ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานอาณาจักรมนตรา

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 - ความอาดูรของนักรบ - 2 - วงน้ำ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 63


    ท่านเนมอสกังวลอะไรอยู่หรือเปล่าคะ

    เสียงถามเรียกเขาให้หันไปมอง

    ทำไมหรือ

    ก็...เห็นท่านทำท่าเหมือนถอนใจได้ครู่ใหญ่แล้ว เด็กสาวพูดพลางเสียบก้านดอกไม้ลงในแจกันเบื้องหน้า

    ก็มีบ้าง ชายหนุ่มมองมือที่เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วอยู่อีกฟากของโต๊ะหิน เขาเผลอคิดขึ้นมาว่าตั้งแต่การเยี่ยมเยือนครั้งใดหนอที่ได้ยินเด็กสาวเรียกชื่อของตนจนติดหู และตั้งแต่เมื่อใดกันที่เธอกล้าพูดจาซักถามเขาโดยไม่มีอาการติดขัดประหม่าตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อน

    พอได้พบเจอกันหลายครั้งเข้า เขาก็พบว่าสิมาริเมสเป็นคนที่ช่างพูดคุยกว่าที่เขาคิดเมื่อเห็นเด็กสาวผู้สงบเสงี่ยมเขินอายในทีแรก เธอรอบรู้เรื่องพรรณไม้ ขนบธรรมเนียมและตำนานพื้นบ้านของถิ่นนี้ และนำมาบอกเล่าให้คนพูดน้อยอย่างเขาฟังได้อย่างเพลิดเพลิน

    ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่ง และคิดอยากปกป้องเด็กสาวคนนี้กับที่ที่เธอจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไว้ให้ได้...

    เรื่องศึกหรือเปล่าคะคำถามของเด็กสาวดึงเขาจากห้วงภวังค์

    ก็ใช่เขาพยายามส่งยิ้มให้คู่สนทนาสบายใจ ไม่นานข้าต้องไปประจำที่หน้าด่าน คงไม่ได้แวะมาที่นี่อีกสักพัก

    ได้ยินท่านพ่อบอกว่า ครั้งนี้ฝ่ายข้าศึกรวบรวมพลครั้งใหญ่กว่าที่ผ่านๆ มา ฝ่าบาทก็จะเสด็จมาทรงบัญชาการรบด้วยพระองค์เองด้วย สิมาริเมสเอ่ยอย่างกังวล มีโอกาสที่พวกข้าศึกจะบุกเข้ามาถึงตัวเมืองไหมคะ

    ไม่หรอก อย่างไรเสียพวกเราจะกั้นมันไม่ให้ตีป้อมตะวันออกเข้ามาได้เด็ดขาด เนมอสรับรองหนักแน่น ยิ่งฝ่าบาทเสด็จมาทรงดูแลกองทัพเองก็วางใจได้

    ค่ะ ริมฝีปากบางนิ่งไปครู่หนึ่งจึงขยับไหวอีกครั้ง ได้ยินมาว่าท่านเนมอสเป็นพระสหายของฝ่าบาทใช่ไหมคะ

    พระสหายหรือ... ขุนพลหนุ่มยักไหล่ เรียกว่าเป็นสหายแต่ในศึกจะดีกว่า ข้าไม่บังอาจตีเสมอองค์เหนือหัวหรอก

    กระนั้นความทรงจำของเขายังไพล่ไปถึงเมื่อแรกพบทหารร่างสูงโปร่ง ดูเพรียวบางคล้ายอิสตรีมากกว่าจะกำยำอย่างนักรบ เส้นผมตรงที่ยาวเลยหลังไหล่ยิ่งขับดวงหน้าคมคายให้ค่อนไปทางสวย อายุหรือก็มากกว่าเขาแค่เดือนกว่าด้วยซ้ำ

    ในครั้งนั้น เขายังเป็นพลทหารประจำกองเล็กๆ นายหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายเป็นเจ้าชายรัชทายาทลำดับสอง...เจ้าชายดอร์มินผู้แทบไร้ตัวตนในเงาของพระเชษฐาผู้มีพระชนมายุมากกว่าถึงแปดชันษา มีข่าวลือว่าเจ้าชายรองอาสามาทำศึกร่วมกับพวกทหารในดินแดนกันดารก็เพื่อมิให้พระบิดาลืมโอรสองค์นี้ไปเสียก่อน

