ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels' Saga - กบฏมายา มนตราเทวยุทธ

    ลำดับตอนที่ #10 : -- 1.9 - พิษบุปผา - “ผู้หญิง...จะคนไหนก็เหมือนกันหมด”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 170
      1
      15 ต.ค. 53

    บทที่ 9 - พิษบุปผา


          อีกแค่ชั่วพริบตา...คมสีแดงดั่งชาดจะพาดผ่านลำคอขาวระหงนั่นแล้ว

          ...แต่พื้นเบื้องล่างกลับอันตรธานหายไป

          แรงปะทะของดาบเวทบาดผิวเรียกเลือด ไม่ลึกนัก แต่ก็ส่งร่างเพรียวบางร่วงหล่นราวกลีบดอกไม้ปลิดปลิว ดีที่ยังเกร็งพลังเวทออกรองรับร่างได้ทัน จึงไม่ได้รับบาดเจ็บหนักยามกระทบพื้น

          กระนั้น คมสีเงินก็ปรากฏขึ้นจ่อคอ ก่อนทันตั้งตัว

          “แฝงตัวในกลุ่มหญิงชาวบ้านรึ เก็บงำพลังเวทได้หมดจดนัก จนพริบตาก่อนลงมือถึงค่อยเผยออกมา ไม่เลวผู้บุกรุกเงยมองอัศวินซึ่งเอ่ยคำเหล่านั้น แต่ปฏิกิริยาตอบรับยังช้าไป

          ดรุณีผู้ปิดบังใบหน้าใต้ผ้าดำไม่ตอบ เพียงบังคับจิต ให้อาวุธสังหารอันเบาบางแทบไร้รูปเคลื่อนไปเบื้องหน้า ซอกซอนตามรอยต่อของไม้กระดาน อันพาดอยู่ระหว่างเท้าทั้งสองของชายผู้กุมไพ่เหนือ

          แต่แล้ว เพียงครู่ก่อนเส้นไหมดำตวัด อีกฝ่ายกลับพลิ้วกายหลบทันท่วงที มือซ้ายคว้ามีดสั้นที่เหน็บต้นขา ขว้างออก หมายหั่นอาวุธนั้นให้สะบั้นเสีย

          หารู้ไม่ เส้นบางเบายืดหยุ่นไหว วกหลบแล้วยังม้วนรอบด้ามอาวุธซัด ดึงมันขึ้นขว้างกลับคืนแทบในทันที ปักเข้าที่รอยต่อเกราะตรงไหล่...แม่นยำราวจับวาง

          บุปผาพิษในร่างสตรียิ้มกริ่ม...ก่อนหุบยิ้มทันควันเมื่อความมืดหนาหนักเข้าครอบงำทั้งศีรษะจนตลอดร่าง

          “เซอร์โว! ตอนนี้!เสียงหญิงอีกคนกรีดมา

          ชิ...ประมาทจนได้!

          แม้นมองไม่เห็น ทว่าสัมผัสเวทบ่งบอก คมดาบพุ่งตรงมาด้านหน้าหมายทิ่มแทง เด็กสาวยกแขนซ้ายขึ้น ปล่อยให้ดาบกรีดเข้ามาระหว่างซอกแขนและสีข้าง ก่อนอาวุธป้องกันกายอันไม่คล้ายอาวุธจะทำงาน แทรกสอดพันใบดาบไปจนลอดรอยแยกของผืนมืดหนักที่ปกคลุมกาย ครั้นแล้วก็กรีดฟัน จนผ้าห่มที่คลุมบดบังทัศนวิสัยขาดออกเป็นช่องใหญ่

          แต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา ผู้บุกรุกก็มีอันต้องเบี่ยงศีรษะหลบแก้วดินเผา ซึ่งจอมเวทหญิงอีกคนบังคับให้พุ่งเข้ามาเป็นคำรบสอง พอดีกับจังหวะที่ดาบซึ่งแทงค้างอยู่ตวัดฟัน หากยังติดเส้นไหมดำพันรัดแน่นต้านไว้ เจ้าของดาบจึงเปลี่ยนเป็นซัดมีดสั้นอีกเล่ม ใส่ร่างกายส่วนที่ยังอยู่ใต้ผ้าห่ม

          ร่างบางกระตุกเฮือก ความเจ็บที่ท้องช่วงล่างกระจายออกไป

          หากเป็นคู่ต่อสู้คนเดียว...หรือต่อให้หลายคน...ในยามไม่ทันตั้งตัว เธอคงไร้ปัญหา แต่ตามหลักมือสังหาร...รวดเร็วเฉียบคม คร่าชีวิตเพียงในการลงมือครั้งเดียว ปฏิบัติการครั้งนี้เสียฤกษ์แล้ว ทั้งคู่ต่อสู้ยังเป็นจอมเวทฝีมือดีถึงสองคน ย่อมต้องล่าถอยโดยเร็ว

          คมเส้นไหมกรีดแทงช่องถุงลับที่บนเสื้อ ปล่อยระเบิดควันลูกหนึ่งให้ตกลงกระทบพื้น


          ...................


