คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : บทที่ 21 - ไร้แดนเหนือสายรุ้ง
[b][u]บทที่ 21[/u][/b]
[b]Nowhere over the Rainbow[/b]
[b]ไร้แดนเหนือสายรุ้ง[/b]
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อสายฝนเริ่มโปรยปราย เอสเทลล่าก็สบถ อากาศในโซลเบ็นมักมืดครึ้มร้อนอบอ้าวอยู่ตลอดเวลาก็จริง แต่โอกาสที่ฝนจะตกมีน้อยนักโดยเฉพาะในเขตตัวเมือง เธอเพิ่งกลับมาจากการเดินทาง และไม่ได้เตรียมตัวรับฝนที่ดูท่าจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เลย
ในเมื่อย่ามผ้าเล็กๆ ที่มีไม่อาจบังฝนได้ ทางเดียวที่เหลือสำหรับเธอจึงมีเพียงจ้ำยาวๆ ไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุดเท่านั้น ถ้าไม่ได้รับคำสั่ง "เรียกตัว" จากนกสีดำตัวเล็กซึ่งเป็นภูตสื่อสารที่ติดต่อมาประจำ เธอคงจะตรงไปรายงานผลกับท่านซิลเวนัสแล้ว เธอเหลือบเห็นฟ้าแลบแปลบผ่านม่านเมฆครู่หนึ่ง บ่งบอกว่าต้องรีบก่อนที่พายุจะมาเต็มรูปแบบ
หลังจากลัดเลาะไปตามถนนหนทางแคบ คดเคี้ยวซับซ้อนและสกปรกที่แทบรกร้างเงาสิ่งมีชีวิต นอกจากออร์กหรือก็อบลินสองสามตนที่รีบเร่งหลบฝนโดยไม่สนใจเธอเช่นกันราวพักหนึ่ง หญิงสาวก็มาถึงจุดหมาย ประตูบานเล็กสองบานเหมือนร้านเหล้าทั่วไปหากแต่ทำจากเหล็กถูกผลักแยกจากกันก่อนที่เธอจะพาร่างเข้ามาข้างใน ผ่านสายตาของปีศาจเลือดผสมที่เป็นผู้ดูแลร้านกับบรรดาลูกค้าหลากหลายเผ่าพันธุ์ ทั้งปีศาจเลือดผสมด้วยกัน ก็อบลิน ออร์ก อินคิวบัสและซัคคิวบัส ปีศาจเจ้าของร้านเพียงเหลือบมองแวบเดียวแล้วเลิกสนใจเมื่อเห็นเป็นลูกค้าหน้าคุ้นทีเดียว ลูกค้าบางพวกมองเธอด้วยความแปลกใจ ขณะที่อินคิวบัสบางตนส่งสายตาลามเลียตามร่างของเธออย่างเปิดเผย
หากเอสเทลล่าทำเป็นไม่สนใจ สายตาของเธอกวาดมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง...ก่อนจะมาสะดุดเข้ากับโต๊ะในมุมห้องด้านหนึ่ง ดวงตาสีแดงฉานบนใบหน้าของชายผมหยักศกยาวสีดำตัดกับผิวขาวเผือดจับจ้องเธอราวกับกำลังรออยู่ เธอเผลอถอนใจครั้งหนึ่ง...ด้วยไม่นึกเลยว่าจะได้พบกับภาพของคนผู้นี้อีกครั้ง
หญิงสาวตรงเข้าไปที่โต๊ะนั้นก่อนจะนั่งลงตรงกันข้าม ชายผู้นั่งอยู่ก่อนเผยอยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก
"ไม่ได้เจอกันเสียนานนะ"
เธอเหยียดยิ้มตอบ
"ไม่นึกเลยว่าท่านจะมาในคราบของ 'เมฟิสท์' "
เขาหัวเราะน้อยๆ พลางเขย่าถ้วยเหล็กในมือไปมา
"ก็ร่างนี้ช่วยให้คนอื่นๆ ไม่สงสัยว่าเจ้าไปพบกับผู้ชายแปลกหน้าที่ไหน แล้วข้าคิดว่าเจ้าคงคิดถึงเขาด้วย"
เอสเทลล่าส่ายหน้าน้อยๆ
"ไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงสักนิด"
"น่าขำ...เจ้า 'ชอบ' เขาไม่ใช่รึ?"
"ทาสรับใช้อย่างข้ามีสิทธิ์เลือกที่จะ 'ชอบ' หรือ 'ไม่ชอบ' อะไรกับนายตัวเองด้วยเหรอ?"
ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
"เจ้าพูดเหมือนลูกน้องข้าอีกคนหนึ่งเลย"
"ลูกน้องที่ต้องทนทรมานอยู่กับท่านทุกวันสินะ?"
