ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #25 : ภาคที่ 4 - ซานดร้า / บทที่ 3 - ความฝันอันจมดิ่ง: แซฟไฟร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 137
      0
      20 พ.ค. 49

    ขอมอบตอนนี้ให้กับ Anithin นักวาดภาพประจำเรื่อง Legend
    of the Jumi ค่ะ ขอขอบคุณสำหรับภาพสวยๆ โดยเฉพาะภาพของตัวละครกึ่งออริจินัล (แอมเบอร์ สโนว์ กับแซฟไฟร์) และการแปลเรื่องนี้เป็นภาษาไทยค่ะ

    PART IV: SANDRA
    Chapter 3: Drowned Dreams: Sapphire

    ภาคที่ 4: ซานดร้า
    บทที่ 3: ความฝันอันจมดิ่ง: แซฟไฟร์


    ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจ

    น่าเศร้านัก...ดูเธอจะเป็นคนซื่อตรงดีแท้

    และความหวาดกลัวทั้งหมดที่เธอยึดมั่น

    จะกลับกลายเป็นคำกระซิบอยู่ข้างหู

    รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดจะทำร้ายเธอ

    รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีความหมายเพียงใด

    เธอกลับไม่รู้สึกอะไรเลย

    ฉันกำลังร่วงหล่นลงไป...ฉันกำลังเลือนหายไป...ฉันกำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงลึก...ช่วยให้ฉันได้หายใจทีเถิด

    ฉันกำลังปวดร้าว...ฉันได้สูญเสียทุกสิ่ง...ฉันกำลังจมดิ่งสู่ห้วงลึก...ช่วยให้ฉันได้หายใจทีเถิด...

    - Duvet (Boa)


     

    มหาสมุทรในวสันตฤดูเป็นสีน้ำเงินเข้มกระจ่างใสดุจดังเปลวเพลิง ประหนึ่งอัญมณีที่ส่องประกายอยู่บนทรวงอกของเด็กสาวผู้ยืนอยู่ท่ามกลางไอร้อนในเช้าตรู่แห่งฤดูใบไม้ผลิ เธอทอดสายตามองผืนน้ำด้วยดวงตาเลื่อนลอยสีไพลินลึกล้ำ...ดวงตาอันบรรจุไว้ด้วยแสงซึ่งทั้งอบอุ่นและลึกสุดประมาณเสมือนหนึ่งผิวน้ำเจิดจ้าที่ทอดยาวสุดสายตาบรรจบกับปลายฟ้าระยิบระยับ สาหร่ายทะเลสีแดงพลิ้วไหวไซ้สองเท้าเปล่าตามแรงของเกลียวคลื่นที่ซัดซาดบนทรายสีกุหลาบซีด

    เราอยู่คนเดียว...เด็กสาวคำนึงกับตนเอง ตลอดชีวิตนี้เราอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด...

    ความเดียวดายนั้นประหลาดนัก มันเป็นเสมือนยาบรรเทาจิตวิญญาณของเธอ แต่ก็ยังเป็นความเจ็บปวดที่คอยแผดเผาราวกับเปลวเพลิง เธอโหยหาความเดียวดายทั้งที่กลัวมัน เธอต้องการมัน ทว่ามันก็กัดกร่อนอยู่ภายในตัวเธอช้าๆ

    สายหมอกสีทองยามอรุณรุ่งลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบกายเด็กสาวราวกับเกลียวคลื่นในมหาสมุทร บดบังภาพรอบกายราวกับกำแพงที่คุมขังอันเรืองรอง และเธอก็นั่งลงบนพื้นทรายอุ่นพร้อมกับปล่อยให้ตนเองจมดิ่งลงไปในห้วงคำนึง

    ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านไปเพียงครู่...แต่ให้ความรู้สึกยาวนานดุจนิจนิรันดร์...ก่อนที่เด็กสาวจะสังเกตเห็น 'เธอ' ในทันใด

    ร่างอันเป็นประกายในแสงตะวันค่อยๆ กลับกลายเป็นภาพอันชัดเจนของดรุณีแรกรุ่นคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนก้อนหินริมมหาสมุทร ดวงตาสีมืดบนใบหน้าสีขาวประหลาดจับจ้องเด็กสาวอย่างจดจ่อ

    ดรุณีน้อยคนนี้สวยงามนัก เรือนผมสีน้ำตาลเหมือนสาหร่ายสลวยราวกับกลุ่มไหมล้อมกรอบดวงหน้าสีขาวหิมะ ผ้าพันอกสีแดงดั่งสีปะการัง กระโปรงสีนวลงาช้างพัดพลิ้วรอบลำขาเรียวประหนึ่งฟองคลื่น ทว่ามีบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเธอที่ชวนให้หวาดหวั่น ...ดวงตาที่มืดมิดเกินไปบนใบหน้าที่ขาวเกินไปกับสีหน้าเรียบเฉยนั้นจ้องตรงมาทางเด็กสาวเหมือนกับจะเจาะลึกเข้าไปในความคิด...ในแก่นแท้ของจิตวิญญาณของเธอ

    มือของเด็กสาวเลื่อนขึ้นหาทรวงอกของตน...หาพลอยที่ส่องแสงอยู่ภายใน และแตะนิ่งเหมือนกับจะป้องปิดมันไว้ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้เผยมันออกมา...ความคิดนั้นไม่เคยเลื่อนเข้ามาอยู่ในห้วงคำนึงของเธอเลยเพราะอันตรายที่อาจเกิดขึ้น แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่ามันยังคงอยู่ใต้เสื้อผ้า...ทว่าสายตาอันมืดมนและมีอำนาจทะลุทะลวงของเด็กหญิงค้นพบมันได้โดยไม่ต้องเห็นมันในโลกแห่งวัตถุเลย

    และแล้วเด็กหญิงก็เอ่ยถามขึ้น

    "เจ้าชอบที่นี่ใช่ไหมล่ะ"

    เด็กสาวตอบเบาๆ

    "ชอบสิ...ทำไมล่ะ"

    "นั่นสินะ" เด็กหญิงเปรยขึ้น "ข้าถึงได้รู้สึกเหมือนกับมันกำลังเรียกหาข้า"

    "ว่าอะไรนะ..." เด็กสาวเอ่ยเสียงแผ่ว นิ้วมือของเธอยิ่งกำรอบพลอยสีน้ำเงินแน่นขึ้น "อะไร...เรียกเธองั้นเหรอ"

    "ดวงใจอันแปลกประหลาดของเจ้าไง" เด็กหญิงตอบ "เจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาใช่ไหมล่ะ"

    คำตอบของเด็กสาวคือ

    "ใช่"

    "ข้าก็ว่าเช่นนั้น" เด็กหญิงแปลกหน้าเอ่ย ดวงตาสีมืดจับจ้องใบหน้าของเด็กสาวไม่วางตา "ข้าไม่เคยพบเผ่าพันธุ์ของเจ้ามาก่อนเลย เจ้าเป็นอะไรกัน"

    เด็กสาวไม่ตอบว่าอะไร หากนิ้วของเธอยิ่งเกร็งแน่นรอบอัญมณีสีน้ำเงินที่ฝังลึกอยู่กลางทรวงอก เด็กหญิงดูจะสังเกตกริยานั้นและขยับไหล่ของตนน้อยๆ

    "จะอะไรก็ไม่สำคัญกับข้าหรอก" เธอว่า "ข้าสนแค่ว่าเจ้าเป็นหนึ่งในพวกที่ได้ยินเสียงเรียกของเราก็เท่านั้น"

    เด็กสาวก้มศีรษะลงต่ำและยังคงนิ่งเงียบต่อไป หากเด็กหญิงยังพูดต่อ

    "คลื่นทะเลขับขานลำนำของพวกเรา...และผู้ที่ได้ยินกระแสเสียงของเราก็ใฝ่หาจะเป็นหนึ่งเดียวกับเรา"

    "เธอคือพวกนั้นสินะ" เด็กสาวเอ่ยถามแผ่วเบา สายตาตรึงอยู่กับผืนทรายระยับ "พวกที่ใช้บทเพลงมรณะล่อลวงผู้คนลงไปใต้ท้องน้ำ..."

    สีหน้าบนดวงหน้าสีขาวของเด็กหญิงยังไม่แปรเปลี่ยน

    "ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเห็นมันเป็นอะไร" เธอตอบ "พวกเราเห็นสิ่งนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลง...

    "ผู้ที่ได้ยินเสียงของเรา...และเลือกที่จะมากับเรามาด้วยความสมัครใจของเขาเอง พวกเขาใฝ่หาเราเพราะพวกเขาตกหลุมรักทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล ลึกลงไปในใจแล้วพวกเขาอยากจะเป็นหนึ่งเดียวกับลำนำแห่งมหาสมุทรอันไม่รู้จบ...และทิ้งเงาเลือนลางสีเทาบนผืนธรณีไว้เบื้องหลัง

    "พวกเราคือชาวทะเล..." เด็กหญิงพูดต่อไป น้ำเสียงหวานใสดั่งเสียงขลุ่ยของเธอนั้นเป็นเหมือนกับบทเพลงรื่นหู และลื่นไหลราวกับกระแสคลื่นอันอ้อยอิ่ง "พวกเราเลือกรูปร่างที่ต้องการดำรงอยู่ได้เหมือนกับฟองคลื่น มีหลายคนที่เลือกร่างมนุษย์เพราะนั่นเป็นร่างที่พวกเขาเคยคงอยู่ แต่ก็มีอีกมากที่เลือกร่างที่ต่างออกไป...

