ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #7 : ภาคที่ 1 - เอลาซัล / บทที่ 5 - แซฟไฟร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 156
      0
      19 พ.ค. 49

    PART I: ELAZUL
    Chapter V: Sapphire

    ภาคที่ 1: เอลาซัล
    บทที่ 5: แซฟไฟร์


    *ชาวจูมิจะบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุเทียบเท่ากับ 18 ปีของมนุษย์ หากชายที่มีอายุมากกว่ามีสัมพันธ์กับหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจะถือว่าผิดกฎหมาย นอกเสียจากจะได้รับอนุญาตให้สมรส หรือเป็นผู้พิทักษ์เป็นกรณีพิเศษ*


    บ่ายฟ้าใสวันหนึ่งปลายเดือนตุลาคม หลังจากที่ความสัมพันธ์ของเอลาซัลกับแอมเบอร์มาถึงจุดแตกหักได้ไม่นานนัก เอลาซัลซึ่งกำลังออกเวรเดินเล่นไปในอุทยานที่คดเคี้ยวเหมือนเขาวงกตตามลำพังเพื่อหาความเงียบสงบ แล้วมานั่งพักที่ม้าหินอ่อนตัวเล็กใต้กำแพงหินที่ปกคลุมด้วยเถากุหลาบซึ่งบัดนี้เหลือเพียงก้านมีหนามที่เลื้อยทอเป็นร่างแหโปร่งๆ ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปเรื่อยๆ เหมือนกับหนทางในสวนที่ตนเดินผ่านมาโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องใดเป็นพิเศษ

    ผ่านไปหลายนาทีกว่าเขาจะรู้สึกได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ตามลำพังในเขาวงกตนี้ ชายหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นร่างหนึ่งที่ขยับวูบวาบอยู่แถวหางตาของเขา...เป็นร่างเล็กๆ ที่เอนพิงกำแพงซึ่งปกคลุมด้วยเถาไอวี่ย้อยระย้าลงมา เครื่องแบบนักเรียนที่สวมอยู่บอกให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอเป็นเด็กสาวที่ยังอายุน้อยทีเดียว

    เอลาซัลไม่เคยรู้จักกับชาวจูมิหญิงที่มีอายุน้อยกว่ามาก่อน นอกจากเอสเมรัลด้า ทำให้เขารู้สึกว่าการที่ผู้ชายอย่างเขามาอยู่ในที่ลับตากับเด็กสาวที่ยังไม่บรรลลุนิติภาวะเช่นนี้เพียงสองต่อสองย่อมไม่เหมาะสมแน่ เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะปลีกตัวออกไปดีหรือไม่ ทั้งที่ยังสงสัยว่าทำไมเด็กสาวถึงได้มาอยู่ในอุทยานตามลำพัง แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจะลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

    แต่การขยับตัวของเขากลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง เด็กสาวหันขวับมาทางเอลาซัลในทันที ดวงตากลมโตคู่งามเหมือนจะสะกดเขาให้จ้องมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

    ชายหนุ่มเห็นในทันทีว่าเธอไม่ได้เด็กกว่าเอสเมรัลด้าเหมือนที่เขาคิดในทีแรก อายุมากกว่า แต่ร่างเล็กบอบบางกว่า เธอสวมเครื่องแบบนักเรียนที่ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน กับกระโปรงจีบสีน้ำเงินสดสั้นกว่าเข่าเล็กน้อย เรือนผมหยักศกสีเข้มปล่อยสยายลงปรกหลังเป็นลอนคลื่น ใบหน้ารูปไข่ประดับด้วยดวงตากลมโตสีน้ำเงินลึกล้ำ ออกจะเข้มกว่าสีตาของเอลาซัล ดูบริสุทธิ์หากฉายแววเลื่อนลอย

    เธอจ้องมองชายหนุ่มเป็นครู่ใหญ่โดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ

    เสื้อเชิ้ตของเด็กสาวกลัดกระดุมปิดถึงคอเสื้ออย่างเรียบร้อย เอลาซัลมองไม่เห็นผลึกชีวิตของเธอ แต่ดูจากสีตาและสีผมเขาก็เดาได้ว่าเธอน่าจะเป็นจูมิตระกูลไพลิน

    หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอลาซัลก็คิดว่าเขาคงต้องพูดอะไรสักอย่าง เด็กสาวยังคงจ้องเขาอยู่อย่างหวาดๆ ทำให้เอลาซัลเดาว่าผู้ปกครองของเธอคงไม่ได้อนุญาตให้เธอเข้ามาในอุทยานตามลำพังเช่นนี้

    "ขอโทษครับ" เขาพูดขึ้น "ผมทำให้คุณตกใจหรือเปล่า"

    เด็กสาวไม่พูดตอบ เพียงแต่ลดสายตาลงมองพื้นหญ้าชื้นฝนใต้เท้าเท่านั้น เอลาซัลรู้สึกว่าเธอคงไม่อยากจะพูดกับเขาเท่าไร แต่ชายหนุ่มก็พยายามพูดต่อให้เธอสบายใจขึ้น

    "ผมไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนคุณนะครับ ผมเองก็อยากจะหาที่พักผ่อนเงียบๆ เหมือนกัน"

    คราวนี้เด็กสาวจึงตอบด้วยเสียงแผ่วเบา "ม...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก"

    เอลาซัลนึกจะถามเธอว่ามารอใครหรือเปล่า รอเพื่อน หรือว่ารอผู้พิทักษ์ แต่เขาก็ไม่อยากจะทำตัวเป็นคนสอดรู้สอดเห็นกับเรื่องของคนอื่นแบบนั้น และเขาก็กลัวว่าหากมีคนเห็นเขาอยู่กับเด็กผู้หญิงคนนี้อาจจะทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้นมาได้...แม้ชายหนุ่มจะสังเกตเห็นความรู้สึกต้องการและโหยหาบางสิ่งในสีหน้าของเธอที่ทำให้เขานึกสะท้อนใจขึ้นมาว่าเธอคงไม่ใช่คนที่มีความสุขมากนัก เขาจึงคิดจะปลีกตัวไปเสียแต่เนิ่นๆ

    "ผมต้องไปแล้วล่ะ" ชายหนุ่มพูดพร้อมกับกลับหลังหัน "คุณเองก็ควรจะกลับบ้านได้แล้วเหมือนกัน"

    แล้วเขาก็เดินจากไปในทางตรงกันข้ามในเขาวงกตแห่งนั้น ความสนใจเรื่องเด็กสาวผู้อยู่เพียงลำพังถูกแทนที่โดยเรื่องอื่นๆ ที่มีความสำคัญมากกว่า และในเมื่อเขาไม่ได้พบเธออีก...ไม่นานชายหนุ่มก็ลืมเด็กสาวไปโดยสิ้นเชิง


    หากบทสรุปของเรื่องที่เกิดขึ้นกับแอมเบอร์กลับบานปลายเกินกว่าที่อเล็กซ์หรือเอลาซัลคาดคิดไว้ และเริ่มแสดงผลออกมาทีละน้อยๆ

    เย็นวันหนึ่งกลางเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่ความสัมพันธ์ของเอลาซัลกับแอมเบอร์ถึงจุดแตกหักไปได้กว่าสัปดาห์ ไดอาน่ากับรูเบ็นส์ได้ปรึกษากันในห้องอรุโณทัย...ซึ่งเป็นห้องที่ไดอาน่าชอบมากที่สุด ห้องนี้ประดับด้วยเครื่องเรือนที่หายากและล้ำค่าที่สุดในพระราชวัง บรรยากาศในห้องประกอบด้วยสีขาวหิมะ แดงเจิดจ้า และประกายทองอ่อนๆ ผสานกันอย่างมีรสนิยม

    ไดอาน่าสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว มีสายสะพายประจำตำแหน่งปักดิ้นทองเป็นลวดลายผูกรอบสะเอวและทิ้งชายลงมาถึงปลายเท้า สีของเครื่องแต่งกายของเธอเข้ากับสีของสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี

    รูเบ็นส์เอนพิงหมอนอิงสีแดงด้วยท่าทางสบายๆ บนโซฟาสีขาวข้างหญิงสาว เขาเขย่าแก้วทรงสูงใส่แชมเปญสีเหลืองอำพันวนไปมาช้าๆ โดยแทบจะไม่ได้จิบในขณะที่ฟังไดอาน่าทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ทั้งสองสนทนากันมาเกือบชั่วโมงตั้งแต่พระอาทิตย์ตก และไดอาน่าก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากพูดจบ เธอก้มลงมองมือที่ประสานกันอย่างเรียบร้อยบนตักก่อนที่จู่ๆ จะพูดขึ้นอีก

    "รูเบ็นส์คะ ฉันอยากพบคุณที่นี่เพราะมีเรื่องนึงที่อยากจะปรึกษาคุณน่ะค่ะ"

    รูเบ็นส์หันมามองเธอ

    "เรื่องสำคัญหรือเปล่าครับ"

    หัวคิ้วของไดอาน่าขมวดน้อยๆ ก่อนที่เธอจะเอ่ยขึ้น

    "ก็ไม่เชิงค่ะ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอัศวินลาปิสลาซูลี่น่ะค่ะ..."

