ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels' Saga - กบฏมายา มนตราเทวยุทธ

    ลำดับตอนที่ #3 : -- 1.2 - อาคันตุกะ - “ท่านจำข้าได้ไหม”

    • อัปเดตล่าสุด 15 ต.ค. 53


    2 - อาคันตุกะ

     

    เสียงหุบร่มดังพรึ่บมาจากหน้าบ้าน เมลิสซ่าเดินแก้มป่องเป็นลูกโป่งเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง หญิงสาวผมทองที่นั่งอยู่ก่อนเอียงคอมอง ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ

    แย่ที่สุดเลย เรื่องที่พี่หญิงอาจจะหลบหนีมาจากศาสนจักร ทุกคนรู้กันทั่ว แล้วก็กลัวกันหมด ไม่มีใครยอมขายให้เลย"

    เมลิสซ่าทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูกนิด ๆ ก่อนจะดึง 'พี่หญิง' เข้าไปกอด หลังจากอยู่ด้วยกันมาได้สองวัน หญิงสาวที่ช่วยไว้ก็ดูจะกลายเป็นเพื่อนเล่น (หรือของเล่น ?) สุดโปรดของน้องเขาไปเสียแล้ว

    มัธคาร์ส่ายหน้าเบา ๆ อันที่จริง--

    “ ‘ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สินะเจ้าคะ น้องของเขาดักคอ จะบอกว่าไม่ต้องใส่เลยก็ยังได้อย่างนั้นใช่ไหม

    เอาอีกแล้ว ยายนี่

    ตอนที่ช่วยหญิงสาวมา เนื่องจากเป็นเรื่องฉุกเฉินฉุกละหุก เขาไม่ทันมีเวลาไปครุ่นคิดฟุ้งซ่าน แต่ภายหลังย้อนนึกถึง ชายหนุ่มก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว และเมลิสซ่าก็พาลพาโลยกใหญ่ไม่ยอมเลิก บอกยากว่าที่ไม่พอใจขนาดนี้ เป็นเพราะหวงพี่หญิงหรือหวงพี่ชาย

    ดูสิ อากาศหนาวออกจะตาย ใส่รุ่มร่ามแบบนี้เป็นหวัดกันพอดี แน่นอน เสื้อของเขาที่หญิงสาวสวมอยู่ เมลิสซ่าเป็นคนจัดแจง...ซึ่งก็หลวมโพรก ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องหาเสื้อผ้ามาใหม่ ไม่อย่างนั้นจะให้พี่หญิงเอาที่ไหนใส่ เสื้อของข้าเล็กไป นางใส่ไม่ได้ เสื้อของแม่ พี่ก็คงไม่อยากให้ใครมาใส่ไม่ใช่เหรอ"

    มัธคาร์ชะงัก

    เขาหยุดพูด เมลิสซ่าพูดไปได้อีกสักพักก็หยุดตาม ต่างฝ่ายต่างนิ่งไป

    ใช่ ชายหนุ่มไม่อยาก

    เขาไม่อยากให้มีสิ่งใดมาทำให้ต้องระลึกถึงแม่ ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นของแม่ เขาเก็บมันไว้ ทะนุถนอมอย่างดี แต่ก็เก็บไว้ลึกที่สุด ประหนึ่งแอบซ่อนกลบฝัง

    มิใช่อยากลืม เขารักแม่ ต่อให้มูอาทาหรือใคร ๆ ในหมู่บ้านลืมเลือนนางไป เขายังคงจดจำ คิดถึงแทบทุกขณะจิต ...แต่เมลิสซ่า แม้พูดถึงแม่ด้วยถ้อยคำธรรมดา ราวกับผ่านพ้นมันมาได้นานแล้ว ทว่าเสียงก็มักจะสั่นเครือ เหลือสิ่งคั่งค้างมากมายภายใน ดังนั้น หากเป็นไปได้ เขาจะหลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่สะกิดให้นึกถึงแม่ต่อหน้าเธอ