    "แต่เมื่อผู้ที่ต้องการจะเป็นหนึ่งเดียวกับเราเข้าสู่ผืนน้ำ บ้างก็หวาดหวั่นกับความรู้สึกเปลี่ยนแปลงที่ต้องเผชิญนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงยอมแพ้ด้วยความขลาดกลัว...และเลือกที่จะจบชีวิตลงอย่างมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีเพียงผู้ที่มีความรักห้วงมหาสมุทรอย่างแท้จริง...ผู้ที่ยินยอมพร้อมใจจะสละเปลือกเนื้อที่ห่อหุ้มร่างอย่างสมบูรณ์แบบ...เพื่อจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับดวงใจอันมืดมิดแห่งมหาสมุทร...มีเพียงผู้ที่มีทั้งจิตใจที่เข้มแข็ง และความรักแท้เท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างสมบูรณ์จนกลายมาเป็นพวกเดียวกับเราได้"

    เด็กสาวไม่พูดว่าอะไร และริมฝีปากของเด็กหญิงก็หยักเป็นรอยยิ้มอันมืดมิดแฝงความนัย

    "เจ้าร้องเรียกพวกเรา" เธอเอ่ย "เจ้าอยากจะเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเรา เจ้าเหน็ดเหนื่อย...และเดียวดายมากพอแล้วกับโลกนี้ ทิ้งกายเนื้อของเจ้าแล้วมาเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเราเถิด...เด็กน้อยผู้มีดวงใจเป็นแก้วผลึกเอ๋ย"

    เด็กหญิงเอนกายมาเบื้องหน้า ถ้อยคำของเธอนั้นล่องลอยมาตามกระแสลมอุ่นยามเช้าดั่งคำกระซิบในความฝันจากอดีตกาล

    "เราจะนำเจ้าไปสู่แดนแห่งใหม่อันแปลกตา...ดินแดนซึ่งผู้ที่ยังถูกจำขังอยู่ในคุกสีเขียวบนพื้นพิภพมิเคยพบพาน เราจะนำเจ้าไปถึงสุดขอบโลก ที่ซึ่งสุริยันมิเคยลับฟ้า และห้วงวารีลุกโชติช่วงราวเปลวเพลิง ที่ซึ่งหยาดวรุณอบอุ่นและส่องประกายอ่อนโยนในลำแสงนิรันดร ที่เจ้าต้องทำก็มีเพียงสลัดคราบเก่าอันบอบช้ำแล้วมาเป็นหนึ่งเดียวกับเราในห้วงสมุทรเท่านั้น"

    เด็กสาวกระซิบ

    "ม...ไม่รู้สิ ฉันกลัว...กลัวถ้าจะต้อง...ตาย..."

    "การตายเป็นหนทางเดียวสู่สภาวะใหม่" เด็กหญิงตอบ

    เธอเอนกายเข้ามาใกล้อีก ดวงตาสีมืดมองลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเด็กสาว

    "ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดหรอก" เธอเอ่ย "สักวันหนึ่งเจ้าจะมาเป็นหนึ่งเดียวกับเรา...เด็กน้อยผู้มีดวงใจเป็นไพลินเอ๋ย..."


    แซฟไฟร์สะดุ้งตื่นในทันใด เด็กสาวผุดลุกขึ้นใช้มือลูบแก้ม...ปัดเส้นผมยาวสลวยไปทั้งที่ยังรู้สึกสับสน เธอคงจะผล็อยหลับไปบนพื้นทรายละกระมัง รุ่งอรุณสีทองยามนี้สลัวลงเป็นเงาเงื้อมแห่งสนธยาเสียแล้ว

    แค่ฝัน...เธอคิด ก็แค่...ฝันประหลาดไปเท่านั้น...

    เด็กสาวใช้มือสั่นเทาลูบใบหน้าเพื่อไล่เศษเสี้ยวของความฝันอันสว่างเรืองรองน่าพรั่นพรึงออกไป แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้าตาทำให้มองอะไรไม่เห็นไปครู่หนึ่ง เธอจึงได้หันหน้าหนีแล้วเอนหลังลงบนพื้นทราย เงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าสีครามอบอุ่น

    เธอรู้...รู้ว่ามีสิ่งหนึ่งที่คืบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วจนไม่อาจจะไขว่คว้าทัน แต่เธอก็อธิบายไม่ถูกว่าสิ่งนั้นคืออะไร

    เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว...เด็กสาวคิดเพื่อพยายามจะขับเงามืดของความฝันอันแฝงนัยประหลาดออกไป

    เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว...

    เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าฤดูใบไม้ผลิอันว่างเปล่า...ด้วยดวงตาที่มองสิ่งใดไม่เห็นเลยนอกจากสีฟ้า และเธอก็นึกอยากจะจมดิ่งลงไปในฟากฟ้าสีครามไพศาล...ดิ่งลึกลงไปในห้วงความฝัน จมดิ่งลงไปแล้วลืมเลือนให้หมดทั้งความหวัง...ความหวาดกลัว...ชีวิตของเธอ...

    ลืมสิ้นให้หมด...ทุกสิ่ง...


    เอลาซัลเตรียมตัวจะไปจากเมืองริมทะเลให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ย่างเข้าเดือนมิถุนายนแล้ว และเขาก็เพิ่งมาอยู่ที่โรงแรมได้เพียงสองสัปดาห์เท่านั้น ทว่าความรู้สึกรับผิดชอบที่มีต่อเอสเมอรัลด้ากับสโนว์ยิ่งหนักอึ้ง เขาจึงหัวเสียขึ้นมาเมื่อกลับมายามบ่ายเพียงสองวันก่อนหน้าวันออกเดินทาง...แล้วพบว่าเพิร์ลหายตัวไป

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ถึงจะให้สัญญาซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง เพิร์ลก็ยังคงเดินใจลอยไปมาเป็นปกติวิสัย แต่ในบางครั้งเอลาซัลถึงกับต้องเสียเวลาตามหาเธอทั้งวัน และเขาก็จะปล่อยให้การเดินทางล่าช้าออกไปอีกไม่ได้

    แซฟไฟร์เป็นคนที่คอยรับผิดชอบดูแลเพิร์ลช่วงที่เอลาซัลไม่อยู่ และเด็กสาวก็กังวลมากที่หญิงสาวหายตัวไป แต่เมื่อเธอขอโทษเอลาซัล เขาก็ตัดบทง่ายๆ ว่า

    "ไม่ต้องห่วงหรอก เค้าทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ แซฟไฟร์ก็รู้"

    แซฟไฟร์ไม่พูดว่าอะไร และเอลาซัลก็ถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าท่าทางของเธอไม่สู้ดีนัก

    "เป็นอะไรหรือเปล่าแซฟไฟร์"

    เด็กสาวสะดุ้งเฮือก

    "คะ...ม...ไม่เป็นไรค่ะ แต่เราต้องรีบตามหาท่านหญิงนะคะพี่เอลาซัล" เธอรีบเสริม

    ชายหนุ่มพินิจดวงหน้าของเด็กสาวพร้อมกับคิดว่าคำตอบของเธอฟังกระท่อนกระแท่น และสีหน้าก็ดูเหมือนจะว้าวุ่นไม่สบายใจอย่างไรไม่รู้ หากเขาก็ไม่พูดอะไรกับเรื่องนี้ และตอบเพียงว่า

    "นั่นสินะ พี่รีบไปก่อนดีกว่า เค้าคงจะไปได้ไม่ไกลนักหรอก"

    แซพไฟร์พยักหน้า แต่แล้วเธอก็ก้าวออกมา ใช้นิ้วเรียวบางกุมรอบมือเอลาซัลไว้

    "แล้วกลับมาอย่างปลอดภัยนะคะ" เธอเอ่ย

    ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ ทว่าดวงตาของเด็กสาวยังตรึงติดอยู่กับพื้น ดูเหมือนเธอจะครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงเลื่อนมือออกจากมือของแซฟไฟร์ วางลงบนสองไหล่บอบบางพร้อมกับมองตรงมาที่ดวงหน้า

    "ไม่เป็นไรแน่นะแซฟไฟร์" เขาถามด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างยิ่ง

    เด็กสาวไม่ตอบว่าอะไร...แต่แล้วชายหนุ่มต้องประหลาดใจมากเมื่อจู่ๆ เธอกางสองแขนออกโอบกอดเขาไว้แน่นแล้วซุกหน้าลงกับไหล่ของเขา

    "กลับมา...อย่างปลอดภัยนะคะ" เธอกระซิบย้ำอย่างแผ่วเบา ก่อนจะก้าวถอยไปแล้วฝืนยิ้ม "ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ"

    เอลาซัลไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี แต่เขาก็ผละออกโดยไม่พูดอะไร

    เมื่อมาถึงสุดทางเดิน ชายหนุ่มหยุดชะงักแล้วเหลียวมองข้ามไหล่ไป

    แซฟไฟร์ยังยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู...หันหลังให้กับแสงสว่าง ใบหน้าของเธอขาวซีดมาก นัยน์ตากลมโตก็ดูเหมือนกับห้วงลึกสองห้วงภายในนั้น ดวงตาทั้งสองจับจ้องตอบรับสายตาของเอลาซัลอย่างเงียบๆ เหมือนกับที่ดวงตาของเพิร์ลกระทำอยู่เสมอ

    เอลาซัลเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างท่วมท้นกับความรู้สึกประหลาด...เหมือนกับได้เห็นอีกสิ่งหนึ่งผ่านทางสายตาของเด็กสาว...ภาพสะท้อนลวงตาของภูติพรายจากอีกโลกหนึ่งที่มองตรงมาทางเขาด้วยสายตาอันแฝงนัยบางอย่าง

    ชายหนุ่มกลับหลังหันจากภาพอันชวนพรั่นพรึงนั้น แล้วเดินผ่านประตูออกไป


    เอลาซัลตรงมาที่ห้องพักเล็กๆ ของเขาก่อน แล้วตรงเข้ารื้อค้นในตู้อย่างรวดเร็ว เขามีดาบของตนเองอยู่แล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงอาวุธธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเพิร์ลแล้วเขาอยากจะระมัดระวังไว้ให้มาก จึงเป็นการดีกว่าที่จะมีสิ่งที่มีพลังติดตัวไปเป็นเครื่องป้องกันอีกชั้นหนึ่ง