    เมื่อทั้งสองร่วมรบกันมาได้ปีหนึ่ง พระเชษฐาซึ่งเนมอสเคยเห็นจากที่ไกลๆ ในงานพระราชพิธีถวายคำปฏิญาณก็สิ้นพระชนม์อย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยพระโรคเฉียบพลัน หลังจากนั้นอีกครึ่งปี กษัตริย์รัชกาลก่อนก็สวรรคต เจ้าชายซึ่งผู้ใดแทบไม่เคยสนใจข่าวคราวของพระองค์จึงได้ขึ้นครองราชย์ และแต่งตั้งทหารใกล้ชิดผู้นี้ให้มียศสูงขึ้นตามลำดับ

    พระองค์ทรงเป็นอย่างไรหรือคะ เด็กสาวถามแล้วก็รีบต่ออย่างลังเล ระ...หรือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรถาม

    ไม่หรอก แต่ข้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีเหมือนกัน นอกจากว่าทรงเป็นกษัตริย์และผู้นำที่ดี...

    เขาตัดสินใจไม่พูดต่อว่า เว้นแต่ในบางเรื่อง

     

    ได้ยินว่าหมู่นี้เจ้าแอบหลบราชการไปเกี้ยวพาธิดาท่านข้าหลวงอยู่บ่อยๆ หรือ

    บางเรื่อง ที่ว่าแสดงตนต่อขุนพลหนุ่มในทันทีที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง หลังจากที่องค์เหนือหัวเสด็จมาถึงป้อมตะวันออกเฉียงเหนือหลังจากเขาไม่นาน

    กระหม่อมไปขอคำปรึกษาจากท่านข้าหลวง...ในฐานะผู้ชำนาญพื้นที่ต่างหากพ่ะย่ะค่ะเนมอสรีบตอบแม้จะรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า

    นั่นสินะ คนเอ่ยนั่งเอกเขนกบนเก้าอี้ยาว รินน้ำสีแดงองุ่นจากเหยือกลงถ้วยเงินอย่างสบายใจ วันหนึ่งไปขอคำปรึกษา อีกวันหนึ่งไปขอแผนที่ แล้วอีกวันก็ไปขอผังคูน้ำ ไฉนไม่รวบสามธุระไปในคราวเดียวก็ไม่อาจทราบได้ ท้ายคำพูดคือเสียงหัวเราะขบขัน ขุนพลเนมอสผู้ไม่เคยสนใจอิสตรี ธิดาของท่านข้าหลวงประจำนครบุปผางามหยาดฟ้าเพียงใดกันหนอถึงทำให้ใจหินด้านชาของท่านกลับอ่อนเหลวลงเช่นนี้

    ฝ่าบาท กระหม่อมรับรองได้ว่า... ชายหนุ่มรีบพูดตะกุกตะกัก

    เราไม่ถือสาหรอก ตราบใดที่เจ้าไม่บกพร่องในหน้าที่ ชายผู้สูงศักดิ์กว่ายกถ้วยขึ้นจิบพลางพูด เจ้ารีบแต่งงานเสียทีก็ดี จะได้มีทายาทมาช่วยทายาทเรารบอีกแรง

    มะ...ไม่คิดไกลไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ เนมอสก้มลงมองถ้วยสุราของตน ซ่อนสีหน้ากับคำพูดนั้น

    ไกลไปเสียที่ไหน คิดดูเถอะ เผลอครู่เดียวเราก็รู้จักเจ้ามาจะสามปี เรากลายเป็นพ่อลูกสองไปแล้ว...เจ้าสิยังอยู่เดียวเปลี่ยวเอกา ไม่รู้หรืออย่างไรว่าที่เราตั้งใจส่งเจ้ามาก่อนก็เพื่อให้มาชมบุปผาเล่นเย็นๆ ใจ เผื่อจะเด็ดติดมือกลับเมืองหลวงสักดอกสองดอก...แต่ครั้นมาถึงแล้วกลับมัวแต่เงื้อง่า ไม่กล้าเด็ดดอกไม้งามในสวนของท่านข้าหลวง ระวังจะถูกมืออื่นแย่งเด็ดไปเสียก่อนเถอะ

    ขุนพลหนุ่มหน้าแดงก่ำ เขาได้แต่บ่นงึมงำในคอ มองนายเหนือหัวที่ยังรินเมรัยเพิ่มแล้วก็บอกตนเองว่า...เห็นทีจะแค่ตรัสไปตามประสาคนเริ่มเมา

    ฝ่าบาทดอร์มินยังร่ำสุราต่อไปอีกถ้วยสองถ้วยก่อนจะวางแล้วลุกจากเก้าอี้ ถอดผ้าคลุมติดชายครุยขนสัตว์เนื้อดีที่บ่งบอกสถานะกษัตริย์ออก

