ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #25 : บทที่ ๓/๕ - ตำนานไร้จุดจบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 293
      1
      22 ต.ค. 52

    ๕. ตำนานไร้จุดจบ

          
    “ในทีแรก เทพกัญญาผู้กลายเป็นมนุษย์ไม่อาจยอมรับความตายของชายคนรักได้เลย นางร่ำไห้อยู่ในกระโจมคู่บ่าวสาว จนกระทั่งคนในเผ่าพบศพของเจ้าบ่าวบนพื้นทรายนอกกระโจมเพียงไม่กี่ก้าวในรุ่งเช้าวันถัดมา

    “พวกเขาไม่ใคร่แน่ใจนักว่าควรทำศพอย่างไร เจ้าสาวเพียงคืนเดียวเอาแต่ร่ำไห้ไม่ยอมรับรู้ สุดท้ายหัวหน้าเผ่าจึงขอให้พ่อค้าชาวเอลลิเนสที่พักอยู่ในโอเอซิสในเวลานั้นช่วยแนะนำ กระทั่งพ่อค้าผู้เห็นใจชายร่วมเชื้อชาติที่เหลือญาติเพียงภรรยาจากต่างแดน...ซึ่งเขาเดาว่าเป็นหญิงบัดวีไม่รู้ความ...ต้องช่วยอาบน้ำชำระศพ ชะโลมน้ำมันมะกอกและห่อผ้า เผาให้บนเชิงตะกอน มีเหรียญเงินที่ภรรยามอบให้แก่พ่อค้าโดยไร้คำใดวางบนเปลือกตาที่ปิดสนิททั้งสองข้าง

    “นางไม่อาจทำใจมองร่างของเขามอดไหม้ เห็นอีกทีก็เพียงโกศดินเผาใบเล็กซึ่งบรรจุอัฐิและเถ้ากระดูกที่เหลืออยู่...ซึ่งพ่อค้าส่งให้แก่มือของนางที่หน้ากระโจม พ่อค้าบอกว่าชาวเอลลิเนสจะฝังโกศพร้อมของมีค่าและเครื่องเซ่นสังเวยในบริเวณบ้านของตน หรือสุสานประจำครอบครัว แต่นางไม่มีบ้านอีกแล้ว...บ้านของนางพังทลายสิ้นไปพร้อมกับมรณกรรมของสามี นางไม่เหลือญาติผู้ใดอีกนอกจากเขา สุดท้าย...นางจึงโอบกอดโกศใบนั้นไม่ยอมปล่อยและใช้ชีวิตอย่างว่างเปล่าไปวันๆ

    “ครอบครัวของหัวหน้าเผ่ายังคงดูแลนาง ภรรยาและลูกหญิงของเขาเกลี้ยกล่อมนางให้ดื่มกินสิ่งใดบ้าง ทั้งๆ ที่ตัวนางเองสัมผัสได้ว่าพวกเขามีความเกรงกลัวตนอยู่ ภรรยาของลูกชายหัวหน้าเผ่าคนหนึ่งเป็นนางปีศาจจำแลงกายมา พวกเขาจึงอดระแวงหญิงแปลกหน้ามิได้ เกรงว่านางจะเป็นปีศาจซึ่งสูบกินชีวิตของสามีในคืนเดียวเช่นกัน ทว่าหัวหน้าเผ่าได้รับปากแล้วว่าจะดูแลนางชั่วชีวิตตอบแทนผู้ทรงเวท ซ้ำท่าทางโทมนัสปานใจสลายของนางยังเป็นที่เวทนาแก่ทุกผู้คนที่พบเห็น

    “หลายวัน...อาจเป็นเดือนที่นางปล่อยให้ตนเองมีลมหายใจเหมือนไร้ชีวิต แต่วันหนึ่งลมก็พัดเข้ามาในกระโจม ให้ม้วนบันทึกมากมายที่สามีทิ้งไว้กลิ้งปลิวไปสักระยะหนึ่ง เมื่อนั้นเองที่นางเริ่มสนใจพวกมัน

