คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 1 - ความอาดูรของนักรบ - 3 - ศึก
“ท่านเนมอสดูเหนื่อยๆ
นะคะ” เด็กสาวเปรย “ช่วงนี้งานหนักหรือเปล่าคะ”
“ก็...นิดหน่อย” ชายหนุ่มตอบก่อนจะจิบน้ำชาที่เธอนำมารับรอง
ละอายเกินกว่าจะบอกความจริงเรื่องคืนวาน
“เมื่อวานฝ่าบาทเสด็จมาใช่ไหมคะ” สิมาริเมสซักจากอีกฟากของโต๊ะหิน “ข้าได้ยินคนครัวที่ออกไปจ่ายตลาดบอกว่ามากันเป็นขบวนใหญ่เต็มถนนหลักของเมืองทีเดียว
เสียดายที่ไม่ได้ออกไปดู”
“ขบวนเสด็จมารบก็มีแต่นักรบ
ไม่ได้จัดรูปขบวนสวยงามนักหรอก” เนมอสยิ้มเฝื่อนๆ “รอดูขบวนฉลองชัยหลังเสร็จศึกดีกว่า”
“ค่ะ” อีกฝ่ายรับก่อนจะคลี่ยิ้มตอบ “พวกเราจะชนะศึกครั้งนี้ใช่ไหมคะ”
“เชื่อมั่นในพระปรีชาสามารถของฝ่าพระบาทเถอะ”
“ค่ะ ข้าเชื่อ”
เสียงใสหัวเราะเหมือนระฆังแก้ว “เชื่อมั่นในฝีมือของท่านเนมอสด้วย”
“ขอบคุณมาก”
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนอยากเอื้อมมือข้ามโต๊ะหินไปจับมือเล็กบางที่กำลังบรรจงพับกลีบดอกไม้อย่างทะนุถนอมเสียเหลือเกิน
แต่ก็ยั้งไว้เพราะคิดว่าไม่สมควร
ที่หมายของมือจึงเป็นข้างเข็มขัดสำริดที่แขวนถุงใส่เงินใบใหม่
หาบางสิ่งที่พอจะจับไว้ได้เพื่อไม่ให้มือว่าง แต่เมื่อลูบถุงผ้าเนื้อนุ่มแล้ว นิ้วของเขากลับพบสัมผัสแปลกๆ
“หืม...”
“มีอะไรหรือคะ” เด็กสาวถาม
เนมอสปลดถุงที่ใส่เหรียญจำนวนมากมาคลี่ปากออกดูโดยไม่ทันคิด
ดอกไม้เล็กๆ สีม่วงกับสีขาว และกลีบบิดเบี้ยวของดอกกล้วยไม้สีชมพูแดงสองสามดอกร่วงหล่นออกจากถุง
“ดอกไม้นี่นา”
คู่สนทนาของเขาทักขึ้นมา
“ไม่มีอะไรหรอก
มันหลงเข้ามาในถุงน่ะ” ขุนพลหนุ่มรีบพูด เขาพอเข้าใจรำไรถึงเหตุผลที่ฝ่าบาทยัดเยียดถุงเงินนี้ให้ตนเมื่อเช้าตอนรู้ว่าเนมอสจะแวะมาที่จวนท่านข้าหลวง
พร้อมกับคำบอกง่ายๆ ว่า
“ค่าติดตามของเมื่อคืน
เผื่อเอาไปซื้ออะไรฝากดอกไม้ที่เจ้าหวงตัวไว้ให้!”
“ดอกอะไรหรือคะ
ขอข้าดูหน่อยได้ไหม”
เขากอบดอกไม้พวกนั้นมาวางบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนัก
ให้เธอกวาดพวกมันไปประคองในอุ้งมือ
สิมาริเมสก้มหน้าลงต่ำจนเขาไม่อาจอ่านสีหน้าขณะที่เธอมองดอกไม้ทั้งสามชนิด
“มะลิคาตาโลเนียน
เมเซเรออน กับกล้วยไม้รองเท้านารี…ท่านเนมอสไปได้มาจากไหนหรือคะ” คำถามที่เขาไม่อยากตอบสักนิดมาจนได้ “ข้าคิดว่าคงไม่ใช่ดอกไม้ในสวนของเรา”
“ไม่ใช่หรอก” ชายหนุ่มจำใจรับ “ข้า...เอ่อ...ไปข้างนอกแล้วได้มา”
“ซื้อมาหรือคะ”
เขานิ่งเงียบ
ไม่ทราบว่าควรตอบรับหรือปฏิเสธ
“เอาเถอะค่ะ
ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร ขอโทษนะคะ”
เด็กสาวกลับเบือนหน้าไปอีกทางพร้อมกับทิ้งดอกไม้ช้ำพวกนั้นลงบนโต๊ะ “ที่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของท่าน”
“ไม่เป็นไร
ข้าไม่คิดว่าแค่ถามเรื่องดอกไม้จะถือเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวหรอก”
คู่สนทนายังไม่หันมา
เธอนิ่งเงียบไปอีกครู่ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“ถ้าท่านขุนพลรู้บุปผาพจี...อาจจะคิดอีกอย่างก็ได้นะคะ”
“ทำไมหรือ” เนมอสถามทั้งๆ ที่นึกกลัวคำตอบในใจ
“มะลิคาตาโลเนียนหมายถึง
‘ความเย้ายวน’ เมเซเรออนหมายถึง ‘ปรารถนาจะมอบความพึงใจ’ ส่วนรองเท้านารี...หมายถึง...” สิมาริเมสดูเหมือนต้องรวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยต่อ “’เอาชนะและครอบครอง’ ผู้ที่มอบดอกไม้ให้
ข้าพอรู้มาบ้าง...ว่าจะหาดอกไม้พวกนี้ได้ที่ไหน”
“สิมาริเมส ดอกไม้พวกนี้...”
