คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 1 - ความอาดูรของนักรบ - 5 - เข้าเฝ้า
“เจ้านี่ร้ายนัก” คนพูดมองคนฟังที่ขยับตัวหมากสีดำไปแทนที่หมากกลมแบนสีขาว
“แค่เบี้ยเองนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เราหมายถึงเรื่องหมั้นสายฟ้าแลบนั่นต่างหาก” ฝ่าบาทเดินหมากสีขาวของตน “ว่าจะส่งขันหมากพระราชทานไปให้แม่นางไม้คนสวยของเจ้าแท้ๆ”
เนมอสยิ้มแห้งๆ เขาเก็บเงียบไว้ว่านั่นละคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตนต้องรีบสู่ขอและจัดพิธีหมั้นเป็นการภายในเสียก่อนเมื่อทบทวนจนแน่ใจดีแล้วว่าตนรู้สึกอย่างไรกับเด็กสาว
หลังจากเจอคำกระเซ้าชวนใจหายขององค์เหนือหัวไปในวันนั้น
หากจะขอเธอแต่งงานจริงๆ
เขาก็อยากจัดการทุกสิ่งให้ถูกต้องตามธรรมเนียมด้วยตนเอง
ไม่อยากให้มีผู้ใดคิดว่ากระทั่งเรื่องแต่งงานยังต้องพึ่งบารมีนาย
หรือให้เธอคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้มีขึ้นเพียงเพราะฝ่าบาททรงพิจารณาจะมอบเธอให้เป็นรางวัลของเขาเท่านั้น
“ท่านข้าหลวงไม่อยากให้จัดงานเอิกเกริกพ่ะย่ะค่ะ”
เขาออกตัวให้ฟังดูดีที่สุด
“ไม่ได้ๆ
เจ้าเป็นเพื่อนของเรา จะให้เราทำเฉยได้อย่างไร
จำไว้เสียว่างานสมรสต้องเป็นงานพระราชทาน ห้ามลักลอบจัดก่อนเด็ดขาด
เพราะเราจองตำแหน่งเพื่อนเจ้าบ่าวไว้แล้ว”
ขุนพลหนุ่มลอบถอนใจ แต่ก็เอาแต่นิ่งเงียบรอดูสถานการณ์บนกระดาน
“ว่าแต่กำหนดวันแต่งหรือยัง”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ ท่านข้าหลวงขอให้รออีกสักปี
แล้วอย่างน้อยพวกเราก็ต้องทำศึกกับอาร์คบัตเสียก่อน”
“อีกสักปี? นี่แม่หญิงสิมาริเมสของเจ้าเป็นเด็กอายุสิบสี่รึ” ดอร์มินพูดกลั้วหัวเราะ
“สิบหกพ่ะย่ะค่ะ” เขารีบค้าน
“สิบหก อันที่จริงแต่งก่อนรบก็ได้ด้วยซ้ำ
ตอนอภิเษกสนมคนหนึ่งของเรา นางยังอายุสิบห้าเลย” ฝ่าบาทตรัสเรียบๆ
“จำได้ว่าเมื่อปีก่อนมีเจ้าแคว้นคนไหนไม่รู้เสนอจะยกลูกสาวอายุสิบสองให้เราด้วยซ้ำ
แต่นั่นมันก็เด็กไป...รออีกสองสามปีดีกว่า ดอกไม้ที่ยังตูมอยู่
ไปเด็ดเสียก่อนเวลาอันควรก็ไม่น่าเชยชมเท่าดอกไม้แรกแย้ม จริงไหม”
เนมอสไม่ปริปากวิจารณ์คำเปรียบเปรย แต่กลับเดินหมากอย่างเงียบๆ
“ว่าแต่เราเริ่มอยากเห็นคู่หมั้นของเจ้าเสียแล้วสิ”
“ถ้าเป็นงานสมรสพระราชทาน
ฝ่าบาทก็ได้ทอดพระเนตรนางอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“นานไป
เราหมายถึงก่อนรบกับอาร์คบัตต่างหาก เจ้าพานางมาเที่ยวชมป้อมสักครั้งสิ ถือเสียว่าให้เรากับพวกทหารได้เห็นดอกไม้งามเป็นบุญตาก่อนไปศึกสักหน่อย”