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้" เขาตอบด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบขวดสีคล้ำบนโต๊ะมารินน้ำสีแดงองุ่นลงในถ้วยเหล็กอีกใบ "พักผ่อนก่อนเถอะ เพิ่งเดินทางกลับมาจากผาโมอาเรคงจะเหนื่อยล่ะสิท่า"
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้" อีกฝ่ายย้อนก่อนจะรับถ้วยมาจิบ "มียักษ์ตนนึงกวนใจจนข้านอนไม่เต็มอิ่ม"
"ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่านั่นคงจะไม่ใช่ยักษ์ผู้ชาย" คำพูดนั้นยังผลให้เอสเทลล่ารีบวางถ้วยเหล็กลง เงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยสายตาท้าทาย
"แล้วถ้าข้าบอกว่าใช่ล่ะ..."
"ข้าก็จะบอกว่าเจ้าโกหก"
สีหน้าของหญิงสาวยังไม่แปรเปลี่ยน
"แล้วท่านแน่ใจได้ยังไง?"
"ก็ถ้าเป็นยักษ์ผู้ชาย...เจ้าคงดูหมดสภาพยิ่งไปกว่านี้สามเท่า"
เอสเทลล่าหัวเราะออกมา
"ก็จริงของท่าน"
"แล้วพวกยักษ์ก็เคร่งธรรมเนียมจะตายไป ถ้าไม่แหกคอกสุดๆ ก็คงไม่มีใครคิดจะไปหลวมตัวกับผู้หญิงมนุษย์ ศัตรูคู่แค้นกันมาแต่บรรพบุรุษ"
หญิงสาวยักไหล่
"อันนี้ก็จริงอีก พวกมันแทบจะหาเรื่องฆ่าข้าที่หน้าด่านเลยด้วยซ้ำ"
"งั้นก็น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ" ชายหนุ่มแกล้งทำเสียงผิดหวัง
"ก็ถ้าข้าตายแล้วใครจะทำงานให้ท่าน?"
"มีคนอยากทำงานให้ข้ามากมายถมถืด"
"แต่ใครจะมีประโยชน์เท่าข้าล่ะ?" เอสเทลล่าชะโงกหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับยิ้มหว่านเสน่ห์ "ถ้าไม่มีข้า...แล้วใครจะเอาข้อมูลของพวกซิลเวนัสมาให้ท่าน?"
อีกฝ่ายหัวเราะ
"ข้ามีวิธีหาข้อมูลของข้าเองเหมือนกัน แต่..." เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งมาเชยคางหญิงสาว "...ข้ากลัวว่าพอไม่มีเจ้าแล้วข้าจะเสียประโยชน์อย่างอื่นที่ได้จากเจ้ามากกว่า"
"แล้วนั่นคืออะไรล่ะ?" ดวงตาของเอสเทลล่ามองลึกลงไปในดวงตาสีแดงฉานของอีกฝ่าย...เหมือนจะหาความสำคัญของตนเองภายในนั้น
"คลังยาพิษของเจ้าไง"
เอสเทลล่าเอนหลังกลับ ปล่อยให้มือของอีกฝ่ายค้างอยู่กลางอากาศ
"ข้าก็ว่างั้น" หญิงสาวพูดแข็งๆ "ของอย่างเดียวที่มีดีในตัวข้าคือยาพิษเท่านั้นแหละ"
"หวังว่านั่นคงจะไม่ทำให้เจ้าโกรธ" ชายหนุ่มพูดต่อด้วยเสียงเรียบๆ
"ทาสรับใช้อย่างข้ามีสิทธิ์จะโกรธด้วยเหรอ?" หญิงสาวพูดพลางเสมองไปทางอื่น
"แต่เจ้าไม่ใช่ทาสรับใช้ของข้า" เขาเอื้อมมือออกมาอีกครั้ง ครานี้กุมมือของเธอไว้ "เราเป็นหุ้นส่วนกันไม่ใช่รึ? ร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ของกันและกัน"
เอสเทลล่านิ่งเงียบไม่ตอบไปพักใหญ่ ก่อนที่เธอจะค่อยๆ ชักมือออกแล้วเริ่มพูดเอาการเอางาน
"เราเสียเวลากับเรื่องพูดเล่นมามากพอแล้ว ท่านควรรีบบอกเสียทีว่ามีธุระอะไรถึงได้เรียกข้ามา"
อีกฝ่ายขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมเช่นกัน
"ข้าอยากรู้ว่างานที่เอลฟ์แก่นั่นมอบหมายให้เจ้าสำเร็จไหม"
"ก็แล้วท่านอยากให้สำเร็จมั้ยล่ะ?" หญิงสาวเหลือบตาขึ้นมาสบกับเขาอย่างท้าทายอีกครั้ง
บรรยากาศเคร่งเครียดมลายหายไปเมื่อเขาหัวเราะออกมา ทว่าเป็นเสียงหัวเราะที่เจือด้วยความเคียดแค้นแน่นอก
"อยากสิ...อยากให้เจ้าประเคนพลอยนั่นไปให้ถึงมือของเอลฟ์แก่นั่น ให้มันดีใจจนเนื้อเต้น แล้วจากนั้นพอมันรวบรวมพลอยอื่นๆ กับคทาได้เกือบครบแล้ว ข้าจะกระชากของพวกนั้นออกมาจากมือของมันเอง...ให้มันพบกับความผิดหวังแทบกระอักเลือดตาย"
เอสเทลล่านิ่งฟังพร้อมกับมองแหวนที่อีกฝ่ายสวมอยู่บนนิ้วกลางซ้าย แหวนสีเงินรูปหัวมังกรคาบพลอยสีดำสนิท...ลึกล้ำราวกับท้องฟ้ายามราตรี น้อยคนนักคงรู้ว่าเขาเป็นผู้ครอบครองสิ่งนี้...ต่อให้รวม 'เธอ' ซึ่งเขาเปิดเผยความลับข้อนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการร่วมมือกัน
และภาพนั้นเองที่ทำให้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถามออกไป...
