ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels' Saga - กบฏมายา มนตราเทวยุทธ

    ลำดับตอนที่ #21 : -- 2.5 - สถานการณ์ไม่คาดคิด - “ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 121
      0
      11 มี.ค. 54

    บทที่ 5 - สถานการณ์ไม่คาดคิด

     

     

                    แม้จนตอนนี้  เฟลีนก็ยังไม่อยากเชื่อว่าแผนเคลื่อนไหวที่วางไว้จะเพี้ยนมาได้ถึงขนาดนี้...

                    ไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้า  เธอกำลังเดินทางไปพาเดร  หมอบราบเกาะบนหลังเจ้าแมวอ้วนท้วนซึ่งขันอาสามาส่ง  ขนฟูปุกปุยของมันกลบร่างจิ๋วของเธอมิดชิด  หากไม่สังเกตจะมองไม่ออกเลย 

                    จอมเวทในร่างแมวเคยผ่านหน้าร้านนั้นมาครั้งหนึ่ง  แต่จะให้ใช้มนตร์ย้ายร่างตรงเข้าไปเลยก็เสี่ยงใช่ย่อย  ซ้ำยังสิ้นเปลืองพลังเวทที่ควรสงวนไว้รับเหตุเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ณ ถิ่นไร้มลทิน  ในเมื่อแมวหนุ่มซึ่งคุ้นชินกับพื้นที่ยินดีนำพา  เธอก็ตั้งใจว่าจะขอโดยสารมันไปจนถึงใกล้ ๆ แถวร้าน  แล้วจึงค่อยคิดกัน 

                    เจ้าแมวอ้วนเลือกทางเล็กปลอดคน  เลี่ยงการตกเป็นเป้าสายตาตามที่เธอบอก  ลัดเลาะเหยาะย่างมาตามแถวตรอกขอบกำแพง  ทั้งยังแคล่วคล่องผิดรูปร่างตุ้ยนุ้ย  แค่เธอเปรยว่า  ถ้าเป็นไปได้ก็เร่งสักหน่อย  เพราะข้าต้องแข่งกับเวลา”  มันก็วิ่งฉิวลิ่วลมเหมือนจะอวดฝีเท้าตามประสาวัยคะนอง  บางขณะยังรวดเร็วผาดโผนเกินไป  จนวิฬาร์ร่างจ้อยรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเมาเจ้ารถแมวคันนี้เสียแล้ว 

                    ช่วงที่คิดแบบนั้นนั่นเอง  เหตุก็มาหาทันใจนึก 

                    “จุดต่อไป  เราจำเป็นต้องวิ่งผ่านถนนใหญ่  ชะลอหน่อย”  เฟลีนเตือน  แมวหนุ่มเอียงคอมาตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ ...ไม่ต้องห่วงครับ ทางแถวนี้ข้าชำนาญ 

                    "มองข้างหน้า!" 

                    พอพ้นปากตรอก  เจ้าอ้วนก็กระโดดผลุงลงไป  ไม่ได้ดูเลยว่ามีรถม้าห้อเต็มเหยียดมุ่งตรงมา 

                    เจ้าเหมียวท้วมอ้าปากหวอ  ไม่ทันร้องสักแอะ  เกือกม้าก็ย่ำลงจากเหนือหัว  กดทับใส่ตัวมัน 

                    ...ชั่วพริบตา  แมวใหญ่เล็กทั้งสองก็มาหล่นแผละอยู่บนวัตถุนุ่มนิ่มกองหนึ่ง 

                    แมวหนุ่มแผ่หงาย  แขนขากางชี้  พุงกระเพื่อม  ส่วนเฟลีนทรุดลงไปนอนหอบ 

                    ให้ตายสิ  ต้องใช้มนตร์ย้ายร่างติด ๆ กันจนได้  แถมใช้แบบฉุกละหุกไม่ทันตั้งตัวอีก 

                    วิฬาร์ร่างจ้อยชำเลืองมอง  เห็นบานหน้าต่างเปิดกว้างตลอดแนวกำแพง  แขวนกระดิ่งรูปร่างต่าง ๆ หลากสีสันหลายขนาดส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง  สิ่งที่รองรับร่างตนเป็นกองหมอนหนุนใบย่อม  ปักลวดลายรูปหมีสีน้ำตาลที่หัวโตตัวแคระตาใสเกินกว่าความเป็นจริง  แลไปซ้ายขวาก็พบชั้นไม้และตู้กระจกมากมาย  วางเรียงรายด้วยตัวประหลาดเย็บจากผ้า  กึ่งหมากึ่งแมว  กึ่งเด็กกึ่งคนแคระ  ตาจมูกปากเป็นจุดเล็ก ๆ  ...พวกหญิงชาวมนุษย์เรียกมันว่าอะไรนะ  อ้อ  ใช่  ตุ๊กตา 

                    ดูท่า  ที่ที่ตนมาปรากฏตัวจะเป็นร้านของเล่น  ไม่อย่างนั้นก็ของประดับตกแต่งห้องกระมัง 

                    นางแมวหันกลับมา  และชะงักกึก  เจ้าแมวอ้วนที่ไปหล่นปุบนกองหมอนที่เตี้ยกว่า  เงยหน้ามองดูเธอด้วยสายตาแปลก ๆ 

                    ...ไหนท่านบอกว่าคาถานี้พาไปได้เฉพาะที่ที่เคยไปไม่ใช่หรือครับ  เอ้อ  ไอ้ร้านนี้  เจ้านายก็อุ้มข้าเข้ามาเลือกของแต่งตัวให้ตุ๊กตาบ่อย ๆ หรอกนะ  แต่ไม่นึกว่า...ท่านเฟลีนก็อุดหนุนอะไรกระจุ๋มกระจิ๋มแบบนี้ด้วย

                    "ไม่ต้องมามองแบบนั้น  ข้าไม่เคยเข้ามาซื้ออะไรในนี้โว้ย!"  แมวขนม่วงหน้าแดงก่ำ  แหวใส่ดังแฟ่ 

                    เนื่องจากกะทันหัน  เธอไม่มีเวลาพอจะคิดสถานที่เหมาะ ๆ  นึกได้ก็แค่ภาพของช่องทางเดินข้างร้านที่พวกตนเพิ่งเดินผ่านเมื่อสามนาทีก่อน  แต่คงเพราะปุบปับเกินไป  เลยคลาดเคลื่อนเข้ามาอยู่ในร้านซะฉิบ 

                    เฟลีนได้แต่นอนถอนใจ  หนวดกับหูตกลู่ 

                    การโยกย้ายผ่านมิติต้องอาศัยสมาธิและปริมาณเวทเป็นแก่นสำคัญ  แม้ฝึกฝนจนช่ำชอง  ใช้ออกได้ดังใจเพียงไร  แต่ตามหลักวิชาแล้ว  เวลาในการเตรียมจิตและพลังยังจำเป็น  ยิ่งยาวนานยิ่งปลอดภัย  ยิ่งกระชั้นยิ่งอันตราย  การเร่งเร้าชั่วขณะเช่นเมื่อครู่  แท้จริงเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างยิ่ง...โดยเฉพาะกับร่างนี้ที่ไม่รองรับการใช้พลังหักโหมด้วยแล้ว  นับเป็นการฝ่าฝืนข้อจำกัดขั้นร้ายแรง  ผลข้างเคียงย่อมเกิดตามมา

                    พลังเวทของเธอเหมือนสาบสูญไป...ไม่สามารถใช้ออกแม้แต่นิดเดียว 

                    ที่หายไปไม่ใช่แค่พลัง  ยังรวมถึงเรี่ยวแรง  เธอลุกไม่ขึ้นเลย 

                    ระหว่างที่ยังขบคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อดี  ก็มีเสียงเรียกดังมาจากด้านหน้าร้าน

                    “ยังเลือกไม่ได้อีกหรือ  เฟลิเซีย

                    หญิงสาวแต่งกายหรูหรา  ประดับประดาเพชรพลอยทองคำเต็มเรือนผมและช่วงคอชะเง้อมองมา  หญิงสวมแว่นตากลมหนาอีกคนหนึ่งซึ่งสูงวัยกว่าหัวเราะเบา ๆ  ร้านเรามีสินค้าเยอะ  คุณหนูคงกำลังเพลิดเพลินกับการชมดู  หรือไม่อย่างนั้นก็กำลังลังเลเลือกไม่ถูกน่ะเจ้าค่ะ” 

                    ฝ่ายหญิงสาวยกฝ่ามือแนบใบหน้า  ท่าทีเหนื่อยใจ  เฮ่อ  เมื่อคืนหลังจากทำเจ้าตัวโปรดหายไปตอนเดินชมเมืองก็ไม่ยอมกินข้าวกินปลา  งอแงจะให้พามาซื้อใหม่แต่หัววันท่าเดียว

                    ในร้านมีคนอยู่  เกิดใครเจอเราเข้าจะยุ่งยากเปล่า ๆ ...เฟลีนคิด...รีบให้นายอ้วนพาหลบออกไปดีกว่า 

