตามสบายเถอะขอรับ

    มีโอกาสมาถึงแดนอาหารทะเลสดๆ อย่างพรีม่า แถมมีเงินกองทุนผู้กล้าของอาณาจักรเลี้ยงไม่อั้นทั้งที ก็ร่วมโต๊ะภัตตาคารหกดาวกับเขาไปเถอะน่า ช่างตีเหล็ก เอริเธียกลับเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินเฉียดเข้ามาใกล้เขา และแตะไหล่พร้อมกับกระซิบ ยิ่งไม่นับว่า...ช่วงนี้อาหารในเมืองคงแพงขึ้นเป็นสองสามเท่าได้กระมัง อาเน่จะเป็นถึงผู้กล้าปราบไวเวิร์น บำรุงนางให้สมบูรณ์พร้อมไว้ดีกว่านะ

    ครั้นแล้ว แม่มดดำก็หันไปบอกอัศวินกับจอมเวทขาว

    ขอบคุณที่เชื้อเชิญนะ ท่านอัลบัส แต่อาหารอย่างคนธรรมดาไม่ค่อยถูกปากแม่มดดำอย่างข้าสักเท่าไร ดังนั้นข้าขอตัวขึ้นไปพักที่ห้อง และสั่งอาหารขึ้นไปกินอย่างเดียวดาย ฝากเลี้ยงช่างตีเหล็กกับน้องสาวของเขาแทนข้าก็แล้วกัน

    พูดจบ เอริเธียก็สะบัดร่างในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ เดินตรงไปยังบันไดขึ้นสู่ห้อง ทิ้งคณะเดินทางคนอื่นๆ ให้ยืนเงียบอยู่ตรงนั้น

    * * * * *

     

    อาหารที่ถูกที่สุดของภัตตาคารอยู่ในหมวดของว่าง ...ปลากะตักตากแห้ง หนึ่งจานราคาสองร้อยเกล

    นั่นทำเอาช่างตีเหล็กจะลมจับ มาเทียสเริ่มสงสัยว่าปลากะตักพวกนี้ฟักไข่ในแม่น้ำสวรรค์ และเติบโตด้วยสาหร่ายทองคำในอุทยานของเทพสมุทรหรืออย่างไร จึงได้ราคาแพงกว่าอาหารสดในตลาดของพาร์ฟนัก ซื้อผักสักกำมาต้มซุปกับโครงไก่ตัวโตๆ บวกเนื้อไก่ขนาดพอกินอิ่มสองคน ถึงอย่างไรก็ยังได้ไม่เกินหนึ่งร้อยเกลเลย

    ช่างตีเหล็กแลกสายตากับน้องสาว ซึ่งเวลานี้หน้าซีดด้วยโรคแพ้ของแพงเช่นกันไปเรียบร้อย เธอถึงกับงัดภาษามือที่ตนเองรู้แต่ไม่ค่อยชอบใช้มาแอบบอกเขา ว่า แพงไปทุกอย่าง ด้วยซ้ำ

    มาเทียสนึกร่ำๆ อยากสั่งปลากะตักตากแห้งมาแบ่งกับเด็กหญิงสองคน แต่ก็รู้ว่าเฮลิออสไม่มีวันอนุญาตเด็ดขาด...ต่อให้ผู้กล้ายอมเข้าใจว่าสองพี่น้องไม่มีทางกินอาหารเย็นในโรงแรมครบสูตรตั้งแต่ซุปกับสลัด จานเรียกน้ำย่อย จานหลัก ไปจนถึงของหวาน แต่ขอแค่จานหลักอย่างเดียวพอ ก็ย่อมไม่อยู่เฉยถ้าทั้งสองจะสั่งแค่อาหารเท่าแมวรัตติมายาดม (จริงๆ) มาแค่จานเดียวแน่

    และเป็นดังคาด ครั้นเขากับน้องสาวเงียบอยู่นานเข้า อัศวินก็แนะนำอาหารต่างๆ ให้ จนสุดท้าย มาเทียสกับเมลิสจึงได้ตัดสินใจสั่งปลาอบราดซอสที่ดูมีราคาน้อยเมื่อเทียบกับจานอื่นๆ มาคนละจาน แต่ก็ยังต้องรับเค้กปูเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนจานหลักมาถึง

    ช่างตีเหล็กคิดว่ามันก็อร่อยดี...แต่เขาไม่ค่อยได้กินอาหารทะเล จึงไม่สันทัดนักว่าอย่างนี้ถือว่าอร่อยเลิศล้ำกว่าอาหารทะเลที่อื่น (ซึ่งน่าจะมีราคาถูกกว่า) หรือไม่