"ท่านต้องการรวบรวมคทาชีวิตกับพลอยทั้งเจ็ดไปเพื่ออย่างอื่นหรือเปล่า?" คำถามนี้ทำให้ชายหนุ่มปรายตามองอย่างสนใจ "นอกเหนือจากป้องกันไม่ให้พวกซิลเวนัสชุบชีวิตเอลโนอิลขึ้นมาได้?"
"แล้วถ้าเป็นเจ้าล่ะ..." เขากลับย้อนถามพร้อมรอยยิ้มแฝงเลศนัย "ถ้าเจ้ารู้ว่ามีโอกาสทำให้คนที่เจ้ารักที่สุดที่เสียไปแล้วกลับคืนมา เจ้าจะทำไหมล่ะ?"
เอสเทลล่านิ่งอึ้งไปพักหนึ่งเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่แล้วหญิงสาวก็คลี่ยิ้มขื่นๆ เบื้องหลังถ้วยที่ถูกยกขึ้นมาบังรอยยิ้มนั้น
"ถ้าข้าเคยมีคนที่ข้ารักที่สุดจริงๆ...ข้าก็คงไม่คิดจะให้เขากลับคืนมาหรอก" เธอมองภาพสะท้อนลางๆ ของตนบนผิวน้ำสีแดงในถ้วย "เพราะชีวิตของเขา...ตายไปเสียยังทรมานน้อยกว่ามีชีวิตอยู่"
"งั้นรึ?" อีกฝ่ายตอบรับ
เอสเทลล่ายกถ้วยขึ้นดื่มรวดเดียวไปอึกใหญ่จนหน้าร้อนวูบ อาจเป็นผลจากแอลกอฮอล์กระมังที่ทำให้เธอยังคงพูดต่อไปตามใจคิด
"การฝันว่าจะมีแต่ความสุขเมื่อได้คนที่เสียไปแล้วกลับคืนมา...มันก็เหมือนกับการฝันอยากไปถึงดินแดนเหนือสายรุ้งในเทพนิยายนั่นแหละ"
"พูดแบบนี้ไม่เข้ากับเจ้าเท่าไหร่เลย" ชายหนุ่มเปรย
หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ
"แล้วพูดแบบไหนถึงจะเหมาะกับข้าล่ะ?"
" 'ข้าไม่สนใจเรื่องแบบนั้น เพราะไม่มีใครที่ข้ารักนอกจากตัวเองหรอก' "
เอสเทลล่ายกถ้วยขึ้นดื่มอีกครั้ง
"ข้าถึงได้บอกไงว่า 'ถ้ามีคนที่ข้า[b]เคย[/b]รัก' เพราะจากนี้ไปข้าไม่คิดจะรักใครอีกแล้ว แม้แต่ตัวเอง" หญิงสาววางถ้วยลงก่อนจะสบตาอีกฝ่าย "ว่าแต่ข้าว่าข้าถามท่านก่อนนะว่าท่านคิดจะชุบชีวิตใครหรือเปล่า?"
ชายหนุ่มตรงหน้ายักไหล่น้อยๆ
"ข้าเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปอย่างที่ข้าไม่อยากให้คนที่เคยรักข้ามาเห็นอีก" เขาหยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาเขย่าเหมือนจะเลียนแบบกริยาก่อนหน้าของหญิงสาว "แต่ถ้าของพวกนั้นจะทำให้ข้ามีโอกาสเปลี่ยนแปลงโลกที่ฟอนเฟะใบนี้ เจ้าว่าน่าเสี่ยงไหมล่ะ?"