    "อืม..." รูเบ็นส์รับลอยๆ "อัศวินลาปิสลาซูลี่นั่นอีกละ"

    "ก็อีกแล้วนั่นแหละค่ะ" ไดอาน่าตอบ "แล้วก็เป็นเรื่องใหญ่อีกแล้วด้วยค่ะรูเบ็นส์"

    "แล้วเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นอีกล่ะครับ" รูเบ็นส์ตั้งคำถาม เขารู้สึกแปลกใจหน่อยๆ กับน้ำเสียงของไดอาน่า แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรจริงจังนัก เอลาซัลกลายเป็นคนดังในวงข่าวลือของราชสำนักมาหลายเดือนจนเขาเริ่มระอาเสียแล้ว เขาไม่ชอบการซุบซิบนินทามาแต่ไหนแต่ไร และหวังว่าในที่สุดข่าวลือเรื่องเอลาซัลจะซาลงเมื่อมีเรื่องอื่นเข้ามาแทนที่เสียที หากชายหนุ่มก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเรื่องอะไรกันที่หนักหนาจนไดอาน่าต้องนำมาพิจารณาเช่นนี้

    ไดอาน่าจ้องมองโคมไฟทรงโบราณที่ส่องแสงสีทองอ่อนๆ ตรงหน้า ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงระแวดระวัง

    "แอมเบอร์พยายามจะยั่วเอลาซัล...ทั้งที่ฉันห้ามไว้แล้วน่ะค่ะ"

    รูเบ็นส์รู้ระแคะระคายเรื่องนี้มาไม่มาก และเขาก็ไม่พอใจเลย ถึงแม้เขาจะถูกอัธยาศัยกับแอมเบอร์ แต่เขาคิดว่าโชคร้ายเหลือเกินที่เอลาซัลกลายเป็นเป้าหมายของผู้หญิงอย่างเธอ แต่ในเมื่อเขาไม่ได้ยินข่าวลืออื่นๆ นอกเหนือจากนี้ เขาก็ลืมไปเสียสนิท

    "เธอคงไม่ได้...ทำอย่างนั้นจริงๆ หรอกนะ ไดอาน่า" ชายหนุ่มถามอย่างระแวดระวัง

    "ฉันเคยเตือนเธอแล้ว แต่เธอไม่ยอมฟังเลย" ไดอาน่าตอบอ้อมๆ พลางเคาะปลายนิ้วลงบนเข่าเป็นจังหวะ ซึ่งทำให้รูเบ็นส์เข้าใจว่าเธอไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย "แต่ฉันไม่คิดว่าเธอจะทำสำเร็จ เพราะเขาชอบแบล็คเพิร์ลอยู่ แต่เมื่อวานซืนแอมเบอร์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฉันฟัง...ก็เกือบสำเร็จไปแล้วล่ะค่ะถ้าไม่มีคนเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน"

    "ขัดจังหวะเหรอ" รูเบ็นส์ทวนคำพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

    "เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังทีหลังค่ะ" ไดอาน่าตอบ "รูเบ็นส์คะ ที่ฉันไม่พอใจก็คือเขาเกือบจะหลวมตัวตามแอมเบอร์ไปน่ะสิคะ"

    "แล้วทำไมคุณถึงต้องกังวลด้วยล่ะ" รูเบ็นส์ถาม เขาสงสัยเหลือเกินว่าทำไมไดอาน่าถึงได้สนใจเรื่องของเอลาซัลมากนัก และได้แต่รอให้เธออธิบาย

    รอยยิ้มเย็นๆ...หากฝืดเฝือปรากฏบนริมฝีปากของไดอาน่าก่อนที่เธอจะเอนหลังบนพนักพิงอันประณีต

    "คิดดูสิคะรูเบ็นส์ พ่อหนุ่มคนนั้นน่ะเลี่ยงการรับผู้หญิงไหนๆ เป็นผู้พิทักษ์มากี่ปีแล้ว ดูไปก็เหมือนความดื้อด้านแบบเด็กๆ ที่ยังอยากมีอิสระ แล้วพวกเราก็อ่อนข้อให้เขาเพราะเขาเป็นอัศวินที่มีฝีมือ ฉันว่าพวกเราคิดผิดไปแล้วนะคะ เพราะอย่างนี้เขาถึงไม่เคยเรียนรู้ที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมบ้างเลย ฉันกลัวว่าในเมื่อตอนนี้เขาเข้ามาอยู่ในสังคมจูมิชั้นสูงที่เขาไม่เคยข้องแวะมาก่อน เขาอาจจะ...พลาดพลั้งไป...ก่อเรื่องไม่สมควรเข้าก็ได้"

    รูเบ็นส์สัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดในน้ำเสียงของเธอ เขาวางแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะหันมามองไดอาน่า เขาสนิทกับเธอทั้งด้านการงานและส่วนตัวมานานหลายปีแล้วจนรู้ว่าเรื่องอื้อฉาวประเภทไหนที่เกิดขึ้นในราชสำนักที่เธอเห็นว่าร้ายแรงที่สุด และเขาก็ไม่สบายใจที่เอลาซัลถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น เขาจึงคิดว่าควรจะออกความเห็นของตนบ้าง

    "คุณคงไม่คิดว่า...เขาจะมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรอกนะ เอลาซัลคงไม่ทำอย่างนั้นหรอก"

    "ฉันก็ไม่รู้ว่าจะคิดยังไงดีค่ะ" ไดอาน่าตอบ "แต่ฉันสังหรณ์ใจว่าต้องไม่ดีแน่ถ้าเราไม่เริ่มควบคุมการกระทำของเขาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อก่อนฉันดีใจที่เขาเริ่มทำงานให้กับบ้านเมืองบ้างเสียที แบล็คเพิร์ลน่าจะทำให้เขาเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้าง แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ใช่อย่างนั้น ฉันคิดว่าเราควรจะหา 'หลัก' มาปักให้เขาอยู่กับที่ได้แล้ว"

    รูเบ็นส์ค่อยเข้าใจความหมายของเธอ

    "หมายความว่าคุณจะบังคับให้เขาหาผู้พิทักษ์งั้นเหรอ เขาต้องไม่ยอมแน่ ไดอาน่า ผมกลัวว่าเขาจะหนีออกจากเมืองไปอีกมากกว่า"

    ไดอาน่าคลายแขนจากที่กอดอกก่อนจะขยับตัวน้อยๆ กดปลายนิ้วลงบนริมฝีปากอย่างใช้ความคิด

    "คราวนี้ต้องไม่ค่ะ" เธอตอบ "เมื่อสิบห้าปีก่อนเขาไม่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ไม่มีพันธะผูกพันกับเมืองนี้ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว"

    "หมายถึงแบล็คเพิร์ลน่ะเหรอ" รูเบ็นส์คาดเดา

    "ก็ไม่เชิงค่ะ" ไดอาน่าขมวดคิ้ว "แบล็คเพิร์ลก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ฉันคิดว่าควรจะนับองค์หญิงฟลอริน่ากับอเล็กซ์รวมเข้าไปด้วย" เธอเหลือบมองรูเบ็นส์ "อเล็กซ์เป็นคนเข้ามาขัดจังหวะตอนที่แอมเบอร์พยายามยั่วเอลาซัลน่ะค่ะ"

    รูเบ็นส์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าประโยคของไดอาน่าแฝงนัยอย่างไร เขาจึงไม่พูดอะไรแล้วปล่อยให้ไดอาน่าว่าต่อไป

    "ความสัมพันธ์ของเอลาซัลกับอเล็กซ์เป็นอีกเรื่องที่ฉันไม่ชอบเลยค่ะ...มันแปลกเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นมิตรภาพ มีอะไรบางอย่างในตัวอเล็กซ์ที่ดูจะผิดธรรมดาอยู่มาก ฉันเข้าใจว่าเขามีอิทธิพลต่อเอลาซัลพอสมควรทีเดียว ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันมาหลายครั้ง แล้วอเล็กซ์ดูจะเป็นคนทำให้เอลาซัลโกรธมากเสียด้วย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเอลาซัลก็ยังเป็นฝ่ายกลับมาคืนดีกับอเล็กซ์ก่อนเสียทุกครั้ง"

    รูเบ็นส์ยืดกายขึ้นก่อนจะส่งสายตาตรงมาทางไดอาน่า

    "คุณคงไม่คิดว่าสองคนนั้นเป็น...พวกชอบเพศ..."

