คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๑/๓ - เผชิญหน้า (รีไรท์)
๓.เผชิญหน้า
อาทิตย์อัสดงแตะยอดอินทผลัมริมโอเอซิสเพียงแผ่วเบา ฉายรัศมีสีส้มฉาบทุกเม็ดทรายและผืนน้ำนิ่ง นักเดินทางชาวอียิปต์คนหนึ่งที่ข้าเคยร่วมทางด้วยกล่าวว่า ณ เวลานี้ อีกไม่นานสำเภาแห่งสุริยเทพราจักคลาไคล มอบภาระให้จันทรเทพคอนชูสาดแสงสีเงินเป็นประทีปส่องโลกยามราตรีต่อไป
ข้านั่งอยู่บนโขดหินริมโอเอซิส อีกฟากหนึ่งใต้ต้นอินทผลัมคู่ที่ออกดอกขาว กำซาบกลิ่นหอมหวานให้หวนนึกถึงสตรีผู้มีกลิ่นดอกไม้ชนิดนี้จรุงกาย และนึกถึงนามที่นักเดินทางจากนิปปูร์เรียกขานนาง
สิมูน...ยาบินต์-อัลฮาวา...ธิดาแห่งวายุ...
เด็กน้อยผู้อ้างว้างของเมืองแห่งสายลม
“เจ้าเคยอ่านประวัติศาสตร์”
ข้านึกคำที่เอนลิลย้อนถามข้า...เมื่อข้าถามต่อว่า “สิมูน” หมายความว่าอย่างไร ครั้นตอบว่าเคยอ่านมาบ้าง แต่ก็นานแล้ว ซ้ำตอนนั้นข้ายังเป็นเด็กราวสิบกว่าขวบ จึงจับใจความและจำไม่ได้นัก เขาก็ค่อยๆ ทวนความให้ข้าฟัง
“จำได้ไหม...ว่ามีตอนหนึ่งในประวัติของแคมไบสิส กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ที่เฮโรโดโทสเขียนถึงกองทัพชาวเปอร์เซียนผู้ถูกส่งไปรุกรานชาวอัมโมเนียน ทว่าหลังออกจากเมืองโอเอซิสของชาวซาเมียน เดินทางข้ามทะเลทรายราวชั่วเจ็ดวันจะถึงดินแดนของชาวอัมโมเนียน ทั้งกองทัพกลับหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย”
“อ้อ” ข้ารับ “เพราะมีพายุทรายกวาดกลืนทั้งกองทัพไปนี่ขอรับ”
เขาพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะเริ่มบรรยาย
“ชาวอัมโมเนียนยังได้เล่าความตามต่อมาดังนี้ -ว่าชาวเปอร์เซียนมุ่งหน้าจากโอเอซิสข้ามผืนทรายจนบรรลุถึงครึ่งทางระหว่างสถานที่นั้นกับดินแดนอัมโมเนียเมื่อพวกเขาหยุดบริโภคอาหารตอนเที่ยงวัน...วายุพลันตีขึ้นจากทักษิณทิศรุนแรงแลเป็นอันตรายถึงชีวิต นำพาพัดหอบทรายหมุนเป็นเสาม้วนขนาดมหึมาซึ่งปกคลุมกองทัพทั้งมวลและบันดาลให้พวกเขาอันตรธานไปจนสิ้นดังนี้เองที่ชาวอัมโมเนียนกล่าวกันว่าสาสมกับกองทัพนี้แล้ว”
“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับสิมูนขอรับ” ข้าถาม
เอนลิลหันมาเผยอยิ้มให้ข้า ก่อนจะอธิบายช้าๆ
“ในบรรดาลมทะเลทราย มีกระแสลมแบบหนึ่งที่เรียกกันว่าสิมูมหรือสิมูน บางชนชาติก็เรียกลมนี้ว่า ซามิเอล แต่สิ่งที่คล้ายคลึงกันคือคำร่ำลือว่า...กระแสลมสีชาดนี้เป็นลมแห่งพิษโดยแท้
“สิมูนพัดหอบทรายที่มีฤทธิ์กัดกร่อน กระทั่งสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้ ร่างที่ล้มกลางผืนทรายยังคงสภาพและสีสันเดิมประหนึ่งเพียงหลับใหลไป ทว่า...”
