คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 1 - ความอาดูรของนักรบ - 7 - เทศกาล
เนมอสเคยคิดว่าเขาเห็นดอกไม้ในเมืองมากที่สุดในวันเดินขบวนฉลองชัยชนะ
แต่เมื่อมาถึงวันเทศกาลกลางฤดูร้อนแล้ว เขาก็พบว่าปริมาณดอกไม้ดูจะเพิ่มขึ้นจากวันนั้นเป็นสามเท่า
ทั้งที่ประดับตามอาคารต่างๆ เร่ขายตามท้องถนน
หรือปรากฏในรูปมาลัยดอกไม้สวมบนศีรษะและข้อมือผู้สัญจรในเมืองซึ่งส่งเสียงเพลงและเสียงหัวเราะอยู่ทั่วไป
บุปผางามข้างกายเขาสวมชุดผ้าพลิ้วสีขาวบาง
ตามคอกับปลายแขนเสื้อและชายกระโปรงปักเป็นลายเถาดอกไม้อ่อนช้อย บนเรือนผมสีดำที่ปล่อยสยายมีมงกุฎซึ่งเธอทำเองจากดอกไม้ในสวนโดยมีกุหลาบขาวเป็นหลัก
และมีผมบางปอยที่ถักเป็นเปีย นำดอกไม้เล็กๆ เสียบแซมให้ดูสวยงาม
สร้อยนกพิราบไม้สีขาวที่เขามอบให้เธอยังคงประดับบนลำคอเช่นเดิม
ทั้งสองชมขบวนรถบุปผชาติที่ประกวดประชันโฉมบนถนนสายหลักในเมืองในยามสาย
จากนั้นก็ไปเต้นรำที่จัตุรัสกลางเมืองก่อนจะปลีกตัวไปนั่งพักที่ริมคู
มองดอกไม้นานาพันธุ์ที่ล่องลอยตามกระแสน้ำไหลเอื่อย
“ท่านเนมอสเคยมางานเทศกาลอย่างนี้หรือเปล่าคะ” เด็กสาวถาม เธอดูจะร่าเริงเป็นพิเศษในวันนี้
“ไม่เคยหรอก”
เขาตอบก่อนจะยิ้มแห้งๆ “อาจจะจริงก็ได้ที่ฝ่าบาทตรัสว่านอกจากเรื่องรบแล้ว
ข้าก็เป็นผู้ชายที่ไม่สนเรื่องละเอียดอ่อนเอาเสียเลย”
“คงเป็นเพราะท่านต้องออกรบบ่อยๆ เลยไม่มีเวลามากกว่ากระมังคะ” เธอเปรย
“คงใช่”
ชายหนุ่มนึกถึงบ้านของตนที่นครหลวงขึ้นมา “กระทั่งบ้านก็ยังไม่ได้กลับเป็นเดือนแล้วด้วย”
ก่อนหน้านี้ การรบและตรวจตราชายแดนด้านต่างๆ
ทำให้เขาได้กลับบ้านอย่างน้อยเพียงเดือนละครั้ง อยู่พักครั้งละสองสามวัน
คนรับใช้สองคนที่จำเป็นต้องมีไว้เก็บกวาดทำความสะอาดและทำอาหารเมื่อเขากลับมาจึงแทบว่างงานไปโดยปริยาย
แต่ราวปีหน้า
บ้านหลังนั้นของเขาก็คงจะมีชีวิตชีวาขึ้น อย่างน้อยก็มีนายหญิงเพิ่มมา
ส่วนเขาเมื่อได้เป็นแม่ทัพแล้วก็คงได้ประจำในเมืองหลวงบ่อยกว่าแต่ก่อน
จะได้มีเวลาอยู่บ้านกับเธอ
“ข้าอยากเห็นบ้านของท่านเนมอสจังเลยค่ะ”
“อีกไม่นานก็คงได้เห็น แต่สภาพมันไม่ค่อยจะดีเท่าไรหรอก
เพราะข้าไม่ได้อยู่บ้านบ่อยนัก”
“ข้าจะช่วยดูแลนะคะ”
สิมาริเมสพูดเขินๆ ก่อนจะถาม “ว่าแต่มีสวนไหมคะ”
“ก็มีสวนเล็กๆ ไม่ใหญ่เท่าสวนของจวนหรอก
แต่ตอนนี้คงรกเป็นป่าตามชื่อข้าไปแล้วกระมัง”
เด็กสาวหัวเราะรับน้อยๆ
แล้วเอ่ยด้วยเสียงเคลิ้มฝัน “ข้าอยากมีสวนเป็นของตัวเองสักแห่งน่ะค่ะ