                    นางแมวหันศีรษะกลับเพื่อสำรวจว่าด้านหลังทางสะดวกหรือไม่  และต้องชะงักกึกอีกรอบ 

                    เด็กผู้หญิงผิวขาว  แก้มยุ้ยผมหยักยาว  อายุคงประมาณห้าหกขวบ  เอาแขนชันเข่ามือเท้าคาง  นั่งยอง ๆ มองเธอตาแป๋ว 

                    เฟลีนตัวแข็งทื่อ 

                    บ้าชะมัด  มัวแต่กังวลจนไม่ทันรู้ตัว  เด็กคนนี้โผล่มาตั้งแต่เมื่อไร  รึว่าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว 

                    เอาไงดี  อ๊ะ  จริงสิ 

                   แมวขนม่วงหยุดกระดุกกระดิก  แสร้งทำเป็นหนึ่งในตุ๊กตา  และไม่ลืมค้างหน้าตนไว้ในสภาพแยกเขี้ยวตาโปนน่ากลัว  พวกมนุษย์ผู้หญิงไม่ค่อยชอบของเล่นที่ไม่น่ารักน่าถนอม  ทำแบบนี้แม่เด็กนี่จะได้เดินไปให้พ้น ๆ จากตรงนี้เสียที 

                    มิคาด  ยายหนูน้อยกลับคว้าหมับ  จับเต็มไม้เต็มมือ 

                   "หน้าตาตลกจัง"  เด็กหญิงยิ้มแป้น  หันไปทางหน้าร้าน  ชูแมวจิ๋วขึ้นโบกไปโบกมา  แม่คะ  ข้าจะเอาตัวนี้ค่ะ  เอาตัวนี้"

                   เฮ่ย  เฟลีนนิ่งอึ้ง  เรื่องราวชักน่าเกลียดขึ้นเรื่อย ๆ

                   เจ้าเหมียวท้วมรีบขยับจะช่วย  แต่ไม่ทัน  แมวจากไหนนี่  ชิ่ว ๆ”  ผู้ช่วยในร้านหยิบไม้กวาดมา  ตะเพิดมันออกไปก่อน

                    หญิงชราเจ้าของร้านขมวดคิ้วเล็กน้อยกับสินค้าที่จำไม่ได้ว่าเคยมี  แต่ก็ทำทีเออออคิดราคาไปตามน้ำ (อุ๊ยตาย  คุณหนูช่างตาแหลมคม  นี่เป็นสินค้ามาใหม่  ช่างฝีมือบรรจงทำอย่างประณีตเสมือนจริง  สีสันสวยสด ขนาดเล็กกะทัดรัดเหมาะพกพา  เหลือเพียงตัวเดียวเลยนะคะ...และ...แถมยัง...โอ้ว  ไม่แพงหรอกค่ะ  ราคานี้”)

                    ...จอมเวทแมวถูกลากออกไปจากปฏิบัติการค้นหาเป็นเวลาหลายชั่วยามหลังจากนั้น

                    (ณ เวลาปัจจุบัน  พลังเวทยังไม่กลับคืน  อยู่ในห้องนอนของเด็กหญิงเฟลิเซีย  ถูกจับใส่หมวกตุ๊กตาลายดอกไม้และเสื้อกระโปรงบานสีชมพูเข้าชุดกัน)


                    ...................


                    เฟอร์ทิสกำลังสาปแช่งใครบางคน 

                    ข้างโรงรับฝากม้าแห่งหนึ่งบนถนนทางรอด  เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าคุดคู้  ตัวสั่นเกร็งน้ำตาเล็ด  สองมือขูดกำแพงเป็นรอยยาว 

                    ...เจ้าคุณชายบ้ากามนั่น 

                   เมื่อวานมันชนกับอะไรเข้าไม่รู้  เล่นเอาเขาปางตาย  มาวันนี้  ตั้งแต่ก่อนเที่ยงเหมือนถูกกระทุ้งเป็นระยะ ๆ ยังพอทน  แต่เมื่อครู่  อยู่ดี ๆ กลางหลังก็ลั่นกรอบเหมือนถูกฟาดด้วยของหนัก  ตามลำตัวปวดชาคล้ายถูกเตะถีบ  ดีที่ลงจากม้าแล้ว  ไม่อย่างนั้นเขาอาจผงะจากความเจ็บฉับพลันจนพลัดหล่นลงมา  หรือไม่ก็ทรงตัวอยู่  แต่จิกคอม้าเต็มแรงจนถูกดีดกระเด็น

                    มันทำบ้าอะไรของมัน  วัน ๆ ดีแต่วิ่งเข้าหาอุบัติเหตุ  เป็นพวกคลั่งไคล้ลัทธิทรมานสังขารรึไง  หัดอยู่สงบเสงี่ยมรอคนไปช่วยไม่ได้หรือวะ 

                    ทันใด  มีอะไรบางอย่างพุ่งลงมาจากด้านบน  เด็กหนุ่มรับรู้ได้โดยไม่ต้องเงยขึ้นไปมอง  เขาผุดลุกถอยฉากหลบ  เจ้าสิ่งนั้นดิ่งลิ่วรวดเร็ว  แต่ตกสู่พื้นอย่างแผ่วเบา...เป็นแมวสีดำรูปร่างปราดเปรียว 

                    มันโดดผลุงเข้าหาเกาะขาเขาหนึบ  เฟอร์ทิสแกะเท้ามันออกจากกางเกงแล้วอุ้มขึ้นตรงหน้า  เจ้าแมวรีบยื่นหัวเข้ามาด้วยท่าทางกระตือรือร้น  เด็กหนุ่มจึงค่อยสังเกตว่าในปากมันคาบเศษกระดาษ  พอคลี่ออกดูก็พบข้อความสั้น ๆ 

                    พบร่องรอยยัยหนู  ยังไม่ยืนยัน 

                    ท่านเฟลีนคงส่งมาก่อนจะเดินทางไปสืบเสาะตามเบาะแสที่เจอ  (เด็กหนุ่มแอบสงสัยนิด ๆ ว่าอาจารย์เขียนหนังสืออีท่าไหน)  ตามที่ตกลงกันไว้  ถ้าในข้อความไม่ระบุสิ่งที่ต้องปฏิบัติพร้อมวาดสัญลักษณ์รูปลูกศรวนกำกับ  อันหมายถึงสถานการณ์เปลี่ยนแปลง  ก็ให้ทำตามแผนเดิม  และทุกครั้งเขาต้องตอบกลับ  รายงานความคืบหน้าทางฝั่งตนเช่นกัน  เฟอร์ทิสเขียนแจ้งว่าถึงเมืองแล้วลงเศษกระดาษอีกชิ้น  เจ้าแมวนำสารงับไว้  จากนั้นกระโดดไต่ขึ้นบนหลังคาหายลับไป 

                    เด็กหนุ่มมองตาม  เห็นดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ  ท้องฟ้าเป็นสีหม่นแดง  ย่างยามสนธยา  ทว่าเขตมืดกลับเสมือนใกล้ตื่นจากหลับใหล  ผู้คนหลั่งมาคลาคล่ำขวักไขว่

                    ท่ามกลางหมู่ชนหลากหลายนั้น  เขาพลันรู้สึกเดียวดาย  สัมผัสได้เพียงบรรยากาศอันไม่คุ้นเคย  เมืองของพวกมนุษย์ส่องสว่างเสมอ  คึกคักครึกครื้นแทบทุกชั่วยาม  แต่ขณะเดียวกัน  ความเงียบเหงาก็เหมือนซ่อนเร้นอยู่ในทุกหลืบเงา  ยิ่งโดยเฉพาะในเมืองนี้ 

                    เฟอร์ทิสไม่รู้ว่าความเงียบเหงานั้นเกิดจากอะไร  แต่มันทำให้เขานึกถึงเมลิสซ่า 

                    ต้องพลัดบ้านพรากครอบครัวมาอยู่ในที่แบบนี้  จิตใจนางคงถูกความรู้สึกมากมายรุมเร้ายิ่งกว่า  เขาผิดเอง  เมื่อคืนหากไม่ล้มฟุบลงไป...ขอเพียงตอนนั้นเขาอยู่ด้วย...นางจะไม่มีวันถูกลักพามาที่นี่แน่ 

                    เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น  และออกวิ่ง  ในใจคิดเพียงว่าต้องพานางกลับไปหาพี่ชายให้จงได้ 

                    ไม่นานก็มาถึงสุดถนน  ที่นั่นมีบ้านไม้  ไม่เล็กไม่ใหญ่  กลางเก่ากลางใหม่  เปิดเป็นร้านเหล้า  มองจากกระจกหน้าต่าง  ข้างในเต็มไปด้วยคนนั่งดื่มกิน 

                    เฟอร์ทิสกำลังจะเดินเข้าไป  แต่ชายเสื้อคลุมกลับถูกกระตุกดึงจากด้านหลัง  เด็กหนุ่มหันกลับมามอง พบเด็กชายคนหนึ่ง  ผมเผ้ายุ่งเหยิง  แต่งตัวปอน ๆ  เท้าเปล่า  ดูจากส่วนสูงคงราวเจ็ดแปดขวบ  เขาไม่แน่ใจ  เจ้าหนูนี่ซูบผอมแคระแกร็นเหมือนขาดอาหาร  บางทีอาจอายุมากกว่านั้น 