นักรบหนุ่มปฏิเสธในทีแรก แต่สุดท้ายก็จำต้องยอมตกลงเมื่อองค์เหนือหัวนำผลแพ้ชนะของหมากกระดานนี้เป็นพนัน
และพิฆาตขุนสีดำได้ในที่สุด
ใต้แสงตะวันยามสาย
นัยน์ตาสีอำพันทอดลงจากเชิงเทิน มองทิวทัศน์กว้างขวางเบื้องล่างอย่างสนใจ
“อาร์คบัตอยู่ที่ไหนหรือคะ”
“อยู่ข้ามฟากทะเลทรายไปอีก เลยมองไม่เห็น”
กระทั่งค่ายพักทหารของฝ่ายนั้นก็ยังอยู่เลยเส้นขอบฟ้าเช่นกัน
แต่เนมอสกลับโล่งใจมากกว่าที่พวกมันยังยกทัพมาไม่เข้าระยะของป้อมปราการแห่งนี้
ในเมื่อภาพนั้นอาจทำให้เด็กสาวผู้กลายมาเป็นคู่หมั้นของเขาได้ไม่ถึงสัปดาห์ดีกังวลใจ
“ท่านต้องออกไปไกลถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะ”
สิมาริเมสพูดเสียงอ่อน ขุนพลหนุ่มเลยยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบ
“ไม่หรอก แค่รอรับศึกอยู่แถวหน้าด่านช่วงนี้เท่านั้นเอง” เขาวาดมือเหนือภาพผืนทราย
“ค่ะ” อีกฝ่ายรับเบาๆ แล้วเงียบไป
มีเพียงเสียงลมที่พัดแรงรอบกายทั้งสองจนเส้นผมยาวสลวยและผ้าคลุมผมของเด็กสาวพลิ้วไหว
ต่างฝ่ายจดจ่อกับความคิดของตนและอนาคตภายหน้า “ท่านเนมอสคะ”
“หือ...”
“ข้า...” สิมาริเมสเอ่ยด้วยเสียงลังเล “ข้าไม่ชินเรื่องการศึกเลยนะคะ”
“ทำไมหรือ” เขาย้อนถาม
“ก็...อย่างนี้ข้าจะเหมาะที่จะเป็น...ภรรยาของขุนพลหรือคะ” เด็กสาวพูดเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ “ตอนได้ยินว่าท่านบาดเจ็บคราวนั้น...ข้าก็เป็นห่วงจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ท่านแม่บอกว่าบุรุษต้องทำการศึกเป็นธรรมดา
เราเป็นสตรีก็ต้องยอมรับชะตากรรมว่าเขาอาจจะกลับมา...หรืออาจจะไม่ก็ได้”
“แต่ข้าก็กลับมาแล้วนี่ สิมา”
เขากุมมือของเธอไว้ เริ่มรู้สึกกล้าและเคยคุ้นที่จะจับมือ
รวมทั้งเรียกเธอด้วยชื่อเล่นสั้นๆ ตามที่เธอบอกขึ้นมาบ้างหลังงานหมั้น
“แล้วครั้งหน้าล่ะคะ”
“ครั้งหน้าก็จะพยายามกลับมาให้ได้”
ขุนพลหนุ่มชำเลืองมองคู่หมั้นซึ่งยังคงมีสายตากังวล “เรื่องศึก...ข้าเองก็รับรองไม่ได้แน่ๆ
ว่าจะรอด แต่ข้าก็สู้ให้เต็มที่ทุกครั้ง ยิ่งมีเจ้ารออยู่
ข้าก็จะยิ่งสู้ให้เต็มที่ขึ้นไปอีก”
ท้ายคำพูดนั้นเขาบีบมือของเธอแน่นขึ้นเหมือนจะรับรอง
“ขอบคุณค่ะ” สิมาริเมสเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้มน้อยๆ
เนมอสยิ้มตอบ เงียบไปอีกครู่หนึ่งจึงตัดบท “เข้าไปในป้อมเถอะ
ตอนนี้ฝ่าบาทคงจะเลิกประชุมแล้ว”
เขาคาดการณ์ผิด
เพราะทันทีที่เข้าใกล้โถงประชุม ทั้งสองก็พบว่าองค์เหนือหัวดอร์มินกับบรรดาแม่ทัพและเสนาธิการต่างๆ
