คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 1 - ความอาดูรของนักรบ - 4 - สู่ขอ
ปลายมีดสั้นเซาะเนื้อไม้สีขาว
ก่อนที่มือใหญ่จะยกชิ้นไม้ขึ้นส่องกับแสงตะวัน แล้วลดมือลงเพื่อแกะต่อไป
“ทำอะไรอยู่รึ” ร่างสูงถามพร้อมกับตรงมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
“แกะสลักไม้พ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นน่ะเห็นอยู่แล้ว
แต่จะทำเป็นอะไร” องค์เหนือหัวเปรยขำๆ “อย่าบอกนะว่าจะทำหัวลูกศรติดเงี่ยงไปยิงใส่ฝ่ายนั้นล้างแค้นบ้าง”
เนมอสอดยิ้มน้อยๆ
ไม่ได้ “ถ้าทำได้ก็ดีสิพ่ะย่ะค่ะ”
“ไหนดูซิ” ฝ่าบาทดอร์มินกลับพูดขึ้นพร้อมกับฉวยชิ้นไม้ไปจากมือไม่ทันให้ตั้งตัว
พินิจพิศดูอย่างสนใจยิ่ง “อ้า...ลูกศรจริงๆ เสียด้วย”
“เหมือนหัวลูกศรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
คนทำชะงักกึก
“เราไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไรไปได้นอกจากหัวลูกศร”
เจ้าของ
‘หัวลูกศร’
อดโคลงศีรษะไม่ได้กับความคิดว่าฝีมือของตนคงยังไม่เข้าขั้นเอาเสียเลย แต่แล้วอีกฝ่ายก็เฉลย
“ศรจริงๆ นั่นละ
ศรรักของกามเทพแฝงกายในรูปลักษณ์ของนกพิราบขาว ผู้นำสารของเทพกัญญาแห่งความรัก
หมายยิงทะลุกลางหทัยนารี ฝากข่าวคราวและความในใจอันรุ่มร้อนไปให้นางในดวงใจ”
“กระหม่อมตั้งใจจะแกะนกจริงๆ
พ่ะย่ะค่ะ” ขุนพลหนุ่มรับ “แต่...เนื้อไม้มันบังเอิญเป็นสีขาว”
“แล้วทำไมไม่หยิบไม้สีดำมาอีกชิ้นเล่า
จะได้กลายเป็นกาดำต่ำศักดิ์หมายรักยูงหงส์ด้วย”
กษัตริย์หนุ่มกระเซ้า ทว่าพอเขาเงียบอยู่ก็เปลี่ยนเรื่องพูด “ว่าแต่ให้พักทำไมไม่ยอมพัก”
“กระหม่อมนอนพักจนพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ
ถ้าไม่ติดพระบัญชาก็คงออกไปดูทหารแล้วด้วยซ้ำ”
“เรื่องงานน่ะขยันจริง” ดอร์มินเปรย “แต่เรื่องหญิงเห็นทีจะไม่ขยันตามผลเอาเสียเลย”
เนมอสอดนิ่วหน้าไม่ได้
ตั้งแต่วันที่เขาฟื้นขึ้นมา ฝ่าบาทดูเหมือนจะกระเซ้าเขาเรื่องผู้หญิง...โดยเฉพาะธิดาท่านข้าหลวง...หนักข้อกว่าเดิมเสียอีก
“กระหม่อมส่งข่าวไปแล้วว่าตัวเองปลอดภัยดี
เท่านี้ก็พอแล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นละเราถึงว่าไม่ตามผล
ทำไมไม่ส่งไปอีกว่าคิดถึงใจจะขาดอยู่แล้ว...สิมาริเมสที่รัก”
ชื่อนั้นทำเอาขุนพลหนุ่มชะงักกึก
“ฝ่าบาททรงทราบชื่อของนางได้อย่างไร”
อีกฝ่ายยักไหล่พร้อมกับหัวเราะในลำคอ
“ก็มีใครไม่รู้ละเมอเรียกชื่อนี้เสียดังตอนเพ้อไข้
เราเห็นว่าเพราะแปลกหูเลยจำได้ ความหมายเข้ากับชื่อเจ้าดีเสียด้วย”
“ความหมาย...ชื่อของนางแปลว่าอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” เนมอสรีบถามเมื่อนึกได้ว่าตนยังไม่ทราบความหมายชื่อของเด็กสาวเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”