                    “ขอเงินกินข้าวหน่อยเถอะครับ  นายท่าน”  เด็กชายพูด  เสียงหงุงหงิงน่าเอ็นดู  "ที่บ้านข้ามีน้องเล็ก ๆ รออยู่  พวกเราแทบไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว" 

                    ปากกล่าวมือลูบท้อง  ยืนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่  เฟอร์ทิสเห็นเท้าทั้งสองของอีกฝ่ายบิดเอียง  นิ้วเท้าหงิกงอแปลกประหลาดก็อดใจอ่อนไม่ได้  ต้องเลิกเสื้อคลุมขึ้นเล็กน้อย  แง้มมองถุงผ้าซึ่งซุกงำอยู่ข้างใต้ 

                    ให้ตาย  ดูกี่ครั้งก็ยังตะลึง  มูลค่าของสิ่งที่อยู่ในนั้นมากเกินคาดเดา  ทองแท่งขนาดย่อม  เหรียญที่ล้วนแล้วเป็นหน่วยนับใหญ่  มีค่าตั้งแต่หลักพันขึ้นไป  ยังมีปึกตั๋วแลกเงินมัดไว้สี่ม้วนหนา  แทบไม่กล้าจับ 

                    เจ้ายาจกวัยเยาว์ยังรอคอยและจ้องมา  เขาสาบานได้ว่าตาของมันเปล่งประกายวิบวับ  หูขยับยุกยิกไม่ต่างจากลูกสุนัขน้อยออดอ้อนขออาหาร  หากมีหางมันอาจกระดิกด้วย  เฟอร์ทิสอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าจอมเวทผู้ดีแกล้งกันรึเปล่า  ตาลุงนั่นรู้สินะว่าเขาต้องเจอแบบนี้  ทรัพย์สินในถุงต่อให้บริจาคด้วยหน่วยเล็กสุดก็ยังนับว่าเกินกว่าเหตุและอวดโอ่ฐานะทั้งนั้น 

                    เด็กหนุ่มใคร่ครวญเร็วไว...จะทำหน้าใหญ่ใจโตไม่ได้  เงินนี่มิใช่ของตน  อีกทั้งเมื่อมอบสมบัติก้อนโตขนาดนี้มา  ย่อมไม่ใช่เผื่อแผ่หรืออวดมั่งมี  แต่แสดงว่าการช่วยคนออกจากที่นี่จำเป็นต้องใช้ถึงขนาดนั้น  ควรจ่ายอย่างระมัดระวัง  ห้ามสิ้นเปลืองเด็ดขาด 

                    ฮี่โธ่  เอาของตัวเองก็ได้  เขารีบตบ ๆ คลำ ๆ ตามกระเป๋ากางเกงและช่องลับในเสื้อคลุม  คุ้ยควักอยู่พักใหญ่ก็ล้วงเจอเหรียญทองแดงแหว่ง ๆ ดำ ๆ สองสามเหรียญ  น่าสมเพชเสียนี่กระไร  แต่ซื้อข้าวถูก ๆ กินสักจาน  แค่นี้ก็น่าจะพอ  เขาวางมันลงบนมือคนอ่อนวัยกว่า  ลูบหัวยุ่งเหยิงนั้นเบา ๆ แล้วเดินจากมา 

                    มิคาด  เสียงเด็กน้อยลอยมาให้ได้ยินแว่ว ๆ 

                    “หอกเอ๊ย  ให้แค่นี้เอง  จะให้ข้าซื้อรำกินรึไงวะ  ถุย

                    มันคงไม่นึกว่าเขาจะหูดี  พอหันขวับกลับไปมอง  มันสบตาเข้าก็สะดุ้ง  รีบปั้นยิ้มน่ารักตามเดิม  ผงกหัวปลก ๆ  ขอบคุณคร้าบ”  แล้วจ้ำอ้าวหนีไป  เท้าหงิก ๆ งอ ๆ หายหงิกเป็นปลิดทิ้ง

                    ...ถ้าไม่ติดว่ามีธุระด่วน  จะตามไปเหยียบมันให้จมดิน...เด็กหนุ่มวางแผนฆาตกรรมในใจ  ขณะผลักประตูเดินเข้ามาในร้าน 

                    เขาเดินไปที่คอกกั้นคนชงเหล้า  แต่แถวเก้าอี้เบื้องหน้าไม่มีที่ว่างเลย  เฟอร์ทิสลังเลครู่หนึ่งจึงค่อยเลื่อนมือขวามาจับหู  อีกมือป้องปาก  กระแอมไอเรียกคนในคอก 

                    “มีไรเรอะน้อง  ข้ามั่นใจว่าไม่ใช่พ่อเจ้าแน่”  ชายอ้วนหนวดดกที่นั่งดื่มอยู่หันมามองแทน  หรือว่าหลงทาง กลับบ้านไม่ถูก  จะหาใครพาไปส่ง

                    คนอื่นข้าง ๆ หัวเราะครืน  เด็กหนุ่มหน้าร้อนผ่าว  รู้สึกเสียมาดอย่างบอกไม่ถูก  ท่านเฟลีนบอกผิดหรือเขาจำอะไรตกหล่นใช่ไหมนี่

                    “ไหน ๆ มาแล้วสั่งอะไรหน่อยเป็นไร  เนื้อวัวของร้านนี้ชั้นหนึ่งนะ  แกล้มกับองุ่นแดงล่ะเด็ดเชียว”  ชายหน้าซีดเซียวผมยาวรุงรังซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่ได้หัวเราะเอ่ยถาม  พลางหยิบถ้วยของตนเขย่าเบา ๆ สามครั้ง 

                    เฟอร์ทิสมองเขาแล้วคลี่ยิ้ม  พยักหน้าช้า ๆ  ขอบคุณ  แต่ขอเหล้าน้ำผึ้งเหยาะมะนาวดีกว่า

                    “เชิญด้านนี้”  ชายซีดเซียวฉีกยิ้มตอบ  ก่อนจะกระวีกระวาดลุกขึ้นเดินนำมาที่โต๊ะอีกมุม  เด็กหนุ่มสังเกตพบว่าบริเวณนี้จัดห่างจากโต๊ะอื่นอย่างแนบเนียน  ทั้งเป็นจุดบอดเมื่อมองจากนอกร้าน  และชายหน้าซีดนี้บุคลิกรสนิยมพิลึกพิกล  ตาซ้ายครอบไว้ด้วยเหล็กสีดำรูปเจ็ดเหลี่ยม  มือข้างขวานิ้วกลางถึงนิ้วก้อยสวมใส่ปลอกเล็บเหล็กดึงยาสูบสองมวนจากในเสื้อ  อันหนึ่งยื่นมาให้  พอเขาสั่นศีรษะ  แทนที่จะเก็บ  กลับเอาไปคาบเสียเอง  กลายเป็นสูบสองมวนพร้อมกัน

                    “ข้ามาหาคน”  เฟอร์ทิสรีบเข้าเรื่อง  เพราะเสียเวลามามากแล้ว 

                    “ตำหนิ  รูปพรรณสัณฐาน  อายุ  แนะนำว่ารู้อะไรบอกมาให้หมดเลยน้องชายชายพิลึกกล่าว ราคาสูงต่ำขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการสืบหา  ซึ่งหมายความว่าข้อมูลมากน้อยที่เจ้าให้มีผลต่อเงินมากน้อยที่เจ้าต้องจ่าย

                    เด็กหนุ่มบอกภูมิหลังหน้าตาของเมลิสซ่า  เหตุที่มาอย่างละเอียด  และระบุขอบเขตการค้นหาคือในเมือง  ชายหน้าซีดลูบคางทำท่าครุ่นคิด  พึมพำงึมงำ  ไม่บอกว่ายากหรือไม่

                    “อืม  เด็กจากไฮฟ์  วัยกำลังเหมาะ  ถูกโจรภูเขาลากมา  ถ้างั้น  ไม่โดนเอาไปขายผ่านที่ตลาดค้าทาสก็ที่ซ่องเลยโดยตรงล่ะนะ  โอ๊ะโอ๋  หน้าง้ำ  คนรักเหรอ

                    “ถามอะไรที่มันจำเป็นต่อการค้นหาเถอะ  พี่ชาย” 

                    “แหม  ข้อมูลที่ต้องการน่ะครบถ้วนแล้ว  ขาดแต่...”  ชายหน้าซีดขยับปลายนิ้วถูวนไปมา

                    ได้เวลาเสียทรัพย์แล้ว

                    ท่านเฟลีนพูดไว้ก่อนแยกกัน...ราคาของสินค้าประเภท ข่าวสารไม่เคยคงที่  และคนขายมักจงใจไม่ระบุราคากับลูกค้าใหม่  เพื่อดูว่าใช่ หมูหรือไม่ 