กำลังหารือกันอย่างเคร่งเครียด แต่ครั้นจะเลี่ยงออกมา
ฝ่าบาทก็สังเกตเข้าและทักเสียก่อน
“อ้าว เนมอส มาพอดี”
สายตาทุกคู่ในห้องพุ่งตรงมาทางขุนพลหนุ่ม...แล้วก็เคลื่อนไปที่เด็กสาวด้านหลังเป็นตาเดียวกัน
เนมอสค้อมคำนับ ยังผลให้สิมาริเมสยอบกายตามอย่างอ่อนน้อม
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
“ถวายบังคมเพคะ”
ชายหนุ่มสังเกตว่าท่ามกลางสายตาประหลาดใจของเหล่าคนในห้องนั้นยังมีแววตำหนิที่เขาอาจหาญนำสตรีเข้ามาในเขตแดนแห่งการรบอันสงวนไว้ให้แต่บุรุษ
และบางสิ่งในแววตาของนายทหารบางคนรวมทั้งฝ่าบาทซึ่งเนมอสไม่ค่อยเข้าใจ
แต่กลับยังความไม่สบายใจขึ้นมา
ทว่าอีกชั่วครู่
กษัตริย์หนุ่มก็คลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตร
“ยินดีที่ได้พบคุณหญิงสิมาริเมส คู่หมั้นของท่านขุนพลเนมอสด้วย”
“...นับเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับหม่อมฉันเพคะ” เด็กสาวตอบแผ่วเบา
“เรายังต้องประชุมกันต่ออีกสักพัก เชิญคุณหญิงนั่งพักก่อนเถอะ” ฝ่าบาทบอกก่อนจะหันกลับมาทางขุนพลหนุ่ม “เนมอส
เจ้ามาฟังด้วยก็ดี”
ทหารที่เฝ้ายามอยู่นำเก้าอี้มาตั้งชิดผนังห่างจากโต๊ะที่วางแผนที่กลางวงประชุมสักระยะหนึ่ง
เพื่อรับรองสตรีเพียงคนเดียวในที่นั้น
ขณะที่เนมอสนั่งลงบนเก้าอี้ว่างที่มุมด้านหนึ่งของโต๊ะ
เมื่อการประชุมแผนการรับมือข้าศึกผู้รุกรานดำเนินต่อไป
ขุนพลหนุ่มลอบปรายตามองคู่หมั้นที่ถูกกันให้อยู่เพียงลำพังอย่างลำบากใจ เขาอดนึกไม่ได้ว่าไม่ควรพาเธอมานั่งเบื่อหน่ายเช่นนี้เลย
ทว่าสิมาริเมสยังคงส่งยิ้มเฝื่อนๆ ตอบมา
“กระหม่อมคิดว่า...เมื่อได้กำลังเสริมจากแคว้นของพระชนนีแล้ว
เราควรบุกไปยึดเมืองอาร์คบัตต่อให้สิ้นเสี้ยนหนามเสียด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่รัชกาลก่อนๆ ก็ทรงพยายามทำเช่นนั้นแล้ว
และไม่สำเร็จนะท่านแม่ทัพ เมืองอาร์คบัตใช่จะตีแตกได้ง่ายๆ เสียเมื่อไร”
“แต่ถ้าเรายังปล่อยพวกมันอยู่
ก็ไม่รู้ว่ามันจะโจมตีพวกเราอีกเมื่อใดน่ะสิ”
“เราเองก็อยากยึดอาร์คบัตให้ได้เสียที”
องค์ราชันเอ่ยขึ้น ยังผลให้เสียงที่ทำท่าจะทุ่มเถียงเงียบไป “ติดที่ชัยภูมินั่นละ”
เนมอสพยักหน้าพลางครุ่นคิด
จะว่าไปแล้วอาร์คบัตไม่ได้มีแสนยานุภาพล้ำเลิศเลยด้วยซ้ำ
ทว่าปัญหาคือลักษณะภูมิประเทศที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขา ประตูหน้าด่าน ณ อีกฟากทะเลทรายหรือก็สร้างขึ้นในช่องเขา
นับเป็นปราการธรรมชาติชั้นดี
“ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรดเกล้าฯ เพคะ...”