          เสียงโครมครามเมื่อครู่ก่อนหน้า ทำให้ทั้งสองปู่หลานนิ่งค้างไป

          แต่เสียงกระจกแตกเปรื่อง ทำให้หลานชายวัยฉกรรจ์วิ่งไปทางนั้นแทบทันที

          “มัธคาร์!มูอาทาร้องห้าม วิ่งตามไปด้วยเรี่ยวแรงอันอ่อนล้ากว่า ตามวัยอันร่วงโรย ครู่หนึ่งเหมือนเข้าใจเหตุที่หลานชายวิ่งไป แต่อีกครู่ก็ไม่เข้าใจ

          เจ้ามัธคาร์ชอบวิ่งชนปัญหา มีเสียงหรือวี่แววอันตรายอะไร มันจะเป็นคนแรกที่ไปดู เห็นใครเดือดร้อนก็ทุ่มตัวเข้าช่วยอย่างไม่กลัวตนเองจะลำบาก

          ...เหมือนพ่อแม่มันไม่มีผิด...

          มีครั้งหนึ่ง มันอายุแค่แปดขวบ ซอกซอนไปเจอลูกหมีติดกับดักอยู่ในป่าได้อย่างไรไม่รู้ เจอแล้วก็แงะกับดักทั้งมือเปล่าจนถูกบาดเหวอะหวะ แต่ก็ยังปลดมันไม่เป็น หายตัวไปจนค่ำมืด คนในหมู่บ้านถึงต้องระดมกำลังออกตามหา แล้วก็ไปเจอมันแงะกับดักทั้งน้ำตา ทั้งมือเปิดเปิงอยู่ท่านั้น มีหมีดำตัวใหญ่ยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ แม้ไม่เข้ามาทำอันตราย ใครยกหน้าไม้ใส่แม่หมี เด็กชายก็ห้ามว่าอย่ายิง...นางห่วงลูก ถ้าลูกปลอดภัย นางก็จะไป ข้ารู้ว่านางจะไป...

          เคราะห์ดีเท่าไรแล้ว...ที่มันยังไม่ถูกหมีตะปบกะโหลกแบะตาย ทั้งแผลไม่ได้ติดเชื้อจนเสียนิ้วเสียมือไป และเจ้าของกับดักยอมปล่อยเหยื่อที่อุตส่าห์จับมาได้

          แต่มูอาทากังวล คงไม่ใช่ทุกครั้งที่มัธคาร์จะโชคดี เหมือนครั้งลูกหมีตัวนั้น หรือท่านหญิงภิกษุณีครั้งนี้ เขาไม่อยากเสียมันไปเหมือนมัธซาร์ จึงต้องห้าม จึงต้องปราม

          ชายชราชะงักกึก กับภาพที่อยู่เบื้องหน้าแผ่นหลังของหลานชาย

          ในแสงไต้ที่ตามไฟไว้เป็นระยะๆ รอบบ้าน ม่านควันพวยพุ่งจากหน้าต่างบานหนึ่ง เป็นฉากหลังให้แก่ร่างบอบบางที่ยืนประจันหน้ากับมัธคาร์

          ร่างของดรุณี...ผิวขาวลออ ตัดกับอาภรณ์สีดำรัดกุมบนร่าง มือซึ่งสวมถุงมือดำนิ่งค้าง อยู่ในท่ารั้งผ้าสีดำซึ่งคาดใบหน้าลงเสมอคาง เผยริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อ รับกับดวงตาดำขลับเข้มคม

          งามเหมือนบุปผาขาวพิสุทธิ์...ที่ห่อหุ้มด้วยผ้าลูกไม้สีดำ

          “ผู้ใด!มัธคาร์ร้องถามออกไป

          ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย คิ้วคมบางเพียงกระตุกแวบเดียว ก่อนประกายแสงสีแดงจะสะบัดแวบจากมือ...ซึ่งกระดิกเพียงปลายนิ้ว

          “มัธคาร์!

          มูอาทาปราดเข้าไป ผลักหลานชายล้มคว่ำลง

          ความเจ็บปวดระเบิดวาบทั่วร่างกาย

          คลองจักษุกลายเป็นสีแดง...แดง...รุ่มร้อน...ยิ่งกว่าพิษเหล็กในนับสิบนับร้อย

          กระนั้น ในหูยังได้ยินเสียงหนึ่ง...ชุ่มเย็น...หวานยิ่งกว่ามธุรส

          “...ท่านปู่!!

          ริมฝีปากของชายชราปรากฏรอยยิ้มยินดี ท่ามกลางความปวดร้าวของร่างกาย

          นาน...นานกี่ปีแล้วนะ ที่เจ้าหลานชายหัวดื้อไม่ได้เรียกเขาด้วยคำนี้


          ...................