    ไปกัน เนมอส

    ไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ ชายหนุ่มรีบถาม

    อุตส่าห์มาถึงแดนแห่งบุปผาสักที ก็ต้องแวะชมบุปผาน่ะสิ อีกฝ่ายตอบพร้อมรอยยิ้มแฝงนัย ชวนเจ้าไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง

    แต่นี่จวนเย็นแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ

    กษัตริย์หนุ่มหัวเราะร่วน

    ไม่รู้หรืออย่างไร บุปผาบางอย่าง...ต้องชมในยามราตรีถึงจะงาม

     

    ว่าแล้ว... เนมอสได้แต่ลอบถอนใจเมื่อรู้ที่หมายแน่ชัด

    โคมไฟลายดอกไม้สีออกส้มแดงประดับประดาอยู่ทั่วไป กลายเป็นแหล่งแสงสว่างที่เจิดจ้าแสบตาเมื่อเทียบกับโคมดวงกลมสีขาวนวลของท้องฟ้า หน้าอาคารที่ตกแต่งสวยงามมีไม้พุ่มดอกสีม่วงและขาวพราว ส่งกลิ่นหอมแรงรัญจวนจิต ผสมปนเปกับกลิ่นน้ำปรุงจากหมู่สตรีเฉิดโฉมในชุดผ้าแพรพลิ้วกรุยกราย ดอกไม้สีสดแซมในเรือนผมที่เกล้าอย่างง่ายๆ ให้คลายคลี่ได้โดยไม่ลำบากนัก

    เสียงสรวลของพวกนางผสานกับเสียงหัวเราะของบุรุษทั้งหนุ่มเฒ่าที่แต่งกายมีฐานะ ซ้ำยังมีเสียงกระพรวนจากกำไลหรือต่างหูระย้าดังไม่ขาดจนโสตประสาทที่ถูกฝึกให้ฉับไวในสนามรบแทบอื้อ

    แต่ผู้ที่นำเขามาดูจะไม่รำคาญไปด้วย ชายผมยาวกลับตรงเข้าไปหาหญิงกลุ่มหนึ่งที่ตรงรี่มาต้อนรับทั้งสองเป็นอย่างดีด้วยพวงดอกไม้ที่สวมคล้องคอ เจรจาปราศรัยกันไม่นาน เหรียญเงินก็ผลัดเปลี่ยนมือ ชายหนุ่มโอบเอวหญิงสาวดวงหน้าแฉล้มคนหนึ่งเดินลึกเข้าไปในอาคาร โดยไม่ลืมหันกลับมาส่งยิ้มให้เนมอส

    และหญิงที่ไม่ได้ถูกเลือกทั้งหลายก็กรูเข้ามาหาเขาต่อไป

    ขุนพลหนุ่มโบกมือปฏิเสธพวงดอกกล้วยไม้สีชมพูแซมแดงรูปร่างแปลกตาที่พวกนางเบียดเสียดกันเข้ามาทำทีจะคล้องคอให้ เรียกเสียงหัวเราะคิกคัก

    ไม่รับดอกไม้หน่อยหรือเจ้าคะหญิงคนหนึ่งฉอเลาะ

    ข้าแค่มาอารักขานาย เขาตอบ ไม่ได้มา...เอ่อ...เป็นแขก

    แต่นายของท่านจ่ายเงินส่วนของท่านให้ด้วย พวกเราไม่อยากรับเงินได้เปล่าหรอกนะเจ้าคะ

    ในเมื่อเขามีน้ำใจ...ก็รับไว้เถอะเจ้าค่ะ อีกคนหนึ่งคะยั้นคะยอแกมเย้า ชอบพวกเราคนใดก็เลือกได้เลย

    สายตาเว้าวอนราวหกเจ็ดคู่ที่รายล้อมทำเอาชายหนุ่มแทบหาจุดหลบสายตาไม่ได้ กระนั้นเขายังสั่นศีรษะยืนกราน

    ไม่พอใจใครเลยหรือเจ้าคะ

    พวกเราสวยไม่พอสำหรับท่านหรือเจ้าคะ

    หรือจะสวยสู้หญิงในใจท่านไม่ได้

    คำเปรยลอยๆ เรียกเขาให้หันขวับไปหาคนพูด ซึ่งไม่อาจมองออกว่าเป็นใครในบรรดาดวงหน้าขาวผ่องที่เรียงเป็นแถว