    ...และแล้ว น้องของเขานั่นเองที่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ เธอลุกขึ้นพรวด เหยียดแขนออกแล้วตบมือผัวะ

    "ต้องไปหาซื้อที่ฮอร์เน็ต หมู่บ้านข้าง ๆ ข่าวลือน่าจะยังไปไม่ถึงหรอก"

    มัธคาร์อดยิ้มน้อย ๆ ออกมาไม่ได้ เขารู้ เมลิสซ่าเลือกที่จะสลายบรรยากาศอึดอัดนั้นด้วยตัวเอง

    ไม่ว่าอย่างไร น้องของเขาร่าเริงและเข้มแข็งเสมอ เป็นเช่นนั้นตลอดมา

     

    ...................

     

    พอคิดไตร่ตรองดู ไม่ว่าจะอยู่ต่อหรือหลบหนี เสื้อผ้าที่ดีสำหรับสวมใส่ป้องกันป่วยไข้ก็เป็นสิ่งจำเป็นจริง ๆ ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างมองท้องฟ้าเบื้องบน ฝนเบาบางลงมาก ยังไม่หยุดเสียทีเดียว แต่จะให้รอจนฝนหยุดโดยสิ้นเชิงคงไม่ได้ ถึงยามนั้นพวกเขาต้องรับมือกับเรื่องที่ใหญ่โตกว่า มัธคาร์นึก ไม่แน่ว่าตอนนี้ปู่ของตนอาจส่งคนไปแจ้งศาสนจักรตามที่ประกาศไว้แล้วด้วยซ้ำ

    แต่เมื่อเปิดประตูออกไป สองพี่น้องก็พบว่าปัญหาอื่นนอกจากปู่มาเยือนถึงที่ทีเดียว

    หน้าบ้านมีผู้ชายสามคนยืนจังก้าอยู่ สองคนซ้ายขวาร่างบึกบึนใหญ่โต ผิวคล้ำออกแดง คนตรงกลางร่างผอมสูง แต่งกายด้วยผ้าเนื้อดี ผมดำขลับหวีเสยเรียบกริบ ผิวขาวสำอางผิดชาวบ้านอื่น

    ...ซอร์ดีโอ ลูกชายคนเดียวของรองหัวหน้าหมู่บ้าน

    ...หนึ่งในแขกที่ไม่อยากรับรองมากที่สุด มัธคาร์ทำหน้าเบื่อหน่าย

    สวัสดีจ้ะ หนูเมลิสซ่า นี่กำลังจะไปไหนหรือ ซอร์ดีโอถามด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

    เมลิสซ่ายิ้มตอบ จากนั้นหันมาหาพี่ชาย พูดมุบมิบพอให้ได้ยินกันสองคน ข้าจะไปเอง พี่อยู่บ้านเป็นเพื่อนพี่หญิงดีกว่า

    "ไปเถอะ" มัธคาร์รับ เด็กสาวผงกศีรษะสั้น ๆ และรีบเดินไป

    อยู่คุยกันต่ออีกหน่อยก็ไม่ได้ ซอร์ดีโอหัวเราะ ข้าแค่ทักทายตามประสา ทำเสียอย่างกับข้าเป็นงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะมาฉกกัดนาง"

    มัธคาร์ไม่ขำตาม ลูกชายของรองหัวหน้าหมู่บ้านนั้นเป็นที่รู้กันถึงพฤติกรรมกร่างไปทั่ว กิตติศัพท์เรื่องผู้หญิงยิ่งเหม็นโฉ่ น้องของเขาโตขึ้นมากแล้ว ไม่นานก็จะไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป กับตัวตะกละตะกลามกินไม่เลือกหน้าเยี่ยงนี้ กันให้ห่าง ๆ ไว้เป็นดี