น้ำเสียงของเด็กสาวกลับดังขึ้น
เรียกสายตาของทุกคนไปยังร่างบอบบางที่นั่งยืดหลังตรง สองมือประสานกัน
ดูเยือกเย็นและสง่างามอย่างที่เนมอสไม่เคยเห็นมาก่อน “หม่อมฉันขอดูแผนที่หน่อยได้ไหมเพคะ”
ไม่มีใครพูดขึ้นเลย จนกระทั่งดอร์มินตอบเรียบๆ
“ได้สิ”
เมื่อนั้นเอง สิมาริเมสจึงได้ลุกจากเก้าอี้และเดินตรงไปอยู่ข้างกษัตริย์หนุ่ม
แต่ค่อนไปด้านหลังซึ่งไม่ได้ใกล้ชิดจนเกินงาม คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ ขณะที่นัยน์ตาทอดมองแผนที่ยุทธศาสตร์
ทุกคนจับจ้องสตรีเพียงคนเดียวในที่ประชุมนิ่งนาน
จนกระทั่งเธอค้อมศีรษะให้องค์เหนือหัว
“ดูจากภูมิประเทศของอาร์ตบัคแล้ว
หม่อมฉันเห็นว่าเราจะยกทหารเข้าไปทั้งกองลำบาก
เช่นที่พระองค์และท่านทั้งหลายทราบดี แต่หากส่งทหารจำนวนน้อยที่ชำนาญการปีนเขาสูงให้ลอบเข้าไปทำลายปีกทั้งสองของกองทัพรักษาเมือง
ซึ่งน่าจะประจำอยู่...” เธอก้าวเข้ามาโน้มกายลงเหนือโต๊ะ นิ้วขาวเรียวชี้ไปที่จุดจุดหนึ่งบนป้อมปราการของอาร์คบัตก่อนจะเคลื่อนไปยังอีกที่หนึ่ง
“จุดนี้...และจุดนี้ น่าจะทำให้กองทัพของอาร์คบัตอ่อนกำลังลง
จนทัพใหญ่ของเราตีฝ่าประตูเมืองเข้าไปได้โดยง่ายเพคะ”
เด็กสาวค้อมคำนับอีกครั้งแล้วจึงถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตน
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากหมู่เสนาธิการและนายทหาร
ซึ่งหารือความเป็นไปได้ของแผนการนั้นอย่างกระตือรือร้น
มีเพียงเนมอสที่พูดไม่ออก เขาได้แต่มองเด็กสาวที่นั่งเหยียดหลังตรงราวกับนางพญา
ทอดสายตาไปยังชายผู้มีอำนาจมากที่สุดในที่นั้นโดยไม่สบตากับเขาอย่างน่าประหลาดใจ
ก่อนจะสังเกตเห็นกษัตริย์หนุ่มมองตอบคู่หมั้นของเขาด้วยสายตาชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
“วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีนัก นอกจากแผนการศึกกับอาร์คบัตจะหาทางออกได้แล้ว
เรายังได้พบคู่หมั้นแสนงามและเก่งกาจของขุนพลเนมอสเสียด้วย” ฝ่าบาทดอร์มินเอ่ยด้วยรอยยิ้มหลังจากเรียกให้ขุนพลหนุ่มกับคู่หมั้นมานั่งร่วมโต๊ะด้วยกันสามคนเมื่อการประชุมสิ้นสุด
“มะ...หม่อมฉันไม่ได้เก่งกาจอะไรเลยเพคะ”
สิมาริเมสก้มหน้าน้อยๆ อย่างประหม่า “ก็แค่...ได้ยินเสียงบอก...เท่านั้นเองเพคะ”
“ได้ยินเสียงหรือ”
องค์เหนือหัวซักอย่างสนใจ “เทพีแห่งชัยชนะฝากให้คุณหนูนำสารนี้มาให้พวกเรากระนั้นหรือ”
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ เพียงแต่ตัดสินใจว่าจะลองให้เสียงนั้นพูดดูเท่านั้นเอง” เด็กสาวออกตัว “ว่าแต่แผนนั้นจะใช้ได้ไหมเพคะ”