    “นางคลี่ม้วนบันทึกเหล่านั้นมาอ่าน...ทั้งบันทึก ตำนานต่างๆ ไปจนถึงบทเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาในคืนวิวาห์ ตระหนักถึงบทเพลงของเขาและสายลมที่ยังคงลอดเข้ามาในโลกอันแคบและมืดมนของนาง นางอ่านเรื่องมากมายในเวลาแสนสั้น เรื่องของมนุษย์นับร้อยพันที่ทั้งเหมือนและแตกต่าง ทั้งเรื่องของรักที่สมหวังและไม่สมหวัง เรื่องของเพอร์เซอุสกับอันโดรเมเด...ออร์เฟอุสผู้พยายามขอวิญญาณของคนรักคืนจากปรภพ...เรื่องของราชันกิลกาเมช ผู้ใฝ่หาชีวิตอมตะหลังจากเฝ้ามองศพของเอนคิดูสหายสนิทเน่าเปื่อยผุพังจนมีหนอนหลุดร่วงจากรูจมูก เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นตำนานที่ข้าเคยเล่าขานต่อพวกเจ้า นางพบบันทึกของเขาอยู่ด้านหลังกระดาษแผ่นหนึ่ง เขียนอย่างวกวน...สดใหม่ด้วยอารมณ์ที่พรั่งพรูในขณะนั้น ลางทีมันอาจบอกทุกสิ่งที่เขารู้สึก และลางที...อาจไม่ได้บอกเล่าสิ่งใดเลย

    “’สิมูน ภรรยาที่รัก ข้าขอโทษที่เก็บงำความจริง ขอโทษที่ต้องจากเจ้าไปในเวลาสั้นนัก ข้าอยากอยู่กับเจ้าชั่วชีวิต ทว่าชั่วชีวิตของข้ายาวนานที่สุดเพียงเท่านี้ สุดทางแล้ว ข้าเสียใจเหลือเกิน

    “’แต่ข้าก็ดีใจ สิมูนที่รัก ชะตากรรมนำข้ามาพบเจ้า แต่ข้าเชื่อว่าที่ข้าช่วยเจ้าเป็นทางเลือกของข้าเอง ลางทีมันอาจเป็นชะตากรรมเช่นกัน แต่ก็เป็นชะตากรรมที่ข้าเลือก ข้าไม่ได้เลือกที่จะตาย แต่ในเมื่อความตายเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมา ข้าก็ต้องยอมรับ เพียงแต่ข้าหวังว่าความตายของข้าคงไม่ไร้ค่า ข้าได้ช่วยเจ้าให้เป็นอิสระ ให้เจ้าได้เป็นมนุษย์เช่นกัน แล้วเราจะได้กลับมาพบกันอีก ข้าอยากให้สัญญาแก่เจ้าได้ว่าเราจะกลับมาพบกันจริงๆ ทว่าข้าไม่อาจทำเช่นนั้น อย่างไรก็ดี ที่ข้าได้กลับมาพบเจ้าในฐานะอามอนหลังจากกันในฐานะเซ็ฟ ก็คงเป็นสิ่งยืนยันความจริงข้อนี้ได้

    “’ข้ารักเจ้า ทั้งในฐานะเซ็ฟและอามอน และจะรักเจ้าในฐานะอื่นอีก ข้าจะไม่บอกว่ารักของข้ามากล้นหรือยิ่งใหญ่ มันอาจเล็กกระจ้อยร่อยน่าหัวร่อเมื่อเทียบกับวีรบุรุษหรือคู่รักในตำนานอื่นๆ แต่ไยต้องเทียบ ข้าคือข้า เจ้าคือเจ้า รักก็คือรัก คือสิ่งที่ไม่อาจบรรยายด้วยคำพูดถ่องแท้แต่เข้าใจได้ ดังนั้นข้าจึงบอกง่ายๆ ว่าข้ารักเจ้า ข้าไม่อาจสัญญาได้ว่าจะรักเจ้าตลอดไป แต่จะรักเจ้าทุกขณะที่เจ้าต้องการให้ข้ารัก’

    “...มากมาย สิ่งที่เขาเขียนและไม่ได้เขียนมีมากมายนัก ที่จริงข้าไม่ควรทำให้พวกเจ้าเบื่อหน่ายด้วยถ้อยคำเหล่านี้ ดังนั้น ข้าจะข้ามพวกมันไป ขอเล่าเพียงว่าหลังอ่านบันทึกทั้งหมดจบลงในคราวเดียว นางก็ออกไปนอกกระโจมเป็นครั้งแรก...นับจากเข้ามาในนั้นในฐานะเจ้าสาว