                    แม้ไม่เคยมาเยือน  แต่เฟอร์ทิสรู้หลักการเจรจาในลักษณะนี้ดี  ข้อแรก  ห้ามถามราคาก่อน  นั่นเป็นการเปิดเผยล่อนจ้อนว่าเราไม่รู้  อาจถูกโขกมูลค่าสินค้าเสียแพงหลุดโลก 

                    “ไม่พอ”  ชายหน้าซีดบอก  ทันทีที่เขาวางตั๋วแลกเงินจำนวนที่ลองคาดคะเนลงบนโต๊ะ  ราคามาตรฐาน  หมื่นเหรียญทอง”  คนค้าข่าวเปิดฉากรุก 

                    ...และข้อที่สอง  ต่อรองไว้ก่อน 

                    “ที่ให้นี่ก็สูงมากแล้วนา”  เด็กหนุ่มว่า 

                    “ไม่เอาน่า  พูดกันตรง ๆ นะ  อย่าวางมาดเจนจัดตัดราคากับข้าเลย”  ชายหน้าซีดกระดกมวนยาสูบขึ้นลง  ถึงต้องขอชมว่าเจ้าเก็บท่าทีประหม่าได้ดี  แต่ดูที่แสดงวิธีติดต่อแข็ง ๆ ขัด ๆ เมื่อกี้ก็รู้แล้ว  เจ้าเพิ่งเคยมาที่นี่  จริง ๆ ไม่ต้องเป็นข้าหรอก  ขนาดทหารตรงประตูเมืองที่เจ้าถามทางยังแอบนินทาว่าเจ้ากลบกลิ่นบ้านนอกไม่มิด”  คนค้าข่าวแสยะยิ้ม  ข้าบอกหมื่นเหรียญทอง  ก็หมื่นเหรียญทอง  จะเอาไหม” 

     

                    ...................

     

                    ซอร์ดีโอกำลังคิดคำนวณครั้งใหญ่  อาจเรียกได้ว่าใหญ่กว่าครั้งใดในชีวิต

                    แม้อนาถใจที่ต้องมาประเมินราคาขายตัวเอง  แต่ขืนมัวหน้าบางไม่เข้าท่า  รอจนไปถึงปลายทาง  เขาอาจต้องทำเรื่องน่าอนาถกว่านี้ 

                    ก่อนอื่น  นายทาสที่รับซื้อเขามา  จ่ายไอ้โจรนั่นไปหกร้อยเหรียญทอง...นั่นกดราคาแหลกลาญแล้ว  เขารู้ 

                    เท่าที่จำได้ราง ๆ เมื่อครั้ง ยังช่วยงานพ่อ’ ...ตอนติดต่อทำการค้าเล็ก ๆ กับมอร์ติกา  พวกหน้าเลือดทั้งหลายทั้งปวงในเมืองนี้คิดขายสิ่งใด  มักต้องการผลอย่างน้อยสามเท่าของทุน

                    หมายความว่า  ค่าตัวของตนที่นายทาสหวังไว้คือหนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทองขึ้นไป 

                   และแม้ว่าเทียบสัดส่วนแล้ว  สถานที่สำหรับ พวกรสนิยมเฉพาะกลุ่มอาจมีจำนวนแค่หยิบมือของเมือง  แต่ใช่ว่าเงินที่หมุนเวียนจะน้อยตาม  เขาไม่แน่ชัดในข้อมูล  เพราะไม่เคยคิดย่างกรายเข้าไปข้องแวะ  แต่ได้ยินว่า งานประมูลบุรุษแข่งขันดุดันไม่แพ้งานประมูลนางโลมในหอชั้นสูง  กรณีที่เลวร้ายที่สุด  ค่าตัวเขาอาจพุ่งขึ้นไปถึงหลักหมื่น

                    เงินในถุงของฟาคินจะมีถึงจำนวนนั้นหรือเปล่า  เขาไม่มีเวลาตรวจนับ  ได้แต่ประมาณเอาจากน้ำหนัก  ทำให้ไม่กล้าฟันธง  ถึงมันวางท่าว่าไถ่ตัวเขาได้สบาย ๆ  ที่สุดก็ออกมาชัดเจนแล้วว่าแค่พูดไปอย่างนั้นโดยไม่คิดจะช่วยเขาแต่แรก  อีกทั้ง...เมื่อพิจารณาตามคำสกปรกที่ได้ฟัง...มันคงตั้งใจมาเที่ยวชมแหล่งเริงรมย์เป็นหลัก  นี่เพิ่งยามบ่าย  ไม่แน่ว่ามันอาจพกพามาแค่ส่วนหนึ่ง  พอให้ใช้เดินเตร่เหล่ดูของในเมืองฆ่าเวลาเท่านั้น  ที่สำคัญ ไอ้บ้านั่นชอบคุยโวโอ้อวดเกินจริงไปหลายขุมเสมอ  บอกว่ามีหมื่น  แท้จริงอาจมีแค่พัน 

                    ที่สาหัสกว่านั้น  สถานะของเขาตอนนี้ไม่ใช่มนุษย์  แต่เป็นสินค้า  ใช่ว่าจบง่ายดายแค่ถือเงินไปจ่ายค่าไถ่ตน  ดีไม่ดีจะกลับกลายเป็นส่งอ้อยเข้าปากช้าง  มันจะริบเงินเอาดื้อ ๆ  เสี่ยงเกินไป 

                    ถ้าคิดเป็นอิสระ  มีทางเดียวคือหนี 

                    และถ้าจะหนี  ต้องตอนนี้เท่านั้น 

                    ข้อมือยังแสบร้อนเลือดไหลซึม  หัวไหล่รวดร้าวเนื่องด้วยถูกบิดรอบ  แต่แผ่นหลังลำตัวที่เจอทั้งเท้าทั้งพลองปกติดีเสียอย่างนั้น  น่างุนงงกับเจ้าอำนาจคงกระพันกระพร่องกระแพร่งนี่นัก  บางอย่างหายบางอย่างไม่หาย  แต่เอาเถิด  มีดีกว่าไม่มี 

                    ซอร์ดีโอเหลือบมอง  ขบวนทาสนี้มีราว ๆ ยี่สิบ  คนหน้าสุดของแถวเชื่อมกับรถเกวียนเทียมลาสองตัว  สารถีก็แค่ตาลุงธรรมดา ๆ ไร้พิษสง  ที่ต้องระวังมีแค่ผู้คุมถือพลองบนม้าอีกตัวที่ด้านข้างคนเดียว  นายทาสไม่ย่ามใจก็คงตระหนี่เข้าขั้น ถึงจ้างมาแค่หนึ่ง  ช่างเถอะ  มันเป็นประโยชน์ต่อเขานี่ 

                    “เฮ้ย  เจ้าน่ะ”  ชายหนุ่มกระซิบ  เรียกคนที่อยู่ด้านหน้าตน  ทาสคนนั้นขยับศีรษะมามองชั่วแวบแล้วรีบหันกลับไป 

                    หลังผ่านเหตุวุ่นวาย  เขาถูกจับยัดเข้าตำแหน่งเดิมของแถว  ผู้คุมเพียงนำเชือกขนาดปกติหลาย ๆ เส้นมาผูกเชื่อมเชือกใหญ่ที่ขาดเป็นสองท่อนไปพลาง ๆ อย่างลวกชุ่ย  คงเพราะไม่เคยมีทาสคนไหนบ้าดีเดือดขนาดฉีกเชือกคุมแถวขาดมาก่อน  เลยไม่มีการเตรียมสำรองเผื่อไว้  ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นหวาดกลัวและปลกเปลี้ยไร้แรงจากการโดนทุบตี  ผู้คุมจึงไม่คิดว่าเขาจะกล้าอาละวาดซ้ำ  แต่ยังกำชับคนหน้าและหลังให้คอยจับตาดู  หากเขาทำทีมีพิรุธ  ให้รีบแจ้ง  ไม่อย่างนั้นถ้าเขาหนีไปได้  พวกมันจะต้องรับผิดชอบ 

                    “อย่าเพิ่งเมิน  ดูนี่”  ซอร์ดีโอเรียกอีกครั้งพร้อมกับเตะขาอีกฝ่ายเบา ๆ  ทาสหนุ่มหันมาหาอย่างหงุดหงิด  อดีตคุณชายแลบลิ้น  เผยให้เห็นเหรียญทองแวววาว...เขาดึงออกมาอมไว้ในปากก่อนจะถูกรวบตัว 

                    ทาสหนุ่มตาเบิกโพลง  หากไม่ใช่ถูกมัดมือไพล่หลัง  คงกระโจนมาล้วงคอเขาแล้ว 

                    “ใจเย็น”  อดีตคุณชายดุนลิ้นกลับเข้าปาก  เดินช้าลงหน่อย  ค่อย ๆ ถอยมา  ทีละนิด  เดี๋ยวไอ้บัดซบผู้คุมมันเห็น  ข้าตบมาจากไอ้ตัวดำเมื่อกี้  ในกระเป๋ายังมีอีกเพียบ  เจ้าอยากได้ไหม

                    ทาสหนุ่มไม่ตอบ  แต่สองตาและกลางหน้าผากก็แปะไว้ชัดเจนว่าอยาก  เขาจึงยิ้ม  หันไปทำแบบเดียวกับคนข้างหลัง  จากนั้นจึงพูดต่อ 

                    “ขอแค่ทำตามที่บอก  พอรอดไปได้  เงินนี่เราเอามาแบ่งกัน” 

                    คนข้างหน้าออกท่าทางตระหนก  รอดไปได้เจ้า...จะทำอะไร

                    “หนี”  ชายหนุ่มตอบ  สั้น ๆ  ชัดเจน  เราจะเป็นอิสระ  มีเงิน  ไม่ต้องเป็นขี้ข้าใคร

                    “แต่...