    "มีธุระอะไร" มัธคาร์ถามห้วน ๆ

    ซอร์ดีโอดุนลิ้นในปาก ทำท่ายั่วเย้ายียวน

    ได้ยินมาว่าเจ้าเก็บแมวหลงแสนสวยได้ตัวหนึ่ง โวยวายเสียงแข็งไม่ยอมไปแจ้งให้เจ้าของเขามาเอาคืน ข้าเลย-- ชายหนุ่มเจ้าสำอางแสร้งยืนโขยกเขย่ง หมายจะมองข้ามไหล่เขาเข้าไปภายใน มาดูว่ามีอะไรที่ช่วยได้บ้าง

    "อย่าแม้แต่จะคิดยุ่มย่ามกับคนในบ้านข้า" มัธคาร์เข่นเสียงลอดไรฟัน เกือบเป็นคำราม

    คนร่างบึกที่ด้านข้างขยับจะเข้ามา แต่ซอร์ดีโอพูดขึ้นเสียก่อน

    ไปเถอะ

    เขายกแขนยักไหล่ หันหลังกลับเดินจากไป

    ลูกชายของรองหัวหน้าหมู่บ้านไม่ใช่คนโง่

    กับมัธคาร์ ต่อให้น่าเหยียบจมเท้าเพียงไร กับเมลิสซ่า ถึงน่าสนแค่ไหน พี่น้องคู่นี้ก็เป็นญาติสนิทเพียงสองที่เหลืออยู่ของหัวหน้าหมู่บ้าน แม้ความสัมพันธ์ระหว่างปู่หลานเป็นไปอย่างเฉยชา ห่างเหินราวกับคนนอก ซอร์ดีโอก็ยังกริ่งเกรงไม่กล้ามั่นใจ ถ้าลองแตะต้องขึ้นมาจริง ๆ เจ้าเฒ่ามูอาทาจะยังเฉยชาอยู่หรือไม่

    ...แต่หญิงสาวปริศนานางนั้นต่างไป

    แม้ยังน่ากังขาในฐานะของนาง ระหว่างสูงล้ำเพียงแค่ตกที่นั่งลำบากกับต้องโทษทัณฑ์หลบหนี แต่ในความคิดของซอร์ดีโอ พวกพระชีจากศาสนจักรที่เคยพบพานเมื่อครั้งตัวเองไปท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ ล้วนเจ้ายศเจ้าอย่างถือศักดิ์ถือตัวยิ่งกว่าอะไร มีที่ไหนจะมาแสวงบุญแถวแถบถิ่นกันดารบ้านไร่เช่นนี้ ชะรอยนางศีลขาด หนีตามชายชู้มาเสียมากกว่า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ชะตากรรมนางย่อมมิแคล้วต้องขึ้นตะแลงแกง

    อย่างไรเสียก็ต้องลากตัวกลับไปสังหารอยู่แล้วมิใช่รึ นางช่างงามนัก น่าเสียดายใช่น้อยอยู่หรือ ถ้าจะสูญค่าไปเปล่า ๆ

    ซอร์ดีโอแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

     

    ...................

               

    นี่ จำข้าได้ไหมจ๊ะ

    ไอ้หนุ่มนายหนึ่งในตลาดเอ่ยทัก

    ฮ่า ๆ ไม่เลยสักนิดเจ้าค่ะ เธอตอบ พักหลังมานี้เจอบ่อยขึ้นจนชักชินหู แม้ปั้นหน้าใสซื่อ ทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อไมตรีของบรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย แต่ใจหนึ่ง เมลิสซ่านึกกระหยิ่มนิด ๆ ว่าตัวจะเป็นสาวรุ่นกับเขาเสียที

    ถ้าโตขึ้นแล้วสวยอย่างพี่หญิงก็คงดี เธอคิด

    จริงสิ ซื้อกำไลกับต่างหูสวย ๆ ติดไม้ติดมือกลับไปด้วยดีกว่า เด็กสาวยิ้มเผล่ฝันหวาน วางแผนจะสนุกกับการแต่งตัวตุ๊กตาผมทอง อย่างเต็มที่

    ว้าย !”