    “เวลานั้นเป็นราตรีดึกสงัด อากาศเย็นเยียบและลมปลิวพัดจนผมยาวสยายของนางตีสะบัดรอบศีรษะ นางเปิดโกศ ปล่อยให้สิ่งที่เคยเป็นร่างกายของสามีเริงรำไปในสายลมที่ห้อมล้อมกาย นางได้ยินเสียงขับร้องของเขา เสียงนั้นไม่มีวันไพเราะเท่าเสียงของคีตธรออร์เฟอุส แต่ก็ปลอบใจนางได้ราวกับมีเวทมนตร์ นางพบเขาในแสงดาวราตรีนั้น...ในกลุ่มดาวอันบรรจุเรื่องราวมากมาย...ในน้ำค้างแข็งอันจับเกาะก้อนหิน...ในแสงอรุณซึ่งไล้แก้มของนางอย่างอ่อนโยนหลังผ่านรัตติกาล

    “เขายังอยู่กับนาง ในทุกเรื่องราวที่นางเล่าขานต่อชาวบัดวี ในทุกการกระทำที่นางทำเพื่อช่วยเหลือชาวเผ่าเท่าที่ทำได้...ด้วยอำนาจแห่งเทพที่เหลืออยู่ นางรู้เรื่องยาสมุนไพร รู้เรื่องการอ่านทิศทางลมและอากาศจากท้องฟ้าและดวงดาว สำคัญคือนางรู้ภาษาใดๆ ก็ตามที่มนุษย์อาจกล่าวขานได้ในโลก นางกลายเป็นล่ามต่อพ่อค้าจากแดนไกลซึ่งชาวเผ่ามิเคยได้ยินภาษามาก่อน นางสามารถรักและห่วงใยผู้อื่น นางมีผู้เคารพรักเลื่อมใส แม้หัวหน้าเผ่าตายลงด้วยวัยชราและลูกชายเขาสืบทอดต่อแทน ชาวเผ่าก็ยังคงปฏิบัติต่อนางด้วยดี นางมีลูก...มีหลานมากมาย แม้เด็กๆ เหล่านั้นจะมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของนางก็ตาม...

    “ข้า...เล่าได้เพียงเท่านี้”

    หญิงชราผมยาวขาวโพลนเอ่ยเรียบเรื่อยใต้เงากระโจมซึ่งเปิดโล่งเป็นชายคาโปร่ง หลบแดดรับลม นางมิได้คลุมหน้า...และไร้ความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ดวงหน้าของนางเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งเวลาจนไร้ที่ว่าง ใต้นัยน์ตาสีทองคือถุงใต้ตาห้อยย้อย แม้นผู้ใดก็ยากบอกได้ว่าครั้งหนึ่งดวงหน้านี้เคยงดงามอย่างไร ผู้ที่จดจำความงามนั้นได้ก็ล้วนตายจากหรือแก่ชราฝ้าฟางจนสิ้นแล้ว สายตาเลื่อนลอยของนางดูราวกับจะมองไปยังบางสิ่งซึ่งอยู่ไกลกว่าหมู่เด็กชายหญิงที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ไกลเสียยิ่งกว่าเส้นขอบฟ้าของทะเลทรายอันไร้ที่สิ้นสุดเบื้องนอก

    ...มองย้อนไปยังอดีตอันแสนยาวนานซึ่งดำเนินมาจวบจนปัจจุบัน...

    “จบแล้วหรือท่านยาย” เด็กหญิงคนหนึ่งถาม

    “ยาบินต์-อัลฮาวา ไม่ได้พบคนรักของนางอีกหรือ” เด็กหญิงที่โตกว่าทำหน้าเสียดาย นางใกล้เข้ารุ่นสาวแล้ว แน่นอนว่าย่อมฝันถึงความรักอันงดงามของผู้ถูกเล่าขานในตำนานบ้างตามวัย

    “ถ้าอย่างนั้นก็จบเศร้าน่ะสิ...”

    "ตอนจบหรือ ไม่ดอก...ยามนี้ตำนานยังไม่จบ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าตอนต่อไปจะเป็นอย่างไรเท่านั้น บางทีอาจจะมีเพียงกาลเวลาเท่านั้นกระมังที่รู้..."