เขาก้มลงกอบทรายขึ้นมากำมือหนึ่ง แล้วค่อยๆ ปล่อยให้มันไหลซึมตามร่องนิ้ว...และปลิวไปตามลม
“หากเจ้าแตะร่างเหล่านั้น เลือดเนื้อที่ประกอบขึ้นเป็นร่างก็จะป่นเป็นภัสมธุลี ติดมาตามปลายนิ้วของเจ้าเช่นนี้”
ข้าอดเย็นสันหลังวาบไม่ได้เมื่อนึกภาพตาม ซ้ำเมื่อนึกหาความเชื่อมโยงระหว่างสตรีชุดขาวชื่อสิมูน และลมทะเลทรายแล้ว...ก็รู้สึกเหมือนจับได้ถึงความบางอย่างที่เอนลิลยังไม่ได้บอก
“หรือท่านจะบอกว่า...นางเป็นเทพกัญญาแห่งสายลมที่ว่า”
อีกฝ่ายกลับหัวเราะ
“เจ้าเชื่อในเทพเจ้าหรือไม่”
“ข้า...ไม่ทราบ” ข้าก้มหน้าลงสารภาพ “ต่อให้เป็นเทพของเอลิเนส...ข้าก็ไม่เคยพบหรือสัมผัสอำนาจของผองพระองค์ แต่จะให้ข้าปฏิเสธว่าไม่มีเทพเจ้าอยู่...ก็ไม่ทราบอีกเช่นกันว่ามีอยู่จริงหรือไม่”
“มนุษย์มักเกรงกลัวและสักการะอำนาจลึกลับเหนือความเข้าใจของพวกตน ไม่เรียกขานว่าปีศาจก็เรียกว่าเทพเจ้าเป็นธรรมดา” นักเดินทางจากนิปปูร์เปรยเรียบๆ “แต่...ถ้าถามข้า เอนลิลจากนิบรู ข้ากลับเห็นว่าสิมูนเป็นเด็กที่น่าสงสาร...เด็กน้อยผู้อ้างว้างของเมืองแห่งสายลม ผู้ซึ่งได้แต่มองสายลมสายแล้ว...สายเล่า พัดจากไปและทิ้งนางไว้โดยไม่ไยดีต่างหาก”
ข้ายิ่งฉงน สุดท้ายก็ตัดสินใจเล่าความฝันซ้ำๆ ของตนให้เขาฟัง ตามด้วยถามว่าหญิงที่ข้าเห็นในฝันเมื่อคืนเป็นครั้งแรกเกี่ยวข้องกับสิมูนหรือไม่ ทว่าเอนลิลกลับพูดสั้นๆ เพียงว่า
“มอร์เฟอุสมีทั้งทวารเขาสัตว์และทวารงาช้าง”
นั่นทำเอาข้านิ่งเงียบครุ่นคิด ตะลึงงันกับความรอบรู้เฉียบคมของชายจากนิปปูร์อีกครั้ง มอร์เฟอุสคือเทพแห่งนิมิต ผู้ส่งความฝันให้แก่มนุษย์ทั้งมวลยามหลับใหล ฝันที่ออกจากทวารเขาสัตว์คือฝันซึ่งเป็นนิมิตหมายแห่งความจริง ทว่าฝันที่ออกจากทวารงาช้างเป็นฝันลวง
เขาหมายความว่าฝันของข้าอาจเป็นได้ทั้งจริงและเท็จ
ไม่ทันถามต่อ เอนลิลก็เพียงบอกว่า “ได้เวลาที่ข้าต้องไปเสียที” แล้วทิ้งให้ข้าขบคิดเองถึงทุกสิ่งที่เขาเอ่ยมา
ข้ายังไม่ปักใจเชื่อนักว่าหญิงที่ข้าเห็นคือเทพกัญญาแห่งลมทะเลทรายเช่นที่เขาบอก ประการแรกเพราะข้าไม่คิดว่าเทพของชนชาติใดก็ตามจะปรากฏกายให้ผู้อื่นเห็นโดยง่าย ทั้งยังไม่เล็งเห็นเหตุที่นางจำเพาะจะปรากฏกายให้ข้าเห็นถึงสองครั้งสองคราเลย