    ไดอาน่าเม้มริมฝีปาก

    "หวังว่าไม่ค่ะ เพราะอาณาจักรของเราไม่ยอมรับเรื่องนี้แน่ แต่ว่า..." เธอต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "...ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะมีแบล็คเพิร์ลกับองค์หญิงฟลอริน่า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ชอบอยู่ดี เหมือนกับว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันจนเอลาซัลตัดไม่ขาด ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เกิดปัญหากับเขามากมายแค่ไหนก็ตาม แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนยึดติดกับคนที่เขาผูกพันมากแค่ไหน แล้วถ้าเป็นในทางที่ผิดๆ ล่ะก็ต้องไม่ดีแน่ แล้วถ้าเป็นความสัมพันธ์กับ..."

    เธอเอ่ยชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเอาเสียเลย

    "...'อเล็กซ์' ล่ะก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก"

    รูเบ็นส์ได้แต่นิ่งคิดเงียบๆ ว่าทำไมไดอาน่าถึงได้เห็นว่าการที่เอลาซัลคบกับอเล็กซ์เลวร้ายนัก แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม บางทีไดอาน่าอาจจะเป็นห่วงว่าอเล็กซ์ที่ไม่ชอบอยู่ในกฏเกณฑ์จะชักนำเอลาซัลให้เสียความประพฤติตามด้วยกระมัง

    "ที่เราต้องทำก็เหมือนกับที่คุณพูดนั่นแหละค่ะ" ไดอาน่าพูดต่อด้วยเสียงครุ่นคิด "คือต้องทำให้เอลาซัลยินยอมจับคู่กับผู้พิทักษ์ให้ได้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะทำให้เขาสำนึกถึงความรับผิดชอบ แล้วก็หันเหความสนใจของเขาไปจากเรื่องอื่น"

    "เดี๋ยวก่อนไดอาน่า" รูเบ็นส์พูดพร้อมกับยกมือขึ้น "แล้วแบล็คเพิร์ลล่ะ เธอจะคิดว่ายังไง"

    "แบล็คเพิร์ลคำนึงถึงเรื่องผลประโยชน์ต่อสังคมก่อนเรื่องส่วนตัวของเธออยู่เสมอแหละค่ะ" ไดอาน่าตอบอย่างชัดเจนด้วยเสียงหนักแน่น "ถ้าเธออยากจะคบกับเขาจริงๆ...ฉันคิดว่าเธอคงจะหาทางอื่นได้อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ได้เธอก็จะไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกหรอก ฉันไม่เคยเห็นเธอทำอะไรเพื่อตัวเองก่อนหน้าเพื่ออาณาจักร หรือว่าผูกพันกับใครมากพอที่จะทำอย่างนั้นเลย บางครั้งฉันยังไม่คิดว่าเธอมีอารมณ์ความรู้สึกกับใครเป็นส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ"

    รูเบ็นส์เงียบไป เขารู้ว่าไดอาน่าคงจะคิดหาทางออกของเรื่องนี้มานานแล้ว จึงรอให้เธอดำเนินเรื่องต่อไป

    "เพราะบุคลิกของอัศวินไพฑูรย์ เราต้องลงมืออย่างระมัดระวังสักหน่อย ฉันก็เลยอยากจะให้คุณช่วยจับตาดูด้วย ผู้พิทักษ์คนนี้จะต้องเป็น...เด็กสาวที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะได้ไม่นาน และไม่เคยมีความรักหรือคบหาใครมาก่อน ฉันลองวิเคราะห์นิสัยของชายหนุ่มคนนี้มาแล้ว เขาเป็นคนที่เชื่อเรื่องความรักบริสุทธิ์ในอุดมคติ"

    "พวกหัวโบราณสินะ" รูเบ็นส์ถามพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

    ไดอาน่ายักไหล่ "จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ คนแบบเขาต้องการผู้หญิงที่บริสุทธิ์ และทำให้เขาเชื่อได้ว่าเธอจะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ทั้งกายและใจ"

    "แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น..." รูเบ็นส์พูดด้วยเสียงแห้งๆ "ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตกหลุมรักแบล็คเพิร์ลได้"

    "นั่นเรียกว่าหลงเสน่ห์ต่างหากค่ะ" ไดอาน่าขัดขึ้น "ไม่อย่างนั้นเขาจะถูกแอมเบอร์ยั่วได้ยังไงล่ะ แล้วแบล็คเพิร์ลน่ะเป็นกรณียกเว้นนะคะ นี่ฉันพูดถึงผู้หญิงธรรมดาๆ อยู่ต่างหาก"

    "แล้วคุณเชื่อว่าการสร้างสัมพันธ์ระหว่างอัศวินกับผู้พิทักษ์จะทำให้เขาเลิกคิดถึงแบล็คเพิร์ลได้งั้นเหรอ"

    "ถ้าเราวางแผนดีๆ ก็น่าจะได้ค่ะ" ไดอาน่าตอบ "พวกเราต้องให้เขาพาเธอเดินทางออกไปสู่โลกภายนอก เมื่อกลับมาแล้วทั้งสองคนคงจะได้ใช้เวลาร่วมกันมากพอที่จะทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันขึ้นมาได้ จำเอาไว้นะคะว่าเราต้องหาเด็กสาวที่ดูธรรมดา แต่ยังมีความสะดุดตา ดึงดูดใจเป็นพิเศษ แล้วคงจะดีที่สุดถ้าเธอเป็นคนที่บอบบางต้องการการปกป้อง เพราะเขามีนิสัยชอบปกป้องคนอื่นที่อ่อนแอกว่าตัวเอง แล้วจะได้ดึงด้านที่อ่อนโยนของเขาออกมาด้วย"

    ไดอาน่าเสริมอย่างเยือกเย็น

    "ฉันรับรองได้สิบต่อหนึ่งเลยว่าเด็กคนนั้นจะต้องตกหลุมรักเขาแน่ และเมื่อเธอสร้างความรู้สึกผูกพันให้เขาได้แล้ว เขาก็จะรู้สึกว่าการมีใจให้ผู้หญิงคนอื่นทั้งที่มีเธออยู่ข้างกายทั้งคนแล้วเป็นการทรยศที่ให้อภัยไม่ได้ที่สุด"

    "ผมพูดอะไรไม่ออกเลย" รูเบ็นส์พึมพำ "ดูเหมือนคุณจะวางแผนเอาไว้ทั้งหมดเลยสินะไดอาน่า"

    "ใช่ค่ะ" เธอตอบ "ฉันไม่อยากจะเสียเอลาซัลไปจากเมืองนี้ ถ้าเขาอยากได้ความสัมพันธ์ที่จะรองรับอารมณ์ของเขา เราก็น่าจะชักนำเขาไปในทางที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นฉันเกรงว่าฉันคงจะทนให้เขาอยู่ในอาณาจักรนี้ต่อไปไม่ได้อีก"

    รอยยิ้มของรูเบ็นส์แห้งฝืดเฝือ

    "คุณทำให้ผมตกใจนะ ไดอาน่า คุณทำเหมือนกับความรู้สึกของคนเป็นหมากที่ต้องวางในกระดานให้ถูกที่ไปเสียหมด"

    ดวงตาของไดอาน่าเป็นประกายด้วยความขบขัน สีหน้าเยือกเย็นขณะกำลังใช้ความคิดเลือนหายไป

    "นี่ฉันเย็นชาเกินไปหรือเปล่าค่ะ แต่มันจำเป็นที่จะรักษารากฐานของสังคมเราให้มั่นคงเอาไว้ก่อน แล้วอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ถูกทางกับความคิดแปลกแยกมีแต่จะทำลายมันนี่คะ"

    เธอสังเกตสีหน้ารูเบ็นส์ เห็นได้ว่าเขากำลังใช้นิ้วเคาะริมฝีปากด้วยท่าทางครุ่นคิด

    "มีอะไรเหรอคะ" หญิงสาวถามยิ้มๆ

    "ผมว่า..." รูเบ็นส์พูดช้าๆ "ผมหาเด็กที่ตรงตามความต้องการของคุณได้แล้วล่ะไดอาน่า"