    เด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งในกลุ่มผู้ฟังยักไหล่ แล้วก็พูดแจ้วๆ

    “พ่อข้าบอกว่าตำนานไม่ใช่เรื่องจริง ดาวที่แม่เฒ่าบอกว่าเป็นคนพวกนั้นก็ไม่ได้เป็นคน แต่พ่อบอกว่าถึงมันจะไม่จริงก็ยังมีคติสอนใจ ให้ข้าฟังตำนานของแม่เฒ่าเพื่อเอาคติสอนใจไปใช้ แม่เฒ่า เรื่องนี้มีคติสอนใจอะไรหรือ”

    หญิงชรายิ้มน้อยๆ

    “เด็กเอ๋ย นั่นเป็นเรื่องที่พวกเจ้าทั้งหลายต้องแสวงหาเอง อาจมิใช่ยามนี้…แต่ข้าหวังว่าคงมีสักวันที่พวกเจ้าจะระลึกถึงความรักของธิดาแห่งวายุกับชายมนุษย์ และพบคำตอบที่พวกเจ้าเคยถาม

    “ที่จริง…เรื่องนี้อาจเป็นแค่ถ้อยคำไร้ความหมายที่เรียงร้อยขึ้นมาเล่นๆ อย่างการอุดรูรั่วของหม้อน้ำ แต่อย่างน้อยข้าก็ดีใจที่ตำนานนี้ทำให้พวกเจ้าสนุก...เป็นตำนานที่พวกเจ้าอาจนำไปเล่าสู่ต่อคนอื่นๆ หรือลูกหลานในกาลต่อไปได้ ในขณะที่ข้า…ต้องข้ามผ่านกาลเวลานี้ไปเสียแล้ว"

    * * * * *

    หญิงชราออกจากกระโจมของนางในยามดึกสงัด

    ฟ้าในคืนเดือนมืดยังคงพราวด้วยแสงดาว ลมเย็นบาดผิวเนื้อ ทว่านางกลับรู้สึกว่าพวกมันเป็นมิตรนัก นางกำม้วนกระดาษใหญ่หนาซึ่งเหลืองกรอบด้วยความเก่าแก่ไว้ในมืออันเหี่ยวย่น...ซึ่งแก่ชราพอกันหรืออาจจะมากกว่ากระดาษเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ

    สองเท้าของนางก้าวผ่านวงล้อมของกระโจมแห่งเผ่า หมู่นักรบวัยหนุ่มซึ่งอยู่เวรเฝ้าชาวเผ่ารวมทั้งปศุสัตว์ค้อมศีรษะเคารพน้อยๆ เมื่อเห็นนาง แล้วก็ยืนเฉยให้นางผ่านไป แม่เฒ่าผู้ทรงเวทของเผ่าชอบออกมาเดินเล่นเพียงลำพังในยามราตรีจนพวกเขาชินตั้งแต่จำความได้ ไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดอาจทำอันตรายนาง และนางมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะไปทุกหนแห่งที่นางปรารถนา

    ไม่มีใครล่วงรู้...นอกจากตัวแม่เฒ่าเอง...ว่าคืนนี้นางจะเดินทางไปไกลกว่าที่คิด

    แนวผาแห่งหนึ่งใกล้ทะเลทรายดูคลับคล้าย ทว่านัยน์ตาซึ่งเริ่มฝ้าฟางของนางแลไม่ถนัดนัก นางจำไม่ใคร่ได้ว่านี่คือสถานที่ที่นางเคยพบกับชายคนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของนางหรือไม่ แต่นั่นมิใช่สิ่งสำคัญ เขาทั้งอยู่กับนาง และอยู่ในที่ที่นางกำลังจะตามไปในไม่ช้า

    นางมาเพื่อชายอีกคนต่างหาก

    แม่เฒ่าค่อยๆ รบกับข้อเข่าอันเสื่อมด้วยกาลเวลาเพื่อคุกเข่าลงบนพื้นทราย นางวางม้วนกระดาษไว้บนแอ่งทราย ก่อนที่สองมือจะแตะทรายเย็นเฉียบและกอบมันขึ้นกลบทับแอ่งนั้น กลบจนกลายเป็นเนิน...ก่อเป็นปราสาททรายอย่างหยาบๆ เพื่อเก็บรักษาสารแห่งความทรงจำของนางไว้

    มิใช่ทั้งเพื่อนางและชายผู้เขียนมันขึ้น แต่เพื่อใครอีกคนซึ่งนางหวังว่าจะได้พบความสุขเช่นกัน

    หญิงชราถอนใจยาวเมื่อกลบฝังสิ่งสำคัญนั้นสำเร็จ นางใช้สองมือช่วยยันกายของตนขึ้นจากพื้นทรายร่วน ก้าวไปอย่างเชื่องช้าเพียงไม่กี่ก้าวก็ทรุดฮวบลง

    ที่อกของนางปวดแปลบ...ปวดเกินทน ที่จริงมันปวดต่อเนื่องมาตั้งแต่ตอนที่นางตื่นขึ้นมาในกลางดึกคืนนี้แล้ว นางรู้...แม้จะไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไร...ว่านี่คือสัญญาณเตือนถึงจุดเปลี่ยนของเวลา