และหากนางเป็นเทพกัญญาจริงๆ ไยมนุษย์ผู้ขัดจังหวะการขับลำนำของนางเช่นข้า จึงไม่ประสบหายนะเหมือนนายพรานอัคเตออนผู้เคราะห์ร้าย ต้องคำสาปของเทพกัญญาแห่งพงไพรอาร์เทมิสให้กลายร่างเป็นกวาง ถูกฝูงสุนัขล่าเนื้อของตนฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ ต่างโทษทัณฑ์ที่บังอาจไปเห็นองค์เทพกัญญาสรงสนานกลางไพร แม้นเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็ตามที
สิ่งที่นางทำเมื่อรู้ว่าข้าอยู่ในที่นั้นด้วย...มีเพียงวิ่งหนีไป
เทพที่มีอำนาจเหนือมนุษย์คงไม่ทำเช่นนั้น...มิใช่หรือ
ข้าสั่นศีรษะแล้วลุกขึ้นยืน หมายจะไปสนทนากับพวกพ่อค้าในกองคาราวาน ก่อนจะกลับไปพักที่บ้านร้างหลังเดิม หากสตรีชุดขาวผู้มีดวงตาสีทองมีอยู่จริง ย่อมมีผู้อื่นนอกจากพวกโนมาเดสที่เคยเห็นนางเช่นเดียวกับข้า
แต่ข้าเพียงต้องการถามด้วยความอยากรู้เท่านั้น
ข้าเตือนตนเอง ที่ข้าสนใจขึ้นมา เป็นเพราะข้าไม่เคยเห็นหญิงที่มีตาสีทองอันอ้างว้าง ซ้ำนามสิมูนยังคุ้นหูข้าอย่างประหลาด นางอาจเป็นหญิงในฝันที่กุมเส้นทางแห่งโชคชะตาของข้า...ขับดันให้ข้าเสาะแสวงหาสิ่งที่ตนยังไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใดอยู่เสมอ
ทว่าหากไม่ได้ความอันใด พรุ่งนี้ข้าก็จะออกเดินทางพร้อมกับพ่อค้าชาวอียิปต์ผู้หนึ่งก่อนแยกกันกลางทาง เขาตั้งใจจะกลับนครหลวงทางตะวันตก ส่วนข้าไปทางตะวันออกสู่ดินแดนอื่น เพราะตนเองเคยย่ำเท้าไปถึงมหาพีระมิดแห่งเมืองกิซาและมหาวิหารลุกซอร์มาแล้ว
การเดินทางของข้าเป็นเช่นนี้เสมอ ไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายสุดแท้แต่เหล่าเทพีแห่งชะตาจะนำทาง แต่ข้าจะไม่ย้อนเส้นทางเดิมที่ข้าเคยผ่านมา
เหมือนสายลมที่ไม่มีวันหวนกลับ...ไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งใดทำให้ข้านึกถึงคำคำนี้ขึ้นมา จริงสินะ เมืองร้างที่มีแต่ ‘สายลม’ จากทุกทิศทางพัดอยู่ตลอดเวลา เมืองร้างที่ไร้ผู้อยู่อาศัยที่แท้จริง