                    “อย่ากลัว  ไม่มีอะไรต้องกลัว  ข้ามีแผน  ไม่ยากเย็น  แค่เราร่วมมือกัน

                    ชายหนุ่มพูดรวดเดียว  ไม่เกลี้ยกล่อมหรือวิงวอน  แต่พยายามแสดงความมาดมั่น  เร่งทวีความมั่นใจ  ไม่เปิดโอกาสให้คู่สนทนาเกิดความกลัว  พูดถึงข้อดีของผลลัพธ์  แจกแจงแผนการอันรวบรัดนั้น  ย้ำคำว่าง่ายและ ร่ำรวยสลับกลับไปมา  สักพักคนข้างหน้าก็ผงกหัว  มีท่าทีคล้อยตาม  แต่

                    “ไม่ล่ะ  ขอบใจว่ะ” 

                    ไอ้คนข้างหลังดันตอบตรงข้าม

                    “คิดให้ดี”  ซอร์ดีโอรีบพูดแทรก  เจ้ารู้รึเปล่าว่าที่ที่เราจะไปมันที่ไหน  อยากเป็นของเล่นสัตว์เลี้ยงรึไง”  เขาเปลี่ยนมาใช้ ผลร้ายหากไม่หนีกดดันแทน 

                    “สนทำไม  ขอแค่คุ้มค่าก็พอแล้ว  ข้าได้ยินมาว่าอาชีพนี้ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ  ถ้าโชคเข้าข้างอาจถูกซื้อตัวไปอยู่คฤหาสน์ใหญ่สบายแฮ”  มันตอบลอยหน้าลอยตา  ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก  ต้องรีบลุยแล้ว  ไม่อย่างนั้นความฮึกเหิมของเจ้าคนข้างหน้าเกิดสะดุด  ใจฝ่อขึ้นมาก็เอวัง

                    “เงินที่ข้ามีก็สามารถทำให้เจ้าสุขสบาย  แถมยังดีกว่านั้น  ถ้าเราหนีกันสำเร็จ  เจ้าอยากมีชีวิตแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ  ไม่ต้องฟังคำสั่งหรือสนองตัณหาตาแก่ยายเฒ่าที่ไหนด้วย  จะพอใจกับความสุขสบายที่ขึ้นกับคำว่าโชคเข้าข้าง  และมีคนหยิบยื่นมาแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้รึ  ขึ้นชื่อว่าของเล่น  มันก็แค่ชั่วครั้งคราว  วันดีคืนดีนายเจ้าเบื่อก็เตะส่งลงไปเป็นทาสชั้นต่ำเท่านั้นเอง  คิดสิวะ  อิสระนะโว้ย

                    ทาสคนข้างหลังขมวดคิ้ว  เม้มปากอย่างคนกำลังชั่งใจไตร่ตรอง  กลอกตาไปมาก่อนจะกวาดลงมองกระเป๋ากางเกงเขาอย่างพินิจพิเคราะห์

                    “เท่าไรกันนั่น  เดิมพันด้วยอนาคตทั้งที  ข้าก็อยากได้สักหลักแสน  ไม่งั้นไม่เสี่ยงดีกว่า

                    ซอร์ดีโอแทบยั้งเท้าไว้ไม่อยู่ 

                    ฝันสูงอีกนะ  ไอ้ทุเรศ


                    ...................

      

     เคลปโตพูดไม่ถูก  ชั่วพริบตานั้นนึกคำใดไม่ออก  รู้เพียงว่า

    ...อีหนูนี่ไม่บ้าก็บวมแล้ว

    ความคิดนี้ดังขึ้นในหัวนายโจรทันทีหลังจากฟังคำกล่าว  ที่จริงมิใช่นึกไม่ออก  แต่ลำดับไม่ถูกว่าจะพูดอะไรก่อน  คำสบถมากมายพรั่งพรูอยู่ตรงคอ  และคงพ่นออกทางปากไปแล้ว  หากมิใช่กริ่งเกรงว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นจอมเวท

    นังเด็กที่ชื่อซีเลนทียังคงมองมา  ดวงตาเหนือผ้าคลุมหน้าคล้ายจะยิ้มกริ่ม  จิ้มลิ้มดีแท้  แต่ตอนนี้เห็นแล้วคันมืออยากตบ

    "ฮามาก  แม่หญิง"  ชายฉกรรจ์หัวเราะ  "พวกชาวพายัพนี่ช่างมีอารมณ์ขันสุดโต่งนัก  อุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่  กระทืบลูกน้องข้าจนหน้าเยิน  เพียงเพื่อจะเล่นตลกร้าย"

    ไม่มีอะไรฝืดไปกว่านี้อีกแล้ว  'เนื้อชิ้นงาม' ที่นางนำมาเสนอ  คือเนื้อที่อยู่ในจานของกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์

    คงมีแต่คนเบื่อหน่ายชีวิต  ถึงคิดชิงสิ่งใดจากพวกมัน

    "ก่อนจะด่าทอข้าในใจ  ช่วยฟังรายละเอียดก่อน"  เด็กสาวชุดดำว่า  "ข้ามิได้ล้อเล่น  เรื่องนี้จริงจัง  ทั้งยังเกี่ยวพันถึงอนาคตของท่านด้วย"

    "โฮ่"  เคลปโตเลิกคิ้ว  "แน่นอน  มันเกี่ยวแน่  ถ้าข้าร่วมมือกับเจ้าไปชิงตัวท่านหญิงอะไรนั่นมาขู่เรียกค่าไถ่  อนาคตข้าก็ดับวูบไง"

    "ตรงกันข้าม"  มือสังหารหญิงแย้งเรียบ ๆ  "ถ้าท่านไม่ชิงตัวนางมาก่อนกลับถึงพระนคร  นางจะนำความหายนะมาให้ท่าน"

    "ข้าไม่ได้รู้จักมักจี่  อยู่ดี ๆ นางจะมาเล่นงานข้าทำไม"

    "ไม่ใช่ท่าน"  ซีเลนทีสั่นศีรษะเบา ๆ  "เป็นลูกน้องของท่าน"

    นายโจรนิ่งงัน  หางตาเหล่มองคนในอาณัติทั้งซ้ายขวา

    "ไม่ใช่พวกเขา"  เด็กสาวหัวเราะ  "เจ้าสองคนที่สาบสูญไปเมื่อสามวันก่อนต่างหากเล่า"

    ดวงตาชายฉกรรจ์ปรากฏโทสะชัดเจน

    "รู้ได้ยังไง"  เขาถามเสียงหนัก  จำได้ดีถึงสภาพคนของตนที่เปลี่ยนเป็นชิ้นเนื้อไหลมาตามน้ำ  "หรือว่ามันสองคนถูกเจ้า --"

    "แทนที่จะสนใจว่าสองคนนั้นตายอย่างไร  หรือข้าทราบมาจากไหน  ท่านควรใคร่รู้มากกว่าว่าก่อนตายพวกมันทำสิ่งใด"

    เอ่ยจบ  นางก็แหงนหน้าเอียงคอเล็กน้อย  เช่นกิริยาของหญิงสบอารมณ์ที่ได้หยอกเอินชายหงุดหงิด  คาดได้ว่าริมฝีปากใต้ผ้าคลุมนั้นกำลังยิ้ม

    "ดูจากสีหน้าของท่าน  แสดงว่าคงเดาออก"

    นายโจรขมวดคิ้วเคร่งเครียด  "คนตายไปแล้ว  เจ้าจะปั้นแต่งเรื่องยังไงก็ได้"

    "ลูกน้องของท่านเป็นคนเช่นไร  ท่านย่อมรู้  พวกมันทำอะไรไว้  นางย่อมรู้  หากมิเชื่อข้า  จะไปถามนางด้วยตัวเอง  หรือรอจนกองทัพอัศวินศักดิ์สิทธิ์บุกมาแล้วค่อยถามก็ได้  อีกไม่นานหรอก  กระทั่งข้าที่มาจากต่างถิ่นยังหาที่นี่พบได้ภายในเวลาไม่ทันข้ามวัน  นับประสาอะไรกับศาสนจักรที่เป็นผู้ครองดินแดน"