    ค้นหาเพียงไม่นานเขาก็พบสิ่งที่ตามหาอยู่...ดาบลงอักขระของแบล็คเพิร์ล

    เขาแทบไม่ได้ใช้มันนัก แต่ก็รู้สึกสังหรณ์ว่าเขาคงจำเป็นต้องเอามันติดตัวไปด้วยในตอนนี้ ชายหนุ่มจับด้ามดาบดึงด้านคมออกมาจากกองสิ่งของที่ระเกะระกะอยู่ในตู้ แล้วแขวนดาบไว้กับเข็มขัดของตน


    ในป่าสว่างไสวด้วยแสงแดดอ่อนยามบ่าย และต้นไม้เรียวบางก็ออกดอกสีขาวสะพรั่ง พื้นดินสีมืดเบื้องล่างสดใสด้วยกล้าไม้เขียว ลึกเข้าไปในป่าแสนสวยอันเงียบสงัดและกรุ่นกลิ่นหอม เอลาซัลรู้สึกได้ถึงความสงบสุขที่รายล้อมตัวเขา ป่าแห่งนี้อยู่ถัดไปจากชายทะเล และเขาก็ตรงดิ่งมาที่นี่อย่างรวดเร็วเมื่อเดาว่าความงามกับบรรยากาศเงียบสงบอาจจะชักนำเพิร์ลเข้ามา นักเดินทางที่สวนทางกันยืนยันข้อสันนิษฐานนี้

    ชายหนุ่มเดินไปตามทางในป่าพร้อมกับสอดส่องสายตาตามช่องว่างของลำต้นไม้ แล้วร้องเรียกชื่อเพิร์ลเป็นระยะๆ

    เขาไม่แน่ใจว่าตนเองเดินมาไกลเท่าใด ป่าแห่งนี้ไม่น่าจะกว้างนัก แต่ดูเหมือนเขาจะกะประมาณเวลาที่เดินดุ่มเข้ามาไม่ได้เลย บางทีเขาอาจจะหลงทางแล้วเดินวนไปมาเป็นวงกลมอยู่ก็ได้ เพราะทุกสิ่งภายในป่าอันเรืองรองนี้ดูจะเหมือนกันไปหมด ชายหนุ่มเลยหยุดเดิน นิ่งนึกว่าจะทำอะไรต่อไปดี

    สายตาของเขาไปปะเข้ากับม่านใบไม้เขียวขจีเหนือดอกไม้สีขาวหิมะที่มีแสงแดดส่องลอดเป็นประกายระยิบระยับท่ามกลางสีครามล้ำลึกของท้องฟ้า

    "เพิร์ล!" ชายหนุ่มเรียกอีกครั้ง

    "ฉันช่วยแกหาแม่สาวนั่นได้นะพ่อหนุ่ม" เสียงหนึ่งพูดขึ้น

    เอลาซัลหยุดกึกก่อนจะหันกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วชักดาบออกมา ร่างหนึ่งในผ้าคลุมสีขาวปรากฏขึ้นจากในหมู่ไม้มาหยุดยืนอยู่ห่างออกไปพอสมควร หมวกคลุมปกปิดใบหน้าของมันไว้บางส่วน แต่เอลาซัลยังคงเห็นเสี้ยวหน้าเรียว กับดวงตาสีซีดเป็นประกายจ้า

    "ทิ้งดาบของแกซะ" ชายคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม "เอาหลังพิงต้นไม้แล้วชูมือขึ้นเหนือหัว"

    ขณะที่ชายผู้นั้นพูด เงาของคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากป่ารอบด้านและกักเขาไว้กลางวงล้อม

    เอลาซัลตั้งท่าเตรียมพร้อม ก่อนจะพูดด้วยเสียงดังชัดเจนโดยไม่ลดดาบลง

    "เพิร์ลอยู่ที่ไหน"

    ชายชุดขาวไม่ตอบ แต่พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มไม่รื่นหูเช่นเดิม

    "พวกแกระวังเอาไว้ เจ้านี่มันตัวอันตราย แต่หมาป่าคลั่งจะมีพิษสงอะไรถ้าถูกงูพิษฉกขาเข้าที่ล่ะ"

    เขาทำมือส่งสัญญาณให้ชายคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับฉุดกระชากผู้หญิงอีกคนให้ตามมาด้วย

    นั่นคือเพิร์ลจริงๆ เธอดูตื่นตระหนก แต่ก็ไม่แสดงอาการขัดขืนชายคนนั้น และเมื่อเห็นเอลาซัลเธอก็เปล่งเสียงร้องออกมาน้อยๆ แล้วจ้องมองเขาเขม็ง

    "คงเห็นแล้วสินะว่าพวกเราล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว" ชายชุดขาวพูดขึ้น "ขืนแกขยับแม้แต่ก้าวเดียวล่ะก็...นักธนูของฉันเสียบคอหอยแกแน่"

    สายตาของเอลาซัลจับความเคลื่อนไหวของสิ่งหนึ่งได้ในหมู่ไม้ เขาจ้องตรงไปครู่หนึ่งให้เห็นชัด จนเห็นได้ในตอนนี้ว่ามีนักธนูคนหนึ่งยืนตรงนิ่งอยู่ ลูกศรทาบพร้อมอยู่กับคันธนู นักธนูสบตาตอบเขาด้วยดวงตาสีเทาเยือกเย็นเป็นประกายท่ามกลางเงาของป่า

    และเอลาซัลก็รู้ว่าเขาสิ้นท่าแล้ว...

    หากเขามีอยู่ตัวคนเดียวคงจะง่ายดายมาก...ก็แค่วิ่งตรงไปข้างหน้าฝ่าวงล้อมออกไป ถ้าโชคดีก็อาจหลบลูกธนูได้ ถึงจะเจ็บหนักก็ยังเป็นอิสระ

    แต่ไม่ใช่ในตอนนี้...ตอนที่เขายังต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของคนอื่นๆ...ทั้งเอสเมอรัลด้า สโนว์ แซฟไฟร์ เพิร์ล...

    ตอนนี้ทุกสิ่งจะไม่ง่ายอย่างใจคิดอีกต่อไปแล้ว

    เอลาซัลปล่อยอาวุธจากมืออย่างช้าๆ และลังเล ดาบอักขระเวทตกลงนิ่งสนิทบนพื้นป่า ลำดาบส่องแสงสว่างเป็นแนวบนผืนดินสีมืด ก่อนที่เขาจะยกสองมือขึ้นชูสูงให้เห็นว่าว่างเปล่า

    ชายกลุ่มนั้นกรูเข้ามาหาเอลาซัลเหมือนกับนัดแนะกันมาแล้ว มือแข็งแกร่งราวปลอกเหล็กตะปบลงบนบ่าของเขา กระชากร่างเอลาซัลไปฟาดกับต้นไม้ใหญ่ สองแขนถูกดึงไปด้านหลังแล้วมัดข้อมือไพล่หลังรอบต้นไม้

    "อย่างนี้สิดีกว่า" เสียงนุ่มๆ ของหัวหน้ากลุ่มพูดขึ้น

    เอลาซัลหันหน้าไปอย่างยากลำบาก ชายกลุ่มหนึ่งยืนล้อมรอบเพิร์ลอยู่ในวงล้อมเล็กๆ อย่างง่ายดาย มีเพียงดวงตาของหญิงสาวที่มองพวกนั้นอย่างอ้อนวอนขณะที่ทั้งร่างสั่นเทิ้ม เธอไม่พยายามกระทั่งจะพูดหรือหาทางหลบหนีเลย

    ชายชุดขาวก้าวออกมาจนกระทั่งยืนอยู่ตรงหน้าเอลาซัล ก่อนจะดึงหมวกคลุมที่สวมอยู่ไปด้านหลัง

    "มองฉันสิ" เขาพูด

    เอลาซัลทำตาม ใบหน้าของเขาเป็นเหมือนกับหน้ากากอันเฉยชาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

    เขาจำชายคนนี้ไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยสังเกตเห็นชายชุดขาวในบาร์เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วเลย เขาไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของชายคนนี้อาจเป็นอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้แน่ๆ คือนี่ไม่ใช่กองโจรธรรมดาแน่นอน พวกมันวางแผนมาดีเกินไป...