    เฮลิออสใช้มีดและส้อมตัดอาหารอย่างนุ่มนวล ส่งเข้าปากแกล้มเหล้าองุ่นขาว สลับกับคำชมทำนอง กลิ่นหอมสดชื่นของทะเลเหนือ” “เนื้อนุ่มหวานลิ้นเป็นธรรมชาติโดยไร้การปรุงแต่ง กับ ผิวสัมผัสที่กรอบของแป้ง เข้ากันได้ดีกับความนุ่มเหนียวของเนื้อปู ...อย่างไรก็ดี มาเทียสค่อนข้างจะชินแล้วกับการกาพย์เห่ชมสรรพาหารของอีกฝ่าย ซึ่งสามารถสรรหาถ้อยคำราวภาษากวีมาชมอาหารที่ช่างตีเหล็กทำเองอย่างง่ายๆ ในเวลาเดินทาง ในระดับเดียวกับการชมอาหารของโรงแรมอันดับหนึ่ง

    โอ๊ย!”

    เสียงร้องของอัลบัสเรียกสายตาของช่างตีเหล็ก ซึ่งหันไปเห็นนักเวทขาวกุมปากของตน

    ป...เป็นอะไรไปหรือท่าน มาเทียสตั้งคำถาม

    มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในนี้น่ะสิ เขาใช้มือป้องปาก ก่อนจะนำแหนบถอนก้างปลาที่ทำด้วยเงินบริสุทธิ์ (บริการโดยโรงแรม) คีบเศษเปลือกปูชิ้นเล็กเท่าขี้ตาแมวจนแทบมองไม่เห็นมาทิ้งบนขอบจาน ต้องเป็นฝีมือของจอมมารแน่ๆ

    เอ่อ...ข้าว่านั่นมันเปลือกปูนะช่างตีเหล็กขมวดคิ้ว

    นั่นล่ะ ต้องเป็นฝีมือของจอมมารแน่ๆ อัลบัสดันแว่น สีหน้าขึงขังจริงจัง มันเสกเปลือกปูอันแหลมคมมาใส่อาหารของข้า จะได้ทิ่มเหงือกข้าให้อักเสบ หรือบาดคอข้าเป็นแผล ข้าจะได้ร่ายเวทสยบพวกของมันไม่ได้

    ... ครั้งนี้ มาเทียสได้รับบทเรียนพอที่จะไม่หัวเราะ และก้มหน้าก้มตาจัดการกับเค้กปูของตนต่อไป

    ว่าแต่ ข้าลืมไป แกรมดาบพิฆาตมังกรอยู่ที่ไหนหรือ ท่านเฮลิออส จอมเวทสวมแว่นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ท่านไม่ได้สะพายมันมาด้วยนี่

    เอ้อ... อัศวินผู้กล้าทำหน้าเหมือนปูติดคอ คือ...ข้าก็ว่าจะบอกท่านอยู่ แต่บอกที่นี่คงไม่สะดวก

    หือม์ อยู่กับข้า ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องสะดวกหรือไม่สะดวกหรอก จอมเวทขาวขยับแว่นอีกครั้ง ก่อนจะโบกมือพร้อมกับเอ่ยมนตราเบาๆ

    เพียงเท่านั้น ช่างตีเหล็กก็รู้สึกราวกับโต๊ะของพวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยกำแพงสีเหลือบขุ่นบางอย่าง...คล้ายกับกระจก พนักงานโรงแรมที่ทำงานอยู่ห่างๆ แลดูพร่าเลือนลงไป แต่ก็ไม่ได้หันมาสนใจลูกค้าโต๊ะเดียวในภัตตาคารแต่ประการใด

    ใน กำแพงกระจก ของข้า จะไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เราพูดกัน หรือท่าทางที่ผิดแปลกไปจากที่ควรเป็นของพวกเราเด็ดขาด นอกเสียจากมีสายของจอมมารชั่วช้าเน่าเหม็นหลบซ่อนอยู่ภายในนี้ด้วย อัลบัสเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ดังนั้น ท่านเฮลิออสเชิญว่ามาเลย

    เฮลิออสกลืนเค้กปูที่กำลังเคี้ยวอยู่ลงคอ ครั้นแล้วก็หันมาทางเมลิส และพูดด้วยช้าๆ

    ให้อาเน่ออกมาเถอะ หนูเมลิส

    เด็กหญิงพยักหน้า และก้มลงดูกระเป๋าของเธอ ก่อนจะหยิบเด็กหญิงแมนเดรกขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ...พร้อมกับดาบพิฆาตมังกรที่เด็กตัวจิ๋วสะพายไว้บนหลัง

    ท่านเฮลิออส...นี่มัน... จอมเวทขาวขมวดคิ้ว สองมือวางส้อมกับมีด ขยับแว่นแล้วขยับแว่นอีก ขณะเพ่งมองเด็กหญิงผมเขียว ราวกับกำลังวิเคราะห์สิ่งมีชีวิตไม่ระบุที่มา ...ผมสีเขียว แสดงว่ามีสายพันธุ์ร่วมกับพืชหรือพวกนางไม้ แต่ขนาดตัวเท่านี้...