“กระหม่อมไม่ได้เรียนอักษรศาสตร์มานี่พ่ะย่ะค่ะ”
เขาออกตัวเบาๆ
องค์เหนือหัวยักไหล่ซ้ำสอง
“เราบอกให้ก็ได้ สิมาริเมสแปลว่า ‘ผู้ถือกิ่งไม้’
ฟังเข้ากับชื่อเนมอสที่แปลว่า ‘ป่าละเมาะ’
ของเจ้าดีพิลึก รู้อย่างนี้แล้วจะรีบคว้าไว้ไหม ท่านขุนพลบ้านป่า
หรือจะทิ้งให้ใครอื่นชิงนางไม้ที่เจ้าละเมอเพ้อพกถึงไปครองเสียก่อน”
นักรบหนุ่มปิดปากเงียบด้วยไม่อยากต่อคำความใดๆ
ทว่าสหายผู้สูงศักดิ์กว่ากลับเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม
“เนมอส
เจ้ารู้ไหมว่าเห็นอย่างนี้แล้ว...เราใคร่อยากตั้งชายไร้รักอย่างเจ้าเป็นขันทีองครักษ์วังใน
แล้วส่งขบวนไปสู่ขอสิมาริเมสของเจ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
เนมอสรู้สึกกระตุกวูบในใจโดยไม่ทันห้าม
ฝ่าบาทดอร์มินผู้มีพระชายาทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการหลายนางอยู่แล้ว...กับเด็กสาวผู้บริสุทธิ์สดใสเหมือนดอกไม้แรกแย้มคนนั้นน่ะหรือ
...ไม่มีวันอย่างเด็ดขาด...
“เสียดายที่เราตัดสินใจทำได้แค่ข้อหลังเพียงอย่างเดียว”
“พระอาญามิพ้นเกล้า” ขุนพลหนุ่มรีบกราบทูล “กระหม่อมขอคัดค้านพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเป็นใครถึงได้กล้าคัดค้านเรา” น้ำเสียงของนายเหนือกลับขุ่นมัวขึ้น
“กระหม่อมเกรงว่าพระองค์กับหญิงอย่างสิมาริเมสไม่มีวันเข้ากันได้แน่ๆ”
“อ้อ...แล้วเจ้ารู้จักนางดีนักรึ”
“อย่างน้อยก็...” เขารีบยั้งคำว่า ‘ดีกว่าพระองค์’ ไว้
“...ก็พอรู้จักล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงเราไม่ขอ
เจ้ามัวแต่ ‘พอรู้จัก’ อยู่แบบนี้
สักวันคงมีคนขอนางตัดหน้าเจ้าแทนเราอยู่ดี แล้วถึงวันนั้นเจ้าจะทนได้หรือ” ดอร์มินย้อน “ให้เราสู่ขอนางเสียยังดีกว่า อย่างน้อยเจ้าก็เป็นเพื่อนของเรา
เรายิ่งกว่ายินดีเสียอีกที่จะให้เจ้ากับนางได้พบปะเสวนาแสดงความคิดถึงกันบ่อยๆ”
“ฝ่าบาท...” เนมอสพยายามนึกหาเหตุผลมาแย้ง แต่กลับรู้สึกเหมือนสมองตื้อจนไม่ได้ความคิดใด
องค์เหนือหัวหันมายิ้มให้เขาอย่างผู้ชนะ
ก่อนจะหัวเราะร่วนพร้อมกับตบไหล่เขาอย่างไม่เบานักจนแผลแสบแปลบขึ้นมา
“เพราะเราจะสู่ขอนางให้กับเจ้าหลังเสร็จศึกอาร์คบัตเพื่อตอบแทนความดีความชอบของเจ้า
ไม่ว่าเจ้าจะว่าอย่างไรก็ตาม”
พรรณไม้ในสวนแปรเปลี่ยนไปบ้างเมื่อย่างเข้าคิมหันต์
ดอกไม้บางพันธุ์อันตรธานไป ส่วนบางพันธุ์ก็เริ่มผลิบานแทนที่
ต้นไลแลคเริ่มมีใบเขียวแซมมากกว่าดอก
ทว่าบุปผาอันงดงามที่สุดสำหรับเขายังอยู่ใต้ร่มเงาไม้
กำลังเด็ดช่อดอกที่แห้งเหี่ยวจากต้น
“สิมาริเมส”
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ไหล่ลาดหลังเส้นผมสีดำไหวน้อยๆ
แล้วดวงหน้าจึงหันขวับกลับมา สีหน้าประหลาดใจกลับกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง
“ท่านเนมอส!”