    ชายหนุ่มสบตาตอบกับผู้นำกลุ่มของพวกมัน พยายามที่จะซ่อนความไม่เป็นมิตร ความกระวนกระวายใจที่บอกให้ตะโกนออกมาดังๆ กับความหวาดกลัวในใจลึกๆ ไว้

    แต่ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ายังสังเกตเห็น และรอยยิ้มเชือดเฉือนราวกับคมกริชก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเขา

    "ฟังฉันนะไอ้หนุ่ม" เขาพูด "แล้วฟังให้ดีด้วย ทางเดียวที่จะทำให้เราตกลงกันได้โดยสันติวิธีขึ้นอยู่กับคำตอบและความร่วมมือของแกเท่านั้น วันนี้ฉันมาหาแกเพราะอยากรู้อะไรที่สำคัญมาก"

    "ถ้าอย่างนั้นก็หัดขอร้องดีๆ ซะสิ" เอลาซัลโต้กลับอย่างเย็นชา

    ชายคนนั้นหัวเราะสั้นๆ เอลาซัลเพิ่งสังเกตว่าดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าจาง และเส้นผมก็มีสีซีดเช่นกัน ทุกสิ่งในตัวเขาซีดเผือดไร้สีราวกับผีดูดเลือดที่กำลังจะออกล่าเหยื่อมาเติมเลือดในกายไม่มีผิด

    "ก็ว่าจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน" เขาตอบ ประกายในดวงตาบอกว่าเขาไม่รู้สึกกระทบกระเทือนกับคำประชดอย่างไม่คาดฝันของเอลาซัลเลยด้วยซ้ำ "แต่เกรงว่าเรื่องที่ฉันอยากรู้น่ะถามด้วยวิธีธรรมดาๆ ไม่ได้ ที่ฉันอยากรู้คือความสัมพันธ์ของแกกับซานดร้าเป็นอะไรกันแน่"

    เอลาซัลขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่พูดอะไรไปครู่หนึ่ง

    "ฉันเคยเห็นแกที่บาร์" ชายคนนั้นอธิบาย "แล้ว...จะว่ายังไงดีล่ะ...ดูแกจะสนใจนังผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน"

    สีหน้างงงวยของเอลาซัลเลือนหายไป

    "งั้นเหรอ" เขาตอบอย่างเย็นชา

    "ฉันเดาว่าแกคงจะรู้จักมันดีสินะ" ชายคนนั้นถามต่อ

    "ก็ดีพอควร" เอลาซัลตอบ "แต่ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าไปอยู่ที่ไหน"

    ชายหนุ่มสบตาตอบชายผิวซีดด้วยสายตาเรียบๆ

    "ฉันเคยรู้จักซานดร้าจริง ไม่จำเป็นต้องปิดบัง แต่นั่นก็เมื่อนานมาแล้ว"

    ชายคนนั้นดูจะหยั่งเชิงเอลาซัลอยู่ครู่หนึ่ง เอลาซัลยังคงจ้องมองเขาด้วยสายตาเรียบๆ บอกให้รู้ว่าเขาไม่ต้องการให้มีคำถามต่อไป แต่ก็ไม่ได้กังวลเรื่องที่จะต้องตอบนัก เมื่อเห็นดังนั้นอีกฝ่ายจึงใช้นิ้วที่ผอมจนดูเหมือนจะมีแต่หนังหุ้มกระดูกเคาะริมฝีปากอย่างครุ่นคิด

    "น่าสนใจ..." เขาตอบรับเบาๆ "ฉันรู้สึกว่าพวกแกสองคนน่าจะ...มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งเกินธรรมดาเสียอีก"

    "ถ้าหมายถึงอดีตคู่ควงล่ะก็...ใช่" เอลาซัลตอบห้วนๆ พร้อมกับยักไหล่ "แต่ถ้าแกรู้จักซานดร้า ก็คงจะรู้ว่าฉันก็แค่หนึ่งในนั้น"

    "ถ้าอย่างนั้นแกก็ไม่รู้เรื่องแผนของมันในตอนนี้สินะ" ชายคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดังเดิม

    "แผน" เอลาซัลทวนคำ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแวบหนึ่ง "บาร์เทนเดอร์บอกว่าหล่อนกำลังหาพลอยอะไรอยู่...ก็ต้องมีแผนอยู่แล้วน่ะสิ ยัยนั่นเจ้าเล่ห์เป็นที่หนึ่ง...แกก็รู้"

    รอยยิ้มอันไม่โสภาหวนกลับมาที่ริมฝีปากของชายผิวซีดอีกครั้ง

    "แกรู้เท่านั้นแน่เหรอ" เขาถาม "ลองรื้อฟื้นความจำหน่อยสิ"

    "ถ้าฉันรู้อะไรมากกว่านี้คงบอกแกไปแล้ว" เอลาซัลยังตอบห้วนๆ "ถ้าช่วยได้ฉันก็อยากช่วยแกหาซานดร้าต่อเหมือนกัน แกจะได้เลิกยุ่งกับฉันซะที"

    สายตาของเขาปรายไปทางเพิร์ลแวบหนึ่ง หญิงสาวดูจะกลับมาเหม่อลอยอีกครั้ง แม้ความรุนแรงเมื่อครู่จะทำให้เธอตื่นตระหนก เธอยืนนิ่งเงียบอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกลุ่มชายโดยรอบ ไม่มีใครแตะต้องตัวเธอก็จริง แต่ร่างของพวกเขานั้นสร้างกำแพงที่ไม่อาจฝ่าไปได้ซึ่งเพิร์ลรู้ได้โดยสัณชาตญาณ

    เอลาซัลบอกได้ว่าหญิงสาวกำลังลอยเลื่อนไปอีกครั้ง สำหรับเธอโลกนี้มิใช่ความจริง เธอติดอยู่ในโลกของตนเองเกินกว่าจะรับรู้โลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างเต็มที่ ดูเธอจะไม่เข้าใจภยันอันตรายที่ทั้งสองประสบอยู่ หรือถึงจะรู้ก็เลือกที่จะผลักดันมันออกไปจากจิตสำนึกเสีย

    ชายร่างผอมดูจะสังเกตเห็น เขาจึงไม่ตอบคำพูดของเอลาซัลแต่เดินตรงไปทางเพิร์ล กลุ่มคนที่ล้อมอยู่แหวกวงให้เขาเข้าไปจนกระทั่งมายืนอยู่ข้างๆ หญิงสาว

    สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เพิร์ลรู้สึกตัว เธอจ้องมองชายคนนั้นอย่างเงียบๆ ด้วยไม่แน่ใจจุดประสงค์ของเขา เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วยืนอยู่ข้างหญิงสาวโดยไม่แตะต้องเธอ ก่อนจะพูดขึ้นโดยไม่ละสายตาไปจากอีกฝ่าย น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แต่เอลาซัลจับใจความได้อย่างชัดแจ้ง

    "ฉันแน่ใจว่าแกน่าจะบอกฉันได้มากกว่านี้นะไอ้หนุ่ม"

    เขายกมือขึ้นแตะแก้มของเพิร์ล หญิงสาวถอยหนี แต่ก็ปะเข้ากับกลุ่มคนที่ล้อมอยู่ วงล้อมยิ่งหดแคบเข้า...กักเธอกับชายชุดขาวไว้ด้านใน เหลือที่ให้หลบสัมผัสได้เพียงเล็กน้อย

    ชายผิวซีดเลื่อนมือลูบไล้ไปตามลำคอของเพิร์ล

    "ไม่งั้นคงน่าเสียดายแย่..." เขาพูดเสียงแผ่ว "น่าเสียดาย...สิ่งมีชีวิตแสนสวยนี่"

    เอลาซัลขบฟัน แผ่นหลังที่ติดกับลำต้นไม้ยิ่งแข็งเกร็งขึ้น เขาดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาคุมสติได้อย่างยากยิ่ง เขารู้ดีว่าการเงียบทุกชั่วขณะจะทำให้อีกฝ่ายอ่านใจของเขาได้อย่างถูกต้อง

    คำตอบของชายหนุ่มจึงเย็นชา น้ำเสียงเฉยเมย

    "ถ้าอยากทำอะไรยัยนั่นก็เชิญตามสบายเลย ฉันเบื่อมันแล้ว"

    ชายในผ้าคลุมสีซีดหันหน้ามาทางเขากับคำตอบนั้น เขาปล่อยมือจากเพิร์ลก่อนจะหรี่ตาลงจับจ้องเอลาซัล

    "งั้นรึ" เขาถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง รอยยิ้มของเขานั้นเย้ยหยันหากยากจะอ่านออก "ขอสารภาพว่าฉันแปลกใจหน่อยๆ แฮะ นี่แกอยู่กับมันมานานมั้ย"

    "ก็พักนึง" เอลาซัลตอบ เขาพบว่าเป็นการง่ายขึ้นที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาเหมือนเดิมหลังจากที่เริ่มพูดไปแล้ว "ยัยนั่นสติสตังไม่ค่อยจะดี แกก็รู้ มันชอบเที่ยวหายไปกับผู้ชายคนอื่นเพราะแยกแยะอะไรไม่ออก ฉันถึงได้เบื่อไง" ชายหนุ่มยักไหล่น้อยๆ "ฉันไม่ชอบแบ่งผู้หญิงใช้กับคนอื่น กำจัดมันไปได้ซะก็ดี"

    ชายผิวซีดจ้องมองเอลาซัลเหมือนจะหยั่งเชิง ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะก้าวออกจากวงล้อมของลูกน้อง ทิ้งเพิร์ลไว้ข้างใน แล้วเข้ามาใกล้เอลาซัลอีกครั้ง

    "ฉันจะให้โอกาสแกพูดเป็นครั้งสุดท้าย" เขาพูด "แกก็รู้ว่าซานดร้าตามหาพลอยพิเศษที่มีค่ามาก...หรือจะพูดอีกทางก็คือผลึกชีวิตของเผ่าจูมิ บอกฉันมาว่าแกรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง"

    "ไม่รู้" เอลาซัลตอบอย่างเยือกเย็น "ฉันก็บอกแล้วว่าฉันไม่สนว่าเค้าคิดจะทำอะไร"

    "ถึงอย่างนั้น...แกกลับดูกระวนกระวายเหลือเกินตอนได้ยินคำว่าจูมิในบาร์วันนั้น" สเน็คว่า

    เอลาซัลไม่ตอบว่าอะไร มือของสเน็คเลื่อนไปใต้ผ้าคลุมของเขา หยิบกริชเล่มหนึ่งออกมาจ่อปลายแหลมไปที่คอของเอลาซัล

    "ขอบอกว่าฉันเริ่มจะเบื่อแล้ว" เขาพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด "แต่ฉันยอมรับว่าพรสวรรค์ในการแต่งเรื่องของแกน่าทึ่งจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะติดกับไปแล้วก็ได้"

    เอลาซัลเอี้ยวหลบตามสัญชาตญาณ แต่ปลายแหลมของกริชกลับเคลื่อนลงมาเฉือนคอเสื้อของเขาแหวกให้เปิดออก เผยให้เห็นพลอยสีฟ้าที่ส่องสว่างอย่างชัดเจน ชายกลุ่มนั้นเริ่มฮือฮา และสายตาทุกคู่ก็จ้องเขม็งไปที่มัน

    "อ้า..." สเน็คเอ่ยอย่างแผ่วเบา "อย่างที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด ตอนนี้เรื่องราวชักจะเริ่มน่าสนใจขึ้นแล้วสิพ่ออัศวินจูมิ" เขาพยักพเยิดไปทางเพิร์ล "ฉันแน่ใจว่าคงมีอัญมณีมีค่าอยู่เหนืออกสวยๆ ของแม่สาวนั่น...กับแม่หนูที่โรงแรมด้วยสินะ"

    เอลาซัลต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งเพื่อจะรักษาสีหน้าเฉยเมยไว้

    "ไม่" เขาพูด "เค้า...เค้าเป็นแค่เด็กคนนึงที่เราพบเข้าตอนเดินทางเท่านั้น อย่าทำอะไรเค้าเลย!" แต่เมื่อชายหนุ่มรีบพูดเกินไป หน้ากากที่สวมไว้ก็กลับหลุดออก

    สเน็คเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

    "ฉันว่าจะไปเยี่ยมเด็กนั่นแล้วดูด้วยสายตาตัวเองเสียหน่อย" เขาพูดพร้อมกับยิ้มเหิ้ยมเกรียม "แต่หมดเวลาซักถามตามมารยาทแล้วล่ะอัศวินจูมิ ถ้าแกไม่ยอม...หรือบอกฉันเรื่องซานดร้าไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะถามแก..."