    นางชื่ออาเน่ เป็นต้นแมนเดรกในสวนของน้องสาวข้า แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีร่างกายกับความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์ขึ้นมา แต่ที่สำคัญกว่านั้น... ผู้กล้าเอ่ยช้าๆ ...แกรมต้องคำสาป เวลานี้มันเลยมีขนาดเล็กลง จนกระทั่งมีแต่อาเน่คนเดียวที่ใช้ได้ ข้าจึงต้องพานางมาปราบไวเวิร์นด้วย

    อัลบัสมีสีหน้าตะลึงงันไปครู่ใหญ่ ก่อนจะทุบโต๊ะดังปึงจนแก้วเหล้าทรงสูงกระเทือน

    เลวทรามชั่วช้าจัญไรยิ่งนัก! นี่ต้องเป็นฝีมือของจอมมารแน่ๆ!”

    มาเทียสงอตัวลงกุมท้อง บังคับร่างไม่ให้สั่น มิหนำซ้ำยังต้องพยายามเป็นอย่างหนักไม่ให้ตนเองสำลักเค้กปูในปากขึ้นมา

    เอาเถิด...อย่างน้อยครั้งนี้จอมเวทขาวก็เดาถูก (สักที)

     

    * * * * *

     

    คนเขียนขอคุย

     

    แรกๆ ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับพรีม่าไว้เลย จนตอนหลังมิวส์ประทานให้มาเป็น เมืองที่เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติ ในแบบประหลาดๆ นี่ละครับ ส่วนผังเมืองทรงสี่เหลี่ยมเดินง่ายๆ นี่ก็มาจากเมืองเกียวโตที่ไปมาในปีนี้ ส่วนตัวผมล่ะชอบผังเมืองแบบนี้จริงๆ (ถึงอย่างนั้นก็ยังหลงทางบ้างเหมือนกัน แหะๆ)

    ชื่อเมือง พรีม่า มาจากภาษาละตินแปลว่า อันดับหนึ่ง และชื่อกิจการอื่นๆ ในที่นี่ก็จะอิงคำว่า พรีม่า เป็นหลัก พรีเมี่ยมก็คำภาษาอังกฤษ พรีม่า ดอนน่า แปลว่า ท่านหญิงอันดับหนึ่ง ใช้เรียกนักร้องหญิงที่เป็นดารานำในละครโอเปร่า ซึ่งมักจะติดภาพพจน์คุณหนูผู้หยิ่งสะบัดและสุดแสนเอาใจยาก พรีม่า มารินาร่า หมายถึง คนเดินเรืออันดับหนึ่ง

    ส่วนเมนูอาหารของที่นี่ก็ผสมๆ จากอะไรหลายๆ อย่าง เช่น ปลาแซลมอนยัดเฮเซลนัทมาจากตำนานเคลติก ว่าด้วยปลาแซลมอนแห่งปัญญา ที่ได้ปัญญามาจากเฮเซลนัทแห่งปัญญา (จนน่าสงสัยว่าทำไมคนไม่กินเฮเซลนัทแทนปลากันนะ...) กุ้งเริงระบำก็คือซาชิมิกุ้งมังกรสด ประเภทที่เขาว่าดึงหัวแล่เนื้อออกมาเสิร์ฟแล้ว หัวยังกลอกตา ก้ามยังกระดิกๆ ได้อยู่เลย (เทียบกับกุ้งเต้นแล้วอันไหนสยองกว่ากันนี่...) ปูก็มาจากความคิดเรื่องปูยักษ์ ส่วนคราเคนหน้าตาเหมือนปลาหมึก ผมเลยคิดว่ามันน่าจะกินอย่างปลาหมึกได้สิน่า ^^a

    อีกอย่างที่ไม่พูดถึงในตอนนี้ไม่ได้คงเป็นจอมเวทขาว อัลบัส (ชื่อนี้คงไม่ทำให้ใครติดภาพดัมเบิ้ลดอร์ขึ้นมานะครับ ^^a ) เลือกใช้ชื่อนี้เพราะฟังดูขาวสะอาดเหมาะแก่การเป็นจอมเวทขาวดี ส่วนนิสัยพี่แกที่คิดไว้ออกจะ...ผิดจ๊อบซักหน่อย และมีนิสัยรั่วๆ จำพวกมีอะไรก็โทษแก็สโซฮอล์...เอ๊ย...จอมมาร จากความคิดค่อนข้างสด ซึ่งพอใส่ลงมาแล้วผมก็คิดว่าเข้ากับเนื้อเรื่องดีเหมือนกันแฮะ

    มาเทียสจะท้องเสียเพราะจอมมารเสกมุกเข้าท้องหรือไม่ (???) โปรดติดตามชมในตอนต่อไปครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×