น้ำเสียงยินดีนำพาสองเท้าของเขาไปจนถึงเบื้องหน้าเธอโดยเร็ว
ความคิดชั่วแวบทำให้เขานึกอยากดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด แต่ก็ยั้งตนเองไว้แล้วเอ่ยแทน
“ข้าคิดถึงท่านมาก”
สิมาริเมสก้มหน้าลง
ไม่ตอบคำพูดของเขาแต่เสไปถาม “ได้ยินว่าท่านบาดเจ็บ ไม่เป็นไรมากใช่ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก
หายดีแล้ว”
“ก็ดีค่ะ” เด็กสาวรับก่อนจะพูดต่อหลังเงียบไปอีกครู่ “ได้ยินว่าศึกคงสงบไปพักหนึ่ง
แต่ไม่นึกเลยว่าท่านจะกลับมาเร็วถึงเพียงนี้”
“ข้ามีธุระ
พอแผลหายเลยขอลากลับเข้าเมืองสักครู่หนึ่ง” เขาละเหตุผลไว้
แต่อีกฝ่ายยังคงซักต่อ
“ธุระอะไรหรือคะ”
“ก็...” ชายหนุ่มรีบนึก “ข้ามีของอยากมอบให้ท่าน”
“ของอะไรหรือคะ”
เธอชายตามองอย่างสงสัย
เขาหยิบสายสร้อยที่มีไม้แกะสลักสีขาวร้อยติดอยู่ออกมา
มันถูกหย่อนลงในอุ้งมือของเด็กสาวซึ่งหยิบจี้ไม้ขึ้นมาดูตรงหน้าอย่างสนใจ
แม้สร้อยนั้นจะเป็นเพียงโลหะราคาถูก ส่วนไม้ก็แกะด้วยฝีมือที่เรียกได้ว่าค่อนข้างหยาบ
“นกหรือคะ ท่านทำเองหรือ”
“ใช่
ตอนพักฟื้นหลังบาดเจ็บ...ข้าอยู่ว่างๆ เลยลองทำดู”
เนมอสอดออกตัวไม่ได้ “สมัยเป็นทหารใหม่ๆ...เคยมีคนสอนข้าแกะสลักในเวลาว่าง
แต่ข้าก็ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก”
“น่ารักมากแล้วละค่ะ
ว่าแต่นี่นกอะไรหรือคะ”
“ไม้สีขาว...คงเป็นนกพิราบกระมัง”
“คงเป็น...แสดงว่าตอนทำไม่ได้คิดหรือคะ” สิมาริเมสหัวเราะน้อยๆ
“ก็...จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“ถึงอย่างไรก็ขอบคุณมากนะคะ
ข้าจะรักษามันเป็นอย่างดีเลย” เด็กสาวตอบก่อนจะสวมสร้อยนั้น
ให้นกพิราบตัวน้อยได้โผบินอยู่ใต้ลำคอระหง
“ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณ” เนมอสแลตะลึงแทบลืมหายใจ
“ขอบคุณทำไมหรือคะ”
“ก็...ขอบคุณที่ชม...แล้วก็รับเจ้านกที่น่าจะเป็นพิราบฝีมือคนหัดแกะอย่างข้าไปประดับน่ะสิ”
“ค่าของของที่ให้...สำคัญอยู่ที่ใจค่ะ” คนตอบยิ้มอ่อนหวานก่อนจะเปรย “...แต่บังเอิญจริงๆ”
“บังเอิญอะไรหรือ”
“ก็...ชื่อของข้าแปลว่า ‘ผู้มาจากนกพิราบ’ น่ะสิคะ”
“ไม่ใช่ ‘ผู้ถือกิ่งไม้’ หรือ” เขาถามอย่างสงสัยก่อนจะขยายความ “มีคนบอกข้ามาอย่างนี้”
“แปลได้ทั้งสองอย่างค่ะ ความหมายว่า ‘ผู้มาจากนกพิราบ’ เป็นภาษาเก่าของแคว้นเรา