“มีความเป็นไปได้สูง
แต่คงต้องวานคู่หมั้นของคุณหนูพิสูจน์สักหน่อย”
คนพูดหันไปทางบุคคลที่สามที่ร่วมโต๊ะ “จริงไหมเนมอส”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขุนพลหนุ่มจำใจรับ
ความเงียบครอบคลุมบรรยากาศอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่องค์เหนือหัวจะเอ่ยอย่างรื่นเริง “เจ้าเนมอสออกจะเป็นคนทื่อๆ
นอกจากรบทัพจับศึกแล้วก็ไม่ใคร่สนใจเรื่องละเอียดอ่อนอื่นๆ เอาเสียเลย ถ้ามีคุณหนูคอยดูแลอยู่
เราก็ค่อยวางใจ”
สิมาริเมสยิ้มตอบตามมารยาท
ส่วนคนถูกพาดพิงถึงก็ลอบถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรของวันไม่ทันนับ
เตรียมใจว่าฝ่าพระบาทคงจะพระราชทานเพลิงให้เขาต่อไปแน่แท้
“คุณหนูทราบไหม เจ้านี่เวลาอยู่ในสนามรบน่ะอย่างกับปีศาจ
จะเพื่อนหรือศัตรูก็อย่าเข้าใกล้เป็นดีที่สุด
แต่เราเคยตามไปเยี่ยมบ้านเขาครั้งหนึ่ง เลยได้พบว่าขุนพลพยัคฆ์ของเรา
เวลาอยู่ต่อหน้าแม่กลับเชื่องเป็นลูกแมวดีๆ นี่เอง”
“ฝ่าบาททรงเคยเห็นท่านแม่ของท่านเนมอสหรือเพคะ” เด็กสาวซักถามอย่างสนใจขึ้นมา
“เคยครั้งหนึ่งเมื่อราวสองปีก่อน
ว่าแต่เนมอสยังไม่เคยเล่าเรื่องแม่ให้คุณหนูฟังเลยหรือ”
“...ไม่เพคะ” เธอรับเสียงแผ่ว
“ถ้าอย่างนั้น ไว้เจ้าตัวเล่าให้ฟังเองดีกว่าไหม
เดี๋ยวจะกลายเป็นเราแย่งเรื่องพูดของคนพูดน้อยอยู่แล้วไปจนหมด” ฝ่าบาทถองเจ้าของเรื่องเบาๆ “หือ...เนมอส”
นักรบหนุ่มยิ้มเฝื่อนๆ “เรื่องของแม่ของกระหม่อมก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนี่พ่ะย่ะค่ะ”
“แม้แต่เรื่องที่คุณหนูสิมาริเมสดูคล้ายแม่ของเจ้าน่ะหรือ”
สิมาริเมสชายสายตาประหลาดใจมาทางเขาที่นิ่งเงียบ
ตกใจพอกันเพราะไม่ทันคิดว่าฝ่าบาทจะเอ่ยเช่นนี้ และไม่เคยคิดเปรียบเทียบเธอกับแม่เลยด้วยซ้ำ
“เราไม่ได้หมายถึงหน้าตา...แต่เป็นกิริยาท่าทางน่ะ” ดอร์มินขยายความ “เรารู้สึกว่าคุณหนูมีบางอย่างที่คล้ายกับแม่ของเนมอสอยู่”
“อย่างนั้นหรือเพคะ”
“เคยได้ยินมาว่าบุรุษมักรักสตรีที่คล้ายแม่ของตน
เห็นจะต้องนับว่าจริงเสียแล้ว ยกเว้นกรณีของเรา”
ในรอยยิ้มขององค์เหนือหัว
เนมอสรู้สึกคล้ายจะเห็นความกดดันที่แฝงอยู่เช่นทุกครั้งที่มีเหตุให้เอ่ยถึงพระชนนี
“ฝ่าบาท...เอ่อ...ทรงไม่รักหญิงที่คล้ายพระราชมารดาหรือเพคะ” เด็กสาวถามอย่างลังเลก่อนจะสะดุ้งวาบ “พะ...พระอาญาไม่พ้นเกล้า