    เพราะมัวแต่เคลิ้ม เมลิสซ่าเดินไปชนคนจนหงายหลัง โชคดีที่อีกฝ่ายคว้าแขนเธอไว้ก่อนจะล้มลง

    ขอโทษด้วย แม่หญิง ข้าไม่ดีเอง ท่านเจ็บตรงไหนหรือไม่

    เป็นเด็กหนุ่ม อายุพอ ๆ กับเธอ ศีรษะเกรียนเกือบคล้ายนักบวชผู้ปลงผม เค้าใบหน้าบ่งบอกว่ามาจากต่างแดน ชุดของเขาเป็นเสื้อคลุมสีเทาดูแปลกตา

    แต่ที่น่าแปลกกว่าคือ เขามองดูเธอราวกับเจอสมบัติ มองอยู่เนิ่นนานค่อยเผยรอยยิ้มจาง ๆ ครั้นแล้วก็เอ่ยปากถาม

    "ท่านจำข้าได้ไหม"

    เมลิสซ่ากลั้นหัวเราะ

    ...หลงนึกว่าจะเป็นลูกเล่นยอดนิยมเฉพาะในแถบนี้เสียอีก แม้แต่คนต่างถิ่นก็เอาด้วย ผู้ชายนี่มามุกเดียวกันหมดเลยหรือนี่

    เด็กสาวยิ้มน้อย ๆ พลางสั่นศีรษะ

    ท่านคงทักคนผิดแล้วล่ะเจ้าค่ะเธอปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วเดินผละไป เด็กหนุ่มรีบก้าวเท้าจะเดินตาม

    "เฟอร์ทิส"

    เด็กหนุ่มชะงัก ผู้ร่วมทางมากับเขานั่นเองที่เรียก

    "เรายังมีงานต้องทำ ไฮฟ์อยู่ไม่ไกลนี้แล้ว"

    เด็กหนุ่มได้แต่ผงกศีรษะรับ เหลียวมองยังทางที่เด็กสาวเดินจากไป

    ...ความอบอุ่น รสชาติหอมหวานครั้งนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในสัมผัส นมผึ้งถ้วยนั้นที่เด็กหญิงตัวนิดบรรจงป้อนแก่เขา นางคงลืมเลือนแล้ว หรือบางทีอาจไม่ได้จดจำด้วยซ้ำ

    แต่เขาจำได้ จำได้ตลอดมาไม่เคยลืมเลือน

               

    ...................

               

    ฝนใกล้หยุดลงแล้ว ท่านหัวหน้า หากคิดส่งคนไปแจ้ง ข้าว่าเวลานี้ก็น่าจะได้

    ชายวัยกลางคนแต่งตัวหรูหรา หนวดเรียวเหนือริมฝีปากขดโง้งเงางามกล่าวขึ้น

    เขาคือดีนัว รองหัวหน้าหมู่บ้าน

    ...หนึ่งในแขกที่ไม่อยากรับรองมากที่สุด มูอาทาลอบถอนใจ

    ปีที่แล้วเพราะประมาทเกินไปจึงถูกน้ำบ่าเล่นงาน หากไม่แน่ใจ ข้าไม่อยากเสี่ยงส่งคนไปตาย หัวหน้าหมู่บ้านชี้แจงเรียบ ๆ

    ท่านช่างรอบคอบแท้ มัธคาร์กับเมลิสซ่าโชคดีที่มีปู่อย่างท่าน ดีนัวยิ้ม ในถ้อยคำบ่งความนัยโดยชัด...ที่รีรอไม่ใช่เพราะกลัวหลานชายหลานสาวของท่านจะพลอยฟ้าพลอยฝนหรอกรึ

    ฐานะของดีนัวหมายถึงอำนาจรองจากคนคนเดียวในหมู่บ้าน และยังหมายความว่า หากจะมีใครได้รับโอกาสขึ้นไปแทนที่ยามเมื่อหัวหน้าคนปัจจุบันลงจากตำแหน่ง ผู้ซึ่งอยู่ใกล้กับโอกาสนั้นมากที่สุดย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเขา

    ชายหนวดโง้งเพียรหาหนทางเร่งให้โอกาสนั้นมาถึงเร็ววัน ติดเพียงว่ามูอาทาปฏิบัติหน้าที่เป็นเยี่ยม ไร้ช่องโหว่ใด จนในที่สุด มัธคาร์ผู้กล้าดีก็มอบมันมาด้วยการก่อเรื่องขึ้น ไม่ฉกฉวยยามนี้ จะไปไขว่คว้ายามไหน

    ขอบคุณท่านรองหัวหน้า ที่อุตส่าห์ให้ความกังวลสนใจในกิจภาระของข้า ถึงขนาดลำบากมาเยือนเพื่อถามไถ่ด้วยตัวเอง มูอาทาเน้นคำว่า รองหัวหน้า และ กิจภาระของข้าเป็นพิเศษ ข้าเกรงใจนัก ลำพังต้องคอยอบรมดูแลลูกชาย ท่านก็คงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยแล้ว อย่าห่วงเลย เรื่องหญิงบาดเจ็บนั่น ข้ามีวิธีจัดการอย่างเหมาะสมอยู่ โปรดเชื่อเถิด ข้าร้อนใจไม่แพ้ใคร อยากให้เรื่องนี้สิ้นสุดลงโดยเร็ว

    โดนเข้าไปเช่นนี้ ดีนัวแทบจะหน้าชาเลยทีเดียว แต่ชายหนวดโง้งยังไม่ยอมเลิกราโดยง่าย เขาแสร้งหัวเราะตอบรับ นั่นสินะ เมื่อคราวข้อพิพาทส่งมอบสินค้าไม่ครบถ้วนครั้งนั้น ท่านยังจัดการได้เป็นอย่างดี นับประสาอะไรกับครั้งนี้

    หัวหน้าหมู่บ้านที่เยือกเย็นมาโดยตลอดขมวดคิ้ว ท่านพูดอะไร

    "มูอาทาเอ๋ย" ดีนัวเอ่ยชื่อของคู่สนทนาตรง ๆ น้ำเสียงเย้ยหยันลำพองอยู่ในที คล้ายกุมจุดอ่อนของคู่ปรับไว้มั่น "นึกว่าข้าไม่รู้หรือ ความจริงของการสังหารเออร์ลีอาครั้งนั้น"

    ท้องฟ้าภายนอกหน้าต่างมืดหม่นลงโดยกะทันหัน เมฆฝนที่น่าจะสร่างซาไปแล้ว กลับตั้งเค้าขึ้นอีกครา

               

    ...................

     

    ...เขาไม่ควรให้น้องออกไปตั้งแต่แรก

    มัธคาร์จ้องมองท้องฟ้าแล้วให้นึกกังวล หลังจากผุดลุกผุดนั่งเดินไปเดินมาพักใหญ่ ชายหนุ่มตัดสินใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปตามน้องกลับมาก่อน เขาหันกลับมา กำชับกำชากับหญิงสาวที่นั่งเซื่องตาแป๋ว

    "แม่หญิง ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง ท่านอยู่แต่ในนี้ ห้ามไปไหนโดยเด็ดขาด หากมีใครมาเคาะประตูเรียก ถ้าไม่ใช่ข้าหรือเมลิสซ่าก็ห้ามเปิดรับ เข้าใจไหม"

    ข้า...เข้าใจ เธอพยักหน้าหงึก

    มัธคาร์รู้สึกผิด ทิ้งนางไว้ในบ้านคนเดียวไม่ใช่การกระทำที่ปลอดภัยเลย หากเขาไม่อยู่อีกสักคน ชาวหมู่บ้านอาจถือโอกาสมาขับไล่นางไป แต่จะให้ทิ้งน้องไว้ข้างนอกนั่น เขาก็ทำไม่ได้

    "แล้วข้าจะรีบกลับมา"

    ชายหนุ่มคว้าร่มแล้ววิ่งออกจากบ้าน

    แม้ไม่ลืมคล้องโซ่ลงกลอนแน่นหนาที่ประตู แต่ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าแค่เพียงเท่านั้นไม่อาจป้องกันคนผู้กำลังจะมารุกราน

     

    ...................