ส่วน ‘ผู้ถือกิ่งไม้’ เป็นภาษาของทางเมืองหลวง” เด็กสาวอธิบาย “แต่ข้าคิดว่าท่านพ่อท่านแม่คงตั้งตามความหมายแรก
เพราะข้าเป็นเด็กที่รับมาเลี้ยง เหมือนในตำนานพื้นบ้านน่ะค่ะ”
“ตำนานว่าอะไรหรือ”
“ในตำนาน นางไม้ตนหนึ่งมีความรักกับชายมนุษย์
แต่สุดท้ายทั้งสองก็ต้องจากกัน นางไม้จำต้องทิ้งลูกสาวที่เกิดกับเขาไว้ที่ชายป่า
นกพิราบคู่หนึ่งจึงคอยดูแลทารกคนนั้นจนมีคนเลี้ยงแกะมาพบเข้าและนำไปเลี้ยงเป็นลูก ธิดาของนางไม้โตขึ้นมาเป็นหญิงงาม
ได้พบรักและอภิเษกกับเจ้าชายอย่างมีความสุข
แล้วทั้งสองก็กลายมาเป็นบรรพบุรุษของพวกเรา...อย่างที่ข้าเคยบอกว่าพวกเราในดินแดนนี้สืบเชื้อสายมาจากนางไม้น่ะค่ะ”
“อ๋อ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “อย่างนี้นี่เอง”
คำว่า ‘อภิเษก’
ทำให้เขาเผลอคิดแวบถึงคำตรัสขององค์เหนือหัวขึ้นมา
แต่ก็รีบสลัดความคิดนั้นไปโดยเร็ว
“ถึงอย่างนั้นก็ยังบังเอิญอยู่ดี”
ขุนพลหนุ่มเปรยยิ้มๆ
“บังเอิญอะไรหรือคะ”
“ก็ชื่อของข้าหมายถึง ‘ป่าละเมาะ’...ส่วนชื่อของท่านหมายถึง ‘ผู้ถือกิ่งไม้’ ได้ อย่างนี้ชื่อของเราต่างก็เกี่ยวกับต้นไม้เหมือนกันทั้งคู่น่ะสิ”
คนฟังหัวเราะรับเบาๆ “นั่นสินะคะ”
แต่แล้วความเงียบที่มีเพียงเสียงใบไม้ในสายลมก็เข้าห้อมล้อมทั้งสองอีกครา
กระทั่งขุนพลหนุ่มตัดสินใจเอ่ยขึ้นอีก
“สิมาริเมส”
“คะ?”
“ท่าน...” เนมอสรู้สึกเหมือนตนต้องรวบรวมความกล้ายิ่งกว่ายามสังหารศัตรูในสมรภูมิ “ท่าน...จะแต่งงานกับข้าไหม”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นทันควัน
นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างเหมือนเด็กเล็กๆ สีแดงที่เคยอยู่บนแก้มบัดนี้กระจายไปทั่วใบหน้า
ด้านชายหนุ่มก็รู้สึกแก้มร้อนผ่าว
ในสมองหรือก็สับสนจนไม่อาจพูดอะไรต่อ
หรือเขาจะใจร้อนเกินไป
อย่างน้อยควรจะเริ่มจากบอกรักก่อนไม่ใช่หรือ
“ขะ...ข้าขอโทษ
คงกะทันหันไปหน่อย ลืมที่ข้าพูดเสียเถอะนะ”
สิมาริเมสค่อยๆ
ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ดวงตากระพริบถี่ๆ ก่อนใบหน้าจะก้มลงอีก
แล้วเสียงหวานก็ค่อยๆ
เอ่ยอย่างแผ่วเบาที่สุด “...ถามท่านพ่อดูสิคะ”
“หมายความว่า...” เนมอสพยายามสบตากับเธอ แต่เด็กสาวก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น “...ท่าน...ตกลง...”