    ทำไมถึงพูดแบบนั้น

    ก็...นายของท่านบอกมาน่ะสิเจ้าคะ คนพูดยกมือขึ้นป้องปาก ลดเสียงลงราวกับกำลังกระซิบกระซาบความลับ ว่าท่านน่ะกำลังเป็นไข้ใจ แอบรักหญิงคนหนึ่งอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะแสดงความรักต่อนางอย่างไรดี

    เขาเลยฝากให้เรา สอนให้ ท่านนี่โชคดีที่มีนายเป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้นะเจ้าคะ

    โชคดีเสียจนเนมอสอยากบุกตามเข้าอาคารไปกราบทูลฝ่าบาทให้ทรงพระกรุณาเลิกยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเขาเสียที...หากไม่ติดว่าจะพบอีกฝ่ายอยู่ในสภาพใดในขณะนี้

    เอาเงินไปคืนเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว ว่าแล้วเขาก็ก้าวยาวๆ แหวกวงของพวกนางออกไป และเลยออกนอกรั้วประดับโคมแดงซึ่งบ่งบอกอาณาเขตของโลกแห่งบุปผาราตรี

    นักรบหนุ่มเดินเฉี่ยวชายอีกคนที่เดินสวนมา เรียกเสียงสบถของอีกฝ่าย ทว่าเขาไม่สนใจฟัง กลับเดินจ้ำต่อไปจนพ้นเสียงจอแจ

    ที่สุดย่านเริงรมย์เป็นคูน้ำไหลเอื่อยสายหนึ่งในบรรดาหลายสายทั่วเมือง ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทร์เรียกให้เนมอสทรุดกายลงนั่งที่ริมคู ปล่อยสองเท้าให้ห้อยลงรับไอเย็นของน้ำที่อยู่ต่ำลงไปก่อนจะถอนใจเฮือก

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝ่าบาทดอร์มินพาเขามาในที่แบบนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝ่าบาทคะยั้นคะยอทางอ้อมให้เขา เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง ตามคำตรัส แต่ทุกครั้งก็มีอันต้องจบลงด้วยการที่กษัตริย์หนุ่มถามทีเล่นทีจริงในวันถัดมาว่าเขามีสิ่งใด ผิดปกติชายชาตรี หรืออย่างไร จึงได้ทิ้งโอกาสอันดีเช่นนี้ไปเสียทุกครั้ง

    แน่ละ เขาบอกไม่ได้ว่าการผ่อนคลายของฝ่าบาท ทหารอีกหลายคนทั้งยศสูงและต่ำกว่า รวมถึงขุนนาง เศรษฐีคหบดีและชายใดก็ตามที่มีเงินใช้สอยเป็นสิ่งผิดในเมื่อไม่ได้ไปบังคับข่มเหงใคร แต่ลึกลงไปในใจเขา มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

    ขุนพลหนุ่มหยิบก้อนหินข้างตัวขึ้นมา เขาโยนมันลงน้ำจนเกิดเสียงเบาๆ และวงกระเพื่อมไหว

    ยี่สิบเอ็ดปีก่อน...เด็กชายคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นเหมือนวงกระเพื่อมบนผิวน้ำยามโยนก้อนหิน กล่าวคือเป็นผลพลอยได้ที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด

    แต่ที่ผิดจากวงกระเพื่อมบนน้ำคือเด็กชายไม่สามารถอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาครู่เดียวได้ คนโยนหินซึ่งคงมีทั้งอำนาจและเงินตรา แต่ที่มีมากกว่าคือความกลัวเกรงภรรยาหลวงของตน จึงต้องใช้ทั้งสองอย่างเพื่อย้ายสายน้ำให้ไหลไปยังแห่งหนอื่น พร้อมกับนำวงกระเพื่อมนั้นไปด้วย

    ส่วนสายน้ำที่มีตะกอนขุ่นข้นติดมาจากก้อนหินก็ไม่มีวันกลับสะอาดบริสุทธิ์ได้อีก ใครกันเล่าจะกล้ามาข้องแวะด้วย

    เด็กชายคนนั้นคือเขา

    แม่ของเขาต้องลำบากเลี้ยงดูเขาเพียงลำพังเพราะความต้องการของชายคนหนึ่ง เท่านี้คงเพียงพอแล้วใช่ไหมที่เขาจะไม่อยากทำให้หญิงคนใดต้องลำบากเช่นนี้ และไม่อยากให้เด็กคนใดต้องเกิดมาเช่นเขาอีก

    แต่ถึงอย่างไร ทุกครั้งที่ถูกฝ่าบาทตรัสถามหลังชวน เนมอสก็ไม่เคยปริปาก หลังเข้ากองทัพก็ไม่มีใครรู้ความเป็นมาของเขา เพราะเขาไม่คิดจะเล่าให้ใครฟัง

    ในเมื่อแม่ของเขาสิ้นไปแล้ว ชายหนุ่มคงจะไม่มีวันให้ใครได้รู้ความจริงนี้อีกกระมัง

    แล้วสิมาริเมสล่ะ...