          เมลิสซ่าสูดลมหายใจลึก เรียกความกล้าให้ตนเอง หลังจากซอร์ดีโอสั่งให้ลูกน้องทั้งสองออกไปเฝ้าข้างนอก และแก้มัดมือเท้าให้เธอ

          ก็แค่นี้เอง ยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวสักหน่อย รอให้มันเผลอ แล้วก็คว้ามีดขึ้นมา แทง...แทง แทงมันเข้าไป แทงให้มันจมกองเลือด ให้มันไปทำร้ายใครไม่ได้อีก

          จากนั้น ลูกน้องของมันก็ไม่เท่าไร ท่าทางลังเลแบบนั้น แสดงว่าที่จริงก็ไม่ได้อยากร่วมหัวจมท้ายกับนายชั่วๆ เลยสักนิดเดียว

          ซอร์ดีโอไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว ที่จริง ให้บอกความดีของหมอนี่ออกมาสักอย่าง เด็กสาวยังนึกไม่ออก ผิดกับจาระไนความเลว รับรองเขียนเป็นเรียงความสามหน้ากระดาษได้สบาย

          “ทำไมเงียบไปล่ะ เจ้าสาวของข้าชายหนุ่มร่างผอมโอบไหล่เธอไว้ ใบหน้าจ่อเข้ามาแทบข้างหูคิดอะไรอยู่หือ

          “ข...ข้าอายนะเมลิสซ่าเบี่ยงหน้าหลบ ในใจเริ่มหวั่นหวาด ไม่ใช่หวั่นไหว ท่าน...อ่อนโยนกับข้าด้วยนะคะ

          เด็กสาวเรียกความทรงจำ...กับประดาเรื่องเล่าในหมู่สาวๆ หรือหนังสือเล่มละไม่กี่เหรียญเงิน ซึ่งบรรดาพี่ๆ สาวน้อยสาวใหญ่ในหมู่บ้านมักขอให้ผู้ชายที่เข้าเมืองไปขายน้ำผึ้งซื้อกลับมาฝาก

          หนังสือพวกนี้เพิ่งมีขึ้นไม่กี่ปี ท่านปู่บอกว่าเป็นเพราะมีคนฉลาดในมอร์ติกาคิดวิธีตีพิมพ์หนังสือคราวละมากๆ ขึ้นมาได้ จึงไม่ต้องเสียเวลาคัดลอกเล่มต่อเล่มเหมือนเมื่อก่อน แรกเริ่มพิมพ์คัมภีร์ของศาสนจักร แต่ต่อมาก็เริ่มทำหนังสืออย่างอื่น จากตำราวิชาการของบัณฑิตขุนนาง ขยายเป็นบทละครกลอนกวี ตำนานเรื่องเล่าประโลมโลก ขายให้พวกชนชั้นกลางกับพ่อค้า ไฮฟ์หมู่บ้านผลิตน้ำผึ้งล้ำค่า ชาวบ้านค่อนข้างมีการศึกษา อยู่ก้ำกึ่งระหว่างชนชั้นชาวนากับพ่อค้าวาณิชจึงนิยมตามไปด้วย

          โดยเฉพาะเรื่องประดาสาวชนบทยากจน จับพลัดจับผลูเข้าเมืองไปเป็นสาวใช้ แต่ด้วยรูปโฉมและความดีงามจึงเอาชนะใจนายผู้ชายชั้นขุนนาง ได้ตบแต่งเป็นภรรยาอย่างถูกต้องนี่...ไม่ว่ากี่ปีก็ไม่เห็นหายดังเสียที

          และเมลิสซ่าซึ่งเสียแม่ไปแต่เด็ก เลยได้อานิสงส์เรื่องรักใคร่ชายหญิงจากหนังสือเหล่านี้ กับคำพูดคุยของพวกพี่หญิงในหมู่บ้านที่เวียนกันแลกอ่านพวกมันนั่นเอง

          “โธ่ ข้าไม่กัดเจ้าหรอกน่าซอร์ดีโอโอบเด็กสาวไว้ ใบหน้ายังคลอเคลียไม่ห่างลำคอ ยังผลให้ขนที่แขนของเธอลุกเกรียวด้วยความขยะแขยง

          เมลิสซ่ากลั้นใจ เลื่อนมือซ้ายไปโอบหลังชายหนุ่ม ขณะที่มือขวาง่วนอยู่ที่ผ้าคาดเอวของตน ทำเป็นจะปลดมันออกมา

          ทว่าที่แท้...กำรอบด้ามมีดสั้นที่เหน็บอยู่ในนั้น

          เด็กสาวคงชักมันออกมาได้พอดี...หากมือของซอร์ดีโอไม่เลื่อนมาแตะผ้าคาดเอวเธอเสียก่อน

          “เร่งร้อนจริงนะอีกฝ่ายพูดเสียงเย็น แต่น่าเสียดาย รู้ไหม ข้าใจร้อนกว่าเจ้าเยอะ

          มือของเขากระชาก

          ผ้าคาดเอวคลายหลุดตามแรงมือ มีดสั้นที่ติดไปด้วยกลิ้งตกกระทบพื้น

          ชายหนุ่มใช้มือปัดมันไปพ้นระยะมือเด็กสาว ครั้นแล้วก็กดร่างเธอลงแทบในขณะเดียวกัน

          เมลิสซ่าตกใจจนกรีดร้องไม่ออก สองตาได้แต่เบิกโพลง จ้องไปทางใบหน้าของคนที่ตนเคยปรามาสว่าเป็นคนหยิบโหย่งอวดรวย และตัวปัญหาประจำหมู่บ้าน ขณะสองแขนถูกบีบแน่นจนเจ็บ เจ็บจนชา

          ...กลัว...

          เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวรู้สึกชัดเจน เมื่ออยู่กับคนคนนี้

          กลัวสีหน้านั้น สีหน้าเหยียดหยาม แล้วยังนัยน์ตาที่มองราวกับเคืองแค้นจนจะฆ่าเธอเสียให้ตาย

          “ผู้หญิงเขาแค่นเสียง จะคนไหนก็เหมือนกันหมด หลอกลวง มารยา สาไถย ไม่เคยต่างกันเลย

          “ท...ท่านพูดอะไรเมลิสซ่ายังพยายามทำใจดีสู้เสือมีดนั่น...มันติดมา ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายท่านนะ ข้าก็แค่...

          แววตาของซอร์ดีโอจ้องเขม็งมา หยุดคำพูดทั้งมวล บอกให้เด็กสาวรู้ชัดเจนว่าถ้อยคำใดที่ออกจากปากเธอ...ล้วนเปล่าประโยชน์

          แต่ก็ไม่อาจห้ามเสียงกรีดร้อง...เมื่อน้ำหนักของร่างเบื้องหน้าโถมลงมา

          “เด็กเลวก็ต้องถูกลงโทษ หรือไม่จริงเขากระซิบเสียงเย็นในหูเธอผู้หญิงเลว ยอมใช้มารยาเอาตัวเข้าแลก...เป็นเจ้าสาวข้าแค่คืนเดียวก็พอแล้ว ถึงมอร์ติกา คงมีคนที่รอจะเล่นกับเจ้าอยู่อีกเยอะแยะ

          “ปล่อยนะ!เมลิสซ่าเริ่มหลั่งน้ำตาออกมาจริงๆ อย่าทำอะไรข้าเลย! ปล่อยข้าไปเถอะ! แล้วข้าจะบอกท่านปู่กับพี่มัธคาร์ให้ปล่อยท่านไป!

          ทว่าซอร์ดีโอคงไม่ฟังอีกแล้ว เด็กสาวพยายามดิ้นรน ทว่าแรงของตนย่อมไม่อาจสู้ได้ เธอได้แต่ร่ำร้อง

          ใครก็ได้...ใครก็ได้ช่วยที!

          ...ท่านแม่!...


          เสียงหึ่งดังประสาน พรั่งพรูราวตอบรับ

          ตามด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวด...ของชายที่คร่อมเหนือร่างเธอ

          
          ...................


          หญิงสาวตื่นขึ้นอย่างงุนงง

          “ท่านหญิง! ระวังขอรับ! ลงจากเตียงอีกด้านหนึ่งเถิด!

          ชายสวมเกราะข้างกายห้ามอย่างร้อนรน แต่เธอไม่ใคร่เข้าใจ ได้แต่เอียงคอมอง พื้นห้องข้างเตียงด้านหนึ่งทะลุโหว่เป็นรู เห็นเศษไม้ร่วงหล่นบนพื้นลงไปอีกชั้น

          “มีนักฆ่าลอบเข้ามา เชิญท่านหญิงไปที่ปลอดภัยขอรับชายคนเดิมย้ำคำ ครั้นแล้วก็วางผ้าคลุมบนบ่า ทับชุดนอนตัวบาง และจับรอบข้อมือของเธออย่างกล้าๆ กลัวๆ ขออภัยด้วย

          หญิงสาวปล่อยให้ตนเองถูกนำทางไป สมองยังมึนงงด้วยฤทธิ์ยา รู้แต่ตนเองคงไม่ต้องคิดอะไร มีผู้บอกแล้วไม่ใช่หรือ...บอกอยู่เสมอว่าสิ่งใดที่เธอควรกระทำ ยิ่งคิดก็มีแต่จะปวดศีรษะ มีแต่จะเจ็บปวด

          เธอถูกนำทางลงบันไดไปชั้นล่าง ผ่านโถงใหญ่ ระหว่างทางได้ยินเสียงคนโหวกเหวกโวยวาย ...เกิดอะไรขึ้น...หลีกทาง...ท่านหัวหน้าหมู่บ้านบาดเจ็บ...มีคนร้าย...อย่าขวางทางเจ้าหน้าที่...

          ทว่าที่ได้ยินชัดเจนที่สุด เป็นเสียงของมัธคาร์ ...ท่านปู่...ท่านปู่อย่าเป็นอะไรไป...ท่านปู่...ข้าขอโทษ...

          หญิงสาวไหวร่างไปทางเสียงของเขา

          ...ก่อนดวงตาทั้งสองเบิกโพลง...

          ชายชราคนหนึ่งนอนบนผ้าที่ปูบนพื้น สีแดงคล้ำของผ้าเห็นจะไม่ใช่สีเดิมของมัน เพราะบนไม้กระดานโดยรอบก็เริ่มมีสีคล้ายกันซึมออกมา

          เลือด...เลือดมาจากไหน หญิงสาวตั้งคำถาม แล้วก็ได้คำตอบทันที...จากรอยแดงยาวมากมาย พาดผ่านร่างชายผู้มีผิวซีดขาวบนผ้านั้น

          ...เหมือนตอนนั้น...

          ...เหมือนแอ็กนัส...

          ...เหมือน...

          ............

          ...ปวด...

          ...ปวด ปวด ปวด ปวด!!

          “ท่านหญิง!

          เสียงหนึ่งตะโกน ตามมาอีกหลายเสียง หลายสัมผัส

          ทว่า...ไม่มีสิ่งใดชัดเจนเท่าความเจ็บปวด และเส้นสายสีแดงเหล่านั้น

          
          ...................

          
          ท่านมันรั้นจริงๆ...