"ยังไง?" เธอถามพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างสงสัยจริงๆ
"ข้าบอกไม่ได้"
เอสเทลล่าเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจ
"ท่านกำลังผิดข้อตกลงของเรา"
"ข้อตกลงของพวกเรามีอยู่ว่า 'หนึ่งความลับต่อหนึ่งความลับ' หากเจ้าอยากรู้ ต้องนำความลับอีกอย่างหนึ่งของเจ้ามาแลกกัน"
หญิงสาวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
"แต่ข้าไม่มีความลับอะไรจะบอกท่านอีกแล้วนี่"
"คนที่เจ้าอาจจะเคยรักนั่นไง" ชายหนุ่มจิบเหล้าก่อนจะยิ้มเยือกเย็นดั่งผู้ถือไพ่เหนือกว่า
เอสเทลล่าถอนใจ แน่นอนว่าเขารู้ดีอยู่แล้วว่านั่นเป็นความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ทั้งนั้น
ภาพรอบข้างสว่างจ้าชั่วครู่ตามด้วยเสียงคำรณกึกก้องจนหญิงสาวสะดุ้งวูบหนึ่ง นอกหน้าต่างนั้นฟ้าแลบแปลบวาบเป็นระยะๆ พร้อมกับเสียงฝนที่สาดแรงขึ้น...เสียงที่ราวกับจะฉีกกระชากใจเธอเป็นเศษเสี้ยว...เพราะมันทำให้เธอนึกย้อนไปถึงอดีตอันแสนไกลที่ไม่อาจลบเลือน
หญิงสาวเบือนหน้ากลับจากภาพสายฝนมายังคู่สนทนา ก่อนจะเอ่ยตัดบท
"ดึกแล้ว พายุก็แรงมาก ข้าควรกลับบ้านดีกว่า"
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน
"ถ้าเช่นนั้น ข้าเชื่อว่าข้าควรใช้เวทมนตร์ส่งเจ้าถึงบ้านไม่ให้เปียกฝน"
เอสเทลล่ายิ้มเฝื่อนๆ
"ขอบคุณ" เธอพยายามห้ามคำพูดในใจที่กำลังจะออกจากปากในเวลาต่อมาด้วยการกลืนน้ำลายฝืดๆ แต่ไม่สำเร็จ "แล้วถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป..."
อีกฝ่ายมองหญิงสาวที่ยังคงนั่งตัวแข็งอยู่อย่างสงสัย
"...ช่วยอยู่เป็นเพื่อนข้าในคืนนี้ได้มั้ย?"
ความเงียบอ้อยอิ่งอยู่ระหว่างทั้งสอง...เป็นนานจนกว่าเอสเทลล่าจะพึมพำเบาๆ
"ข้าไม่อยากอยู่คนเดียวในคืนฝนตก"
เนื่องเพราะเธอก้มหน้าอยู่...จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มหยามหยันของอีกฝ่ายก่อนคำถาม
"ในฐานะ 'เมฟิสท์' หรือตัวข้าเอง?"
เอสเทลล่ายักไหล่เพียงนิดจนแทบไม่ทันสังเกต กริยายักไหล่นั้นจึงดูละม้ายคล้ายกับอาการสั่นสะท้านด้วยความกลัว
"แล้วแต่ท่าน ข้าไม่เกี่ยง จะยังไงข้าก็เคยอยู่กับใบหน้าทั้งสองมาแล้ว"
ใช่แล้ว...ไม่ว่าจะใบหน้าทั้งสอง หรืออีกหลายใบหน้า เธอก็เคยอยู่ด้วยมาแล้ว สำหรับเธอใบหน้าใดๆ นั้นไร้ความหมาย...ไร้ตัวตน...
...เพราะท้ายที่สุดพวกมันก็เป็นเพียงเงาลางๆ ในความมืดท่ามกลางพายุฝนยามไร้แสงฟ้าแลบเท่านั้น...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เสียงครืนครันดังก้องฉับพลันจนหูแทบอื้อ...
เด็กสาวผุดลุกขึ้นหันขวับไปทางหน้าต่างเพียงบานเดียวในห้องนั้น ผ้าม่านปลิวสะบัดตามแรงลมที่พัดลอดขอบหน้าต่างกระจกพร้อมกับนำพาเสียงฝนเข้ามา ส่วนฟ้าแลบครั้งถัดมาทำให้ห้องทั้งห้องสว่างจ้าขึ้นในชั่วครู่จนเธอเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจ
เธอหันไปมองชายผู้นอนอยู่ข้างๆ...ดูเหมือนเขากำลังหลับสนิทไม่รับรู้ฟ้าฝนเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวควานมือไปที่หัวเตียงในความมืด...คว้าได้สัมผัสของสร้อยโลหะเย็นเฉียบ เธอหยิบมันขึ้นมาสวมคอไว้ก่อนจะเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วลุกจากเตียง ลมเย็นชื้นปะทะร่างจนขนบนท่อนแขนลุกเกรียว
เสื้อนอนที่กองเป็นสีขาวโพลนอยู่บนพื้นถูกหยิบขึ้นมาสวมกันความหนาว ก่อนที่เท้าเปล่าของเด็กสาวจะย่างไปที่ประตูหน้าบ้านช้าๆ ทีแรกเป็นเพียงการแง้มฟังเสียงลมฝนอื้ออึง และดูยอดหญ้าที่เอนลู่ไปตามลมแรงราวกับจวนเจียนถูกโค่นรากล้มลง แต่แล้วมือเล็กบางก็ปล่อยประตูแล้วถอยกรูดด้วยสีหน้าพรั่นพรึง ปล่อยให้บานประตูกระแทกผนังห้องดังปึง ฝนเม็ดใหญ่สาดกระทบร่างจนหนาวเยือกเข้าไปถึงกระดูกในทันใด เสื้อขาวบางถูกหยาดฝนฝากรอยด่างดวงจนเปียกโชกแนบเนื้ออย่างรวดเร็ว ทว่าเด็กสาวยังไม่รับรู้...สิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงคำนึงมีแต่ 'เสียง' ที่มีเพียงเธอคนเดียวได้ยินเท่านั้น
เสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังแว่วมาในกระแสลม...โหยไห้กราดเกรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งกำลังร่ำร้องทวงขอชีวิตที่เขาไม่เคยมี...ประหนึ่งกำลังแค้นเคืองผู้ให้กำเนิดที่ไม่อาจให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้...