    ลมหายใจเริ่มติดขัด...แต่แม่เฒ่าไม่ดิ้นรน ไม่ส่งเสียงเรียกขอความช่วยเหลือ นางพลิกกายเป็นนอนหงาย เงยมองหมู่ดาวขณะที่สายลมลูบไล้ใบหน้า สัมผัสได้ถึงเม็ดทรายเล็กๆ ที่ถูกพัดพามากระทบผิวแก้มของนาง...ราวกับประสาทสัมผัสที่ควรเชื่องช้าลงตามอายุกลับเฉียบไวขึ้นทันควัน

    เงาร่างอันคุ้นตาปรากฏเบื้องหน้า...ชายหนุ่ม...ผมหยักศกสีน้ำตาลแบบเชื้อสายเอลลิเนส

    แม่เฒ่ายิ้มรับการมาของเขา ยกมือขึ้นจับมือของชายนั้นอย่างง่ายดาย...เบาสบายราวไร้น้ำหนัก แล้วบัดนั้น นางก็ไม่ใช่แม่เฒ่าอีกต่อไป

    ...นางกลายเป็นสายลมตามเขา...

    ทั้งสองพัดเคียงกัน...นานเท่าใดไม่มีใครรู้ และแม้นต้องลาจากอีกครั้ง...นั่นก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุด สักวัน...นางอาจได้พบเขาในฐานะสายลมเช่นนี้อีก หรือมิเช่นนั้นก็ในฐานะสายลมที่โชยพัดเขาซึ่งเป็นเม็ดทราย บางทีนางอาจเป็นเม็ดทรายที่รอให้เขาเป็นสายลมโชยพัด หรือบางที...ทั้งสองอาจเป็นเม็ดทรายที่ทอดร่างเคียงข้างกัน...ท่ามกลางเม็ดทรายนับล้านล้านที่ทับถม...เคลื่อนไหว...แปรเปลี่ยน...ในทะเลทรายนี้...ตลอดจนโลกทั้งใบ

    เปลือกตาของร่างหญิงชราหลับลง...และไม่ลืมขึ้นอีกชั่วนิรันดร์

    นั่นเองคือลักษณะยามที่ชาวเผ่าบัดวีพบนาง...เฉกเช่นที่พบเจ้าบ่าวของนางเมื่อหลายสิบปีก่อน ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ริมฝีปากหยักยิ้มน้อยๆ อย่างสงบราวกับกำลังทอดกายเคียงข้างคนรักในคืนวิวาห์

    นั่นเองคือความทรงจำที่วายุเทพเอนลิลรับรู้จากบันทึกในผืนทราย หลังตนเองเป็นอิสระจากโทษทัณฑ์ในปรภพอิร์คัลลา และกลับขึ้นมาสู่โลกมนุษย์เพื่อเยี่ยมธิดา

    เขามิได้พบนาง ทว่า...เพียงรู้ว่านางมีความสุขตราบวาระสุดท้ายก็เพียงพอแล้ว

    * * * * *

    ที่นี่...คือเมืองแห่งสายลม..

    ที่ซึ่งผู้คนเดินทางมา...แวะเวียน...ลาจาก...และหวนคืน...ดุจสายลมที่พัดพาอยู่เสมอ...

    เจ้าเล่า...เป็นเช่นเดียวกับพวกเขามิใช่หรือ

    วันหนึ่งเจ้ามาที่นี่...

    ใช้เวลาร่วมกับข้าครู่หนึ่ง...

    ร่วมยิ้ม...

    ร่วมหัวเราะ..

    แบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กัน...

    เติมใจที่ว่างเปล่าของข้าจนเปี่ยมล้น...

    แม้อีกวันหนึ่ง... เจ้าจะจากไป...

    ทิ้งข้าให้อยู่เดียวดาย...อ้างว้างยิ่งกว่าเดิมกับเมืองแห่งนี้...

    ข้าก็เชื่อ...ว่าสักวันเจ้าจะกลับมา...

    เมื่อข้ามผ่านกาลเวลา...เราจะพบกันอีก...

    ในเมืองของทุกผู้คนซึ่งผันแปรไปตามกาลเวลาเสมอเช่นเดียวกับสายลม...ตามสายธารแห่งชะตากรรม...ทว่าผูกพันแนบแน่นกันมิห่างดุจผืนทราย...อันประกอบจากเม็ดทรายนับล้านล้าน...

    ...ในเมืองแห่งสายลม...

    * * * *
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×