ไม่ต้องกว้างขวางมากก็ได้ ขอแค่ไว้ปลูกดอกไม้ที่ข้าชอบบ้างก็พอ ข้าอยากปลูกกุหลาบ
มะลิ กับไอริสให้หอมทั่วสวน ทำซุ้มต้นสายน้ำผึ้งกับวิสทีเรียเหนือม้านั่งหิน
มีร่มต้นลินเด็นสักต้น...แล้วก็ต้นไลแลคด้วย”
แม่ทัพหนุ่มยิ้มรับ เขาอดนึกไม่ได้ว่าดอกไม้ที่เธอชอบนั้นเห็นจะมีมากมายเหลือเกิน
“ไม่รู้ว่าสวนที่บ้านข้าจะกว้างพอไหม
แต่ข้าอยากเห็นสวนที่เจ้าจัดจริงๆ นะ”
“ขอบคุณค่ะ” คู่หมั้นของเขาตอบ
เสียงร้องของคนขายดอกไม้ที่ดังมาแว่วๆ
เรียกความสนใจของเนมอส ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เด็กสาวก่อนจะลุกขึ้นยืน
“รอก่อนนะ เดี๋ยวข้ามา”
เขาตรงไปถามเรื่องบุปผาพจีสักเล็กน้อยกับชายคนขายที่หอบตะกร้าใบใหญ่
ก่อนจะได้ดอกกุหลาบสีแดงดอกโตที่ลิดหนามเรียบร้อยแล้วกลับมาให้เด็กสาว
สิมาริเมสคลี่ยิ้มกว้างเมื่อเขายื่นกุหลาบแรกแย้มดอกนั้นให้กับมือ
“ถือเสียว่าแทนคำที่ข้าไม่เคยบอก...นะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
เด็กสาวรับก้านดอกไม้ไปกำแน่น ก่อนจะจรดจมูกกับริมฝีปากลงบนปลายกลีบอย่างแผ่วเบา
แล้วส่งคืนให้แก่คนมอบ
เนมอสมองดอกกุหลาบที่กลับมาอยู่ในมือของตนอย่างไม่เข้าใจ
เขายิ่งงุนงงขึ้นไปอีกเมื่อสิมาริเมสยกมือขึ้นแตะริมฝีปากบางของเธอเบาๆ
“ดอกไม้มีอะไรหรือเปล่า”
“ก็...มี...สิ่งแทนคำขอบคุณจากข้าอย่างไรล่ะคะ”
“หือ...”
แม่ทัพหนุ่มก้มลงเพ่งกลีบดอกสีแดงเข้มให้ชัดๆ “แต่ข้าไม่เห็นอะไรเลยนี่”
“ถึงไม่เห็น...แต่สัมผัสได้นี่คะ”
เขาเลยลองใช้นิ้วจับๆ
ที่ปลายกลีบดู “ก็ยังไม่เห็นจะมีอะไรอยู่ดี”
เด็กสาวถอนหายใจก่อนจะตอบแผ่วเบา
“ก็...สัมผัสด้วยที่ที่ข้าใช้สัมผัสดอกไม้สิคะ”
เนมอสก้มหน้าลง ใช้ปลายจมูกกับริมฝีปากสัมผัสปลายกลีบตามที่เห็นจากเธอ
เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมจางๆ ของดอกกุหลาบแรกแย้ม “อย่างนี้น่ะหรือ”
คู่หมั้นของเขาพยักหน้าขวยเขิน
“แล้วมีอะไรหรือ”
สิมาริเมสโคลงศีรษะก่อนจะยื่นมือมา
เขาเลยส่งดอกไม้กลับไปให้ เห็นเธอจรดริมฝีปากกับดอกกุหลาบอย่างชัดเจนกว่าครั้งก่อน
จนใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเมื่อตระหนักความหมายได้
“ขะ...ขอโทษนะ ข้าน่าจะรู้นานแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ท่านเนมอสไม่ใช่คนแคว้นเรา
คงไม่ทราบธรรมเนียมนี้” เด็กสาวตอบแม้จะไม่สบตากับเขา
“ข้าเห็นจะทื่ออย่างที่ฝ่าบาทตรัสจริงๆ” แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจ
เขาแปลกใจเมื่อสิมาริเมสหัวเราะเสียงนุ่มๆ
ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มให้พร้อมกับดอกกุหลาบ
“แต่ตอนนี้ก็ได้ทราบแล้วนี่คะ”
ชายหนุ่มยิ้มตอบและรับดอกไม้ไว้
จากนั้นก็ก้มหน้าลง ชื่นชมสัมผัสนุ่มลื่นของปลายกลีบที่ไล้ริมฝีปาก
พร้อมกับจินตนาการถึงอีกเรียวปากหนึ่งที่เคยประทับรอยจุมพิตบางเบาไว้
สิมาริเมสทำตามเช่นกันเมื่อดอกกุหลาบกลับไปอยู่ในมือของเธออีกครั้ง
แต่พอเขายื่นมือไปขอดอกไม้อีก เธอก็สั่นศีรษะก่อนจะหัวเราะเบาๆ “พอเถอะค่ะ
เดี๋ยวดอกไม้ช้ำหมด”
เขายิ้มแห้งๆ
ทั้งที่ความร้อนบนใบหน้ายังไม่จางหายไป ชายหนุ่มมองเธอนั่งถือดอกกุหลาบ แกว่งสองเท้าเหนือคูน้ำอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อยากไปที่ไหนต่อไหม”
“ทำไมหรือคะ”
“ก็...เราไม่เคยออกมาข้างนอกด้วยกันแบบนี้เลย
แล้ววันนี้ก็ยังมีเวลาจนถึงเย็น” เนมอสให้เหตุผล “จะกลับไปที่จัตุรัสไหม”
เด็กสาวสั่นศีรษะ “ข้าไม่ค่อยชอบที่ที่คนพลุกพล่านน่ะค่ะ
แต่ถ้าท่านเนมอสอยากกลับไปก็ได้ค่ะ”
“ข้าก็ไม่ชอบคนพลุกพล่านเหมือนกัน”
ทั้งสองนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่สิมาริเมสจะเสนอ “ข้านึกถึงที่หนึ่งขึ้นมาได้น่ะค่ะ”
“ที่ไหนหรือ”
“ที่เชิงเขาหลังเมืองเป็นชายป่าเล็กๆ ค่ะ จำได้ว่ามีจุดหนึ่งเป็นลานที่มีดอกไม้ป่าขึ้นเต็มไปหมด
สมัยเด็กๆ ท่านพ่อท่านแม่เคยพาข้าไปเที่ยวครั้งสองครั้ง
แต่หลังจากนั้นท่านพ่อก็ไม่ว่างพาไปเลย
ข้าอยากให้ท่านได้เห็นลานดอกไม้ที่นั่นเหมือนกัน”
“ได้อยู่แล้ว” เนมอสรับง่ายๆ
เนมอสย้อนกลับไปที่จวนข้าหลวงเพื่อนำม้าของตนและขออนุญาตท่านข้าหลวงพาธิดาออกไปนอกเมือง
โดยรับรองหนักแน่นว่าจะคุ้มครองสิมาริเมสอย่างดีที่สุด ข้าหลวงชรายินยอมโดยไม่ได้ซักถามอะไรนัก
อีกทั้งยังให้จัดสำรับอาหารในปิ่นโตไม้มาเป็นมื้อกลางวันของทั้งสอง
หลังจากขี่ม้าไปตามทางที่ท่านข้าหลวงบอกไว้โดยมีเด็กสาวคอยแนะเส้นทางให้เป็นระยะๆ
เท่าที่จำได้
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงชายป่าโปร่งที่มีพื้นหญ้าบริเวณหนึ่งลาดลงเป็นแอ่ง
ดารดาษด้วยไม้ดอกเล็กๆ สีสดใสที่แข่งกันผลิบานสะพรั่ง ใต้แสงตะวันที่ส่องเป็นลำลอดผ่านม่านใบไม้
“ยังอยู่จริงๆ ด้วย”
สิมาริเมสเอ่ยอย่างดีใจ
“สวยมากเลย” แม่ทัพหนุ่มพูดขึ้นหลังจากลงจากหลังม้าและช่วยประคองเด็กสาวลงมา
คู่หมั้นของเขาหยิบปิ่นโตไม้ห่อด้วยผ้าซึ่งแขวนไว้ข้างอานม้า