เด็กสาวทรุดลงนั่งบนพื้นไม้ชื้นแฉะ ก่อนจะสั่นศีรษะแรงๆ จนเส้นผมที่เปียกลู่แนบหน้าและลำคอสะบัด ความรู้สึกของเธอมีทั้งเสียใจ เวทนาสงสารชีวิตน้อยๆ นั้น และต้องการจะแก้ต่างคำประณามของเขาว่าตัวเธอเองไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของเธอที่เขาเกิดขึ้นมา...ไม่ใช่ความผิดของเธอที่เขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้...ไม่ใช่เธอ...
ประตูปิด เสียงลมโหยหวนกลับแผ่วเบาทันใด หากความหนาวและเปียกยังประทับบนร่างบอบบางที่นั่งนิ่ง ดวงตาสีฟ้าของเด็กสาวค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปสบกับดวงตาเรืองแสงสีแดงของชายหนุ่มผู้ยังกำด้ามจับประตูไว้ ริมฝีปากของเขาเริ่มคลี่ยิ้มน้อยๆ
"อยากออกไปเล่นฝนหรือไงแม่เด็กซน?" น้ำเสียงของชายหนุ่มเหมือนจะหยอกล้อ
เด็กสาวไม่พูดว่าอะไรหากลุกขึ้นยืนช้าๆ โดยที่ก้มหน้าหลบสายตาของเขา เสียงลมอาจเบาลงแล้ว...แต่ในภวังค์ของเธอเสียงร้องไห้แหบแห้งนั้นยังติดตรึงอยู่ [i]ได้โปรดเงียบทีเถอะ[/i]...เธอได้แต่ร้องขอในใจ [i]ได้โปรดเงียบที[/i]...
"เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?" เสียงถามจากอีกฝ่ายมาพร้อมกับมือที่ทาบลงบนไหล่ มือนั้นอุ่นเหลือเกินสำหรับผิวที่เย็นเยียบจากหยาดฝน...อุ่นจนไม่น่าเชื่อว่าปีศาจจะอบอุ่นได้ถึงเพียงนี้ เด็กสาวกลั้นลมหายใจปิดตาแน่นราวกับถูกสัมผัสด้วยสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด...ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะแวบขึ้นมาในใจ
มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่เสียงร้องไห้จะเงียบลง...
นั่นคือแทนที่มันด้วยประสาทอื่นๆ สัมผัสอื่นๆ ที่เปลี่ยนความหนาวเยือกซึ่งกำลังรู้สึกในขณะนี้ให้เป็นความร้อนระอุ...เพื่อให้เธอลืมคืนพายุอันเจ็บปวดเหล่านั้น...ลืมเด็กทารกคนนั้นกับเสียงร้องไห้ของแกไปเสีย
ด้วยความคิดนี้เองที่เด็กสาวดึงสร้อยจากคอทิ้งลงบนพื้น ด้วยความคิดนี้เองที่ทำให้เธอโผเข้ากอดชายเบื้องหน้าไว้แน่นในทันใด ด้วยความคิดนี้เองที่เธอหยุดคำพูดจากเขาด้วยริมฝีปากของตน ด้วยความคิดนี้เองที่เธอสิ้นความละอาย...ปล่อยตนเองไปกับอ้อมกอดร้อนผ่าวที่รัดรึงแน่นจนแทบขาดใจ
...ด้วยความคิดนี้เองที่ทำให้ตัวเธอเองในเวลาสามสิบสามปีต่อมายังคงกระทำแบบเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเค้าหน้าเลือนลางไร้ตัวตนในพายุ...หลังจากคืนพายุคืนแรกในโซลเบ็น...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เสียงเคาะประตูปลุกเอสเทลล่าขึ้นสู่รุ่งอรุณที่ไร้เสียงฝน เสียงฟ้าร้อง ไร้แสงฟ้าแลบหากสว่างเรืองรองด้วยแสงแดดยามเช้าที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานเดียว
หญิงสาวคว้าสร้อยร้อยจี้ซึ่งดูเหมือนหินขัดที่ถอดวางไว้หัวเตียงเมื่อคืนก่อนมาสวม ก่อนจะลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปที่ราวพาดผ้า คว้าเสื้อคลุมตัวยาวมาคลุมร่าง แล้วเสยเส้นผมยุ่งเหยิงกลับไปหลังบ่า
"ใครกันนะ?" เธอถามกับตนเองลอยๆ หากอีกคนหนึ่งที่ยังนอนอยู่บนเตียงกลับให้คำตอบ
"ก็เพื่อนสนิทของเจ้าไงล่ะ"
"โอลิเวียน่ะเหรอ?" หญิงสาวหันกลับไปขอคำยืนยัน ได้มาเป็นการพยักหน้าจากอีกฝ่าย เธอไม่สงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไร "งั้นท่านควรรีบไปก่อน"
ทว่าชายหนุ่มกลับหัวเราะขณะลุกขึ้นนั่ง
"กลัวถูกจับได้งั้นเหรอ?"