เว้นแต่สิมูน...เด็กน้อยผู้อ้างว้างของเมืองแห่งสายลมกระนั้นหรือ
ข้าบังเอิญแหงนมองผาหินที่สูงตระหง่านหน้าดวงอาทิตย์ยามสนธยา ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งโดยไม่คาดฝัน
สตรีชุดขาวยืนอยู่บนนั้น ดวงหน้าเผชิญเวิ้งฟ้าแสนไกล ดูเหมือนนางจะไม่รู้เลยว่ามีคนคนหนึ่ง...คือข้า...ที่กำลังจ้องมองนางอยู่จากเบื้องล่างนี้
ข้าก้าวเข้าไปใกล้ผาหินอย่างเงียบกริบ อาศัยเงาเงื้อมของผาเป็นเครื่องกำบังกายพลางภาวนาไม่ให้นางเห็นข้า มิเช่นนั้นจะชิงหนีไปเสียก่อนเหมือนคราวที่แล้ว ข้าค่อยๆ ปีนขึ้นผาทั้งที่ใจโลดลิ่วราวกับจะไปถึงก่อนร่าง ทว่าความชันรั้งให้ต้องปรามตนให้ใจเย็นไว้ หาไม่แล้วข้าอาจต้องลงเอยที่แม่น้ำปากทางเข้าปรโลกแทนที่จะได้พบนาง
พักใหญ่ข้าจึงพาตนเองขึ้นมาถึงยอดผาสำเร็จ ร่างสีขาวยังยืนสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าข้าเข้ามาใกล้ถึงขนาดนี้แล้ว ข้ามองโดยรอบ พบว่าทางเดียวที่จะลงไปจากผาแห่งนี้ได้ก็มีแต่ทางที่ข้าปีนขึ้นมาเท่านั้น ไม่มีทางอื่นที่นางจะหลบหน้าข้าได้อีก
ข้าตัดสินใจก้าวเข้าไปหานาง แต่แล้วเท้าเจ้ากรรมกลับเตะถูกกรวดก้อนหนึ่ง ยังผลให้มันร่วงกลิ้งลงไปตามผาหิน หญิงสาวหันขวับมาจ้องมองข้านิ่งอยู่เป็นนาน
ระหว่างเราสองคนไม่มีใครกล้าพูดขึ้นมาก่อน ข้าไม่ทราบว่าจะเริ่มพูดกับนางอย่างไรดี ครั้นมองนางก็สบเพียงนัยน์ตาสีทองเบิกกว้างตื่นตะลึง ไม่อาจเห็นริมฝีปากและสีหน้าโดยรวมใต้ผืนผ้าคลุม
นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เม็ดกรวดร่วงกราวจากริมผาลงไปเบื้องล่าง...ไร้เสียงยามกระทบพื้น นางจนมุมจริงๆ แล้ว ไม่มีทางหลบข้าไปที่ไหนได้อีก
นอกเสียจากกระโดดลงไป...ถ้านางเป็นมนุษย์ก็คงไม่กล้าทำเรื่องเสียสติเช่นนั้น
หรือ...ข้าคุกคามนางเกินไป ที่จริงหากต้องการเพียงพูดคุยก็ควรจะประกาศตนเองเสียก่อนว่ามาดี เรียกนางลงมาคุยแทนที่จะดักเส้นทางกักนางไว้บนผา...อย่างนั้นใช่ไหม
“ข้า...เอ่อ...” ข้าพยายามพูด “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะรบกวน เพียงแต่...”