ก่อนจะเริ่มก้าวลัดเลาะไปตามแนวต้นไม้รอบแอ่ง โดยระมัดระวังไม่ให้เหยียบดอกไม้เข้า
“ไปหาร่มไม้นั่งกันเถอะค่ะ”
“อือ” เขารับแล้วก้าวตามเธอไป
แต่แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องตกใจ และเห็นร่างบอบบางทำท่าจะถลาล้มลง
สัญชาตญาณบอกให้ชายหนุ่มปราดเข้าไป
ยื่นแขนข้างหนึ่งออกรั้งไหล่ของเด็กสาว ขณะที่อีกข้างแตะลำต้นไม้ใหญ่ไว้เป็นหลัก
ใบหน้าของทั้งสองเลื่อนเข้ามาใกล้กันชั่วแวบหนึ่ง
นัยน์ตาสบนัยน์ตา ก่อนที่เนมอสจะตั้งสติแล้วรีบถาม “มะ...ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ค่ะ” เด็กสาวรับเบาๆ “ขอบคุณมากนะคะ”
แต่สติของเขาแทบไม่ได้จับใจความคำพูดเหล่านั้น
กลับจดจ่อ ณ ที่มาของเสียงแว่วหวาน ซึ่งดูอ่อนนุ่มและหอมหวนไม่ต่างจากกลีบดอกกุหลาบนั้นเลย
มือที่แตะต้นไม้อยู่เลื่อนมายังไหล่อีกข้างของเธอ
ก่อนใบหน้าจะโน้มลงหาดวงหน้านวล
สิมาริเมสหลุดเสียงร้องออกมาเบาๆ
ดวงตาสีอำพันเบิกกว้างขึ้นชั่วครู่ แต่แล้วก็ปิดลงอย่างผ่อนคลายเมื่อริมฝีปากของทั้งสองต้องกัน
เนมอสจึงหลับตาลงเช่นกัน ปิดรับผัสสะอื่นๆ
เพื่อดื่มด่ำกับสัมผัสอันนุ่มนวลลึกซึ้งนั้นให้เต็มที่
...ช่างหวานชื่นยิ่งกว่าดอกกุหลาบร้อยเท่าพันทวีนัก...
ชายหนุ่มบอกไม่ถูกว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด
แต่เมื่อริมฝีปากของต่างฝ่ายคลายจาก เด็กสาวก็สูดหายใจเฮือกใหญ่
ดวงหน้าที่เสมองไปทางอื่นขึ้นสีแดงระเรื่อ ยังผลให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวขึ้นด้วย
หมู่นกในไพรส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว
ขณะที่มนุษย์ผู้มาเยือนทั้งสองยังนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน
“...ขอโทษนะคะ...” เด็กสาวก้มหน้างุด พึมพำเสียงเบาจนเขาแทบไม่ได้ยิน
“หืม?”
“ก็...ข้าวกล่อง...ข้าทำตกไป”
เขามองลงที่พื้น
เห็นห่อผ้าตะแคงอยู่ระหว่างร่องในรากไม้ จึงก้มลงเก็บขึ้นมา
“มะ...ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
นักรบหนุ่มคลำเนื้อไม้ใต้ผืนผ้าให้แน่ใจ “กล่องก็ยังอยู่ดี”
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองคู่หมั้นสาว เขาก็พบว่าเธอยังคงก้มหน้าอยู่เช่นเดิม
ทำให้อดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้
“...ขอโทษนะ” ชายหนุ่มตัดสินใจเอ่ย
“ขอโทษทำไมล่ะคะ”
“ก็...ข้า...” เขาเริ่มอึกอัก “...ที่ข้า...ทำลงไป...ถ้าเจ้าโกรธ...ข้าก็เข้าใจ...คือข้า...”