    เขาโบกมือน้อยๆ นักธนูที่ลดคันธนูลงกลับยกมันขึ้น ทาบลูกศรเข้ากับสายเอ็นก่อนจะยิง

    สเน็คลงจบประโยคอย่างแผ่วเบา

    "...ด้วยสันติวิธีอีก"

    ลูกธนูปักลึกเข้าไปในสีข้างของเอลาซัลบริเวณท้องช่วงล่าง

    เอลาซัลสูดปากอย่างเจ็บปวดหายใจเอาอากาศเข้าไป ความทรมานจากแผลนั้นเฉียบพลันและรุนแรงเสียจนเขารู้สึกเหมือนกับธนูดอกนั้นส่งแรงสั่นสะเทือนให้แล่นวาบไปทั่วระบบประสาท เขารู้สึกคลื่นไส้ในทันที ตาพร่ามองอะไรไม่เห็นไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มได้ยินเสียงเพิร์ลร้องเบาๆ อย่างหวาดกลัวตอบรับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปนั้น

    นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง...ก่อนที่เอลาซัลจะตั้งสติได้อย่างยากลำบาก แต่เขาก็รับรู้ได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...คืออาการปวดตุบๆ ที่สีข้างเหมือนกับโลกทั้งโลกของเขาจะมีเพียงความเจ็บปวดนั้น มันเทียบอะไรไม่ได้กับแผลจากดาบที่เขาเคยได้รับเป็นครั้งคราวเลย หัวของลูกศรปักลึกลงไปในร่างเขาและยังติดคาอยู่ภายใน ทุกลมหายใจยิ่งย้ำเตือนความจริงข้อนี้กับความปวดแสบราวถูกแผดเผาจากมัน เขาต้องใช้เวลานานยืนซวนเซกว่าจะควบคุมร่างกายได้แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

    สเน็คยืนอยู่เบื้องหน้าเขา มองสำรวจชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชาราวกับมองสัตว์ทดลองตัวหนึ่ง เมื่อดวงตาของทั้งสองสบกันเขาก็พูดขึ้น

    "พอมั้ยไอ้หนุ่ม หรือจะเอาอีกที"

    เอลาซัลจ้องมองเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชัง แต่แล้วเขาก็ก้มหน้าลง และหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาเค้นเสียงตอบเบามาก

    "ฉัน...รู้อะไร...ฉันก็...บอกแก...ไปแล้ว"

    สเน็คนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับนิ้ววูบพอให้สังเกตเห็น

    นักธนูทาบลูกธนูอีกดอกหนึ่งเข้ากับคันศรแล้วยิง ธนูดอกนี้ปักเข้าช่วงบนของชายโครงซ้ายของเอลาซัล

    เพิร์ลสะดุ้งอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงกว่าเดิม ดวงตาของเธอเบิกกว้าง หญิงสาวอ้าปากค้างแต่เสียงของเธอกลับเงียบสนิท เอลาซัลไม่ส่งเสียงใดแต่ล้มเอนลงมาข้างหน้า ร่างของเขายังติดคาอยู่กับลำต้นไม้ที่ถูกมัดแขนไพล่หลัง และเขาก็ใช้มันเป็นหลักยึดกายทั้งที่งอตัวลง ก้มหน้าลงต่ำ ครู่หนึ่งที่ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่มั่นคงจนน่าสงสัยว่าเขาจะยังคงมีสติสัมปชัญญะอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เสียงนุ่มๆ ของสเน็คเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

    "ว่ายังไงไอ้หนุ่ม จะยอมให้ความร่วมมือมั้ย"

    เอลาซัลไม่พูดว่าอะไร เขาต้องการอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...คือขอให้ความเจ็บปวดทรมานนี้สิ้นสุดลง โลกเบื้องหน้าสายตาหมุนคว้าง และชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะรวบรวมเรี่ยวแรงพอจะตอบได้หรือไม่ เขาสูดอากาศหายใจแล้วพึมพำ

    "ฉ...ฉันไม่รู้...อะไร...ทั้งนั้น"

    สเน็คยังคงมองเอลาซัลด้วยสายตาครุ่นคิด เอลาซัลไม่สนใจเขา ชายหนุ่มยังยืนก้มหน้า หายใจขาดเป็นห้วงสั้นถี่

    "ถ้างั้น..." สเน็คพูดขึ้นในที่สุดหลังจากวิเคราะห์เอลาซัลเสร็จสิ้น "ก็น่าเสียดายที่แกหัวรั้นกว่าที่ฉันคิด แต่ช่างมันเถอะ ฉันมีเวลาไม่มาก แล้วฉันก็ไม่อยากจะเสียเวลากับแกอีกด้วย เห็นทีชีวิตของแกคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว แต่ผลึกชีวิตของแกน่ะคงมีค่ามากโข มันน่าจะช่วยฉันล่อนังซานดร้าออกมาติดกับได้"

    เขากลับหลังหันก่อนจะพยักพเยิดไปทางลูกน้องคนหนึ่งในกลุ่ม แล้วกระซิบอะไรเบาๆ ข้างหู

    ชายคนนั้นพยักหน้า สเน็คจึงหันไปส่งสัญญาณให้นักธนู ซึ่งหันกลับแล้วหายลับไปเงียบๆ ภายในสีเขียวของหมู่ไม้ กลุ่มคนแหวกทางให้สเน็คถอยหายไปท่ามกลางป่าอันเงียบงัน

    ชายคนที่หารือกับสเน็คตรงเข้ามาใกล้เอลาซัล

    "เอาล่ะ" เขาพูดขึ้น "ดูท่าแกยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกซักพัก ไอ้หนุ่มจูมิ ท่านสเน็คสั่งให้เราไว้ชีวิตแกไว้ เผื่อแกอยากจะพูดขึ้นมา"

    เอลาซัลยังก้มศีรษะลงต่ำไม่พูดว่าอะไร

    "ฟังให้ดี" ชายคนนั้นพูดต่อพร้อมกับเคลื่อนเข้ามาใกล้เอลาซัล "ท่านสเน็คมีทางเลือกให้แกสองอย่าง ถ้าพูด...หลังจากนั้นแกจะได้ตายเร็วแล้วก็สบาย แต่ถ้าไม่ยอมพูดล่ะก็นะ...ท่านสเน็คอยากได้ผลึกชีวิตของแกมาก แล้วคิดว่าอาจจะมีวิธีที่จะแงะมันออกจากตัวแกตอนที่แกยังมีลมหายใจอยู่ก็ได้"

    พร้อมกับที่พูด มือของเขาก็เลื่อนไปชักกริชที่เข็มขัดออกมาจ่อไว้ใกล้กับใบหน้าของเอลาซัล

    "ว่าไงไอ้หนุ่มจูมิ จะตายเร็วๆ หรือจะตายช้าๆ อย่างทรมาน แกเลือกเอาซะ"

    เงียบสนิท...ก่อนที่เอลาซัลจะพูดขึ้นทั้งที่ยังหอบหายใจ

    "บัด...ซบ...พวกแก...มัน...บัด...ซบ..."

    "ถ้างั้น..." ชายคนนั้นตอบ "ฉันเองก็ไม่ชอบเท่าไหร่ แต่แกเป็นคนเลือกเองนะไอ้หนุ่ม" เขาแทงปลายแหลมอย่างรวดเร็วและชำนาญลงที่กลางอกของเอลาซัล...ใต้ผลึกชีวิตที่ส่องแสงสีฟ้า เอลาซัลส่งเสียงคล้ายจะสำลัก ร่างของเขาเริ่มกระตุก

    "ว่ายังไง" ชายคนนั้นย้ำขณะที่ปลายแหลมกดลึกลงไปใต้ผลึกชีวิตของเอลาซัล "พอรึยังแก"

    แต่แล้วเสียงตะโกนฉับพลันก็ดังขัดขึ้น เพิร์ลยืดร่างขึ้นยืนตรงตระหง่านจ้องเขม็งมาที่ชายคนนั้น

    "เจ้า...กล้าดียังไง!" เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัว

    กลุ่มคนที่ล้อมรอบเพิร์ลอยู่เริ่มตื่นตัว แต่หญิงสาวไม่สนใจพวกนั้น เธอกล่าวถ้อยคำภาษาประหลาดออกมาดังๆ สองสามคำ กระแสลมรุนแรงก็พัดกรูเกรียวขึ้นล้อมร่างหญิงสาว พัดเส้นผมสีทองสลวยให้พลิ้วรอบร่างเพรียวบาง และครู่หนึ่งถัดมาเธอก็ยืดกายขึ้น ดวงตาสีมืดเป็นประกายกร้าวขณะที่เธอวาดแขนเป็นวงกว้าง

    กระแสพลังอันเจิดจ้าพุ่งออกจากรูปวงกลมบนพื้นที่ขยายกว้างออกไปทุกที ชายกลุ่มนั้นไม่มีเวลากระทั่งจะเตรียมตัวหรือหลบเลี่ยง พวกเขาถูกรัศมีแสงนั้นล้อมไว้และล้มลงกับพื้นทีละคน...ทีละคน เมื่อถูกขุมพลังอันเจิดจ้าแทงทะลุร่างราวกับกลุ่มเข็มนับพันนับหมื่นเล่มที่ปลิดชีวิตในฉับพลัน

    ที่สุดกระแสลมก็กลับซาลง รัศมีที่เจิดจ้าในทันทีกลับเลือนหาย และป่าก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง...