“ถ้าท่านพ่ออนุญาต...ข้าก็ยินดีค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น...ข้าจะไปหาท่านข้าหลวงเดี๋ยวนี้เลย”
ขุนพลหนุ่มยิ้มกว้าง
จับมือบอบบางไว้แน่นเป็นครั้งแรกให้สมกับความคิดถึงและความดีใจ เขาตื้นตันเหลือเกินเมื่อมือคู่นั้นบีบตอบเบาๆ
“ข้าอาจไม่มียศศักดิ์หรือฐานะใหญ่โต
ทั้งยังไม่มีชาติตระกูลสูงส่ง...แต่ข้าจะดูแลสิมาริเมสให้มีความสุขที่สุดขอรับ”
ข้าหลวงชราถอนใจยาว
ทว่าสีหน้ากลับฉายความปีติอย่างยิ่งยวด
“ท่านขุนพล
ข้าไม่ได้ถือสาเรื่องยศศักดิ์ ฐานะหรือชาติตระกูลเลย
ที่สำคัญกว่าคือกิริยาของท่านต่างหาก ข้าเห็นได้ว่าท่านเป็นคนดีและหนักแน่น
ในเมื่อท่านออกปากเช่นนี้ด้วยตนเอง ข้าก็ยิ่งกว่าวางใจเสียอีกที่จะฝากลูกสาวคนเดียวของไม้ใกล้ฝั่งคนนี้ให้ท่านดูแล”
เนมอสยิ้มน้อยๆ
อย่างยินดี ทว่าอีกฝ่ายยังพูดต่อ
“แต่ข้ายังมีเรื่องต้องบอกท่านเสียก่อน
จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้วว่าจะยังตกลงใจหรือไม่”
“เรื่องอะไรหรือขอรับ” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย
“ท่านทราบแล้วใช่ไหมว่าสิมาริเมสไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ
ของข้า”
“พอทราบมาบ้างขอรับ”
“ไม่สงสัยดอกหรือว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของนางเป็นใคร”
“ก็...มีบ้างขอรับ
แต่ข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างไร”
“เอาเถอะ” ชายชรายักไหล่ “ข้าคิดว่าควรบอกให้ท่านรู้เสียก่อน”
แล้วเขาก็เริ่มเล่า
“เมื่อสิบหกปีก่อน
มีชาวเมืองพาหญิงเร่ร่อนคนหนึ่งมาให้ข้าตัดสินโทษฐานขโมยอาหารในตลาด
แต่เพราะนางท่าทางตื่นกลัว ซ้ำยังมีครรภ์แก่ ข้าจึงไม่อาจตัดสินลงโทษนางได้ และพานางกลับมาที่จวนให้ภรรยาข้าช่วยดูแลแทน
“นางไม่เคยบอกพวกเราเลยว่านางเป็นใคร
มาจากไหน แต่ที่ข้อมือข้อเท้าของนางมีรอยแผลเป็นจากตรวน ซ้ำตามตัวก็มีรอยแผลและผ่ายผอมเหมือนขาดอาหาร
ข้ากับภรรยาเลยได้แต่คาดเดาว่านางคงเป็นทาสหรือนางคณิกาที่หลบหนีมา
แล้วก็ไม่ซักถามนางอีก
“ไม่นานนางก็คลอดสิมาริเมส
แล้วก็หนีออกไปจากจวนโดยทิ้งเด็กไว้ สามวันต่อมาถึงมีคนพบศพนางอยู่ในคูเมือง
สันนิษฐานกันว่านางกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย”
ขุนพลหนุ่มนิ่งฟังตะลึงงัน
“สิมาริเมสยังไม่รู้เรื่องนี้เลย
ข้าเองก็ไม่เคยบอกใครว่าแม่ของนางมีสภาพน่าเวทนาอย่างนั้น...เพราะข้าไม่อยากให้มีใครดูถูกเหยียดหยามนาง” ท่านข้าหลวงพูดเรียบๆ “แต่หากท่านจะดูแลนางไปจนชั่วชีวิต
ข้าจึงเห็นสมควรที่จะบอกท่านไว้ก่อน หากว่าท่านไม่อาจยอมรับชาติกำเนิดของนางได้...ข้าก็เข้าใจ”
“ทำไมข้าจะยอมรับไม่ได้เล่า” เนมอสกลับตอบอย่างโล่งใจ “ข้านับถือท่านยิ่งขึ้นเสียอีกที่ยินดีมอบลูกสาวที่ท่านรักมากเพียงนี้ให้แก่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างข้า”
การเจรจาเรื่องสินสอดและพิธีการดำเนินต่อไปอีกไม่นานก็ได้ข้อสรุป
ชายหนุ่มกับเด็กสาวเข้าพิธีหมั้นในสัปดาห์ถัดมา
โดยมีดอกไลแลคช่อสุดท้ายของปีประดับในงานเล็กๆ ภายในจวนข้าหลวง ก่อนที่ขุนพลหนุ่มจะกลับไปประจำที่ป้อมหน้าด่านรอรับศึกอีกครั้ง
ทว่าชะตากรรมไม่ยินยอมให้ทั้งสองได้ครองคู่กันอย่างง่ายดายนัก...
ความคิดเห็น