    ยามบ่ายที่อากาศดีกลางเดือนพฤศจิกายน ไม่กี่วันหลังจากที่ไดอาน่ากับรูเบ็นส์ได้ปรึกษากัน ท้องฟ้าสดใสกับแสงแดดอ่อนๆ ให้ความสว่างกับอุทยานหลวงที่ล้อมรอบราชวังแห่งจูมิ เหล่าอัศวินกับคุณหญิงผู้สูงศักดิ์เดินเล่นไปตามสนามหญ้าสีเขียวอย่างอ้อยอิ่งพลางสนทนาถึงเรื่องสัพเพเหระ และเหล่าคุณหนูตระกูลขุนนางที่มีเวลาว่างจากการศึกษาในวิทยาลัยหลวงก็เดินไปตามทางเดินด้วยกันเป็นกลุ่มพร้อมกับหัวเราะอย่างร่าเริง

    มีเด็กสาวสามคนนั่งอยู่ริมขอบของน้ำพุหินอ่อนใกล้ทางเดินที่ตัดผ่านหมู่ต้นกุหลาบที่ได้รับการเล็มเป็นอย่างดี สองในนั้นเป็นพี่น้องที่เป็นสมาชิกของตระกูลที่มีอำนาจในสังคมจูมิ เนื่องจากบิดาของทั้งสองเป็นพี่ชายของคลาริอุสองค์ก่อน

    คนโตสุดคือจูมิแห่งอเมทิสท์ ซึ่งเป็นเด็กสาวหน้าตาดีดูอายุน้อยกว่าเอลาซัลไม่เท่าใดนัก ดวงตาของเธอเป็นสีม่วงเย็นเช่นเดียวกับสีของผลึกชีวิต เรือนผมเรียบลื่นถูกเสยขึ้นเหนือคิ้วเรียวบางด้วยหวีงาช้างประดับพลอยสีม่วงเม็ดเล็กเป็นแถว เธอแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีขาวประดับชายด้วยริบบิ้นสีม่วงอมน้ำเงินซึ่งถูกตัดให้รับกับเรือนร่างเพรียวบางเป็นอย่างดี กริยาท่าทางการวางตัวมีสง่าเยือกเย็นบ่งบอกถึงสถานะอันสูงศักดิ์ในสังคม

    น้องสาวของเธอคือจูมิแห่งอความารีน ซึ่งเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักที่มีดวงตาสีฟ้าเหมือนกับท้องฟ้ากับผมสีอ่อนยาว ดูอายุมากกว่าเอสเมอรัลด้าเล็กน้อย เธอแต่งเครื่องแบบนักเรียนหญิงที่ประกอบด้วยเสื้อสเว็ตเตอร์สีฟ้าหม่น กับกระโปรงสั้นสีเขียว...ผิดกับพี่สาวที่สวมชุดกระโปรงกรุยกรายบอกให้รู้ว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว และบุคลิกของเธอก็ยังต่างจากพี่สาวมาก เพราะเธอดูจะเป็นคนใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าใดนัก

    ส่วนเด็กสาวคนที่สามเป็นลูกพี่ลูกน้องของทั้งสอง เป็นคนเงียบขรึมดูจะอ่อนวัยกว่าอเมทิสท์ไม่มากนัก เธอแทบไม่พูดอะไรสักคำเลยในระหว่างที่สองพี่น้องคุยเรื่องสัพเพเหระกันตลอด

    "พี่เอมี่" จู่ๆ จูมิแห่งอความารีนขัดพี่สาวที่กำลังพูดถึงเรื่องการเรียนในวิทยาลัยที่เธอคิดว่าน่าเบื่อเสียจริง "มีคนเดินมาทางนี้แน่ะ"

    อเมทิสท์หยุดพูดก่อนจะยกมือขึ้นป้องตาจากแสงแดดสว่างในฤดูหนาว "จริงด้วย มาริน่า" เธอตอบ "ตายล่ะ! นั่นมันยัยเฟื่องเอสเมอรัลด้านี่นา"

    "หวังว่ายัยนั่นคงไม่มาพล่ามเรื่องเรียนกับฉันหรอกนะ" สาวจูมิแห่งอความารีนพูดอย่างหงุดหงิด "ชอบพูดอะไรก็ไม่รู้ไม่รู้จักหยุด น่ารำคาญจะตายไป"

    "ฉันเห็นด้วยกับเธอล่ะ" พี่สาวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงไม่ชอบใจ "ฉันก็ทนยัยเด็กนั่นไม่ได้เหมือนกัน ชอบทำตัวเหมือนกับรู้ดีไปซะทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่อายุน้อยที่สุดในชั้นเรียนด้วยซ้ำ ว่าแต่...ผู้ชายที่มาด้วยกันนี่ใครล่ะ"

    "ว่าที่อัศวินของหล่อนล่ะมั้ง" มาริน่าเดาก่อนจะหัวเราะเฝื่อนๆ

    "ผอมก็ผอม ซีดก็ซีด" เอมิทิสท์ว่าพลางเม้มปากอย่างไม่ชอบใจ แต่ในทันใดนั้นน้องสาวของเธอก็อุทานขึ้น

    "เอ๊ะ! นั่นมันสโนว์นี่!! พี่เอมี่...รู้จักใช่มั้ย จูมีต้องสาปน่ะ ไม่นึกว่าจะกล้าออกมาข้างนอกตอนหนาวๆ แบบนี้ด้วย"

    "ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่" พี่สาวพูดก่อนจะเบะปาก "ฉันก็ไม่ชอบหน้านายนั่นเล้ย แต่คู่นั้นก็สมกันดีจริงๆ ล่ะ...ต่างฝ่ายต่างเป็นที่น่ารังเกียจพอกันทั้งคู่!"

    "ไม่รู้สิ" มาริน่าพูดพร้อมกับจ้องสโนว์ด้วยดวงตาสุกสว่างที่เบิกกว้าง "ดูๆ ไปแล้วหมอนั่นเท่ขึ้นนะ"

    อเมทิสท์ค้อนน้องสาวทางสายตากับคำพูดนั้น ทำให้มาริน่าหัวเราะน้อยๆ

    และอีกด้านหนึ่ง เอสเมอรัลด้าก็หยุดเท้ากึกทันทีเมื่อเห็นเด็กสาวจูมิทั้งสาม

    "แย่ชะมัด" เธอบ่น

    สโนว์ก็หยุดเดินเช่นกัน

    "มีอะไรเหรอ" เขาถาม

    "แซฟไฟร์น่ะสิ...เค้าอยู่กับลูกพี่ลูกน้องนิสัยเสียสองคนนั่น" เอสเมอรัลด้าตอบ "ฉันอยากจะพูดกับแซฟไฟร์ แต่ฉันทนเจอสองพี่น้องนั่นไม่ได้...โดยเฉพาะอเมทิสท์น่ะนะ"

    สโนว์ไม่เคยรู้สึกลังเลกับสถานการณ์แบบนี้เลย เขาทำสิ่งที่คิดว่าจะง่ายที่สุดเสมอ

    "ถ้าอย่างนั้นก็ไว้คราวหน้าเถอะ ตอนนี้เดินเลี่ยงไปก่อนดีกว่า" เด็กหนุ่มบอก

    "อย่าเลย" เอสเมอรัลด้าแตะแขนหยุดเขาไว้ "แซฟไฟร์น่ารักมากนะ ฉันอยากให้นายรู้จักเค้า"

    "เราเคยเจอกันแล้ว" สโนว์ตอบห้วนๆ "ในงานเลี้ยงที่ไหนซักที่ ฉันเองก็จำไม่ได้ แต่ที่จำได้แน่ๆ คือฉันไม่เคยได้ยินเค้าพูดอะไรกับใครเลย"

    "แซฟไฟร์เป็นคนขี้อายมากน่ะ" เอสเมอรัลด้าบอกเขา "เค้าไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่ เค้าเป็นลูกของคลาริอุสองค์ก่อน ตอนที่คลาริอุสองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ลุงก็รับเค้าไปเลี้ยง...แล้วก็ทนต้องอยู่กับสองพี่น้องนิสัยเสียนั่น เค้าอาจจะได้เป็นคลาริอุสองค์ต่อไปก็ได้ เพราะเค้าก็มีอำนาจน้ำตาเยียวยาอยู่เหมือนกัน"