ข้าอ้าปากค้าง พูดไม่ทันจบ...ร่างเบื้องหน้าก็ผงะหงายลงไปด้านล่างตามกระแสลมแรง
“ระวัง!” ข้าถลาเข้าไปคว้าข้อมือของนางได้อย่างเฉียดฉิว ร่างนั้นเบาจนน่าประหลาดใจ ทว่าอย่างน้อยก็มีน้ำหนัก และรอบข้อมือมีความอบอุ่นนุ่มละมุนของผิวเนื้อ
“ปล่อย!” นางร้องตอบพร้อมกับดิ้นรน เหมือนไม่สนใจเลยว่าหากข้าปล่อยมือ...นางอาจตกลงไปตายได้
“เจ้าอยากตายหรือ!” ข้าเผลอตวาด ครู่ต่อมานึกได้ว่าไม่ควรพูด แต่ดูเหมือนนั่นจะทำให้นางสงบลง ข้าจึงดึงร่างของนางขึ้นมาได้อย่างไม่ลำบากนัก
แต่แทบทันทีที่ข้าปล่อยมือ ร่างบอบบางก็ผลักข้าจนเซ แล้ววิ่งสวนลงไปตามทางคดเคี้ยวที่ข้าใช้ปีนขึ้นมาโดยไม่พูดอะไรอีก
ข้าทั้งกระโจนทั้งไถลตัวตาม อาศัยน้ำหนักตัวที่มากกว่าและความชำนาญลู่ทางทำให้ลงมาถึงพื้นก่อน และวิ่งมาดักหน้านางไว้ได้ แต่แล้วสิ่งที่หญิงสาวดึงมาจากใต้ชายผ้าขาวกลับทำให้ข้าใจหายวูบ
คมกริชในมือของนางสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายแปลบปลาบ แดงฉานราวอาบเลือด ข้าพลิกตัวหลบไปด้านข้าง คมมีดเฉียดปลายผ้าโพกหัวไปเพียงนิดเดียว
ทว่านางยังคงโถมตัวลงไปจนแทบเป็นก้มลงคุกเข่าบนพื้น นิ่งค้างอยู่ในท่านั้น ข้ามองแผ่นหลังนางอย่างสงสัย นิ่งอึ้งอยู่จนกระทั่งได้ยินเสียงฟ่อเบาๆ
ข้าหันมองโดยรอบ แล้วก็ก้มลง ใจที่เพิ่งหายวาบเมื่อครู่เหมือนจะเต้นรัวเร็วขึ้นมาอีกเป็นร้อยเท่าเมื่อพบที่มาของเสียง
ที่ข้อมือของหญิงสาวซึ่งโผล่พ้นชายผ้าและขาวแทบไม่ผิดกัน...มีงูตัวหนึ่งฝังเขี้ยวติดอยู่ ลำตัวของมันมีสีน้ำตาลอ่อนแทบกลืนกับทราย ปรากฏจุดใหญ่สีน้ำตาลเป็นระยะๆ บนหลัง แต่ลักษณะเด่นชัดที่สุดของมันคือเขาเล็กๆ ที่เหนือดวงตาทั้งสองข้าง
ข้าจำได้...นี่คืองูพิษมีเขาแห่งทะเลทราย ปกติงูที่กัดด้วยความตกใจน่าจะรีบปล่อยเขี้ยวแล้วเลื้อยหนี จึงแปลกที่งูตรงหน้ายังกัดแผลค้างอยู่เช่นนี้
“อยู่นิ่งๆ ข้าจะ...” ข้ากระซิบ เลื่อนมือไปยังด้ามกริชของตน คิดว่าอย่างไรก็ควรทำให้มันปล่อยนางโดยเร็วที่สุด ทว่าหญิงสาวกลับยกมืออีกข้างขึ้นห้ามข้าโดยไม่หันมา และข้าก็ได้ยินเสียงฟ่อแผ่วเบาอีกครั้ง
ไม่ใช่เสียงงู...แต่เป็นเสียงของนาง เพียงครู่เดียวหลังนางส่งเสียงนั้น งูพิษมีเขาก็คลายเขี้ยว เผยให้เห็นรูเล็กๆ ที่มีเลือดซึมสองรูซึ่งมันฝากไว้บนข้อมือนั้น แล้วเลื้อยหนีไปอีกทางอย่างแช่มช้า
ข้ามองตามงูตัวนั้นอย่างงุนงง กระทั่งมันเลื้อยหายไปในซอกหินของผา เพิ่งมาได้สติอีกทีเมื่อหญิงสาวชี้กริชใส่หน้าข้า
“หากเจ้าแค่คิดจะช่วยชีวิตข้าบนผานั่น...ข้าได้ตอบแทนแล้ว” น้ำเสียงเดียวกับเสียงเพลงที่ข้าได้ยินเมื่อค่ำวันวานดังขึ้น ทว่าคราวนี้ดุดันกว่า “แต่ขืนตามมาอีก...ข้าจะฆ่าเจ้า!”