"ใช่ ท่านก็รู้ไม่ใช่เหรอว่านางเห็นท่านเป็นอะไร?" เอสเทลล่าเริ่มขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
ใบหน้าของอีกฝ่ายค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป จากใบหน้าที่แท้จริงเป็นชายผมสีดำหยักศกนามเมฟิสท์อีกครั้ง
"เท่านี้ก็ไม่เป็นไรแล้วนี่" เขาพูดก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบผ้าคลุมของตนเอง หญิงสาวได้แต่กลั้นความอยากส่ายหน้าอย่างระอาไว้แล้วตรงไปที่ประตูบ้าน
จริงอย่างที่เขาว่า...ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูคือโอลิเวีย
"มีคนบอกว่าเห็นเจ้ากลับมาเมื่อวาน ข้าเลยแปลกใจว่าทำไมถึงยังไม่ไปหาท่านซิลเวนัส" หญิงสาวผู้มาเยือนดูจะแปลกใจกับสภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอนของเอสเทลล่า จึงได้ถามต่อ "เดินทางเหนื่อยเหรอ?"
"นิดหน่อย" อีกฝ่ายตอบรับพร้อมกับยักไหล่ แล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน "เข้ามาสิ"
เอสเทลล่าได้ยินเสียงรองเท้าของโอลิเวียบนพื้นไม้สามสี่ก้าวก่อนจะชะงักกึก หญิงสาวเจ้าของบ้านที่ปิดประตูแล้วยังไม่หันกลับไปรู้ดีว่าอะไรกันที่ทำให้เธอหยุด
"ไม่ได้เจอกันเสียนานนะโอลิเวีย" เสียงของชายหนุ่มพูดขึ้นก่อน เอสเทลล่าทำใจให้กล้าแล้วหันกลับไปเห็นเขากำลังเชยคางโอลิเวียขึ้น หญิงสาวผมแดงตัวเกร็งอย่างไม่พอใจ แต่ดูเหมือนจะไม่กล้าพูดอะไร "ตอนที่เอลโนอิลยังอยู่ เจ้าไว้ผมยาวแล้วดูสวยกว่านี้นะ"
ว่าแล้วเขาก็ผละจากไป...ปรายตามองเอสเทลล่ากับเพียงแวบพร้อมพูดเบาๆ ก่อนออกจากประตูว่า "วันหลังข้าจะติดต่อมาใหม่"
หญิงสาวเจ้าของบ้านปิดประตูลงตามเดิมหลังลับร่างเขาแล้วถอนใจ จากนั้นจึงได้หันกลับมาทางหญิงสาวผู้มาเยือน
โอลิเวียกำลังจ้องเขม็งไปทางหมอนกับผ้าห่มยับยู่ยี่บนเตียงเพียงเตียงเดียวในบ้านที่มีห้องเดียวนั้น ริมฝีปากเผยอน้อยๆ เหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่พูดไม่ออก สีหน้าหลังหน้ากากเท่าที่หญิงสาวเห็นนั้นก็ดูราวกับเด็กเล็กๆ ที่กำลังตื่นตระหนกกับความจริงเบื้องหน้า
"เมื่อคืน...เขา...อยู่ที่นี่?" เป็นนานกว่าโอลิเวียจะเค้นคำพูดออกมาได้
เอสเทลล่าทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะตอบเรียบๆ
"ใช่"
มีเพียงความเงียบที่น่าอึดอัดพักหนึ่ง...ก่อนหญิงสาวเจ้าของบ้านจะพูดต่อ
"ช่วยไม่ได้นี่ เขาเป็นเจ้านายของข้า ถ้าเขาจะสั่งให้ข้าทำอะไร ข้าก็ต้องทำ" ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวเลื่อนลอยเหมือนกำลังจมอยู่ในห้วงอดีต เมื่อนั้นเองที่ความคิดแวบหนึ่งผุดขึ้นมาและผลักดันให้เธอถามออกไป "ท่านเอลโนอิลกับเจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?"
"ท่านเอลโนอิล[b]ไม่มีวัน[/b]สั่งให้ข้าทำอะไรแบบนั้น!!" น้ำเสียงตอบของอีกฝ่ายหนักแน่นในช่วงต้น ทว่าสั่นเครือเล็กน้อยในช่วงท้าย
เอสเทลล่าจับความโกรธและไม่พอใจเหมือนถูกดูหมิ่นอย่างรุนแรงของโอลิเวียได้ แต่นั่นกลับทำให้เธอหัวเราะออกมาอย่างขื่นๆ
"เจ้าโชคดีนะโอลิเวีย..."