          ท่ามกลางความรู้สึกเลือนราง มูอาทารู้สึกราวกับได้ยินเสียงพูดแว่วข้างหู เวลานั้นตนยังเป็นชายหนุ่ม เข้าวัยสมควรแต่งงาน บิดาซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านทาบทามบุตรสาวพ่อค้าคู่ขายน้ำผึ้งให้ เขาก็ปฏิเสธ ด้วยรักหญิงสาวผู้เป็นหมอผึ้งในหมู่บ้าน เพียรยืนกรานอยู่นานจนบิดาใจอ่อน เอ่ยปากอนุญาตให้แต่งงานกันได้ จึงวิ่งไปบอกข่าวดีแก่นางถึงบ้าน

          นางไม่ได้บอกรักเขา กลับพูดประโยคนั้น ถ้อยคำเหมือนตำหนิ ทว่าแววตาเป็นประกายยินดี

          น่าเสียดาย... ชีวิตคู่ไม่ยาวนาน สิ้นสุดลงไม่ช้า หลังนางคลอดบุตรเพียงคนเดียว

          มูอาทารักนางเกินกว่าจะแต่งงานใหม่ เขาจึงเลี้ยงบุตรชายเพียงลำพัง พร้อมกันนั้นก็รับตำแหน่งรองหัวหน้าหมู่บ้าน มานะทำงาน สั่งสมประสบการณ์ ครั้นบิดาตายก็ได้ขึ้นเป็นหัวหน้า หมายใจว่ามัธซาร์โตขึ้นมา จะให้สืบทอดตำแหน่งแทน ไม่นึกเลย...ลูกชายกลับต้องการชีวิตอีกอย่าง และแม้สุดท้ายยอมกลับมาอาศัยที่หมู่บ้าน ก็ยังด่วนจากไปเสียก่อน

          ...แต่ก็หลังจากทิ้งหลานชายหลานสาว และสะใภ้ม่ายไว้ให้เขา

          ความคิดของมูอาทายังไหลเรื่อยไป ราวกับชีวิตหมุนย้อนกลับมาตรงหน้า บางภาพแจ่มชัดขึ้น...เช่นครั้งเขาอุ้มหลานชายตัวน้อย พาไปเคารพหลุมศพภรรยา มีมัธซาร์กับภรรยาเดินตามหลัง บอกนางทั้งรอยยิ้มว่าบัดนี้พวกเขาเป็นปู่ย่าแล้ว ...หรือครั้งที่เขาจูงมือหลานชายที่โตขึ้นมา สวมชุดดำร้องไห้จ้า ยืนเบื้องหน้าหลุมศพใหม่ของมัธซาร์ ข้างหลุมศพมารดาซึ่งบุตรชายไม่เคยเห็นหน้า ขณะที่เออร์ลีอาอุ้มลูกสาวที่ยังไม่เดียงสา ร้องไห้คร่ำครวญราวใจสลาย

          ความเสียใจของนาง คงไม่ต่างกับความเสียใจของมูอาทายามเสียภรรยานัก

          และความรัก ก็คงลึกล้ำไม่ต่างกัน

          แม้มัธซาร์กับเออร์ลีอา ต่างกันทุกอย่าง ทั้งพื้นเพ สถานะ ถิ่นกำเนิด ต่างกันจนไม่น่าได้พบกัน

          และก็ต่างกันจนไม่น่าเชื่อ ว่าจะตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

          แน่นอน มูอาทาไม่ยินยอมในทีแรก มัธซาร์ยังเกรงใจพ่อ ขอแต่งงานกับหญิงต่างถิ่นนั้นโดยไม่ปิดบังสถานะแท้จริงของนาง แต่หัวหน้าหมู่บ้านย่อมปฏิเสธ ใช่แค่เพื่อความปลอดภัยของหมู่บ้านตามที่บุตรชายคนเดียวเข้าใจ แต่เพราะเขากลัวลูกต้องเสียใจภายหลัง ภาระรับผิดชอบหญิงไม่ธรรมดาผู้นั้นอาจใหญ่หลวงไป

          แต่ห้ามไปก็เท่านั้นเอง เชื้อความดื้อเงียบมันคงอยู่ในตระกูลเขามานานแล้ว ห้ามมากนัก มัธซาร์ก็หลบหายไปกับหญิงคนรัก ครั้นทั้งสองกลับมาอีกที ก็อุ้มเอาทารกน้อยมัธคาร์มาด้วย

          เช่นนี้แล้ว มีหรือที่มูอาทาจะปฏิเสธได้

          และเรื่องร้ายทั้งหลายก็คงจะเริ่มจากจุดนี้กระมัง ถึงรักมัธซาร์ มัธคาร์ และเมลิสซ่า ถึงยอมรับเออร์ลีอาได้ หัวหน้าหมู่บ้านก็ยังเว้นช่องว่าง ไม่สะดวกใจจะอยู่ใกล้ลูกสะใภ้ และคงเพราะดึงดันจะอยู่ไกลแม้ร่วมหมู่บ้านเดียวกัน เรื่องร้ายจึงได้บังเกิด มัธซาร์ต้องตายโดยเมลิสซ่าแทบจำพ่อไม่ได้ ให้เขาได้เอ่ยขออภัยลูกชายก็เมื่อร่างไร้วิญญาณคนหนุ่มกว่าอยู่ในโลง และก็ต้องเอ่ยขออภัยซ้ำอีกกับเออร์ลีอา กับมัธซาร์ กับมัธคาร์ กับเมลิสซ่า...