    เพิร์ลยืนนิ่งเงียบอยู่กลางพื้นป่า ลานโล่งนั้นว่างเปล่ามีเพียงเธอ เอลาซัล กับกองศพที่ระเกะระกะอยู่บนพื้น แอ่งเลือดอาบพื้นดินสีมืดจนแดงฉาน

    ดวงตาของเพิร์ลจับจ้องเอลาซัลเขม็ง เขาเอนพิงต้นไม้ที่มีรอยเลือดแดงซึมเป็นจุดๆ จากบริเวณที่ร่างสัมผัส แต่ก็ยังทรงตัวไม่ให้ล้มลงไปได้ ศีรษะของชายหนุ่มก้มต่ำ ดวงตาปิดสนิท ลมหายใจแผ่วเบามากเสียจนแทบจับสังเกตไม่ได้

    หญิงสาวเดินเข้าไปหาเขาทั้งที่ยังสั่นน้อยๆ เมื่อมาถึงตัวเธอก็ทรุดฮวบลงราวกับสองขาไม่อาจรับน้ำหนักร่างอันสั่นเทาได้อีกต่อไป สองแขนเอื้อมขึ้นหาเข่าของชายหนุ่ม และเธอก็เอนศีรษะพิงมันไว้

    "อย่าตายนะ...เอลาซัล" เธอกระซิบเสียงปวดร้าว "อย่าตายนะ..."

    เอลาซัลลืมตาขึ้นจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง

    "เพิ...ร์..ล..." เขาเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบากจนเห็นได้ชัด "เ...พิร์ล...เธอ..."

    หากเขาไม่อาจพูดตามที่ตั้งใจได้จนจบประโยค ชายหนุ่มเอนศีรษะพับลงหมดสติในฉับพลัน เพิร์ลลุกขึ้นยืนประคองร่างเขาไว้อย่างรวดเร็ว สองแขนเลื่อนไปโอบรอบไหล่ของชายหนุ่ม เธอยังรู้สึกได้ถึงจังหวะชีพจรแผ่วๆ ของร่างที่พิงอยู่...รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดลงบนผิวกาย ชุดสีขาวของหญิงสาวเปียกชุ่มด้วยเลือดที่หยดลงมา

    และแล้วสิ่งหนึ่งก็ปะเข้ากับสายตาเธอในทันใด...ประกายสลัวรางเหมือนดวงดาวในความมืดแห่งผืนป่าของดาบอักขระมนตร์

    หญิงสาวยืดกายขึ้นในทันที เธอรู้ดีว่าต้องทำเช่นไร...รู้สึกได้ด้วยวิธีอันแปลกประหลาดไม่อาจอธิบาย

    เธอหลับตาลงและผลึกชีวิตของเธอก็เริ่มเปล่งประกาย แสงเยียวยาอันอบอุ่นส่องจากไข่มุกสีขาวจับร่างของอัศวินจูมิที่เอนพิงเธออยู่

    เพิร์ลเอนศีรษะลงซบบ่าของเอลาซัล...และปล่อยให้ประกายแสงอันเงียบงันล้อมรอบร่างของทั้งสอง


    ทะเลในยามสนธยาเป็นสีเทา และลำแสงที่ใกล้จะจมดิ่งลงไปก็ไม่ก่อให้เกิดประกายสะท้อนแต่อย่างใด สายลมที่ทวีความรุนแรงขึ้นไม่มีทีท่าจะหยุดหย่อนพัดพาเกลียวคลื่นสีมืดให้สาดปะทะโขดหินสีแดง

    ที่ยืนมองทะเลอันมืดมนอยู่ใกล้กับบานหน้าต่างที่เปิดกว้างคือแซฟไฟร์ซึ่งรู้สึกไม่สู้ดี แอ่งน้ำใต้โขดหินที่เคยเป็นสีน้ำเงินงามใต้แสงอาทิตย์ยามทิวาแห่งคิมหันต์บัดนี้ด้านชาไร้แสงราวกับปากหลุมศพ

    ความกังวลใจวูบหนึ่งทำให้แซฟไฟร์สั่นวาบ เอลาซัลยังไม่กลับจากป่าเลย เธอรู้ว่าเขาต้องดูแลตนเองได้ แต่แม้กระนั้นเด็กสาวก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นว่าอาจเกิดอะไรขึ้น

    หลังจากผ่านไปพักหนึ่งเด็กสาวก็ถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะนั่งลงบนบานหน้าต่าง เอนศีรษะพิงกรอบด้านข้างแล้วหลับตาลง กระแสลมนั้นเย็นเยียบแต่เธอไม่ใส่ใจ กลุ่มเมฆเคลื่อนผ่านฟ้ามืดสร้างเงาสีเทาทาบทาลงบนผืนสมุทรสีดำ

    เสียงแกร้กเบาๆ เหมือนกับเสียงเปิดประตูดึงความสนใจเรื่อยเปื่อยของเธอ ทว่าเด็กสาวก็ไม่ได้หันหน้าไปจนกระทั่งได้ยินเสียงที่พูดเบาๆ อยู่ด้านหลัง

    "อ้า...อยู่ที่นี่เอง"

    แซฟไฟร์สะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้น มีชายสวมผ้าคลุมขาวยืนค้ำร่างเธออยู่ ชายคนที่สองซึ่งยืนอยู่ในเงามืดเบื้องหลังเขาปิดประตูและเอนกายทับมันไว้

    แซฟไฟร์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเผยอปาก แต่ก่อนจะทันพูดอะไรสเน็คก็เข้ามาใกล้ แขนของเขาโอบรอบตัวเธอไว้อย่างง่ายดาย แม้สัมผัสนั้นจะไม่รุนแรงแต่ก็กักเด็กสาวเอาไว้ในช่องว่างเพียงแคบๆ นั้น เขายกปลายมีดขึ้นจ่อใกล้ใบหน้าของเธอ

    "เงียบๆ นะ" เขาบอก "ขอโทษนะแม่หนู พวกเราปิดทางหนีของเธอไว้หมดแล้ว อย่าคิดจะพูดอะไรทั้งนั้น ไม่งั้นฉันจะปาดคอเธอซะ"

    แซฟไฟร์สั่นเทิ้มไม่พูดว่าอะไร ชายชุดขาวหันไปพยักพเยิดกับชายอีกคนหนึ่ง นักธนูปราดเข้ามาหาแซฟไฟร์อย่างรวดเร็วแล้วปลดกระดุมเสื้อของเธอ เด็กสาวสะดุ้งน้อยๆ แต่ก็ยังไม่ปริปากด้วยรู้สึกถึงความคมของมีดที่จ่อคออยู่

    พลอยสีฟ้าที่ส่องสลัวรางในยามค่ำถูกเผยให้เห็น...

    "อา..." สเน็คพูดเบาๆ "ดูพลอยเม็ดงามนี่สิ เด็กนี่น่ะตัวกำไรเชียวล่ะ อาจจะไม่เท่าผู้หญิงผมทองคนนั้น...แต่ก็มีค่าควรอยู่"

    แซฟไฟร์อ้าปาก ในตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และเธอก็ต้องเอ่ยเพียงคำเดียวเท่านั้น...เพียงคำถามเดียวที่ต้องการคำตอบ

    "พี่เอลาซัล..."

    ดวงตาของสเน็คเลื่อนจากเม็ดพลอยมาที่ดวงหน้าของเด็กสาว

    "เอลาซัล...เรอะ" เขาทวนคำ "ถ้าหมายถึงเจ้าหนุ่มนั่นล่ะก็...มันตายไปแล้วล่ะแม่หนู"

    แซฟไฟร์จ้องมองชายคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาที่ว่างเปล่าเหมือนไม่รับรู้ เธอได้ยินที่เขาพูด...คำพูดที่หลุดออกมาจากปากเขาอย่างง่ายดายสะท้อนก้องอยู่ในอากาศอย่างเย็นชาไม่รู้สึกรู้สา แสดงความเป็นจริงอันเลวร้ายเกิดกว่าที่เธอจะเข้าใจ...เกินกว่าที่เธอจะรับได้

    "ตายแล้ว..." เด็กสาวทวนคำด้วยเสียงแผ่วเบาหากแจ่มชัด เหมือนกับว่าเธอเพียวแต่ย้ำคำนั้นเพื่อจะฟังมันอีกรอบมากกว่าจะทำความเข้าใจกับมัน

    "ใช่" สเน็คตอบ "มันมาช่วยเธอไม่ได้หรอกแม่หนู"

    ดูเหมือนแซฟไฟร์จะไม่ได้ยินเขา

    "ต...ตายแล้ว..." เธอยังคงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา "แก...ฆ...ฆ่าเค้าเหรอ?"