[i]ช่างน่าอิจฉา...ถ้าเพียงแต่ตอนนั้นคนที่ข้าพบคือเอลโนอิล...ไม่ใช่เมฟิสท์...[/i]
[i]ข้า...ข้าคงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้ใช่ไหม...?[/i]
"เจ้าว่าอะไรนะ?" อีกฝ่ายย้อนถามอย่างสงสัย
[i]เจ้าโชคดีเหลือเกินที่ได้พบคนที่ช่วยเหลือเจ้าโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน...บทเรียนแรกที่ข้ารู้หลังเป็นอิสระจากกรงขัง...คือเราจำเป็นต้องเสียบางสิ่งไปเพื่อแลกกับการเอาชีวิตรอดแท้ๆ[/i]
"ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก ข้าขอโทษด้วยที่พูดไม่ดีเกี่ยวกับท่านเอลโนอิล" หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปที่ตู้ไม้ เปิดประตูตู้ออกหาเสื้อผ้าชุดใหม่ "รอเดี๋ยวนะ พอข้าแต่งตัวเสร็จแล้วเราไปหาท่านซิลเวนัสกัน"
"งานสำเร็จใช่ไหม?" โอลิเวียเปลี่ยนเรื่องถาม น้ำเสียงของเธอเร่งร้อนเหมือนอยากรู้คำตอบเป็นที่สุด
"สำเร็จ" เอสเทลล่าตอบเสียงเรียบหลังจากได้เสื้อผ้าชุดใหม่แล้วนั่งลงบนเตียง ปล่อยม่านให้ลงมากั้นคลุมเตียงไว้แล้วเริ่มแต่งตัวหลังม่านนั้น "พลอยอยู่ในย่ามของข้า เจ้าหยิบไปก่อนก็ได้"
จากภาพลางๆ หลังม่านกั้น หญิงสาวเห็นโอลิเวียลุกไปเปิดย่ามดู กับเรื่องของเอลโนอิล...เธอรู้ว่าอีกฝ่ายใจร้อนอย่างไม่น่าเชื่อเสมอ ใจร้อนจนคนนอกที่เพิ่งได้เห็นคงประหลาดใจว่านี่หรือคือโอลิเวียผู้เรียบเฉยอยู่เป็นนิจ
เมื่อแต่งตัวเสร็จ เอสเทลล่าก็ลุกขึ้นยืน หยิบย่ามของตนที่วางอยู่มาคัดสัมภาระเดินทางไกลที่ไม่จำเป็นออก ก่อนจะพยักหน้าบอกโอลิเวียโดยไม่พูดอะไรว่าตนพร้อมจะไปแล้ว อีกฝ่ายจึงได้ยื่นพลอยสีแดงที่นำไปตรวจดูคืนให้ใส่ไว้ในย่ามตามเดิม
ไม่นานหลังออกจากบ้านและลงกลอนประตูเรียบร้อย ทั้งสองก็ออกมาสู่ชายป่าลูคอส หยาดฝนยังคงพราวเต็มพรมหญ้า ท้องฟ้ายามเช้าสดใสอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเขตรอบนอกของแดนปีศาจ ที่ปลายฟ้าด้านทิศตะวันตกปรากฎสายรุ้งโค้งสวยราวสะพานแห่งสวรรค์
เอสเทลล่ายืนนิ่งมองสายรุ้งนั้นครู่หนึ่ง...ก่อนจะเบือนหน้าลงมายังดงดอกหญ้าที่ขึ้นแซมใบเขียว กลีบดอกสีขาวบางเพิ่งผลิบานกลับยับย่นชอกช้ำ ก้านดอกเล่าก็งอพับด้วยแรงพายุเมื่อคืน การมาของสายรุ้งไม่มีผลอันใดกับมัน...ไม่อาจทำให้มันคลายจากสภาพอันบอบช้ำได้เลยแม้แต่น้อย
เธอโน้มกายลงปลิดก้านดอกดอกหนึ่งอย่างแผ่วเบา แล้วนำดอกไม้นั้นขึ้นมาเสียบผมข้างหู มันช่างเป็นดอกไม้ที่เหมาะสมกับตัวเธอที่สุด
...[i]ข้าเกลียดพายุฝน...แต่ที่เกลียดยิ่งกว่าคือสายรุ้ง[/i]...หญิงสาวนึกในใจเมื่อเงยหน้ามองแถบสีสดใสทั้งหกบนท้องฟ้าอีกครั้ง
[i]เพราะสายรุ้งเป็นเพียงภาพลวงตาที่ไร้ตัวตน...ภาพลวงตาที่หลอกให้ฝันถึงความหวังที่ไม่อาจเป็นจริง[/i]
[i]เพราะมันเตือนใจข้าว่าท้ายที่สุด...หลังพายุฝนที่พัดพาทำลายทุกสิ่ง...ก็เหลือเพียงเศษซากที่ไม่อาจกลับคืนดังเดิม กับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่ายังมีทางก้าวขึ้นไปยังดินแดนเหนือพายุนั้น...[/i]