    "อย่าถ่อมตัวเพื่อขู่ข้าเลย  แม่หญิง  เจ้ามีเวทมนตร์  คิดทำเรื่องใดย่อมสะดวกง่ายดาย  เอาตัวเองไปเปรียบว่าด้อยกว่ามนุษย์เรา ๆ ได้ยังไง  อีกอย่าง  ต่อให้ลูกน้องของข้าก่อเรื่องงามหน้า  พวกมันก็ลาโลกไปแล้ว  พูดแบบนี้อาจแลดูแห้งแล้งใจดำ  แต่โดยสรุปคือ  ทุกอย่างถูกฝังสิ้น  ไม่เกี่ยวกับข้าอีก  คงต้องสวดเรียกหาองค์อาร์โคสมาโน่นถึงสืบสาวตามรอยมายังกองโจรเราได้"

    "ท่านนี่พูดจาจาบจ้วงเหลือแสน  เป็นมนุษย์ผู้ไร้ศาสนาโดยแท้"

    "ทุกวันนี้ข้าถึงได้อยู่ในนรกไง  แต่ไม่อยากโดนพวกเผ่าจอมเวทที่ไม่เห็นเทพเจ้าใดในสายตาอย่างเจ้าว่าเอาเลย"

    ซีเลนทีป้องปากขบขัน  "ไม่ว่าจะอย่างไร  เรื่องสืบสาวตามรอย  ก็มิพักต้องลำบากถึงเทพสวรรค์ชั้นไหนหรอก  เพียงอาศัยสร้อยคอที่ท่านเก็บไว้ก็พอ"

    ใบหน้าเคลปโตกระตุกกึก  นึกถึงสร้อยทองคำร้อยรูปสัญลักษณ์ของอาร์โคเซียสลักลวดลายงามวิจิตรเส้นนั้น  มันถูกกำแน่นอยู่ในมือ...ที่ถูกคือชิ้นส่วนมือ...ของซากเนื้อหนึ่งในสองลูกน้องของเขาตอนที่พบศพ  เขาคิดว่าอาจสามารถใช้หาเบาะแสของฆาตกร  จึงนำไปสอบถามชุมนุมยกเมฆ  เจ้าคนค้าข่าวบอกว่าเป็นเครื่องประดับยศของนักบวชแห่งมหาวิหาร  ทีแรกยังหลงเข้าใจว่าไฮฟ์ชักใหญ่โตขนาดสามารถเชิญเถรชีที่เมืองหลวงมาเยี่ยมเยือน  และเจ้าลิ่วล้อดวงกุดทั้งคู่สะเหล่อไปเหยียบตาปลาพวกมันตอนนั้นพอดีเลยถูกเก็บเสียอีก

    คงเพราะเขาแสดงความฉงนออกทางสีหน้ามากไป  เด็กสาวหัวเราะอีกครั้ง

    ท่านฉลาดพอที่จะรู้ว่านั่นไม่ใช่ของที่หาครอบครองได้ทั่วไป  และไม่โลภมากเกินจนสุ่มสี่สุ่มห้าเอามันไปขาย  แต่ก็นั่นแหละนะ  การนำสร้อยเส้นนั้นไปสืบหาต้นตอก็ยังย้อนกลับมาสร้างเรื่องให้ท่านอยู่ดี

    เวร”  ...ไอ้บอดซีดนั่น  มันผีเจาะปาก  พูดทุกเรื่องที่มีคนถามจริง ๆ

    อย่าบอกเชียวว่าแปลกใจ  ท่านแวะเวียนเข้าออกมอร์ติกาบ่อยจนน่าจะรู้แล้วว่าที่นั่นขายทุกอย่าง  วันนี้เราขายคนอื่น  พรุ่งนี้เราอาจถูกคนอื่นขายซะเอง  ความลับของลูกค้าที่มันบอกว่าจะเก็บรักษาเป็นอย่างดี  จ่ายนิดหน่อยก็พล่ามออกมาได้ไหลลื่นแล้ว

    คำโบราณที่ว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจรนี่ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย  ทั้งที่อาชีพอื่นมันก็ลิ้นสองแฉกพอกัน

    "แล้วทีนี้  สนใจจะร่วมมือกับข้าขึ้นมาบ้างรึยัง"  ซีเลนทีถาม

    นายโจรนิ่งคิด

    มันบอกนางได้  ย่อมบอกศาสนจักรได้  ข่าวนี้แม้มีมูลเศษเสี้ยวแค่เก็บสร้อยได้แล้วไปไถ่ถามที่มา  แต่มันก็โยงตัวเขาเข้ากับเรื่องที่เจ้าสองคนนั้นอาจก่อไว้

    ศาสนจักรหาใช่กัลยาณมิตรของทุกชนชั้นทั่วเขตคาม  ทั้งเขาก็ไม่ใช่ผู้ดีจากตระกูลสูงส่งแห่งเทอร์รัส เดอีแต่อย่างใด  แค่คิดกวาดล้างกลุ่มคนที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าเป็นโจร  ขอแค่มีเหตุ  ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพิสูจน์ไต่สวน  หากหญิงนักบวชนั้นมีฐานะสูงส่งจริงดังว่า  ลำพังคำพูดจากปากนางก็เป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักกว่าวัตถุพยานทั้งปวง  เพียงพอให้เหล่าอัศวินแห่งแสงยกพลมาถล่มทะลวง

    "ท่านเองก็กระจ่างแก่ใจ"  เด็กสาวกล่าวเสริม  "ที่อยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้  ไม่ใช่เพราะกำลังกล้าแข็งหรือหลบซ่อนเป็นเลิศจนทางการไม่มีปัญญาจัดการขั้นเด็ดขาด  แต่เพราะท่านยังไม่ได้ไปแหย่หนวดพวกมันให้รำคาญถึงขั้นต้องลงแรงตามล้างตามเช็ดจนสิ้นซากก็เท่านั้น"

    ไม่มีใครพอใจที่ความเป็นตายของตนขึ้นอยู่กับผู้อื่นคิดปล่อยหรือกำจัด  เคลปโตก็เช่นกัน  แต่ก็ด้วยเหตุผลนั้นเอง  งานที่ต้องลองดีกับอัศวินศักดิ์สิทธิ์เช่นที่นางเสนอจึงอันตราย  อาจต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงกว่าที่เขาคาด  ถึงขั้นพลพรรคเหี้ยนเตียน

    "กองอารักขานี้เดินทางด้วยเป้าหมายแรกเริ่มคือค้นหา  ไม่ใช่รบรา  มากันเพียงหนึ่งกองร้อย  เน้นเคลื่อนไหวสะดวก  จึงไม่พกพายุทโธปกรณ์มากมาย  กำลังเสริมในท้องที่ใกล้สุดก็ที่โวลูเครส  รีบแค่ไหนกว่าจะมาก็ร่วมครึ่งวัน  ขอเพียงเร่งลงมือระหว่างที่มันยังอยู่ในพื้นที่นี้  ท่านซึ่งเป็นเสือเจ้าถิ่นย่อมมีเปรียบทางชัยภูมิ"

    เป็นอีกครั้งที่นางทำตัวราวกับหนอนในไส้พุงเขา  ชิงอธิบายความเป็นไปได้ของแผนการเสียก่อน

    "เจ้าต้องการอะไร"  นายโจรถาม  "ให้ข้าจับนางมา  แล้วเจ้าจะได้ประโยชน์ตรงไหน  หากท่านหญิงนั่นมีราคา  เหตุใดมายกให้ข้า"

    "นางไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับข้า  ผู้ซึ่งจ้างวานข้ามาเพียงต้องการให้นางหายไป...ระยะยาวหรือถาวร  จะวิธีการใดก็ตามแต่  เอาเป็นว่าให้หายไป  ที่จริงข้าจะฆ่านางเสียก็ได้  แต่ในเมื่อสำหรับท่านแล้ว  นางมีประโยชน์  ข้าจึงมอบให้"

    "ดูมาดแล้ว  เจ้าเป็นนักฆ่า  มิใช่จอมเวทใต้สังกัดวิหารนีเวียสที่ยินดีทำงานเปล่า ๆ ปลี้ ๆ พลีแก่เนิร์ฟเธน  ค่าไถ่ตัวนางน่าจะมหาศาลยิ่งกว่าค่าจ้างของเจ้าหลายเท่าด้วยซ้ำ  มายกให้ข้าง่าย ๆ อย่างนี้  ออกจะประหลาดนะ"

    "ผู้ว่าจ้างงานนี้ไม่ได้จ้างข้าด้วยเงิน"  นางตอบสั้น ๆ  เคลปโตรู้ว่านางจะบอกแค่นั้นจึงไม่ซักไซ้  เพียงตัดบทและถามตรง ๆ

    "โทษทีที่ละลาบละล้วงเหมือนระแวง  แต่ข้าอดคลางแคลงไม่ได้  ว่าเจ้าแค่ยืมมือหลอกใช้พวกข้า  ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดรับประกันหรือไม่"

     

    "ไม่มี"

    หัวหน้ากองโจรแค่นเสียงเฮอะ  "คำตอบชัดเจนยิ่ง  แม่หญิง  แยกไม่ออกเลยว่าเจ้าจริงใจจัด  หรือกวนบาทากัน"