    หากสโนว์ไม่ค่อยสนใจเรื่องเหล่านี้นัก และไม่อยากจะพบกับเด็กสาวอีกสองคนด้วย เขาตั้งท่าจะบอกเอสเมอรัลด้าว่าไปกันดีกว่า แต่เสียงหนึ่งด้านหลังทั้งสองกลับขัดขึ้น

    "สวัสดี เอสเมอรัลด้า"

    เอสเมอรัลด้าจำเสียงนั้นได้ทันที และหันกลับไปหาผู้พูด

    "คุณเอลาซัล!" เธออุทาน "อ๊ะ! ส...สวัสดีค่ะ พณฯ ท่าน"

    เด็กสาวค้อมศีรษะคำนับรูเบ็นส์อย่างนอบน้อม

    "คุณอา" สโนว์พูดขึ้นทั้งสีหน้าแดงก่ำก่อนจะโค้งคำนับตาม "ไม่นึกว่าคุณอาจะมาที่นี้ด้วย"

    เอลาซัลมองกริยาที่เปลี่ยนไปของสโนว์กับเอสเมอรัลด้าอย่างเอ็นดู และรูเบ็นส์ก็ก้าวขึ้นมาจับมือทักทายกับหลานชายของเขา

    "สบายดีไหม สโนว์ เอลาซัลกับอามาธุระแถวนี้นิดหน่อยน่ะ เอสเมอรัลด้า หนูรู้จักกับคุณหนูพวกนั้นสินะ" เขาพยักพเยิดไปทางสามสาวข้างน้ำพุหินอ่อน

    "ค...ค่ะ รู้จักค่ะ พณฯ ท่าน" เอสเมอรัลด้าตอบอย่างประหลาดใจนิดๆ

    "ก็ดี" รูเบ็นส์พูดพร้อมกับยิ้มให้เด็กสาว "ฉันอยากจะแนะนำเอลาซัลกับแซฟไฟร์ให้รู้จักกันไว้เพื่อจะได้แนะนำเรื่องหน้าที่ในอนาคต"

    การมาของสองชายหนุ่มทำให้สองสาวที่น้ำพุฮือฮาขึ้นมา อเมทิสท์ยืดตัวตรงขึ้นในทันใดแล้วจ้องมองทั้งสองไม่วางตา

    "ตายแล้ว! นั่นจูมิลาปิสลาซูลี่นี่นา!" เธออุทานขึ้น "นี่ฉันดูเป็นไงมั้ง มาริน่า"

    "ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ" มาริน่าตอบเนือยๆ "เค้าไม่มีทางหันมามองพี่ร้อก พี่ก็รู้ เรื่องที่คนอื่นเค้ารู้กัน ดีนี่" เด็กสาวหัวเราะเฝื่อนๆ ขึ้นมาอีก และพี่สาวของเธอก็ถลึงตาค้อนวงใหญ่ แต่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น

    เอลาซัลเข้ามาหาทั้งสามก่อนจะทักทายขึ้นตามมารยาท เขาจำได้ในทันทีว่าแซฟไฟร์คือเด็กสาวที่เขาพบในเขาวงกตเมื่อก่อนหน้านี้ แต่เธอก็ไม่แสดงท่าทางว่าจำเขาได้เลย ยังคงก้มหน้าลงต่ำและพึมพำอะไรสั้นๆ เป็นการตอบรับ

    อเมทิสท์เสียอีกที่เป็นฝ่ายพยายามดึงความสนใจของเอลาซัลจากแซฟไฟร์เข้าหาตัวเอง (ถึงจะไม่สำเร็จมากนัก และมีคำแขวะไร้สาระของมาริน่าแทรกมาเป็นระยะๆ) สโนว์ที่ยืนอยู่ข้างหลังเอสเมอรัลด้าพยายามที่จะรักษามารยาทต่อหน้ารูเบ็นส์ให้มากที่สุด แต่ท่าทางของเขาก็ฟ้องชัดว่าเขาไม่สนใจสองพี่น้องนั่นเลย โชคดีที่อเมทิสท์ยุ่งกับการพยายามเรียกร้องความสนใจจากเอลาซัล และมาริน่าก็ยุ่งอยู่กับการดูพี่สาวล้มเหลวด้วยความรู้สึกสมน้ำหน้าจนไม่ทันสังเกตกริยาของสโนว์

    รูเบ็นส์เอ่ยปากเชิญแซฟไฟร์ไปที่พระราชวังบ้าง ซึ่งเด็กสาวก็ตอบรับอย่างสุภาพ แม้จะไม่แสดงท่าทางว่าอยากไปเลย เอสเมอรัลด้าอาศัยจังหวะที่ทุกคนเงียบไปทักทายแซฟไฟร์บ้าง และแนะนำให้เธอรู้จักกับสโนว์ หลังจากนั้นเธอก็ชวนเอลาซัลให้ไปที่หอสมุดในพระราชวังด้วยกันก่อนจะสรุปว่า

    "ให้สโนว์กับฉันไปกับเอลาซัลกับแซฟไฟร์ก็ได้ค่ะ พณฯ ท่าน" เธอบอกรูเบ็นส์ "ไม่ต้องห่วงนะคะ"

    ในทีแรกรูเบ็นส์ก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ตอบตกลง ก่อนจะขอตัวไปทำธุระ

    จากนั้นเอสเมอรัลด้าก็บอกลาอเมทิสท์กับมาริน่าอย่างสุภาพก่อนจะพาคนอื่นๆ ไป แต่ก็ไม่ทำให้สองพี่น้องชอบหน้าเธอมากไปกว่าเดิมได้เลย

    จากการใบ้เป็นนัยๆ หลายครั้งของท่านสมาชิกวุฒิสภาสูงสุดทำให้เอลาซัลเข้าใจว่ารูเบ็นส์ตั้งใจจะให้เขาได้รู้จักกับแซฟไฟร์ เขาไม่แน่ใจว่าทำไม แต่นิสัยเฉยๆ ไม่สนใจใครหรืออะไรทำให้เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก คิดว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เขารู้จักกับอัศวินประจำคลาริอุสองค์ปัจจุบันกับพระองค์เป็นการส่วนตัวกระมัง ตั้งแต่เข้ามาเป็นราชองครักษ์ เขาก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับสมาชิกขุนนางในสังคมจูมิหลายท่าน และรูเบ็นส์ก็มักจะแนะนำให้เขาจดจำไว้เสมอว่าแต่ละท่านมีความสำคัญกับสังคมในด้านใด และควรจะปฏิบัติตนต่อแต่ละท่านอย่างใด ชายหนุ่มจึงคิดไปว่าการที่รูเบ็นส์แนะนำให้เขารู้จักกับแซฟไฟร์เป็นเพราะหน้าที่และตำแหน่งที่เธอจะต้องดำรงในอนาคต

    เอสเมอรัลด้าชวนคุยอยู่ตลอดเวลาขณะที่ทั้งสี่เดินไปทางพระราชวัง แต่ผู้พูดก็มีเพียงเอลาซัลกับเธอเท่านั้น สโนว์ที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์นิดๆเดินอยู่ข้างเอสเมอรัลด้า และออกห่างจากแซฟไฟร์ให้มากที่สุด ส่วนแซฟไฟร์เองก็อยู่สุดด้านหนึ่งของแถว ก้าวไปข้างๆ เอลาซัลอย่างเงียบๆ

    หากเอสเมอรัลด้าที่ตั้งใจจะให้สโนว์กับแซฟไฟร์ได้เป็นเพื่อนกันพยายามผลักดันให้เอลาซัลไปเดินริมนอก และให้สโนว์กับแซฟไฟร์อยู่ขนาบเธอด้านละคน ก่อนจะเล่าให้แซฟไฟร์ฟังว่าสโนว์อ่านอักขระรูนได้ ซึ่งทำให้การสนทนาเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น

    สโนว์เริ่มพูดมากขึ้น และแซฟไฟร์ก็แสดงความสนใจในการพูดคุยของเอสเมอรัลด้ากับสโนว์เป็นครั้งแรกให้เอลาซัลได้เห็น

    เอลาซัลที่ถูกตัดขาดจากการสนทนาที่เขาไม่ต้องการจะสนใจ เริ่มคิดว่าบุคลิกของเด็กทั้งสามแตกต่างกันมากเพียงไหน

    แซฟไฟร์...เมื่อนึกถึงตอนที่พบกับเธอในเขาวงกตครั้งแรก และเมื่อได้รู้ถึงความสำคัญของเธอในอนาคตก็ทำให้ความสนใจที่เขามีให้เธอย้อนกลับมาอีกครั้ง