กริชถูกเก็บใต้ชายผ้าคลุมสีขาว ร่างบอบบางหันกลับวิ่งจากไปเบื้องหลังแนวผา ข้าแลตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตะโกนไล่หลังนาง
“เดี๋ยวสิ...สิมูน!”
...ไม่มีแม้เสียงตอบรับ...
ข้าลังเล ไม่แน่ใจว่าควรวิ่งตามหรือไม่ นางเพิ่งถูกงูพิษกัดไม่ใช่หรือ นางควรต้องการความช่วยเหลือ ไม่ควรวิ่งเร็วอย่างนั้นเพราะพิษจะกระจายไปตามเส้นเลือดเร็วขึ้น แต่...เหตุใดนางจึงดูเหมือนกับไม่เจ็บปวด...ไม่รู้สึกถึงพิษนั้นเลยแม้แต่น้อยเล่า
ข้าถอนใจก่อนจะกลับหลังหัน ความพยายามจะพูดคุยกับหญิงชุดขาวให้รู้เรื่องว่านางเป็นใครกันแน่เหลวไม่เป็นท่า
ทว่า...ข้าเพิ่งเดินไปได้แค่สองก้าว เสียงแว่วหวานก็กลับดังขึ้นอีก
“หยุดก่อน!” ข้าหันกลับไปเห็นร่างในชุดขาวยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง “เมื่อครู่...เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”
ข้างุนงงที่จู่ๆ นางก็กลับมา กระทั่งลืมตอบคำถามของนางไปเสียสนิท แต่หญิงสาวปราดเข้ามาเอากริชจ่อคอ ข้าจึงต้องรีบตั้งสติทันที
“จงพูดมา! เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร!”
“ส...สิมูน” ข้าละล่ำละลัก
นางชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็คาดคั้นต่อ
“เจ้ารู้จักนามนี้ได้อย่างไร ใครเป็นคนบอกต่อเจ้า”
“อ...เอนลิล”
“เขาเป็นใคร”
“...นักเดินทางจากนิปปูร์”
“พรุ่งนี้จงนำเขามาหาข้า ที่นี่ ยามสนธยา”
“อะไรนะ” ข้าถามกลับเมื่อได้ยินคำสั่งแสนแปลกประหลาด ทว่านางไม่ตอบด้วยวาจา ข้ารู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆ เมื่อคมกริชสะกิดผิวคอเบาๆ
“สัญญา...ว่าพรุ่งนี้เจ้าจะนำเขามาพบข้า มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า!” นัยน์ตาสีทองวาวโรจน์สบตาข้าให้เย็นสันหลังวาบ แน่ใจเป็นที่สุดว่านางลงมือสังหารข้าได้ง่ายดาย หากปรารถนาจะทำเช่นนั้น
“ส...สัญญา” ข้าเอ่ยเสียงแผ่ว ค่อยหายใจทั่วท้องอีกครั้งเมื่อกริชคมกริบเลื่อนห่างจากลำคอ ทว่าดวงตาที่คมปลาบยิ่งกว่ายังคงจับจ้องอย่างไม่ลดละ
“หากเจ้าผิดสัญญา...ขอความพิโรธแห่งพายุทรายอย่าละเว้นเจ้า!” นั่นเป็นคำสุดท้ายที่ข้าได้ยินก่อนหญิงสาวในชุดขาวจากไป ทิ้งข้าให้อยู่ลำพังกลางทะเลทรายอีกครั้ง
ข้ายกมือขึ้นแตะผิวคอของตนเบาๆ ความแสบกับเลือดข้นเหนียวที่ติดนิ้วเป็นหลักฐานยืนยันอย่างดี...ว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน ข้าได้พบและพูดกับสิมูน...ธิดาแห่งวายุจริงๆ
ข้ายังต้องมาพบนางอีก ที่นี่...พรุ่งนี้...ตอนพระอาทิตย์ตกดิน
และต้องพาเอนลิลมาด้วย...