          ...เพราะเขาเป็นผู้คิดแผนการร้ายกาจ พรากแม่ลูกจากกันเพื่อหมู่บ้านแท้ๆ...

          แต่...ข้าคงยังไม่สิ้นหวังสินะ ชายชรายิ้มให้กับภาพเลือนรางในคลองจักษุ...ทั้งภรรยาสาว และบุตรชายวัยหนุ่ม ...ที่ได้เห็นพวกเจ้าอีกครั้ง แค่นี้ก็พอ...พอแล้ว...

          ที่เหลือก็แค่เรื่องเออร์ลีอา...เด็กทั้งสองควรได้รู้ความจริง...ข้าต้องรีบบอกพวกเขา

          เมื่อนั้น...ข้าจะได้ไปอยู่กับพวกเจ้าอย่างหมดห่วงเสียที


          
          ...................


          มัธคาร์ได้แต่นั่งกอดเข่าบนพื้น ข้างร่างชายชราที่มีลมหายใจแผ่วเบาลงทุกที ขณะเหล่าอัศวินกับชาวบ้านมากมายล้วนเว้นระยะห่างให้สองปู่หลาน

          นายกองอัศวินเพิ่งแวะมาดูเพียงครู่ก่อนหน้า แต่ครั้นชายหนุ่มขอให้ตามท่านหญิงภิกษุณีมารักษา ก็บอกเขาอย่างเคร่งขรึม...ว่าบาดแผลของหัวหน้าหมู่บ้านเกิดจากอาวุธและพิษอันประกอบจากเวทมนตร์ของจอมเวท แม้นมนตร์เยียวยาของนักบวชก็ไม่อาจแก้ไข

          ไม่นับว่าจู่ๆ ท่านหญิงผมทองซึ่งลงมาเห็นความวุ่นวายมีอาการคล้ายปวดศีรษะ ทรุดหมดสติไป ให้ต้องพยาบาลอย่างเร่งด่วนเสียอีกคน

          คำพูดอ้อมสุภาพ แต่หมายความให้เขาทำใจ

          ชายหนุ่มอยากอาละวาดโวยวาย แต่ก็รู้ว่าทำไปแล้ว ย่อมไม่ได้ผลใด ใครกันที่ต้องกล่าวโทษเล่า...ในเมื่อท่านปู่เข้ามารับอาวุธของหญิงชุดดำลึกลับแทนเขา...อาวุธอันรวดเร็วเสียจนมัธคาร์มองไม่ทันว่าเป็นสิ่งใด

          มาตั้งสติได้อีกที ท่านปู่ก็ทิ้งร่างจมกองเลือดอยู่ข้างหลัง และสตรีผู้นั้นอันตรธานไปแล้ว

          รวดเร็ว และง่ายดายเสียจนใจของมัธคาร์ด้านชาอย่างประหลาด ไยความตายจึงนิยมพรากเอาญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวเขาไปในรูปนี้นัก ทั้งพ่อ...และแม่...

          “...มัธ...คาร์...

          “ท่านปู่ชายหนุ่มได้แต่กุมมือโชกเลือดไว้ ชะโงกหน้าเข้าไปเรียกเสียงดังข้าอยู่นี่แล้วขอรับ

          “...ดี...ชายชราพยักหน้าช้าๆเจ้าปลอดภัย...ไม่เป็นไร...ก็ดี...

          “ท่านปู่...

          “ฝาก...ดูแล...เมลิสซ่ามูอาทายังพูดต่อไปแทนข้า......แทน...มัธ...ซาร์...

          “ขอรับมัธคาร์รับคำทั้งน้ำตาหลั่งไหล กับชื่อบิดาซึ่งจากไปก่อน

          อยากพูดว่าท่านปู่ต้องไม่เป็นไรก็รู้สึกราวกับนั่นเป็นคำโป้ปด

          “แล้วก็...หัวหน้าหมู่บ้านสูดลมหายใจ “...เออร์ลีอา...นาง...

          ชายหนุ่มนิ่งฟัง ยาวนาน ทว่าชายชราเพียงสำลักอยู่ในคอ หากไม่ติดรอยแผลยับเยินบนร่าง มัธคาร์คงช้อนศีรษะท่านขึ้นลูบหลังให้หายกระอักไอ แต่บัดนี้ การกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อยก็ส่งให้เลือดสีแดงสดผิดปรกติหลั่งไหลไม่ขาดสาย

          ดังนั้นจึงทำได้เพียงข่มใจ รอ รอ...

          “...นาง...ยัง...ไม่...

          นัยน์ตาของชายชราพลันเหลือกค้าง ศีรษะพับไปด้านข้างอย่างไร้แรง

          ...พร้อมเสียงที่ขาดหายไปชั่วนิรันดร์

          “ท่านปู่...ท่านปู่!!

          มัธคาร์ลืมทุกสิ่ง...นอกจากความรักปู่ เขาเกลือกหน้ากับร่างโชกเลือดอย่างไม่กลัวเปรอะเปื้อน ร่ำไห้เสียงดังไม่อายใคร

          ...โดยไม่ได้ใส่ใจเนื้อความซึ่งถูกทิ้งค้างไว้เลยแม้แต่น้อย...