    เอสเมอรัลด้า...เขาก็รู้จักเธอดีอยู่แล้ว

    และสโนว์...ที่รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ลึกๆ ที่ต้องมากับเด็กสาวอีกสอง กับชายหนุ่มที่อายุมากกว่าตนและดูเหนือกว่าตนทุกอย่าง แสร้งทำเป็นว่าเอลาซัลไม่ได้อยู่ในกลุ่มด้วย ซึ่งเอลาซัลสังเกตเห็น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก

    ชายหนุ่มจับตามองแซฟไฟร์เป็นพิเศษ...คงเป็นเพราะดวงตาแสนสวยของเธอดึงดูดเขาอย่างประหลาด อันที่จริงตัวแซฟไฟร์เองก็ไม่ใช่คนสวยเฉียบขาดนัก ใบหน้าของเธอซีดเผือดดูอมทุกข์เหมือนกับคนมีโรค แต่เพราะความขาวของผิวนี่เองที่ยิ่งส่งให้ดวงตากลมโตของเธอดูโดดเด่นยิ่งกว่าเดิม

    เมื่อการสนทนาดำเนินต่อไป แซฟไฟร์ก็ดูจะเปิดใจยิ่งขึ้น แม้จะไม่พูดอะไรมากมาย แต่เธอก็เริ่มมีการตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบา ทำให้สโนว์รู้สึกสบายใจกับการอยู่ใกล้เธอมากขึ้น เมื่อมาถึงในตัวพระราชวัง เอสเมอรัลด้าที่เห็นความพยายามของตนประสบผลสำเร็จดูจะพอใจอยู่ทีเดียว

    เอลาซัลสังเกตเห็นว่าพวกเขามาถึง "มุมโปรด" ของสโนว์กับเอสเมอรัลด้า คือห้องสมุดแล้ว เขาจึงหยุดเดิน มีทีท่าไม่อยากจะเข้าไปนัก

    "ผมขอตัวก่อนล่ะครับ พวกคุณสามคนไปกันเถอะ" ชายหนุ่มบอกเอสเมอรัลด้า

    แซฟไฟร์ชำเลืองมองเขา ดูเหมือนเธอจะเพิ่งนึกขึ้นได้เป็นครั้งแรกว่าเขาเองก็มากับทั้งสามด้วย แต่เธอยังคงนิ่งเงียบ หากเอสเมอรัลด้าที่นึกได้ว่าลืมเอลาซัลไปเสียสนิทกลับพูดขึ้น

    "อย่าเพิ่งไปเลยค่ะ คุณเอลาซัล" เธอบอกเขา "เดี๋ยวอีกซักชั่วโมงสองชั่วโมงจะมีจัดงานเลี้ยงในสวน อยู่กับพวกเราจนงานเลี้ยงเริ่มเถอะนะคะ"

    "แต่การขลุกอยู่ในห้องสมุดฟังเรื่องที่ผมไม่อยากแกล้งทำเป็นเข้าใจตั้งสองชั่วโมงไม่ใช่เวลาที่ดีสำหรับผมเท่าไหร่นะ" เอลาซัลตอบแห้งๆ

    แต่เอสเมอรัลด้าดูจะไม่ยอมแพ้เอาง่ายๆ

    "อยู่นะคะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งบังคับนิดๆ "สโนว์กับแซฟไฟร์ยังไม่เคยฟังเรื่องที่คุณเดินทางไปในโลกภายนอกเลย ฉันว่าพวกเค้าต้องอยากฟังแน่ๆ...โดยเฉพาะแซฟไฟร์ล่ะ"

    เอลาซัลรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาชำเลืองมองแซฟไฟร์ที่เลื่อนสายตาลงจ้องมองพื้น หากพูดแผ่วๆ

    "ถ้าคุณ...อัศวินลาปิสลาซูลี่...จะเล่าล่ะก็...ฉัน...จะฟังค่ะ..."

    "เรียกผมว่าเอลาซัลเถอะครับ" เอลาซัลบอกกับเธอ

    เด็กสาวเงยหน้าขึ้น ดูเธอจะสับสนและไม่สบายใจนิดๆ กับคำพูดของเขา ชายหนุ่มเลยยิ้มออกมาน้อยๆ

    "อย่าเรียกผมว่า 'อัศวินลาปิสลาซูลี่' เลยครับ แซฟไฟร์ เรียกชื่อผมว่าเอลาซัลเถอะ"

    เธอไม่ตอบ ดูท่าทางจะละอายหรือสำนึกผิดอย่างไรไม่รู้ เอสเมอรัลด้าเลยแตะแขนเธอเบาๆ

    "ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก" เธอพูดขึ้น "คุณเอลาซัลเป็นคนดีมากนะ...ถึงจะดูเหมือนไม่ใช่อย่างนั้นก็เถอะ"

    "ผมว่าเอสเมอรัลด้าก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน" เอลาซัลตอบกลับ

    ในที่สุดชายหนุ่มก็ตกลงจะมากับทั้งสาม และเล่าเรื่องการเดินทางของเขาอย่างย่อๆ โดยมีเอสเมอรัลด้าคอยถามนำ และแสดงความคิดเห็นเป็นระยะๆ สโนว์เองก็สนใจในทีแรก แต่เขาก็ไม่พอใจที่เห็นเอสเมอรัลด้ากับเอลาซัลสนิทสนมกันมากโดยที่เขาไม่มีส่วนร่วมเลย ในที่สุดเขาก็เรียกความสนใจของเอสเมอรัลด้าแล้วแยกตัวไปพูดเรื่องอื่นเบาๆ กันสองคนได้สำเร็จ ทำให้เอลาซัลเหลือแซฟไฟร์เป็นผู้ฟังคนเดียวเท่านั้น

    ตลอดสิบนาทีแรกเธอนั่งก้มหน้านิ่ง แต่ต่อมาก็แสดงความสนใจมากขึ้น เธอเริ่มชำเลืองมองหน้าเขา และเอ่ยถามอย่างประหม่าเมื่อผ่านครึ่งชั่วโมงแรกไป เมื่อผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง เธอกลายเป็นคนเดียวที่ฟังและคอยซักถามเป็นระยะๆ

    ผ่านไประยะหนึ่งเอลาซัลจึงหยุดพูดในทันใด

    "ขอบคุณครับที่ทนฟังผมมานานขนาดนี้" เขาพูดกึ่งยิ้ม "ทั้งๆ ที่สองคนนั้น..." เขาพยักพเยิดไปทางสโนว์กับเอสเมอรัลด้า "เข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวที่พวกเค้าสนใจไปแทนซะแล้ว"

    แซฟไฟร์ชำเลืองมองสโนว์กับเอสเมอรัลด้าที่ชะโงกดูหนังสือเล่มบางที่สโนว์คงจะหยิบมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่อเลื่อนสายตากลับมาทางเอลาซัล เธอก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงลังเล แต่พอได้ยินอย่างชัดเจน

    "อย่า...คิดอย่างนั้นสิคะ...เรื่องที่คุณเล่าสนุกมากนะ"

    "ขอบคุณครับที่อุตส่าห์ชม" เอลาซัลตอบ เขารู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าการที่เธอแสดงความเห็นออกมาตรงๆ อย่างนี้ดีเหลือเกิน ทำให้เขาเริ่มสนใจในตัวเธอมากขึ้น และสงสัยว่าทำไมเธอถึงได้ดูเหมือนมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลาแบบนี้นะ

    เด็กสาวไม่ตอบคำพูดเขาในทันทีทันใด เธอได้แต่เลื่อนสายตาลงจับจ้องพื้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา

    "คุณได้...เดินทางไปตั้งหลายที่...คงจะ...วิเศษไปเลย"

    "อืม..." เอลาซัลเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าไตร่ตรอง "ก็ใช่ครับ เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก แต่ก็ไม่เสมอไปหรอก พวกเราจูมิที่ออกไปในโลกภายนอกต้องระวังตัวจากนักล่าจูมิอยู่เสมอ การเดินทางมีทั้งช่วงที่ยากลำบากและอันตรายมากด้วย"

    "แต่คุณ...คุณก็มี...'อิสระ'..." แซฟไฟร์ตอบ ก่อนจะเน้นคำหลังด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ที่บอกความเขินอายของเธอ "แล้วคุณ...ก็ได้เห็น...อะไรต่างๆ...มากมายเหลือเกิน"

    เขาเริ่มจะเข้าใจเด็กสาวมากขึ้นจากคำพูดนั้น

    "ก็จริง ผมว่าผมมีประสบการณ์กับโลกภายนอกมากกว่าจูมิคนอื่น แต่เมืองนี้เป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเรานะครับ แซฟไฟร์ ความปลอดภัยเองก็สำคัญเหมือนกัน" เขาปรายตามองใบหน้าที่ก้มลงของเด็กสาว ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อรักษาบรรยากาศของการสนทนา

    "ได้ยินมาว่า...คุณแม่ของคุณเป็นคลาริอุสพระองค์ก่อนใช่มั้ยครับ แซฟไฟร์"

    เธอผงกศีรษะรับน้อยๆ

    "แล้วคุณเคยพบองค์หญิงฟลอริน่า...คลาริอุสองค์ปัจจุบันหรือเปล่าครับ" ชายหนุ่มถามต่อ

    "เคย...ไม่กี่ครั้งค่ะ" เด็กสาวตอบเบาๆ "พระองค์...เป็นคนแบบที่...ฉันอยากจะรู้จักให้มากกว่านี้..."