    ซีเลนทีกลอกตากลมโตซุกซน  "เช่นนี้เถิด  ใจความสำคัญของสิ่งที่เราเจรจาคือเนื้อชิ้นงาม...ท่านหญิงที่ข้าพูดถึง...มีคุณค่าแค่ไหน  ยามนี้นางคงเพิ่งเดินทางออกจากไฮฟ์  ท่านสามารถส่งคนไปสอดแนมเพื่อพิสูจน์ยืนยัน"

    "ข้าไม่ใช่จอมเวทอย่างเจ้า  แถมโจรอย่างเรา  จะเข้าไปป้วนเปี้ยนหมู่บ้านเส้นใหญ่นั่น  แค่ขอบ ๆ ยังลำบากเลย"

    "ส่องดูระยะไกลจากด้านนอกก็ใช้ได้  ภาพที่ท่านจะเห็นคือ  บริเวณทั่วหมู่บ้านถูกจัดแจงสะสาง  ตกแต่งรั้วรอบ  สะอาดหรูหราผิดจากที่เคย  ราวกับเพิ่งรับรองคนสำคัญมาหมาด ๆ"

    ตอบฉะฉานเหลือเกิน  ยัยเด็กฉอเลาะ  ชายฉกรรจ์ค่อนขอดในใจ  เขาเพียงถามเตะถ่วงโยกโย้  ด้วยไม่อยากถูกนางยั่วล้ออยู่ฝ่ายเดียว  แท้จริงไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ยืนยัน  ตอนเจอนังหนูผึ้งน้อยกับไอ้คุณชายหน้าวอกในอารามร้างก็ได้ยินมาแล้ว  เรื่องที่มันล่วงเกินภิกษุณีชั้นสูงทำนองนั้น

    เด็กสาวกรีดกรายมือยื่นมา  เป็นท่วงท่าเชื้อชวน

    "ไม่ว่าข้าจะโกหกเรื่องลูกน้องของท่านหรือไม่  แต่นางมีศักดิ์สูงล้ำและเปี่ยมคุณค่าสำหรับศาสนจักร  คู่ควรแก่การทุ่มเสี่ยงนั่นเป็นเรื่องจริง  อีกทั้ง...สิ่งที่ท่านจะได้  หากเลือกทำงานนี้และทำสำเร็จ  คือทรัพย์ก้อนโต  ก็จริงแท้ยิ่งกว่าสิ่งใด  อาร์โคเซียไม่มีอะไรให้ท่านต้องอาลัยอยู่แล้วนี่  ท่านและพรรคพวกเปี่ยมความสามารถ  มหาทวีปกว้างไพศาล  ขอแค่มีทุนรอน  คิดตั้งตนเป็นกลุ่มอิทธิพลหรือผันตัวไปเป็นทหารรับจ้างในต่างแคว้นก็ยังได้"

    นายโจรนิ่งค้าง  ประเมินใคร่ครวญ

    เงียบงันเนิ่นนาน  ครั้นแล้วจึงยิ้ม

    "เจ้าใช้ลิ้นได้ช่ำชองนัก  เล่นเอาข้าเคลิ้มเลยทีเดียว"

    สิ้นคำพูด  เคลปโตพลันตวัดดาบ

    แสงสีขาวแฉลบวาบ  เงาร่างสีดำม้วนวูบ  ตกสู่ตำแหน่งที่ห่างไปสองวา

    เด็กสาวย่อตัวลง  เข่าซ้ายแตะพื้น  ของเหลวสีแดงฉานไหลรินจากแขนเสื้อข้างขวา

    "โทษที  แต่ขอปฏิเสธ"  ชายฉกรรจ์สะบัดมือ  หยดเลือดบนสันดาบกระเซ็นสาดเป็นวง  อย่างแรกเลย  ข้าไม่คิดจะร่วมมือกับคนที่ต้องสงสัยว่ามีเอี่ยวฆ่าพรรคพวก

    เคลปโตย่างสามขุมเข้าหา  พร้อมกันนั้น  บรรดาสมุนก็ขยับเท้า โอบล้อมนางไว้ตรงกลาง

    "ธรรมชาติของผู้ดำรงชีพในเงามืด  มักเกลียดเรื่องเอิกเกริกมากคนมากความ  กับคนไม่คุ้นเคยยิ่งหลีกเลี่ยงไม่ร่วมงาน  ดังนั้น  ขอสันนิษฐานว่าเจ้าไม่ได้วางแผนจะใช้บริการพวกเราแต่แรก"  ผู้นำของเหล่าโจรกล่าว  "ส่วน...สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนใจ  ก็เพราะเจ้าได้รับบาดเจ็บ  น่าจะแถว ๆ ท้อง  อ้อ  คงไม่ต้องอธิบายใช่ไหมว่ารู้ได้ไง  เรามันคนแวดวงใกล้ ๆ กัน  เคยเห็นเคยโดนเสียบสับมานับครั้งไม่ถ้วน  เจอมาเยอะเลยดูออก  ก็แค่นั้น"

    มือสังหารหญิงเพียงเงียบงัน  ศีรษะก้มต่ำลง  ยังคงไม่เคลื่อนไหว

    "ให้เดานะ"  เคลปโตว่าต่อไป  "เจ้าเคยบุกเข้าไปแล้ว  อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง  แต่ในกลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์มีคนที่ตึงมืออยู่  เจ้าทำไม่สำเร็จ  แถมได้ของกำนัลกลับมารูเบ้อเร่อ  นั่นทำให้ธุระของเจ้ายากเข็ญขึ้นหลายเท่า  จำต้องมองหาตัวช่วย  และในแถบนี้  กิตติศัพท์ของเราเด่นดังที่สุด  อ้า  อาจยกหูชูหางตัวเองไปหน่อย  แต่เจ้าเองก็คงเห็นด้วย  ถึงเลือกมาขอความช่วยเหลือจากเรา"

    พูดถึงตรงนี้  นายโจรก็ส่ายหัว

    "ถึงอย่างนั้น  ดูท่า  เจ้าก็ยังประเมินเราต่ำไปอยู่ดี"

    ร่างของซีเลนทีเกร็งขึ้น  แขนข้างที่ถูกฟันสั่นระริก  ก่อนจะค่อย ๆ หยุดนิ่ง  แข็งค้างปานรูปปั้นตั้งแต่ท่อนแขน  ข้อมือ  ไล่ไปถึงปลายนิ้ว

    "พิษ"  เคลปโตยิ้มแสยะ  "ข้ายอมรับว่ารอดมาได้จนป่านนี้  เพราะความปรานีจากทางการ  แต่...ถ้าจะบอกว่าเหตุผลมีแค่นั้นถ้วน ๆ ล้วน ๆ ก็ออกจะดูแคลนกันเกินไป  เราเป็นโจรที่รู้จักปฏิวัติพัฒนาตัวเอง  ไม่ใช่พวกลิงป่าโง่เง่าปล้นชิงอย่างเถรตรง"

    ชายฉกรรจ์ยักคิ้วหลิ่วตาทำท่าล้อเลียน  หมายเอาคืนให้เต็มที่

    "ต้องขอชม  เจ้างดงาม  มีฝีมือ  ช่างเจรจา  เพียบพร้อมคุณสมบัติไม่ต้องสงสัย  และก็ขอด่า  เจ้าถือดีในสิ่งเหล่านี้เกินไป  คิดเอาเองว่าทุกคนต้องโดนเจ้าปั่นหัวจูงจมูกเอาง่าย ๆ  ชั่วขณะที่คิดว่าเข้าใกล้จุดหมาย  เลยกลายเป็นเดินลงหลุมไม่รู้ตัว  อีหนูจอมสู่รู้เอ๊ย  ตอนนี้แค่หาทางรอดออกไปจากที่นี่  เจ้าจะมีปัญญาพอไหมยังไม่แน่เลย  คิดสะระตะแล้ว  ศาสนจักรน่าจะต้องการตัวเจ้ายิ่งกว่าลูกน้องปลายแถวของข้า  จับเจ้าใส่พานถวายพวกมัน  ถ้าโชคช่วย  ไม่แค่ลบล้างความผิด  ยังอาจรับทรัพย์เยอะไม่แพ้กัน"

    ว่าแล้วก็ตวัดดาบ  จ่อปลายคมใส่เด็กสาว

    ไม่เป็นอย่างที่เจ้าคิดไว้เลยสินะ  ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ

    เหล่าโจรหัวเราะโห่ฮา  ดั่งฝูงหมาป่ากำลังพินิจว่าจะจัดการกระต่ายน้อยอย่างไรดี

    "เหม็นขี้ฟัน"

    ซีเลนทีปริปากในที่สุด  แผ่วเบา  แต่กลับผ่าผ่านเสียงทั้งมวล  เจ้าของสถานที่ทุกผู้หยุดกึก