เด็กสาวเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นแตะริมฝีปากของตนก่อนจะตอบแผ่วเบา
“...ทำไมข้าจะโกรธล่ะคะ”
“ก็...”
เนมอสเริ่มสงสัยเหมือนกันว่าตนต้องการจะพูดอะไรกันแน่ “ก็...ข้าน่าจะขออนุญาตเจ้าก่อนจะ...จะ...”
“...จูบ...หรือคะ”
“อะ...อือ” เขาพยักหน้า
สิมาริเมสหัวเราะออกมาเบาๆ “ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าโกรธล่ะคะ”
“ก็...เห็นเจ้าเอาแต่ก้มหน้าเงียบอยู่”
เขาพูดงึมงำ
เด็กสาวสั่นศีรษะ
“ข้าไม่โกรธหรอกค่ะ ก็เราเป็นคู่หมั้นกันนี่นา” เธอเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันหลบ แต่ชายหนุ่มก็เห็นสีกุหลาบบนใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน
“แต่ตกใจ...แล้วก็เขินต่างหาก”
“นั่นละ ข้าถึงได้ขอโทษ”
เนมอสระบายลมหายใจเบาๆ “...ที่ทำให้ตกใจ”
“...ไม่เป็นไรค่ะ”
เด็กสาวนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างลังเล “ข้า...ขอถามอะไรท่านเนมอสหน่อยจะได้ไหมคะ”
“ว่ามาสิ” เขารับด้วยความสงสัย
“คือ...ท่านเคย...จูบ...ผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่าคะ”
“ไม่เคยเลย ตอบด้วยความสัตย์จริง”
“หรือคะ” สิมาริเมสรับ
ในน้ำเสียงดูจะมีความยินดีแฝงอยู่ “ข้า...ข้ารู้สึกว่าอย่างนั้นละค่ะ
แต่...แต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม เอ่อ...ไม่ใช่ว่าข้าระแวงท่านนะคะ”
“ข้าไม่ว่าอะไรหรอก”
เนมอสตอบอย่างผ่อนคลายขึ้น “อันที่จริงถ้าเจ้าจะระแวง ข้าก็เข้าใจ
ก็เรื่องกลีบดอกไม้คราวนั้นชวนให้เข้าใจผิดอยู่”
“อย่างนั้นหรือคะ” เด็กสาวรับเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร
“ข้า...ข้าคิดว่ารออีกสักพักแล้วจะขอให้ท่านเลิกไปน่ะค่ะ”
“เมื่อคืนนั้น ข้าไปที่ย่านเริงรมย์มาจริงๆ
แต่แค่ไปเป็นเพื่อนของเพื่อนเท่านั้นเอง”
แม่ทัหหนุ่มตัดสินใจพูดตรงๆ “แล้วที่ติดมาในถุงเงินก็เป็นดอกไม้ที่เขาได้มา”
“...หรือคะ”
ชายหนุ่มทำใจให้กล้า
เชยคางของเธอขึ้นมาสบตาด้วยก่อนจะเอ่ยหนักแน่นราวกับให้คำปฏิญาณ
“ข้าไม่เคยมีใคร
แล้วพอเราแต่งงานกันก็จะมีแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น เชื่อใจข้าเถอะนะ”
“ค่ะ” เด็กสาวรับพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
ทั้งสองมองตากันนิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง
ก่อนนัยน์ตาทั้งสองคู่จะปิดลง ขณะที่ริมฝีปากเคลื่อนเข้าหากันอีกครั้ง
เนมอสอยากให้เวลาเช่นนี้คงอยู่ตลอดไปเหลือเกิน
ทว่าอีกชั่วครู่หนึ่ง จุมพิตนั้นก็ต้องสิ้นสุดลง
อีกไม่นาน วันเทศกาลคิมหันต์ก็สิ้นสุดลง
และในที่สุด เวลาที่ทั้งสองจะได้อยู่ร่วมกันก็มีอันต้องจบสิ้นไปพร้อมการมาถึงของฤดูใบไม้ร่วง
เมื่อองค์เหนือหัวมีรับสั่งให้แม่ทัพหนุ่มเข้าเฝ้าในทันทีที่กลับถึงเมืองหลวง
ความคิดเห็น