    "ถูกแล้ว" สเน็คว่า "ตอนที่เราพูดกันอยู่นี่ ลูกน้องของฉันคงกำลังแกะผลึกชีวิตออกจากร่างมันอยู่"

    เมื่อนั้นแซฟไฟร์จ้องตรงมาที่ใบหน้าของชายผู้จับตัวเธอไว้

    "ค...เค้าเป็น..คน...คนเดียวที่...ป..เป็นห่วงฉัน...จริงๆ" เธอเอ่ยด้วยเสียงตะกุกตะกัก "แล้ว...แล้วแก...ก็บอกว่าเค้า...ต...ตายแล้ว..."

    น้ำตาคลอหน่วยในดวงตาของเด็กสาวก่อนจะรินลงมาตามใบหน้าสีขาวอย่างเงียบๆ เธอไม่ได้สะอื้น...ไม่ส่งเสียงอันใด ทว่ายืนจ้องมองเขานิ่งไม่สนใจน้ำตาที่หลั่งไหล เหมือนกับไม่รู้ตัวว่าเธอกำลังร้องไห้ เด็กสาวยังพูดตะกุกตะกักต่อไปอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ด้วยอาการของคนร้องไห้..มีเพียงความหวาดหวั่นที่ยังคงอยู่

    "เค้า...เป็นคนเดียวที่...ป...เป็นห่วงฉันจริงๆ แล้วแกก็..ฆ...ฆ่าเค้า"

    สเน็คปล่อยไหล่ของแซฟไฟร์ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะหน้าของเธอ แต่แซฟไฟร์ไม่ถอยหนี น้ำตาหยดหนึ่งหยาดลงมาบนปลายนิ้วของเขาก่อนจะคงค้างอยู่เช่นนั้นเหมือนกับพลอยเม็ดเล็ก

    "น้ำตาของจูมิ..." สเน็คพูดด้วยดวงตาที่เป็นประกายอย่างกระหายอยาก เขามองดูหยดน้ำเล็กๆ ที่ส่องประกายอย่างงดงามไร้ที่ติ ก่อนจะแตะนิ้วกับริมฝีปากแล้วเลียลิ้มรสน้ำตาหยดนั้น

    "รสชาติเหมือนเลือดเลยนะ" เขากระซิบเบาๆ พร้อมกับยิ้มจางๆ ที่มุมปาก

    แซฟไฟร์ไม่พูดว่าอะไร เอาแต่จ้องมองเขาเขม็งด้วยสายตาตรงนิ่ง สเน็คหรี่ตาลง

    "เธอนี่ก็น่ารักดีนะ" เขาพูดเบาๆ "อาจจะไม่สวย...แต่ตาคู่นี้ก็มีเสน่ห์..."

    มือของเขาเอื้อมมาอีกครั้ง คราวนี้แตะเข้าที่เรือนผมของแซฟไฟร์ ใช้ปลายนิ้วสางเส้นผมหยักศกยาวสลวยลงมา

    "แล้วยังน้ำตาจูมิที่หาค่าไม่ได้นั่นอีก" เขายังคงจ้องเธอด้วยดวงตาที่กึ่งปิดกึ่งลืม "แล้วฉันอาจจะใช้ประโยชน์จากเธอได้อีกอย่างก็ได้...แม่หนูที่น่ารัก"

    ตอนนี้แซฟไฟร์ดูจะสลัดมนต์สะกดที่ครอบคลุมเธออยู่ออกในที่สุด เด็กสาวถอยหนีจากสัมผัสของเขาทั้งที่ยังหันหลังให้กับหน้าต่าง

    "ไม่..." เธอเอ่ย "ไม่..."

    สเน็คก้าวรุกตามมา

    "ฉันขอเตือนนะ" เขาพูดเบาๆ "ถ้าร้องล่ะก็เธอตายแน่ ไม่มีใครมาช่วยเธอทันหรอก แล้วถ้าฉันถูกจับได้ ลูกน้องของฉันก็จะฆ่าผู้หญิงผมทองคนนั้นซะ เธอคงไม่อยากเป็นต้นเหตุให้หล่อนตายหรอกนะแม่หนู"

    แผ่นหลังของแซฟไฟร์แตะกับขอบหน้าต่าง เธอเบือนหน้าไปทางผนังห้องข้างๆ แต่ดูเหมือนจะมองไม่เห็นมันและได้แต่ครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    กระแสลมเย็นเยียบราวน้ำแข็งพัดผ่านบานหน้าต่างที่เปิดกว้างเป็นสัญญาณบอกถึงพายุยามค่ำ เด็กสาวกลับหลังหันอย่างรวดเร็วก่อนจะปีนขึ้นกรอบหน้าต่าง แล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายที่ยืนอยู่ต่ำลงไปเล็กน้อย

    "นี่คิดจะไปไหนฮึ" สเน็คถามพร้อมกับเลิกคิ้ว เขาไม่พยายามจะหยุดยั้งเธอเลย "ไม่มีทางหนีสำหรับเธอหรอกนะแม่หนูน้อย ข้างล่างนั่นมีแต่หินกับน้ำลึกเท่านั้น ถ้าถอยไปอีกก้าวล่ะเธอได้ร่วงลงไปแน่ ฉันขอแนะนำให้เธอกลับลงมาเงียบๆ อย่าสร้างปัญหาจะดีกว่า"

    ลมแรงวูบพัดปะทะหลังแซฟไฟร์ พัดเส้นผมยาวของเธอให้ปลิวสะบัดรอบร่างบอบบางอย่างรุนแรง เบื้องล่างนั้นเธอยังได้ยินเสียงคลื่นสมุทรสาดกระทบผาสูงอย่างบ้าคลั่ง ท้องน้ำปั่นป่วนด้วยกระแสลมอันไม่หยุดหย่อน เด็กสาวไม่ได้ยินคำที่เขาพูดเลย สายตาของเธอไม่ได้จับจ้องไปที่ชายสองคนนั้น...หากแต่เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ภาพในใจบอกเล่าเรื่องราวที่เธอจดจำไว้แต่ไม่อาจเข้าใจได้...

    เด็กสาวเห็นภาพใบหน้าของผู้คนหลากหลายผุดขึ้นต่อเนื่องกัน...ใบหน้าคนที่โตมากับเธอ...ใบหน้าที่เธอรู้จัก...ใบหน้าของทั้งคนที่ร้ายและดีกับเธอ แต่พวกมันไม่มีความหมายอีกแล้วในตอนนี้

    ราวกับภาพนิมิต...ต่อมาเธอเห็นเอลาซัลทอดร่างอยู่บนพื้นป่ากลางกองเลือดสีสดอาบพื้นดินสีมืด เธอพยายามนึกภาพของเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่...นึกถึงน้ำเสียงของเขา...วิธีพูดของเขา...ถ้อยคำปลอบโยนที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอยู่เสมอ ทว่าเธอจำอะไรไม่ได้อีกนอกจากว่าเขาตายไปแล้ว และเขาเองก็เลือนหายไป...ไม่มีความหมายอะไรอีกเช่นกัน เด็กสาวก้มหน้าลงมองใบหน้าเบื้องล่าง...ทว่าพวกมันก็พร่าเลือนหลอมรวมเป็นหนึ่ง ไม่เหลืออะไรนอกจากห้วงลึกอันว่างโหวง

    และแล้วเธอก็ได้เห็นภาพใบหน้าที่เธอลืมเลือนไปนานหลายปีราวกับมีลำแสงเจิดจ้าที่สว่างวูบส่องให้เห็นในทันใด...ภาพใบหน้าอันอ่อนหวานของหญิงสาวที่มีโครงหน้าเรียวกับดวงตากลมโตเศร้าสร้อย แต่แล้วมันเองก็เลือนหายไปเช่นกัน

    "แม่คะ..." แซฟไฟร์กระซิบพร้อมกับหลับตาลง ความมืดมิดละลายหายกลายเป็นมหาสมุทรแห่งแสงอันอบอุ่นอ่อนโยน

    แม่คะ...หนู...

    หนูขอโทษ...


    เอลาซัลลืมตาขึ้นในแสงอันอบอุ่น

    เขากำลังนอนอยู่บนเตียงเล็กๆ สีขาวที่คับแคบราวกับโลงศพ เมื่อขยับตัวน้อยๆ ก็รู้สึกปวดเหมือนถูกแผดเผา และพบว่าแผลทั้งหมดของเขามีผ้าพันไว้เรียบร้อย

    ชายหนุ่มหันหน้าไปช้าๆ อย่างยากลำบาก พบกับเรวานเช่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ใกล้กัน ร่างเพรียวบางของหญิงสาวถูกอาบด้วยแสงเรืองรองของตะวันยามบ่าย มือประสานไว้บนตัก เมื่อเธอสังเกตเห็นเขาขยับก็หันมาทางเขา

    "เอลาซัล..." เธอเอ่ย "เอลาซัล...แซฟไฟร์น่ะ...เค้า..."

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มก็กระซิบตอบ

    "...ผมรู้แล้ว"

    "เค้า...เค้าฆ่าตัวตาย" เรวานเช่พูดต่อ "พวกมันไปก่อนที่เราจะได้..."

    น้ำเสียงของเธอขาดหายไป เอลาซัลได้แต่มองหญิงสาวพร้อมกับคิดในใจ

    เค้าร้องไห้...

    เค้าร้องไห้ให้กับแซฟไฟร์...คนที่เค้ารู้จักแค่เพียงผิวเผิน

    แล้วเรา...ชาวจูมิแท้ๆ...กลับร้องไห้ให้เค้าไม่ได้

    เราร้องไห้ให้กับชาวจูมิคนอื่นที่ตายไปไม่ได้...ร้องไห้ให้อเล็กซานดร้าไม่ได้...แล้วก็ร้องไห้ให้แซฟไฟร์ไม่ได้

    แต่คนคนนี้...ทั้งที่เป็นมนุษย์แท้ๆ...กลับร้องไห้ให้กับพวกเรา...