    เอลาซัลยืดหลังขึ้น วางมือของตนบนเข่า ก่อนจะหันมามองเธอตรงๆ

    "ถ้าอย่างนั้น...จะให้ผมไปกราบทูลองค์หญิงมั้ยล่ะครับ พระองค์เองคงอยากให้คุณเข้าเฝ้าเหมือนกันแน่"

    แซฟไฟร์ไม่พูดว่าอะไร ชายหนุ่มจึงถามต่อด้วยความสงสัย

    "ว่ายังไงล่ะครับ"

    หากจู่ๆ เด็กสาวกลับสั่นศีรษะ

    "ม...ไม่รู้สิคะ" เธอตอบตะกุกตะกักแทบไม่มีเสียง "ฉัน...ฉันไม่รู้ว่า..."

    คิ้วของเอลาซัลเริ่มขมวดเมื่อเห็นปฏิกริยาของเธอ

    "อะไรเหรอครับ ทำไมเหรอ"

    เด็กสาวเลื่อนสายตาขึ้นมองเขาในทันทีทันใด ในดวงตาคู่สวยของเธอแฝงแววเจ็บช้ำอย่างประหลาด

    "ขอโทษนะคะที่ฉัน...ฉันไปไม่ได้หรอกค่ะ...คุณแม่...ท่านน่ะ..."

    เอลาซัลเข้าใจในทันใดนั้น

    "คุณแม่ของคุณ..." เขาพูดพร้อมกับก้มหน้าลง "นั่นสินะ...ท่านเสียเพราะ..."

    ชายหนุ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาโดยฉับพลันกับความคิดที่ว่า...นี่อีกแล้ว เหยื่ออีกคนของระบบสังคมของเรา ภาพของเด็กสาวที่ต้องมาทนทุกข์กับสิ่งที่ตนเองไม่ได้ก่อขึ้นเสียดแทงใจของเขาอย่างประหลาด ดวงตาของเธอดูเลื่อนลอยราวกับเด็กเล็กๆ ที่กำลังหลงทาง

    เพื่อดึงความสนใจของเธอไปจากเรื่องที่เขารู้สึกผิดที่พูดขึ้นมา ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นอย่างหนักแน่น

    "องค์หญิงต้องดีพระทัยมากแน่ที่ได้พบคุณ แซฟไฟร์ ผมว่าคุณกับพระองค์ต้องเข้ากันได้แน่"

    หากแซฟไฟร์ไม่ตอบว่าอะไร และถึงแม้เอลาซัลจะได้พบเธออีกหลายครั้งในช่วงสองสัปดาห์ถัดมาที่เธอมากับเอสเมรัลด้ากับสโนว์เป็นครั้งคราว เด็กสาวก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องเข้าเฝ้าองค์หญิงฟลอริน่าเลย และชายหนุ่มก็ไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเช่นกัน


    "ได้ข่าวล่ามาแรงหรือเปล่าองค์หญิง" อเล็กซ์พูดขึ้นในวันหนึ่งปลายเดือนพฤศจิกายน "ฟังให้ดีล่ะ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเอลาซัลอีกด้วย"

    อเล็กซ์มาเยี่ยมองค์หญิงฟลอริน่าที่กำลังทรงแปลอักขระรูนอยู่ในห้องบรรทมซึ่งบานพระแกลเปิดกว้างรับกระแสลมสดชื่น และท้องฟ้าโปร่งเบื้องนอกก็เป็นสีฟ้าบริสุทธิ์ โต๊ะข้างหน้าต่างมีม้วนกระดาษกับขวดหมึกวางกองเต็มไปหมด และองค์หญิงฟลอริน่าก็ทรงลิขิตอักขระรูนพร้อมด้วยความหมายของแต่ละตัวอักษรลงบนกระดาษม้วนใหม่ ด้วยหัตถ์เล็กบางที่ทาบอยู่ริมขอบกระดาษ

    "หวังว่าคงเป็นเรื่องดีนะ" พระองค์ตรัสโดยไม่ได้เงยพักตร์ขึ้นจากงานที่ทรงอยู่

    อเล็กซ์ที่ยืนกอดอกพิงผนังข้างหน้าต่างจ้องมองกำแพงด้านตรงข้ามด้วยท่าทางเลื่อนลอย เหลือบมามองวรองค์บอบบางเมื่อได้ยินคำตรัส

    "ก็ขึ้นอยู่ว่าจะดีกับใคร" เด็กหนุ่มตอบ "ไดอาน่าน่ะ...คิดจะเป็นแม่สื่อหาคู่ให้เอลาซัล"

    องค์หญิงฟลอริน่าเงยพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพร้อมกับเลิกพระขนงเป็นเชิงถาม

    "หาคู่ให้เอลาซัล?" ทรงทวนคำ

    "ใช่" อเล็กซ์พูดต่อด้วยเสียงแห้งๆ "แม่เจ้าประคุณร้อนใจเป็นกำลัง...ที่อัศวินไพฑูรย์คนดีของเราแสนอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวซึมเซาจนต้องเจ้ากี้เจ้าการหาคู่ตุนาหงันมาเป็นบ่วงผูกคอให้อุ่นใจ"

    ดวงเนตรขององค์หญิงยังคงจับจ้องอเล็กซ์ไม่วางตา และสังเกตได้ว่าดูเขาจะอารมณ์ไม่ดีนักแม้จะพูดประชดแดกดันให้ดูเป็นเรื่องตลก ดวงตาที่เป็นประกายสดใสอยู่เป็นนิจของเขาตอนนี้ดูมืดมนอย่างประหลาด

    "เล่าต่อซิ" องค์หญิงตรัสช้าๆ

    "ยัยคู่หมายนั่นชื่อแซฟไฟร์" อเล็กซ์รีบพูดต่อไป "พอเห็นเด็กนั่นแล้วต้องยอมยกนิ้วให้ไดอาน่าเลยว่าหล่อนเจ้าเล่ห์เหลือร้าย วางแผนไว้ซะดิบดีหาที่ติไม่ได้" ร้อยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเด็กหนุ่ม "ข้อแรก...ยัยเด็กนั่นกำลังจะบรรลุนิติภาวะ แล้วพวกนั้นก็จะให้หล่อนเป็นคลาริอุสองค์ต่อไป ใครที่ได้เป็นอัศวินของหล่อนก็จะพลอยได้รับเกียรติสูงสุดไปด้วย ข้อสอง...เจ้าหล่อนเป็นคนซื่อไร้เดียงสาไม่เป็นพิษภัยกับใครเห็นๆ น่าตาก็น่ารักดีหรอกถึงจะไม่สวยบาดจิตบาดใจก็เถอะ ข้อสาม...หล่อนดูจะเรียกความสงสารได้ชะงัดนัก เป็นเด็กกำพร้าที่ดูอ้างว้าง มีชีวิตวัยเด็กที่ไม่เป็นสุข ทุกอย่างของยัยเด็กนั่นจับใจเอลาซัลได้เห็นๆ!"

    ในระหว่างที่อเล็กซ์พูดไปนั้น องค์หญิงฟลอริน่าเลื่อนสายพระเนตรลงด้วยสีพักตร์ครุ่นคิด ผ่านไปพักหนึ่งพระองค์เพิ่งทรงสังเกตว่าอเล็กซ์หยุดพูดแล้วและกำลังรอคำตอบจากพระองค์

    "ว่าไงล่ะ" เขาถาม "องค์หญิงคิดว่ายังไงบ้าง"

    "ก็..." องค์หญิงฟลอริน่าตรัสตอบเบาๆ "เรากำลังคิดถึงเรื่องของแซฟไฟร์ ก็แค่..."