          
          ...................


          เสียงหึ่งๆ ยังคงดังสอดประสานอยู่รอบกาย พร้อมกับก้อนสีน้ำตาลมัวที่ห้อมล้อมราวหมอกควัน

          สำหรับคนธรรมดาคงหวาดหวั่น แต่ไม่ใช่เมลิสซ่า เด็กสาวรู้สึกปลอดภัย...ถึงขั้นอุ่นใจด้วยซ้ำ ผึ้งเหล่านั้นเหมือนจะปลอบใจเธอ บอกเธอว่าไม่เป็นไร...ใครทำร้ายท่าน เราจะไม่ปล่อยมันไว้...

          และคนที่หมายทำร้ายเธอ บัดนี้ก็ถอยกรูดห่างออกไปหลายวาแล้ว ซ้ำร้องอย่างตกใจที่จู่ๆ ฝูงผึ้งเข้าขัดขวาง เด็กสาวยังไม่ใจเหี้ยมถึงขั้นอยากเห็นซอร์ดีโอถูกรุมต่อยจนตาย จึงยังบอกฝูงผึ้งให้คอยคุมเชิง คุ้มกันตนไว้ก่อน

          ขอบใจนะ... เมลิสซ่านึกในใจเบาๆ พลางนึกว่าโชคดีแค่ไหนสำหรับเธอ...ที่ใต้ชายคาอารามร้างมีผึ้งมาทำรังใหญ่อยู่ใกล้ๆ พอดี

          “หนอย!ชายหนุ่มสำอางสบถ คลายมือจากหลังมืออีกข้างที่เพิ่งถูกต่อยไป คิดว่าไอ้พวกนี้จะช่วยเจ้าได้เรอะ! ข้าคงกระพันโว้ย!

          เด็กสาวเบิกตาโพลงอีกครั้ง มือที่ซอร์ดีโอเพิ่งยกขึ้นโบกชูไร้รอยบวมแดง ทั้งที่เธอเห็นตำตาว่าถูกผึ้งต่อยเข้าไป...อย่างน้อยก็สองสามแผลแน่ๆ

          ให้ตายสิ ใครรับสักยันต์ให้คนอย่างมันกันนี่

          “ก็ลองดูสิกระนั้น เมลิสซ่ายังตั้งสติ ...ก็เธอมีเพื่อนนับร้อยนับพันอยู่ข้างๆ แล้วไม่ใช่หรือข้าว่าความจำข้าไม่เลวนักหรอกนะ ซอร์ดีโอ

          “...หมายความว่ายังไง

          “เจ้าเคยถูกผึ้งต่อยไม่ใช่หรือเด็กสาวตั้งคำถามจากนั้นเป็นอย่างไร แพ้พิษผึ้งนอนซมไปเป็นวันๆ ดีแค่ไหนแล้วที่รอดมาได้ เขาว่าคนเคยถูกผึ้งต่อยแล้วแพ้ไปครั้งหนึ่ง ครั้งต่อมาจะแพ้รุนแรงถึงตายได้ง่ายๆ ไม่นับว่าที่ตรงนี้มีผึ้งอยู่ทั้งรังด้วย

          ชายหนุ่มมีสีหน้าตะลึงงันเพียงแวบ ก็กลับยิ้มเกรียนๆ ขึ้นอีก

          “แต่ถ้าถูกต่อยแล้วแผลหายไปทันที ข้าจะแพ้พิษเหล็กในได้อย่างไรกันซอร์ดีโอระเบิดเสียงหัวเราะราวผู้ชนะ ก่อนจะรุกเข้ามาก้าวหนึ่ง

          แต่แล้ว เขาก็ชะงัก สองมือยกขึ้นกุมอก เสียงหายใจเริ่มติดขัดกลายเป็นเสียงหอบ

          เมลิสซ่าคุมสติยืนนิ่งอยู่ ขณะจ้องมองจากที่ห่างๆ อย่างระแวง...ว่านี่อาจเป็นแผนการ กระนั้น ซอร์ดีโอยังดูมีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียงหายใจเขากลับสูงแหลมเหมือนนกหวีด ขณะที่เสียงร้องเรียกองครักษ์ทั้งสองแหบโหยแผ่วเบาลงทุกที

          และเด็กสาวยังคงยืนนิ่งอยู่ เมื่อชายร่างกำยำทั้งสองเร่งรุดเข้ามา ร้องเรียกนายอย่างกังวลและร้อนรน บัดนี้ผิวขาวจัดของซอร์ดีโอปรากฏผื่นแดงของลมพิษกระจายชัดเจน แขนขาเริ่มสั่นเกร็ง ไม่ช้าก็ย่อมชัก

          เมลิสซ่ารู้ ทิ้งไว้อีกไม่กี่ชั่วยาม...เขาก็จะตาย จะกระเสือกกระสนไปหาหมอถึงมอร์ติกาย่อมไม่ทันการ และขืนกลับไปยังไฮฟ์...ทั้งๆ ที่เพิ่งข่มเหงพี่หญิงมาจริงๆ ...ก็คงไม่พ้นถูกประหาร