    นางลุกขึ้น  ยืดกายเหยียดตรง  มือข้างที่ไม่บาดเจ็บดึงผ้าแพรคลุมหน้าลง

    บุรุษในที่นั้นล้วนตื่นตะลึง  งาม  นางงดงามนัก

    ทว่า  ยิ้มยั่วเย้าซึ่งเคยคาดว่านางจะมี  กลับไม่ปรากฏ

    "เห็นแก่ความโง่เขลาแล้วยังอวดฉลาดจนน่าเวทนา  จะเมตตาบอกอะไรให้"  นางเอ่ย  ไม่เพียงน้ำเสียงแว่วหวานแปรเป็นด้านชา  แววตาหยาดเยิ้มก็เหมือนผนึกค้าง  เป็นน้ำแข็ง  เป็นใบมีด  แปรกลายเป็นคนละคน  "ต่อให้ข้าบาดเจ็บ  แต่กับแค่เหยียบรังโจรโสโครกของเจ้าให้ราบ  มันไม่ได้ลำบากกินแรงเลย"

    เด็กสาวยกมือปาดแผลวูบ  "เช่นนี้เป็นได้แค่ของเล่น"

    เวลาเดียวกัน  เคลปโตทรุดฮวบลง

    "นี่จึงเรียกว่าพิษ"

    มือสังหารหญิงยกเท้าเหยียบลงบนศีรษะนายโจร  บรรดามิจฉาชีพรอบด้านพากันฮือเข้ามา  แต่เพียงนางผินหน้าพาดวงตาสีดำยะเยียบวาดผ่าน  ทั้งหมดก็หยุดชะงักราวกับถูกสะกด

    "หน้าไหนมั่นใจว่าแน่พอ  เข้ามาขวางทันก่อนข้าบดหัวสกปรกของมันแบะคาพื้น  โดยที่ยังรักษาหัวตัวเจ้าเองไว้บนบ่าได้  เชิญ"

    เด็กสาวถามเสียงราบเรียบ  เหมือนกำลังเอ่ยเรื่องแสนธรรมดา  กระนั้น  ทุกคนหยุดนิ่ง  ไม่มีใครกังขาแม้แต่น้อยว่านางอาจแค่ขู่

    เคลปโตถึงกับตระหนก  ความเจ็บร้อนปะทุขึ้นจากทุกส่วนสรรพางค์  เขาถูกแพร่พิษใส่  โดยไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อใด  และอย่างไร  ตนระวังระไวในทุกความเคลื่อนไหว  ไม่ได้ประมาทแม้แต่น้อยแน่  นี่มันบ้าอะไร

    เขากวาดตาอย่างร้อนรน  เร่งค้นหาความผิดปกติซึ่งเล็ดลอดไป  และแล้วจึงค่อยสังเกตพบ...บางสิ่ง จากแขนเสื้อของนาง  เฉียบบางแทบมองไม่เห็น  แต่เมื่อเพ่งจะดูรู้...ยามมันขยับไหวสะท้อนแสงเป็นเส้นสาย...อ่อนหยุ่นเหมือนไหม  แข็งคมเหมือนเหล็ก

    เมื่อนั้นเขาจึงค่อยรู้สึกแสบแปลบที่แขนขวา  รึว่า  ตอนที่นางพลิกตัวหลบดาบเขาเมื่อครู่  นางใช้มัน สะบัดตัดอากาศสวนกลับมา  เพียงสะกิดผิวเป็นแผลจาง ๆ ก็ล้มเขาทั้งยืนเลยหรือ  ไม่น่าเชื่อ

    "เรื่องภารกิจของข้า  เจ้าเดาได้แม่นยำ  ข้าพลาด  เหลือโอกาสแค่ดักรอระหว่างทางนางกลับวิหาร"  ซีเลนทีก้มลงมองชายใต้เท้า  และกล่าวด้วยใบหน้าเฉยเมย  "จัดการกับผู้ถูกห้อมล้อมด้วยคนหมู่มาก  มีความยุ่งยากตรงที่ทางหนึ่งต้องบุกฝ่าแนวป้องกัน  อีกทางก็ต้องสกัดกั้นไม่ให้คนที่เหลือพาเป้าหมายหลบหนี  จะทางไหนข้าทำเองได้สบาย  แต่ปัญหาคือ  ข้าไม่อาจทำทั้งสองทางในเวลาเดียวกัน  จึงต้องหามือเท้ามาหนุนเสริม  ประจวบเหมาะที่พวกเจ้าคนเยอะ  อย่างเลวสุด  ใช้วิ่งไปวิ่งมาก็พอสร้างความโกลาหลอลหม่านได้  ชัดไหม  แต่แรกที่ข้าต้องการ  ก็แค่ 'จำนวนคนไม่ได้หวังพึ่ง 'กำลัง' จากพวกต่ำชั้นอย่างเจ้า  เข้าใจซะให้ซึ้ง"

    เด็กสาวโน้มกายมา  ริมฝีปากบางราวกลีบดอกไม้เผยอแช่มช้า  เอื้อนเอ่ยเรียบเรื่อย  ฟังประหนึ่งดนตรี...ซึ่งมีท่วงทำนองวังเวง

    และที่ข้าเสนอแก่เจ้า  ไม่ใช่ทางเลือกระหว่างคุ้มค่าหรือไม่  แต่เป็นทางรอดเดียวของเจ้า  ที่หากไม่ทำ...ก็ตาย"

    เคลปโตกำหมัด  กัดฟัน  ตัวสั่นเทิ้ม  ความเจ็บปวดแล่นทะลวงทั่วร่าง  เหลือเรี่ยวแรงเพียงเสี้ยวหนึ่งให้ถลึงตาตอบ  นางคล้ายพึงพอใจ  แย้มยิ้มออกมาอีกครั้ง  เป็นรอยยิ้มน้อยนิด  เยียบเย็น

    ไม่เป็นอย่างที่เจ้าคิดไว้เลยสินะ  ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ

     

    ...................

     

    คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 5 - สถานการณ์ไม่คาดคิด'

     

    นับเป็นบทที่ยาวเหยียดที่สุดตั้งแต่เขียนมา  พอเอาลงเลยต้องแบ่งครึ่ง

    ในบทนี้แบ่งออกเป็นสี่ทาง  แต่ละคนก็ไปเจอกับ สถานการณ์ไม่คาดคิด ตามชื่อบท  (ทีแรกคิดแค่ว่าจะตั้งชื่อให้มันล้อกันกับบทที่ 1.5 แต่เผอิญว่าดันใช้เป็นคอนเซปต์ของบทได้) 

    เฟลิเซีย  (ภาษาละติน : ) เป็นชื่อที่คุณอนิธินเสนอมา  ทีแรกคิดว่าจะให้เป็นชื่อจริงของเฟลีน  แต่เปลี่ยนใจ  ยกชื่อนี้ให้หนูน้อยที่จะมาข้องเกี่ยวกับเจ๊แมวแทน  ส่วนเฟลีนก็ชื่อเฟลีนไปนั่นแหละ =w=

    ตาลุงคนขายข่าว  เป็นตัวละครที่ถูกรับเชิญมาจากเรื่องอื่นที่เขียนค้างไว้  ต่อจากฟีราเคนิสหมาดมเวทมนตร์  นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในสิ่งละอันพันละน้อยจากผลงานเก่าที่หยิบมาแทรกลงไปในเรื่องนี้  จริง ๆ ลุงแกมีชื่อ  แต่ไม่รู้ว่าจะได้บอกออกมารึเปล่า  เรียกคนค้าข่าว  คนขายข่าว  มันก็ดูเป็นศัพท์เฉพาะดี

    เจ้าซอร์  ช่วงนี้อยากให้เจออุปสรรคบ้า ๆ บอ ๆ หนัก ๆ หน่อย  ทำกับคนอื่นเขาไว้เยอะ  ยังต้องตกระกำลำบาก (ซึ่งเฟอร์ก็พลอยซวยไปด้วย:D) อีกสักพัก

    ซีเลนทีกับพี่หัวหน้าโจร  ทีแรกไม่คิดว่าฉากเจรจาจะยาวเฟื้อยแบบนี้  แต่ก็เพราะคิดว่าการจับเสือมือเปล่าอย่างที่ซีทำ  มันควรจะต้องมีขั้นตอนของการตะล่อมทีละน้อย ๆ แบบนี้  (ถึงแม้ว่าจะลงท้ายที่การใช้กำลังเข้าตัดสินก็ตามที)

    แต่อันที่จริงก็อาจจะเป็นเพราะเขียนไปเขียนมาติดลมนั่นแหละ  เลยยาว  แหะ ๆ

    และด้วยเหตุว่า  เนื้อหาในช่วงสามสี่บทนี้เกิดความเหลื่อมล้ำทางลำดับเวลาในเรื่อง  (อันเนื่องมาจากผมเขียนยืดยาดเอง  = v =")  จึงต้องสลับลำดับเล็กน้อย  ดังนั้น  บทถัดไปยังเป็นตาของผม  และเมื่อถัดจากบทถัดไปแล้ว  ก็จะเป็นของท่านอนิธินสองบทรวดขอรับ :)

    bluemouse

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×