เขาเริ่มอธิบาย รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นปฏิกริยาตอบรับของอีกฝ่าย
เด็กสาวหันมามองเขา
รอยยิ้มเฝื่อนๆ ปรากฏบนริมฝีปาก แต่มิได้แฝงในดวงตาเช่นทุกครั้ง
“ข้าก็บอกแล้วนี่คะ
ว่าถ้าท่านขุนพลไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร” เธอลุกจากเก้าอี้
ละงานจัดดอกไม้ที่ทำค้างไว้ “รับน้ำชากับของว่างอีกไหมคะ
ข้าจะไปบอกให้คนครัวนำมาเพิ่ม”
เขาไม่กล้ารั้งร่างที่เดินจากไป
ได้แต่นั่งรอจนคนรับใช้นำขนมกับน้ำชามาให้ก่อนที่ท่านข้าหลวงจะออกมาพูดคุยธุระแทน
พร้อมกับบอกว่าบุตรสาวรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงให้ไปพักผ่อนก่อน
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเธอในเวลาเกือบสองเดือน
เพราะในวันรุ่งขึ้น ม้าเร็วจากหน้าด่านก็ควบมาแจ้งที่ป้อมว่าข้าศึกซึ่งหยั่งดูเชิงมานานตัดสินใจยกทัพในที่สุด
เสียงกู่ฮึกเหิมและเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นแทนที่ลำนำของใบไม้กับสายลม
กลิ่นคาวเลือดและควันไฟคละคลุ้งแทนที่กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้
สีเทาด้านชาของชุดเกราะ ประกายสีเงินของศาสตราวุธและสีแดงเข้มของโลหิตเคลื่อนไหวในคลองจักษุแทนที่สีเขียวและสีสดใสสบายตาของพรรณบุปผชาติ
“คุ้มกันฝ่าบาท!” เนมอสชักม้าพร้อมกับร้องสั่งการท่ามกลางความอลหม่าน
นักรบของชนเผ่าป่าเถื่อนกรูเข้ามาราวกับน้ำบ่าด้วยความคล่องตัวที่เหนือกว่า
บีบให้เขาห่างจากนายเหนือออกไปทุกที
รถศึกของฝ่าบาทดอร์มินปรากฎเป็นเงารางๆ
ในหมอกทรายที่ตีคลุ้งจากเท้านับร้อยๆ คู่
ร่างที่กวัดแกว่งดาบยาวบนนั้นถูกห้อมล้อมด้วยชนเถื่อนผู้ใช้ขวานสั้น
แต่ดูเหมือนว่าจะยังพอป้องกันตนได้อีกสักพัก
ขุนพลหนุ่มบังคับม้าให้วิ่งลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างร่างมนุษย์ทั้งที่ยังมีลมหายใจและหมดไปแล้ว
ดาบในมือดื่มเลือดศัตรูคนใดก็ตามที่กล้าพอจะขวางทาง
สายตาฉับไวพลันเห็นธนูที่ถูกขึ้นสาย...
“ระวัง!”
ความเจ็บแปลบวาบที่ไหล่ขวา
เรียกเสียงร้องของผู้นำทัพที่หันกลับมาเห็นนักรบบนหลังม้าผู้ขวางระหว่างตนกับพลธนูของอีกฝ่าย
“เนมอส!”