          แต่ว่า หากจะรักษาชีวิตเขาในเวลานี้ยังพอมีหนทางอยู่ ชาวไฮฟ์ทำงานคลุกคลีกับผึ้งมาชั่วชีวิต หลายชั่วอายุคน พวกเขาย่อมรู้วิธีพิษล้างพิษในเวลาพลั้งพลาด โดยใช้สีผึ้งและยางเกสรเหนียวซึ่งผลิตในรังผึ้งนั้นเป็นเครื่องประกอบยาเอง

          เด็กสาวผู้เพิ่งแน่ใจชัดเจนว่าตนมีพิษอยู่กับตัว จึงลังเลว่าเธอควรปล่อยให้คนไม่ดีตรงหน้าตายไปด้วยพิษนั้น

          ...หรือรักษาชีวิตเขากลับไปรับโทษทัณฑ์อย่างอื่น ซึ่งคงไม่พ้นความตาย...

          
          ...................


          คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 8 - พิษบุปผา'

          กลายเป็นบทชื่อดุราวละครแนวหญิงร้ายเชือดเฉือน พวกพิษกุหลาบ พิษสวาท พิษแม่กลีบผกา 2010 (???) หรือเปล่านี่ ^^a

          เป็นเรื่องแปลก...หรือเปล่านะ พออ่านบทที่ 8 จบ คนเขียนทั้งสองก็บังเกิดความคิดตรงกันว่า "ได้เวลาจากไปของท่านปู่มูแล้วสินะ" ตอนนี้ก็เลยเป็นเหมือนเล่าย้อนชีวิตของมูอาทาด้วยส่วนหนึ่ง และปูเรื่องของพ่อแม่มัธคาร์ด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อทิ้งทวนท่านผู้อาวุโสแก่แต่เก๋าคนนี้ด้วย

          ตอนเขียนทีแรกไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คงเพราะช่วงนี้ปู่ของผมก็ไม่ค่อยสบาย ปู่เป็นคนเข้มแข็ง สู้ชีวิต แล้วก็ออกจะหัวดื้อมาตลอด เพราะวัยที่ต่างกัน บางเรื่องผมก็เห็นต่างกับปู่อยู่มาก แย้งในใจก็มี พูดออกมาก็มี ถึงจะไม่ได้แรงอะไรกันก็เถอะ
          ตอนนี้ พออยู่เฝ้าไข้ปู่บ่อยๆ ถึงได้รู้สึกขึ้นมา ว่าเราสองคนก็ไม่ค่อยต่างกันหรอก เป็นพวกดื้อเงียบ ถ้าอะไรที่ตัวเองคิดอยู่แล้ว ใครมาแย้งอะไรก็จะยิ่งต่อต้าน โดยเฉพาะเวลาอยู่ในโหมดปกป้องจะพองขนเหมือนเม่นขึ้นมาทีเดียวเชียว -__-
          ก็เข้าใจความรู้สึกของมัธขึ้นมาบ้าง และก็หวังว่าจะใช้เวลาที่มีตอนนี้ให้คุ้มค่า แทนในส่วนของมัธด้วย

          ส่วนฉากแรก ปกติผมไม่ค่อยได้เขียนฉากบู๊เท่าไหร่ พอนึกถึงอาวุธของนักฆ่าหญิงลึกลับซึ่งไม่เคยเขียนถึงมาก่อน ก็รู้สึกว่าอยากเล่นอะไรกับมันหลายๆ อย่างดี นานๆ ทีเขียนแอ็คชั่นบ้างก็รู้สึกสดชื่นขึ้นเหมือนกัน

          ด้านหนูเมผู้เกือบไปแล้ว ก็เผชิญหน้ากับทางเลือกที่ผมคงคิดหนักเหมือนกัน นึกถึงตอนดูซีรี่ส์เรื่อง ER แล้วมีตอนหนึ่งที่คนร้ายข่มขืนได้รับบาดเจ็บหนัก ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน แล้วหมอ (ที่ถูกคือนศพ.) ที่เคยดูแลคนไข้หญิงที่เป็นเหยื่อของหมอนี่ต้องมาช่วยชีวิต หมอก็หัวเสียถึงขั้นจะเอาเลือดเสียที่ออกจากแผลของแกไปต่อกลับ แทนที่จะเบิกเลือดจากโรงพยาบาลซะงั้น
          ผมรู้ว่ามันผิดจรรยาบรรณ แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าเป็นตัวเองอยู่ในสถานการณ์นั้น เลือดขึ้นหน้าแทนคนที่ถูกทำร้ายแบบนั้น จะรักษาชีวิตคนที่ตัวผมเองคิดว่าเป็นคนเลวไปแล้วหรือเปล่านะ
          ไหนๆ ก็ไหนๆ เมื่อยังไม่เห็นทางเลือกของหนูเม จึงได้อยากตั้งคำถามสักหน่อย ว่าถ้าผู้อ่านเป็นหนูเม จะเลือกที่จะช่วยหรือปล่อยไป ถ้าใครมีความเห็นอะไรก็แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ smile

          (คำถามจริยธรรมโลกแตกดีจริงเชียว...^^a )

          Anithin

          ป.ล. ฝากรูปสาวน้อยนักฆ่าเอาไว้ก่อนชื่อออกนะครับ แล้วให้คุณ bluemouse มาเฉลยชื่อเธออีกทีละกันเน่อ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×