    ความคิดนั้นกลับผุดขึ้นในใจรวดเร็วโดยไม่ทันห้าม เด็กสาวที่ไม่รู้ชาติกำเนิดของตนแต่ได้รับการเลี้ยงดูโดยพ่อแม่บุญธรรมแสนดีเช่นนั้นจะรู้สึกอย่างไรกันหนอ หากได้รู้ว่าขุนพลเนมอสที่แท้แล้วเป็นแค่ลูกของนางบำเรอไร้หัวนอนปลายเท้า

    ในมโนภาพ เขาเห็นกระทั่งรอยยิ้มเบาบาง หูได้ยินถ้อยคำที่ตั้งใจจะปลอบโยนให้เขาสบายใจขึ้น

    แต่ท่านเป็นคนดี...เท่านี้ก็พอแล้วนี่คะ

    เห็นชัดจนกระทั่งต้องสั่นศีรษะแรงๆ เพื่อลบภาพนั้นออกไป ในเมื่อแสงโคมแดงบาดตากับกลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้ยิ่งทำให้จิตใจของเขาฟุ้งซ่าน เผลอนำภาพฝ่าบาทดอร์มินโอบกอดบุปผาราตรีเมื่อครู่ไปซ้อนกับภาพของเขากับบุปผาสูงค่านั้นเสียได้

    ดีแค่ไหนแล้วที่ฝ่าบาทไม่ได้ทราบถึงขนาดที่ว่า...จนบัดนี้แล้วเขาไม่เคยแตะต้องแม้ปลายก้อยของเด็กสาวเลยสักครั้ง

    หาไม่แล้ว ขุนพลหนุ่มคงมีอันถูกล้อเลียนจนอยากแทรกแผ่นดิน

    หากมีใครถามว่าทำไม เนมอสก็ยังนึกหาคำตอบอย่างยากเย็น คงเป็นเพราะเขาไม่อยากคิดถึงเรื่องแต่งงาน ชายหนุ่มอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดตั้งแต่สิ้นมารดา เห็นสนามรบและค่ายพักทหารเป็นบ้านยิ่งกว่าบ้านหลังเล็กซอมซ่อที่เคยอาศัยอยู่กับแม่ และยิ่งกว่าบ้านอันโอ่โถงที่ฝ่าบาทดอร์มินพระราชทานให้สมกับตำแหน่งขุนพล

    ฝ่าบาทดอร์มินเคยเลียบเคียงว่าจะทาบทามสู่ขอกุลสตรีธิดาขุนนางให้เขาสักคนก็ยังได้ แต่นักรบหนุ่มปฏิเสธมาโดยตลอดจนได้รับคำค่อนขอด

    เห็นทีเจ้าคงอยากแต่งงานกับศาสตราวุธมากกว่าสตรี!”

    เป็นคำค่อนขอดที่เนมอสไม่เคยถือสา ในเมื่อเขาเห็นจริงว่าดาบข้างกายดูแลง่ายกว่าผู้หญิงเป็นไหนๆ

    ชายหนุ่มยังคงเห็นจริงแม้หลังจากพบธิดาท่านข้าหลวงแล้ว แต่ความคิดที่จะไม่ชอบพอหญิงใดก็ยิ่งคลอนแคลน ในเมื่อเขาอดชำเลืองหาเด็กสาวไม่ได้ทุกครั้งที่มีธุระต้องไปยังจวนท่านข้าหลวง และเมื่อมีโอกาส ก็อดไม่ได้ที่จะสนทนาด้วยครั้งละนานๆ เพราะทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เธอ เขารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

    แต่ก็แค่เพราะเธอไม่เหมือนหญิงทั่วไปตามที่เขาเข้าใจกระมัง จะว่าไปก็เหมือนดอกไม้บอบบางที่เติบโตในเรือนแก้ว รอดพ้นจากหมู่ภมรใดๆ งามตาน่าชมแต่น่ากลัวว่าจะชอกช้ำสูญค่ายามแตะต้อง

    เจ้าวงน้ำไร้ค่านี้...ไหนเลยจะกล้าฉุดรั้งบุปผาลงมาแปดเปื้อนตะกอนดินที่ก้นน้ำ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×