“กระหม่อมไม่เป็นไร” คนตอบหักก้านธนูทิ้ง
กลั้นความเจ็บที่ยังฝังลึกแล้วมองหาข้าศึกคนต่อไปเป็นเป้าหมาย
เนมอสไม่รู้ว่าตนผ่านพ้นวันนั้นมาได้อย่างไร
แต่ในที่สุดวังวนแห่งการฆ่าฟันก็จบสิ้นหลังจากคันธนูในมือของดอร์มินส่งอาวุธสังหารไปสู่เบ้าตาบนใบหน้าที่เขียนสีสันเจิดจ้าของร่างที่คลุมด้วยผ้าคลุมทอลายวิจิตรที่สุดในหมู่ปรปักษ์
นักรบอื่นๆ
ล่าถอยไม่เป็นกระบวนเมื่อผู้นำผงะหงายก่อนจะฟุบนิ่งไม่ไหวติง
และไม่นานหมอกทรายก็จางลง
ขุนพลหนุ่มยังคงสติย้ำกับกษัตริย์ผู้นำทัพได้ว่าตนไม่เป็นไร
แม้เลือดจะไหลโกรกใต้ชุดเกราะจนโชก
แต่พอถึงค่ายพักนั่นเอง
เขาก็ทรุดล้มหลังลงจากหลังม้า
แสงโคมสีส้มแดงเจิดจ้าแสบตาและประกายสีเงินแปลบปลาบ
หูแว่วเสียงสรวลของสตรี...กระนั้นหรือ
มิใช่เสียงโห่ร้องของนักรบหรืออย่างไร
หรือเสียงร้องจากปากของเขาเอง
เมื่อความเจ็บที่ไหล่ทวีขึ้นจนเกินทานทน
หลายดวงหน้าสีขาวเหนือหมอกเลือนรางสีแดงห้อมล้อมเข้ามาแทบชิด
มือหยิบยื่นพวงดอกไม้สีแดง...หรือโลหิตกันหนอ เขาสั่นศีรษะปฏิเสธ แต่พวงดอกไม้เหล่านั้นยังทาบทาลงนาบผิวเนื้อ
ให้ร้อนรุ่มทรมานราวกับแผ่นเหล็กเผาไฟ
ร่างเลือนรางในชุดสีแดงเหล่านั้นจากไป
แต่ในความมืดยังมีอีกร่างหนึ่งรออยู่
สีแดงแสบตากลับกลายเป็นสีม่วงชมพู
เด็กสาวในอาภรณ์สีเย็นตานั้นหันมาส่งยิ้มให้เขา ในมือของเธอคือกิ่งไม้ ที่สุดปลายกิ่งคือช่อดอกไม้สีเดียวกัน...ดอกไลแลค
แขนเรียวขาวยกขึ้นเหมือนจะมอบบุปผาให้ถึงมือ...
กลิ่นยาฉุนแสบจมูกและผืนหนังสีอ่อน
ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกจนไหล่ปวดระบมขึ้นมาอีก
หยาดเหงื่อเหนอะหนะบนร่างใต้ผ้าห่ม
“ท่านขุนพลฟื้นแล้ว” เสียงแผ่วเบาดังต่อๆ กันไป ไม่นานก็มีเสียงเลิกผ้ากระโจมและเสียงเรียกชื่อสนิทสนม
“เนมอส”
“ฝ่าบาท...” คนเจ็บหันไปมองคนที่นั่งลงข้างฟูก “นี่กระหม่อม...”
“เสียเลือดจนล้มพับไป
ทำเอาเราตกใจแย่” ดอร์มินยักไหล่น้อยๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่ได้บอกความกังวลนัก
“แต่เจ้าก็ดวงแข็งเหลือเชื่อ รู้ไหมว่าหัวลูกศรติดแผลแน่นจนต้องดันให้ทะลุออกด้านหลังทีเดียว”
คนพูดหยิบหัวลูกศรติดเงี่ยงน่ากลัวมาโบกให้ดูตรงหน้า
เรียกคำเปรยจากเจ้าของร่างที่มันเคยฝังอยู่
“ดีที่กระหม่อมหมดสติไปก่อนทำแผล”
ฝ่าบาทหัวเราะรับเบาๆ
“ดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรนอกจากมีรูบนตัวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งที่ เราไม่อยากให้ธิดาท่านข้าหลวงต้องเสียน้ำตา
ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่ผู้หญิงของเราก็เถอะ”
เนมอสกลืนน้ำลายฝืดๆ
เขาอดนึกถึงความฝันเลอะเลือนขึ้นมาไม่ได้แม้ปากจะกลบเกลื่อน
“นาง...นางไม่ได้เป็นอะไรกับกระหม่อมนี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วทำไมมีสารจากจวนข้าหลวงมาถามไถ่อาการด้วยเล่า” คำตรัสทำให้ชายหนุ่มจ้องมององค์เหนือหัวเขม็ง “เราพูดจริงนะ”
“คงเป็นท่านข้าหลวงมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ” ขุนพลหนุ่มแย้ง “นางไม่มีเหตุให้ต้องห่วงใยกระหม่อมถึงเพียงนี้หรอก”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่มี” ดอร์มินยังถามต่ออย่างอารมณ์ดี
“ก็...นางไม่ได้เป็นอะไรกับกระหม่อม
แล้วไม่แน่...” อารมณ์ของเขากลับค่อยๆ
กลายเป็นตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย “นางคงเกลียดกระหม่อมเข้าแล้ว”
“อ้าว
แล้วทำไมนางจะเกลียดเจ้าล่ะ”
“ก็ดอกไม้ที่ฝ่าบาททรงใส่ไว้ในถุงเงินวันนั้น...”