    "ว่ามาเถอะ" อเล็กซ์ขัดขึ้นด้วยความสนใจ

    "แซฟไฟร์น่ะ..." องค์หญิงตรัสต่อไป ขณะที่หัตถ์ผอมบางลูบม้วนกระดาษเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย "เป็นธิดาของคลาริอุสองค์ก่อน พ่อของเธอตายตั้งแต่เธอยังเป็นทารก เราเลยเข้าใจว่าเธอเป็นเด็กที่ค่อนข้างเก็บตัว แล้วก็ผูกพันกับแม่มาก พอเห็นพระอาการของคลาริอุสองค์ก่อนทรุดลงเรื่อยๆ เธอก็เลยเกิดความกลัวการสูญเสียขึ้นมาอย่างรุนแรง จนถึงตอนที่ผลึกชีวิตของคลาริอุสองค์ก่อนแตกสลาย...ต่อหน้าต่อตาแซฟไฟร์ที่อายุแค่สิบขวบ เธอช็อคมากจนถึงกับพูดอะไรไม่ได้ไปถึงปีเต็มๆ"

    อเล็กซ์คิดอย่างไตร่ตรอง

    "มิน่าเล่าเด็กนั่นถึงได้ซึมอยู่ตลอดเวลาแบบนี้" เขาเปรยขึ้น

    "เธอเป็นเด็กดีนะ" องค์หญิงฟลอริน่าตรัสเบาๆ "เราเองก็อยากจะเห็นเธอมีความสุข การใช้เธอเป็นเครื่องมือผูกมัดเอลาซัลแบบนี้ไม่ถูกต้อง และน่าละอายเหลือเกิน แต่แผนนี้อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ เพราะเอลาซัลเกลียดการถูกบังคับให้ทำอะไรมากที่สุดนี่นา"

    "อาจจะ...นะ" อเล็กซ์ตอบ "แต่อย่าประมาทยัยจิ้งจอกไดอาน่าเชียว มีอุปสรรคสำคัญอยู่ตั้งสองตัว แต่ไม่ต้องสงสัยว่ายัยนั่นคงคิดหาทางกำจัดไว้เรียบร้อยแล้ว หนึ่งคือ...หัวเด็ดตีนขาดยังไงเอลาซัลก็ไม่ยอมรับใครเป็นผู้พิทักษ์ แต่พวกนั้นก็วางแผนให้เอลาซัลได้รู้จักกับแซฟไฟร์ดีขึ้นทีละน้อย จนกว่าจะบอกให้เอลาซัลรับหล่อนเป็นผู้พิทักษ์ อุปสรรคอีกหนึ่งคือเรื่องที่เค้ารู้กันไปทั่วว่าเอลาซัลหลงรักแบล็คเพิร์ล แต่ผมว่าไดอาน่ารู้เรื่องของแอมเบอร์แล้ว...ซึ่งแอมเบอร์ก็คงเป็นคนเล่าเองนั่นแหละ ไดอาน่าคิดว่าถ้าแอมเบอร์ยั่วให้เอลาซัลไขว้เขวจากแบล็คเพิร์ลได้ เด็กนั่นก็ทำได้เหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรักหรอก และในเมื่อแบล็คเพิร์ลทำเป็นเฉยชากับเอลาซัลนัก เดี๋ยวเขาก็คงจะเลิกรักหล่อนได้เองถ้าเจอคนที่เหมาะสมกับตัวเองมากกว่า ปิ๊งป่อง!! มันยอดไปเลยล่ะไดอาน่า!! หล่อนนี่ฉล้าด...ฉลาด แถมชอบเสือ.กเรื่องชาวบ้านซะไม่มี!!"

    "เราว่าเรารู้จักคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมากกว่าไดอาน่าอีกนะ" องค์หญิงฟลอริน่าเปรยขึ้นลอยๆ

    แววตาของอเล็กซ์ดูขุ่นขึ้นมาทันใด

    "องค์หญิง..." เขาพูดเสียงหนักๆ หากอีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่สน

    "แล้วเรายังรู้จักคู่ที่เลวร้ายยิ่งกว่าจับเอลาซัลคู่กับแซฟไฟร์ที่น่าสงสารเข้าอีก"

    "องค์หญิงนี่!" อเล็กซ์แกล้งขึ้นเสียง "ไหงพูดแบบนี้ล่ะ!!"

    "อะไรกันเล่า" องค์หญิงฟลอริน่าตรัสตอบด้วยกระแสเสียงเรียบเย็น "ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าเราไม่รักเธอนะ...ที่รัก"

    อเล็กซ์หัวเราะออกมาน้อยๆ แต่ฟังไร้อารมณ์ขัน ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าสีเย็นนอกหน้าต่าง

    "แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่แฮะ..." เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาลอยๆ

    องค์หญิงเหลือบเนตรมาทางเขาอีกครั้ง

    "สงสัยอะไรเหรอจ๊ะ"

    "ตอนที่ผมพบเอลาซัลครั้งแรกเมื่อปีก่อน" อเล็กซ์เอ่ยช้าๆ "เค้าเดินไปทั่วเมืองตอนกลางคืน ดูงุ่นง่านเหมือนเสือในกรงที่ต้องการจะหนีจากอะไรซักอย่าง แล้วเค้าก็หนีออกจากเมืองจริงๆ ตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ ผมตามไปด้วย ผมคิดว่าเค้าคงไม่อยากจะกลับมาที่นี่อีก แต่เค้าก็กลับมาจนได้ ถ้าไม่เจอแบล็คเพิร์ลเข้าล่ะก็ เค้าคงจะรีบออกจากเมืองไปอีกครั้งแล้ว"

    "อาจจะ...หรืออาจจะไม่ก็ได้นะ" องค์หญิงลงความเห็น

    อเล็กซ์หยุดพูดแล้วหันมามองพระองค์พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น

    "อะไรนะ"

    หากองค์หญิงฟลอริน่ากลับสั่นเศียรพร้อมกับแย้มสรวลน้อยๆ แล้วนิ่งเงียบไปอย่างมีเลศนัย อเล็กซ์จึงเลิกสนใจแล้วพูดต่อไป

    "ถ้าไม่ใช่เพราะแบล็คเพิร์ล เค้าคงจะไปจากที่นี่แล้ว การได้เป็นราชองครักษ์ทำให้เค้าได้เห็นอีกด้านนึงของชีวิตในเมืองที่เขาไม่ชอบขึ้นมา แต่เค้าก็ยังทนอยู่ต่อไปแบบนี้ ผมสงสัยจริงว่าเค้าจะทำยังไงถ้ารู้แผนของไดอาน่าเข้า"

    องค์หญิงฟลอริน่าไม่ตรัสว่าอันใด และรอยยิ้มหยันก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของอเล็กซ์เมื่อเขาเอ่ยขึ้นเบาๆ

    "ถ้าเป็นอย่างนั้น...คงถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจอีก ว่าครั้งนี้จะเลือกแบล็คเพิร์ลหรืออิสรภาพล่ะ...เอลาซัล"


    Author's Comment: แซฟไฟร์เป็นจูมิที่ถูกพูดถึงลอยๆ ในบท "Drowned Dreams" ของเกมค่ะ เธอจะปรากฏตัวในตอนต่อๆ ไปอีกเหมือนกัน ตอนแรกเรายังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะวางบทของเธอในเรื่องยังไงดี แล้วคิดจะเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเธอแยกออกมาต่างหาก แต่ในที่สุดเราก็หาทางใส่บทของเธอในเรื่องหลักจนได้ค่ะ

    Translator's Comment: จะอิจฉานายดีมั้ยนะเอลาซัล...มีสาวมาชอบตั้งหลายคน แต่คนที่เจ้าตัวชอบจริงๆ กลับไม่น่าจะมีโอกาสคู่กันได้ซะนี่ ^^;;; ส่วนตัวแล้วผมชอบแซฟไฟร์นะ สงสารนิดๆ ด้วย เคยคิดว่าถ้าเธอกับเอลาซัลคู่กันได้ก็น่าจะดีนะ (แต่บทสรุปของสองคนนี้...ต้องรอดูอีก 2 ตอนหน้าครับ - -)
    ตอนนี้จบภาคของเอลาซัลล่ะครับ ช่วงต่อไปจะขึ้นภาค 2 ซึ่งเป็นภาคของฟลอริน่าครับ (แต่การดำเนินเรื่องยังคงสลับฉากไปมาระหว่างกลุ่มตัวละครต่างๆ เช่นเดิม) เหตุการณ์ใหญ่ (ยิ่ง) จะเริ่มเกิดขึ้นท้ายภาคนี้ครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×