[i]ทั้งๆ ที่ดินแดนเหนือสายรุ้ง[b]ไม่เคย[/b]และ[b]ไม่มีวัน[/b]มีอยู่เลย[/i]...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Note: อันที่จริงผมว่าจะเขียนถึงเอสเทลล่าในตอนหน้า และตอนนี้จะเป็นเนื้อเรื่องของคณะเดินทางอันยุ่งเหยิงแทน แต่ช่วงนี้ความคิดเกี่ยวกับเอสเทลล่าเกิดพุ่งพรวดๆ ออกมาจนเป็นแบบนี้ ผมจึงไม่อยากปล่อยให้มันค้างคาอยู่ในใจนานนัก
ตอนนี้เป็นตอนที่ผมหวั่นใจมากที่จะเขียนออกมา เนื่องจากผมกลัวติดเรท และอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของตัวละครบางตัวเป็นอย่างมาก ที่รับไปเต็มๆ ก็คือเอสเทลล่า กับตัวละครชายปริศนาที่สวมรอยเป็นเมฟิสท์ เจ้านายของเอสเทลล่า ขณะที่เจ้านายตัวจริงตอนนี้เป็นความลับว่าอยู่ที่ไหน เรื่องติดเรทนั้นผมคิดว่าผู้อ่าน WoH ก็น่าจะอายุ 15 ขึ้นไปกันหมดแล้วจึงไม่กังวลมากเท่าข้อหลัง ซึ่งผมต้องขออธิบายก่อนว่าผมเห็นใจโอลิเวียกับเอสเทลล่า ในฐานะตัวแทนของผู้ถูกทารุณกรรมตอนเด็ก ทั้งสองคนจริงๆ แล้วก็คือเด็กที่มีบาดแผลในใจมาก่อน แต่ต่างคนกลับเจอคนที่แตกต่างกันซึ่งยืนมือเข้ามาช่วยหรือทำลาย จนกลายมาเป็นคนที่มองโลกคนละแบบอย่างในทุกวันนี้ คนหนึ่งเป็นเหมือนเด็กซื่อๆ ที่โหยหาความรักที่เสียไปจนไม่สนใจจะสร้างชีวิตที่มีความสุขในปัจจุบัน ส่วนอีกคนหนึ่งไม่สามารถรักใครได้อย่างจริงใจแม้แต่ตัวเอง ต้องการเพียงความสัมพันธ์ผิวเผินที่จะมากลบความทรงจำเลวร้ายในอดีตชั่วครู่ชั่วคราว เป็นวังวนเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สาเหตุว่าทำไมเอสเทลล่าถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ ผมคงจะได้เขียนต่อไปในไซด์สตอรี่ของเอสเทลล่าครับ (ซึ่งก็เป็นอย่างที่บอกล่ะครับ ไม่ PG 13 ก็ 15) ทางด้านเมฟิสท์ที่ปรากฎตัวออกมาในความฝันของเอสเทลล่าเป็นตัวละครออริจินัลของผมอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ห่วงภาพพจน์ของเขามากเหมือนกันที่สร้างให้เป็นปีศาจแบบนี้
ด้านหน้าตาของเมฟิสท์...ก็ขอบอกกันตรงนี้เลยครับว่าผมไม่เคยนึกหน้าของเมฟิสท์มาก่อนเลยจนมาเขียนฉากที่เอสเทลล่าพบกับคนที่ปลอมตัวเป็นเขา ผิวเผือดตาแดงเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจอยู่แล้ว ส่วนผมยาวหยักศกสีดำ...อืม ผมอยากได้ปีศาจผมดำเพราะดูตัดกับสีผิวและเท่ห์ดี แถมตัวละครชายผมไว้ผมยาวบวกหยักศกไม่ค่อยจะมีซะด้วยสิ ^^;;; พอประมวลทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้ว ผมก็ถึงบางอ้อว่า...เฮ้ย นี่มันดูรันดาลจาก Gundam SEED Destiny นี่หว่า (สงสัยจิตใต้สำนึกคงนึกไปถึงฉากมืดๆ ตอนดูรันดาลอยู่กับกัปตันทาเลียมั้งนะ เมฟิสท์เลยหน้าตาแบบนี้)
ส่วนชื่อตอน หลายท่านคงรู้แล้วว่าผมดัดแปลงมาจากชื่อเพลงดังในอดีตของจูดี้ การ์แลนด์ Somewhere over the Rainbow ครับ ผมรู้สึกว่าเนื้อเพลงถ่ายทอดความรู้สึกอ้างว้างและโหยหาสิ่งที่ไม่อาจไขว่คว้าได้ดีมาก แต่ผมเปลี่ยนชื่อตอนเป็น Nowhere over the Rainbow เพื่อแสดงให้เห็นว่าเอสเทลล่าถอดใจกับความหวังที่ตนเคยมีในอดีตเสียแล้ว
ความคิดเห็น