“ดอกไม้อะไร
เราไม่ได้ใส่ไปสักหน่อย” เนมอสรู้ดีว่าอีกฝ่ายแกล้งขมวดคิ้วสงสัยและแสร้งคิด
“อ้อ...มันเผลอติดไป”
หากไม่ติดกระเทือนแผล
ขุนพลหนุ่มใคร่อยากถอนหายใจแรงๆ
“จะทรงตั้งพระทัยหรือจะทรงเผลอ
นางก็พอทราบว่าดอกไม้พวกนั้นมาจากไหนพ่ะย่ะค่ะ”
“ทราบแล้วเป็นอย่างไรล่ะ”
“ก็...นางดูเหมือนจะไม่พอใจ
หลบหน้ากระหม่อมทันทีน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่หลบหน้านั้นเป็นเพราะเกลียด” กษัตริย์หนุ่มโคลงศีรษะ “เนมอสเอ๋ย...สตรีนั้นซับซ้อนกว่ากลศึกที่ว่ายากยิ่งนัก
ถึงปากบอกเกลียด...ในใจก็อาจรัก ถึงหลบหน้าตา...ในใจอาจร้อนรุ่มอยากพบก็เป็นได้
เรากลับคิดว่าดีเสียอีกที่นางทำท่าไม่พอใจ เพราะถ้าไม่รู้สึกเป็นพิเศษกับเจ้า นางจะหึงหวงทำไม”
เนมอสสั่นศีรษะด้วยความหมายอีกอย่าง
“พอเรื่องสตรีเถอะพ่ะย่ะค่ะ เรายังมีศึกรออยู่”
“ก็เห็นจะต้องปล่อยให้รอไปอีกพักหนึ่ง” ดอร์มินรับอย่างไม่ใส่ใจนัก “โชคดีที่เจ้าป้องกันเราไว้ได้
โชคดีที่เราฆ่าหัวหน้าเผ่าใหญ่ของพวกนั้นได้พอดี พวกมันถึงได้แตกไม่เป็นกระบวน”
“หมายความว่าสิ้นศึกแล้ว?”
“ยังหรอก” ใบหน้าคมคายเครียดขรึมขึ้น “เผ่าพวกนี้ไม่ได้นึกจะตีเราขึ้นมาเฉยๆ
แต่มีผู้หนุนหลังอยู่”
“ฝ่าบาททรงหมายถึง...” เนมอสพูดอย่างเป็นกังวล “อาร์คบัต?”
แคว้นป้อมปราการทางตะวันออก
ณ อีกฟากทะเลทราย ผู้ประกาศตนเป็นศัตรูตัวฉกาจของอาณาจักร
“นั่นละ ได้ข่าวว่าทัพของมันกำลังข้ามทะเลทรายมา
ราวสามหมื่นนายได้กระมัง”
“สามหมื่น...กำลังพลของเราที่ค่ายในตอนนี้ไม่พอรับมือนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“เรื่องกำลังเสริมน่ะวางใจเถอะ
เพราะเสด็จแม่ทรงเจรจาขอทหารจากแคว้นของพระองค์มาช่วยเหลือที่นี่แล้ว
คาดว่าคงมาถึงภายในเดือนนี้”
“พระชนนีน่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ใช่น่ะสิ” น้ำเสียงของดอร์มินเริ่มหงุดหงิดอย่างประหลาด “ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ต้องมายุ่งหรอก
แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ”
ขุนพลหนุ่มเงียบไปเมื่อรู้สึกได้ว่านายเหนือไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะฟังคำสนทนานัก
และปล่อยให้เขาเอ่ยต่อ
“เอาเถอะ เจ้าพักผ่อนไปก่อนดีกว่า ไว้แผลค่อยยังชั่วแล้วค่อยมาว่ากันอีกที”
ว่าแล้วฝ่าบาทก็ผุดลุกจากเก้าอี้และออกไปจากกระโจม ทิ้งเนมอสให้นอนครุ่นคิดถึงเด็กสาวกับดอกไม้ในความฝัน
ความคิดเห็น