หม่อมฉันไม่ควรพูดเช่นนั้นเลยเพคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” อีกฝ่ายยิ้มอ่อนโยนขึ้น “ก็ไม่ใช่ว่าเสด็จแม่จะไม่ดี ทรงเข้มแข็งและเด็ดขาด
เป็นที่ปรึกษาที่ดีของเรา
แต่เรารู้สึกเหมือนมีหญิงที่คอยดูแลเราในแบบนั้นคนเดียวก็พอแล้ว
เลยชอบหญิงที่...อ่อนโยนกว่านั้นบ้าง แต่ในสถานการณ์ของเราก็ใช่ว่าจะเลือกได้หรอก”
สิมาริเมสนิ่งเงียบไป
ขุนพลหนุ่มเองก็รู้สึกว่าแนวเรื่องสนทนากลับเคร่งเครียดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
“แต่แม่ของเนมอสมีสิ่งที่คล้ายคุณหนูอยู่จริงๆ
เราคิดว่านางเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใย เอาใจใส่ดูแลลูกชายมากทีเดียว”
เนมอสฟังแล้วก็คิดถึงครั้งที่เจ้าชายรัชทายาทอันดับหนึ่งปลอมตัวเป็นเพื่อนทหารมาที่บ้านของเขายามพักรบ
แม่ของทหารหนุ่มในวันนั้นต้อนรับสหายของลูกชายเป็นอย่างดี พร้อมทั้งฝากให้ช่วยดูแลกันและกันโดยไม่รู้เลยจนวันสิ้นลมว่าตนมีวาสนาได้พบกับองค์กษัตริย์ในอนาคต
องค์เหนือหัวคงเห็นว่าจะสนทนาเรื่องนี้ต่อไปได้ไม่นาน
จึงเปลี่ยนเป็นซักถามเรื่องทั่วๆ ไปกับคู่หมั้นของขุนพลหนุ่มแทนจนถึงเวลาที่เขาทูลลากลับ
“ฝ่าบาททรงมีพระอัธยาศัยดีนะคะ”
สิมาริเมสเอ่ยทำลายความเงียบในรถม้าระหว่างทางกลับจากป้อม “ข้ารู้สึกเหมือน...ทรงขี้เล่น...จะเรียกอย่างนี้ได้ไหมคะ”
“ก็คงได้” เนมอสตอบเรียบๆ พลางนึกในใจว่าเด็กสาวยังไม่เห็นพระวีรกรรมมากพอจะเติมคำขยายความเป็น
‘ทรงขี้เล่นอย่างร้ายกาจที่สุด’
“ว่าแต่...นี่เป็นวันแรกด้วยซ้ำกระมังคะที่ข้าได้ฟังเรื่องแม่ของท่าน”
เด็กสาวเปรยขึ้น
“อย่างนั้นหรือ”
“ก็...นอกจากครั้งแรกที่พบกัน ท่านเนมอสไม่เคยพูดถึงแม่ของท่านเลย
ข้าเลยไม่กล้าถามเพราะรู้สึกเหมือนท่านยังเสียใจเรื่องแม่อยู่”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
ขุนพลหนุ่มยิ้มน้อยๆ “แต่เรื่องของแม่ข้าก็ไม่ได้มีอะไรมากมายจริงๆ”
“อย่างนั้นหรือคะ”
สิมาริเมสรับอย่างไม่มีความหมายมากนัก แต่แล้วชายหนุ่มก็อดพูดไม่ได้
ในเมื่อเขาได้รู้ความลับเรื่องแม่แท้ๆ
ของเด็กสาวอย่างที่เธอไม่เคยรู้แล้ว...จะให้เขาปิดบังเรื่องหญิงที่จะมาเป็นแม่สามีของเธอได้หรือ
“แม่เลี้ยงข้ามาตามลำพังตั้งแต่เล็กเพราะพ่อไม่เคยเหลียวแลเราสองคน
ข้าเข้าใจว่าพ่อเป็นขุนนางคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ตัวตนว่าเป็นใคร ตอนเด็กๆ
ข้าเกลียดมากเวลามีคนพูดกันว่าข้าเป็นลูกไม่มีพ่อ...เป็นลูกนางบำเรอ
แต่สุดท้ายข้าก็ต้องยอมรับจนได้”