     

     “แม่หญิงน้อย ถ้าไม่รังเกียจ โดยสารม้าไปกับเราไหม

    อัศวินสวมเกราะเหล็กหยุดม้า เปิดกระบังหมวกขึ้น ไถ่ถามเมลิสซ่าซึ่งติดฝนหนักอยู่ในเพิงพักข้างเส้นทางระหว่างหมู่บ้าน กำลังนั่งคุดคู้แก้มป่องงอนใส่ดินฟ้าอากาศ

    เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปโฉมคมสัน ท่วงทีสง่างาม ด้านหลังตามมาด้วยกองทหารจำนวนหนึ่ง

    คนของศาสนจักรหรือ...เด็กสาวไม่เคยเห็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์มาก่อนจึงไม่ใคร่แน่ใจ ต่อให้ครู่ก่อนหน้าที่ฝนซาลง แล้วปู่เร่งส่งคนไปแจ้งในทันทีก็เถอะ พวกนั้นจะมาถึงรวดเร็วปานนี้เชียว

    เธอเงยหน้าขึ้นจะตอบ แต่ยังไม่ทันเอ่ยคำใด กลับเห็นเขาชะงักงัน

    "ท่าน ! ท...ทำไม...ท่านถึงมาอยู่ที่นี่" ชายวัยกลางคนตะกุกตะกัก รีบลงจากหลังม้าเดินมาหา "ท่านจำข้าได้ไหม"

    ตายจริง...เด็กสาวทั้งตกใจทั้งนึกขำ นี่คงเป็นวันเสน่ห์แรงกล้าที่สุดในรอบสิบปีของเธอกระมัง กระทั่งผู้ชายคราวพ่อยังถึงกับมาใช้ไม้เด็ด "จำได้ไหม" กับเธอ

    แต่เมลิสซ่าก็ต้องหุบยิ้ม สีหน้าของเขาจริงจัง ทั้งมีความตะลึงงันเป็นอันมาก สงสัยไม่ใช่ล้อเล่นกันเสียแล้ว

    เด็กสาวงุนงง เธอจำได้ว่าไม่รู้จักเขา

     

    ...................

     

    ไม่หรอก ไม่ใช่ มันผ่านมาหลายปีดีดักแล้ว นางไหนเลยจะยังเป็นเด็กสาวอยู่เล่า...บุรุษนักรบคิดใคร่ครวญ

    ...แต่บางที...

    แม่หญิงน้อย ข้าขอเสียมารยาท ถามอะไรสักเล็กน้อยได้ไหม เขาทดลองเลียบเคียง ไม่ทราบว่า มารดาของท่าน...

    ชื่อหรือ ไม่ นางคงไม่ใช้ชื่อเดิม จริงสิ ไฮฟ์ที่เขากำลังมุ่งหน้าไปเลื่องลือในเรื่องที่นางถนัด

    มารดาของท่าน...มีทักษะพิเศษเกี่ยวกับผึ้งที่ไม่เหมือนใครใช่หรือไม่

    เมลิสซ่าเลิกคิ้วเล็กน้อย ท่าทางแปลกใจ

    ท่านรู้ได้ยังไงคะ

    อัศวินเกราะเหล็กแสดงความยินดีอย่างเห็นได้ชัด "ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน"

    เด็กสาวสีหน้าเปลี่ยนไป ชายวัยกลางคนค่อยฉุกคิด ใช่สินะ เขารีบร้อนจนไม่ทันนึก จู่ ๆ คนแปลกหน้า ซ้ำเป็นทหารทางการมาเอ่ยคำถามลักษณะนี้ ราวกับตามหาเบาะแสคนร้าย อีกฝ่ายจะไม่ระแวงได้อย่างไร

    ข้าเป็น...สหายเก่าแก่ของแม่ท่าน เขากล่าว ข้าอยากฝากคำพูดถึงนางสักสองสามประโยคเท่านั้น หากไม่รบกวนจนเกินไป ข้าสามารถเขียนเป็นจดหมายส่งผ่านท่านได้หรือไม่

    เมลิสซ่าก้มศีรษะจนคางชิดอก

    "แม่ของข้า...นางเสียแล้วค่ะ"

    "อะไรนะ !"