    เรวานเช่โคลงศีรษะ ดวงตาของเธอมีหยดน้ำปริ่มและรินลงมาตามใบหน้าช้าๆ ขณะที่หญิงสาวพึมพำแผ่วเบา

    "น่าสงสาร..." เธอเอ่ย "แม่หนูที่น่าสงสาร...

    "แซฟไฟร์ที่น่าสงสาร..."



    Author's Comments: ใช้เวลาเป็นปีกว่าฉันจะเขียนตอนนี้จบเนื่องจากไม่มีเวลา และฉันเองก็ยังติดกับบางจุดอยู่ ทางแก้ในตอนจบกลับง่ายจนน่าประหลาดใจ แต่ฉันเองก็ยังไม่พอใจกับตอนนี้อยู่ดี สำหรับผู้อ่านที่ตามมานานก็ต้องของโทษด้วยนะคะที่ดำเนินเรื่องต่อด้วยตอนที่ออกจะหดหู่อย่างนี้

    เรื่องของแซฟไฟร์...เมื่อนานมาแล้วฉันคิดเรื่องสั้นของจูมิแห่งไพลินขึ้นได้ แล้วฉันก็ตัดสินใจจะแทรกเรื่องของเธอไว้ใน Legend of the Jumi แทน ทั้งบทบาทและการตายของเธอถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้นเรื่องค่ะ
    เดิมทีฉันสร้างแซฟไฟร์เป็นตัวละครที่แล้งน้ำใจและดื้อรั้น แต่เมื่อตรวจเนื้อเรื่องแล้วฉันก็คิดว่า "นี่ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่จะตัดสินใจฆ่าตัวตายได้เพราะกลัวจะถูกข่มขืน" ดังนั้นฉันเลยปรับเปลี่ยนนิสัยของแซฟไฟร์ด้วยบทนำที่ฉันคิดจะแต่งเป็นเรื่องสั้นต่างหาก (ตอนนี้เป็นฉากเปิดตัวของตอนที่ 3 ค่ะ) แล้วฉันก็ให้เธอมีอดีตที่เลวร้ายพอดูอยู่ เพราะฉันอยากจะทำให้เห็นชัดเจนว่าเธอคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วหากฆ่าตัวตาย
    ตอนที่เรื่องนี้ยาวแค่ 15 ตอนจบ ตอนนี้ควรจะเป็นตอนที่ 8 จาก 15 ตอน แต่ตอนนี้เป็นตอนที่ 18 จาก 25 ตอน เหมือนกับเอสเมอรัลด้ากับสโนว์ บทบาทของแซฟไฟร์เองก็ถูกเพิ่มขึ้น...เพราะจะมีประโยชน์อะไรล่ะคะถ้าจะปูเรื่องตัวละครตัวหนึ่งมาเพียงเพื่อให้ถูกฆ่าหลังผ่านไปแค่ 3 ตอนเหมือนที่ตั้งใจไว้ในทีแรก แล้วความสัมพันธ์ของเธอกับเอลาซัลจะเด่นชัดขึ้นมาได้อย่างไรนอกจากเขาจะมีเวลาที่จะก่อความผูกพันทางใจกับเธอ
    นิยายเรื่อง "Voyage of the Dawn Treader" ของ C.S. Lewis เป็นแรงบันดาลใจให้กับฉากแซฟไฟร์กับแฟลมเช่ (ที่เป็นนางเงือกในเกม ในฝันของแซฟไฟร์เป็นนางพรายทะเลค่ะ) แต่ก็ยังมีอีกส่วนจากเรื่อง "เงือกน้อย" ของแอนเดอร์เซ็น ซึ่งเป็นนิทานที่ฉันชอบ ฉันคิดว่าภาพลักษณ์ของแซฟไฟร์ได้รับอิทธิพลจากนิทานเรื่องนี้มาก เธอมีลักษณะและสีผมกับสีตาเหมือนนางเงือก แล้วยังภาพลักษณ์ที่เป็นเด็กสาวช่างฝันซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานอย่างเงียบๆ ไปจนถึงความผูกพันที่เธอมีต่อท้องทะเล ซึ่งได้จากฉากเปิดอีเว้นท์ "ความฝันอันจมดิ่ง" ในเกม เงือกน้อยในเรื่องของแอนเดอร์เซ็นเองก็เป็นคนที่ต้องทนทุกข์อย่างเงียบๆ โดยไม่ได้รับสิ่งตอบแทนที่มีค่าควรจากการเสียสละของเธอเหมือนกัน

    อนุมานได้จากฟิคเรื่องนี้ว่าชาวจูมิจำเป็นต้องมีร่างเนื้อเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีแค่ผลึกชีวิตก็จะฟื้นคืนกลับมาได้เหมือนในเกม และการตายของทั้งร่างเนื้อหรือผลึกที่แตกสลายก็จะแก้ไขไม่ได้ นั่นยิ่งทำให้จูมิในเรื่องนี้มีโอกาสตายง่าย และตายถาวรไม่เหมือนจูมิในเกมที่สามารถชุบชีวิตได้จากผลึกค่ะ

    ตอนที่เขียนเรื่องนี้ อัลบั้มเพลงหนึ่งที่ฉันฟังคือ "Twilight" ของ Boa ซึ่งมีเพลง "Duvet" (เพลงเปิดอนิเมเรื่อง "Lain") สำหรับฉันแล้วเพลง "Duvet" ดูจะเข้ากับแซฟไฟร์ได้เป็นอย่างดี (ดูเหมือนน่าจะเป็นคำพูดที่เธออาจพูดกับเอลาซัลน่ะค่ะ) แล้วจะยังไงเพลงนี้ก็เข้ากับเนื้อเรื่องตอนนี้ดีด้วย
     
    อีกเรื่องหนึ่ง ฉากที่เอลาซัลบาดเจ็บสาหัสแล้วเพิร์ลโกรธจนกลายร่างเป็นแบล็คเพิร์ลแตกต่างจากในเกมมาก ในเกม ซานดร้าเป็นคนที่จงใจทำร้ายเอลาซัลในถ้ำ โดยการเขวี้ยง 'ไพ่' ใส่เขา ฉันคิดว่าเธอคงจะเล็งเพิร์ล แต่เอลาซัลก้าวเข้ามาขวางแล้วรับไพ่ไปแทน ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฉันพบว่าฉันไม่สามารถจะเขียนฉากนี้ออกมาตามนั้นได้ อาจเป็นเพราะการกระทำในฉากนั้นดูจะเขียนออกมาเป็นคำลำบาก แล้วก็เพราะซานดร้าคงไม่เจตนาทำร้ายเอลาซัลในเรื่องนี้ด้วย (แต่ก็ยังไม่รู้แน่ว่าเธอตั้งใจทำในเกมหรือเปล่า)

    ถึงอย่างนั้นฉันเองก็ไม่ได้ดีใจที่จะต้องนำฉากในเกมที่ชอบมาแบ่งใส่ส่วนต่างๆ ของฟิคทีละเล็กทีละน้อย หลังจากที่เอลาซัลบาดเจ็บ เพิร์ลกลายเป็นแบล็คเพิร์ล...แล้วจากเอลาซัลไปหลังจากพูดสั้นๆ อย่างเย็นชาทำนองว่า "ขอบคุณที่ช่วย แต่ข้ามีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำในตอนนี้" คงไม่จำเป็นต้องบอกว่าฉากนั้นน่าจดจำมาเพียงไหน มันสร้างภาพลักษณ์ของตัวละครเอลาซัลอย่างที่ไม่มีใครเหมือนสำหรับฉัน...อย่างน้อยก็เพื่อถ่ายทอดในเรื่องนี้ และนี่ยังเป็นฉากที่แสดงบุคลิกของแบล็คเพิร์ลในเกมออกมาได้อย่างดี เป็นฉากที่ดีที่สุดของเธอเลยทีเดียว

    ฉากที่เอลาซัลถูกยิงด้วยธนูซ้ำๆ มาจากฉากการตายของตัวละครตัวหนึ่งในภาพยนตร์ Lords of the Rings ภาคแรกค่ะ ปกติฉันจะเลี่ยงการลอกสถานการณ์จากนักเขียนคนอื่นเท่าที่เป็นไปได้ แต่ฉันคิดว่าฉันชอบฉากนี้ค่ะ

    แต่เดี๋ยวสิ...มนุษย์ที่ร้องไห้ให้ชาวจูมิจะถูกสาปเป็นหินไม่ใช่เหรอ แต่ช่างเถอะ ฉันเองก็ไม่ได้เขียนให้ตรงตามเกมมากอยู่แล้ว และฉันก็ไม่ชอบพล็อตเรื่องจุดนี้เลยเพราะมันจะดึงตัวเอกในเกมมาด้วยน่ะสิ

    Translator's Comments: ขอบคุณคุณ Mana Priestess จริงๆ ครับที่มอบตอนนี้ให้กับผม เพราะส่วนตัวผมชอบรายละเอียดในตอนนี้มาก แล้วก็ชอบแซฟไฟร์มากที่สุดในบรรดาตัวละครหญิงทั้งหมด ถึงเธอจะต้องตายก็เถอะ (ผมสังหรณ์ใจว่าเธอน่าจะตายมาตั้งแต่เริ่มแปลภาคของเพิร์ลแล้วล่ะครับ) แต่ที่น่าแปลกใจคือ...ผู้เขียนไม่ทราบมาก่อนเขียนตอนนี้เลยว่าผมชอบแซฟไฟร์ที่สุด จริงๆ ครับ...เค้าเพิ่งมาทราบหลังโพสท์ตอนนี้ แล้วผมเมล์ตอบไปขอบคุณพร้อมกับบอกว่าชอบแซฟไฟร์มากที่สุดนั่นเอง เค้าตอบเมล์ว่าสังหรณ์ใจว่าผมน่าจะชอบแซฟไฟร์ แต่ก็ไม่นึกว่าจะชอบมากขนาดนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×