“ขะ...ขอโทษนะคะ” เด็กสาวเอ่ยเสียงแผ่ว “ถ้าท่านเนมอสไม่อยากพูดถึง ข้าก็เข้าใจค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าคิดว่าควรพูดเสียที แล้วข้าก็อยากพูดด้วย” เขาหันไปมองเส้นทางนอกหน้าต่างเพื่อหลบสายตา “อีกไม่นาน...เราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันนี่”
“...ค่ะ” สิมาริเมสรับเบาๆ เช่นเดิม
เขาเลยพูดต่อไป
“แม่เป็นช่างทอผ้า แต่ละวันๆ ท่านทำงานหน้าหูกทอผ้าไม่มีวันหยุดเพื่อส่งข้าเรียนหนังสือ
แต่ข้าก็ไม่ใช่คนหัวดีมาก...ที่ทำดีนักกลับเป็นชกต่อยต่อตีกับคนอื่นๆ มากกว่า
ยังดีที่มีทหารผ่านศึกคนหนึ่งเห็นว่าข้ายังใช้เรื่องพวกนี้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตได้
เลยสอนอาวุธให้จนข้าได้เข้ากองทัพ แล้วพอได้พบฝ่าบาท
พระองค์ก็ทรงช่วยสอนเรื่องกลศึกให้ แต่ก่อนจะได้เป็นขุนพล...แม่ก็ล้มป่วยแล้วเสียไปก่อน”
“ข้า...เสียใจด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องมันก็นานแล้ว”
เนมอสรับเรียบๆ
“ข้าคิดว่า...แม่ของท่านคงไปอยู่ในที่ที่ดีและมีความสุขยิ่งกว่านี้แล้วละค่ะ” เด็กสาวพูดขึ้น
“และแม่ก็คงดีใจมาก...ที่ข้าได้พบกับหญิงที่ดีอย่างเจ้า”
เขาเสริม
สิมาริเมสก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน
ก่อนจะเอ่ยเหมือนนึกขึ้นได้
“บางที...ที่ข้าได้ยินอาจจะเป็นเสียงท่านแม่ของท่านก็ได้นะคะ”
“เสียง เสียงอะไรหรือ”
“ก็...เสียงที่บอกเรื่องแผนตีเมืองอาร์คบัตอย่างไรล่ะคะ” เด็กสาวขยายความก่อนจะพูดจริงจัง “ข้าพูดจริงๆ นะคะ
ข้าไม่มีความรู้ทางยุทธศาสตร์เลย แต่ตอนนั้นข้ากังวลว่าท่านอาจจะต้องไปรบนาน
ยิ่งได้ยินเขาพูดกันว่าชัยภูมิของเมืองนั้นตียากมากด้วย แล้วจู่ๆ
ข้าก็ได้ยินเสียง...เสียงของผู้หญิงนี่ละค่ะ บอกข้าว่ามีแผนการที่จะช่วยให้ท่านตีเมืองได้สำเร็จโดยเร็วและกลับมาโดยปลอดภัย
ข้าเลยตัดสินใจปล่อยให้เสียงนั้นพูด”
“อย่างนั้นหรือ” เนมอสรับพร้อมกับขมวดคิ้ว
ถึงเขารู้ว่าเด็กสาวไม่น่าจะสร้างเรื่องขึ้น ก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องประหลาดเหลือที่จะเชื่อ
“ถ้าเป็นท่านแม่ของท่านจริงๆ ก็ดีนะคะ
เท่ากับว่าท่านแม่พูดคุยกับข้า...ยอมรับข้า...แล้วก็ช่วยให้ข้าได้ช่วยงานของท่านด้วย” สิมาริเมสยิ้มน้อยๆ อย่างยินดี
“ข้าก็คิดว่าดีเหมือนกัน”
ขุนพลหนุ่มตอบสั้นๆ แม้ความไม่สบายใจอย่างประหลาดจะเข้ารุมเร้าใจ เมื่อเขานึกถึงสายตาเรียบเฉยจนเรียกได้ว่าเป็นเย็นชาของเด็กสาวในตอนนั้น
ความคิดเห็น