    นักรบวัยกลางคนร้อง ไม่ถึงกับลั่น แต่ก็ดังพอจะทำให้เด็กสาวสะดุ้งเฮือก

    เขาประหลาดใจ ถึงกับไม่อยากเชื่อ

    นางจะตายได้อย่างไร ในเมื่อ...

               

    ...................

     

    ภาำพตัวละคร






    ...................



             คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 2 - อาคันตุกะ'

             สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกท่าน

             สำหรับบทนี้ ก็หยิบเอาหลาย ๆ ส่วนของท่าน Anithin ในบทที่แล้วมาละเลงครับ

             เริ่มจากเมลิสซ่า เป็นเป้าหมายแรกหลังจากอ่านบทที่ 1 จบ = =+ เนื่องจากถูกใจ โลลิและเปี่ยมพลังน้องสาวมากมาย แหะๆ
             ก็ต่อยอดคาแร็คเตอร์ออกมาเป็นเด็กน่ารัก แก่นเซี้ยวร่าเริง ช่างพูดช่างคิด มีชีวิตชีวา เขียนแล้วสบาย ๆ ดี

             ตามด้วยเฟอร์ทิส (ภาษาละติน fortis : strong, brave ที่ถูกน่าจะอ่านว่า ฟอร์ทิส มากกว่า แต่มันเหมือนชื่อผู้หญิงเลยเปลี่ยน) เป็นตัวละครที่วางไว้ว่าจะให้เป็นหนึ่งในตัวนำ โดยจิ๊กเอาอดีตบางส่วนที่ถูกเอ่ยถึงในบทก่อนมาเป็นภูมิหลัง และโยงเข้ากับเมลิสซ่าเพื่อเพิ่มความโรแมนติก :) ทำนองรักแรกฝังใจในวัยเด็ก ส่วนเพื่อนร่วมทางของเฟอร์ทิสทิ้งไว้กว้าง ๆ ลอย ๆ ว่าเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ ?

             แล้วก็นำระบบหมู่บ้านมาขยาย โดยเพิ่มตำแหน่งรองหัวหน้าเข้าไป กำหนดเป็นคู่ปรับของมูอาทา เพราะอยากเขียนคนมีอายุตีกัน และเพื่อให้มีบรรยากาศของ 'การแย่งชิงอำนาจ' ในพื้นที่เล็ก ๆ นี้ เป็นการปูพื้นเรื่องก่อนจะค่อย ๆ ขยายไปสู่สเกลที่ใหญ่กว่าภายหลัง พร้อมทั้งพ่วง ซอร์ดีโอ ลูกชายขี้เบ่งท่าทางชีกอเข้ามา จะขอพูดถึงเจ้านี่ในโอกาสต่อไปครับ

             สุดท้าย ท่านนักรบวัยกลางคน เป็นตัวละครสำคัญที่ตอนแรกยังไม่คิดว่าจะสำคัญ (555+) ในบทนี้ยังไม่มีอะไรมาก แค่มาเปิดประเด็นความลึกลับในอดีตของคุณแม่เออร์ลีอาเท่านั้น

             โดยรวมแล้ว บทนี้ตั้งใจแตกเรื่องออกเป็นหลาย ๆ ทางเพื่อเพิ่มความหลากหลายของเนื้อหาและตัวเลือกในการเขียน พอกลับมาดูอีกรอบแล้ว เป็นหนึ่งในบทที่ใส่อะไรต่อมิอะไรเข้าไปมันมือทีเดียว ทั้งปมปริศนาและตัวละครใหม่ ^^a

             อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไร ก็ขอความกรุณากับคอมเมนต์ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ :)

             bluemouse

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×