...ทำไม...
ข้าครุ่นคิดอยู่เป็นนาน...ว่าเขาเกี่ยวข้องกับสตรีลึกลับผู้นั้นอย่างไร ทว่าไม่อาจพบคำตอบ เอาเถิด พอกลับไปถึงที่พักแล้วข้าคงต้องถามเขาให้แน่ชัด
ข้าเงยหน้าขึ้นเห็นดาวศุกร์ส่องสว่างบนฟ้าใกล้ค่ำ ตะวันเพิ่งลับขอบฟ้า ให้รู้สึกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วกินเวลาครู่ใหญ่ทีเดียว
ข้ามุ่งหน้ากลับสู่เมืองแห่งสายลมอีกครั้ง
ระหว่างทางรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งขยับวูบวาบแถวหางตา หันไปก็เห็นเงาร่างของชายผู้หนึ่งบนหลังอูฐ อูฐนั้นยืนบนเนินทรายซึ่งอยู่ห่างออกไป เพียงครู่เดียวผู้ขี่ก็กระตุ้นให้มันกลับหลังหัน หายลับไปหลังเนินทรายในความมืดแห่งรัตติกาล
ร่างบนหลังอูฐนั้นทำให้ข้านึกถึงเอนลิลอย่างบอกไม่ถูก...ทว่าข้าพร่ำภาวนาขอให้ตนเพียงตาฝาดไป...
* * * * *
เนื่องจากตอนที่ 2 ค่อนข้างสั้น จึงได้ลงตอนที่ 3 ไปด้วยเลย เรื่องนี้เขียนจบแล้ว แต่อยู่ระหว่างรีไรท์ได้ราวๆ 1 ใน 3 ของเรื่องเต็ม หากไม่ติดขัดอะไรก็คงจะลงไปได้เรื่อยๆ ครับ
ข้อมูลประกอบตอนที่ 3
รา (Ra) และคอนชู (Konshu) - สุริยเทพและจันทรเทพของอียิปต์
เฮโรโดโทส/เฮโรโดโทส (Herodotus) ชาวเมืองเฮลิคาร์นัสเซอุส/เฮลิคาร์นัสซัส (Helicarnassus) - ชาวกรีกในสมัย 500 ปีก่อนคริสตกาล ผู้เขียนบันทึกเรื่องสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซียและบันทึกถึงดินแดนอื่นๆ ที่เขาได้ท่องเที่ยวไป จนได้ชื่อว่าเป็น "บิดาแห่งประวัติศาสตร์ตะวันตก" บันทึกเรื่องกองทัพชาวเปอร์เซียนที่ถูกลมทะเลทรายดูดกลืนหายไปมาจากหนังสือฉบับแปลของจอร์จ รอว์ลิสัน จาก e-text ในหนังสือเล่มที่ 3 ธาเลีย (Thalia - ตั้งชื่อตามเทพกัญญาองค์หนึ่งในคณะมิวส์) ย่อหน้าที่ 26 (ซึ่งเมื่อเฮโรโดโทสเขียนไม่ได้แบ่งเป็นเล่มตามนี้ ในเนื้อหาจึงไม่มีแบ่งครับ)
ส่วนนี่เป็นฉบับดั้งเดิมที่เป็นภาษาอังกฤษครับ
[3.26] The men sent to attack the Ammonians, started from Thebes, having guides with them, and may be clearly traced as far as the city Oasis, which is inhabited by Samians, said to be of the tribe Aeschrionia. The place is distant from Thebes seven days' journey across the sand, and is called in our tongue "the Island of the Blessed." Thus far the army is known to have made its way; but thenceforth nothing is to be heard of them, except what the Ammonians, and those who get their knowledge from them, report. It is certain they neither reached the Ammonians, nor even came back to Egypt. Further than this, the Ammonians relate as follows:- That the Persians set forth from Oasis across the sand, and had reached about half way between that place and themselves when, as they were at their midday meal, a wind arose from the south, strong and deadly, bringing with it vast columns of whirling sand, which entirely covered up the troops and caused them wholly to disappear. Thus, according to the Ammonians, did it fare with this army.
แคมไบเสสที่สอง (Cambyses II) - หรือกษัตริย์กัมบูญัยฮ์แห่งเปอร์เซีย (สวรรคต 522 BC) โอรสของไซรัสมหาราช (ครองราชย์ 559-530 BC) ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิ์เปอร์เซียและราชวงศ์แรก แคมไบเสสรุกรานอียิปต์และพยายามรุกรานอาณาจักรคุช (Kush - ซูดานปัจจุบัน) โดยไม่ประสบผลสำเร็จ ขอขอบคุณคุณ PaladiousAsmy สำหรับเสียงอ่านเปอร์เซียครับ
ชาวอัมโมเนียน - ลองสืบค้นทีแรกพบแต่คำว่า แอมโมเนียเอาไว้ดม = =a แต่ค้นดูอีกทีพบว่ามีอาณาจักรอัมมอนอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล เชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากลูกหลานของล็อท (Lot) กินพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน แคว้นกิเลอาด ถึงเดดซี ที่ค้นด้วย Ammonian แล้วไม่พบ เป็นเพราะชาวอัมมอนในนี้เรียกว่า Ammonite จึงน่าคิดว่าเป็นกลุ่มเดียวกันแต่เรียกคนละอย่างหรือเปล่า
ชาวซาเมียน - ค้นเจอว่าเป็นชื่อสายของเผ่าลูห์ยา (Luhya) ในเคนยา และเป็นชื่อเขตการปกครองในเคนยาด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าจะใช่ชนกลุ่มเดียวกันกับที่เฮโรโดโทสเขียนถึงหรือไม่
อัคเตออน (Actaeon) - พรานเคราะห์ร้ายในตำนานกรีก เขาบังเอิญพบเทพกัญญาอาร์เทมิส (Artemis) ตอนกำลังอาบน้ำ อาร์เทมิสได้สาดหยดน้ำใส่เขา ทำให้เขากลายเป็นกวางและถูกสุนัขล่าเนื้อของตนรุมฉีกทึ้ง
งูพิษมีเขาในทะเลทราย (horned vipers หรือ North African desert vipers) - เป็นงูพิษที่มีมากในทะเลทรายอาระเบีย พิษทำให้เจ็บปวดมาก แต่ไม่ค่อยรุนแรงถึงตาย (ข้อมูลเพิ่มเติมใน http://en.wikipedia.org/wiki/Cerastes_(genus) )
ที่ตอนต้นเปลี่ยนค่อนข้างมาก เนื่องมาจากตอนเขียนแรกๆ ยังไม่ได้เรียนวิชาสัทศาสตร์ภาษาอังกฤษ ตอนนี้ได้เรียนแล้วจึงอ่านอักษรแทนเสียงระบบ IPA ออกบ้าง แต่ไม่หมดทุกตัว เมื่อกลับไปค้นข้อมูลประกอบความแน่ใจตอนลงนิยายเลยถือโอกาสแก้ไขไปในตัว คิดว่าคำใดที่มาจากภาษากรีกก็อยากอ่านตามภาษากรีกเท่าที่ทำได้มากกว่าใส่สำเนียงอังกฤษ เพราะผู้เล่าเรื่องส่วนใหญ่คืออามอนซึ่งเป็นชาวกรีกเอง ท่านใดทราบเสียงอ่านที่ถูกต้องขึ้นขอความกรุณาด้วยครับ m[_ _]mของเฮโรโดโทสแห่งเฮลิคาร์นัสเซอุสสินะ
ความคิดเห็น