คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 - ความอาดูรของนักรบ - 2 - วงน้ำ
“ท่านเนมอสกังวลอะไรอยู่หรือเปล่าคะ”
เสียงถามเรียกเขาให้หันไปมอง
“ทำไมหรือ”
“ก็...เห็นท่านทำท่าเหมือนถอนใจได้ครู่ใหญ่แล้ว” เด็กสาวพูดพลางเสียบก้านดอกไม้ลงในแจกันเบื้องหน้า
“ก็มีบ้าง” ชายหนุ่มมองมือที่เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วอยู่อีกฟากของโต๊ะหิน เขาเผลอคิดขึ้นมาว่าตั้งแต่การเยี่ยมเยือนครั้งใดหนอที่ได้ยินเด็กสาวเรียกชื่อของตนจนติดหู
และตั้งแต่เมื่อใดกันที่เธอกล้าพูดจาซักถามเขาโดยไม่มีอาการติดขัดประหม่าตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อน
พอได้พบเจอกันหลายครั้งเข้า
เขาก็พบว่าสิมาริเมสเป็นคนที่ช่างพูดคุยกว่าที่เขาคิดเมื่อเห็นเด็กสาวผู้สงบเสงี่ยมเขินอายในทีแรก
เธอรอบรู้เรื่องพรรณไม้ ขนบธรรมเนียมและตำนานพื้นบ้านของถิ่นนี้
และนำมาบอกเล่าให้คนพูดน้อยอย่างเขาฟังได้อย่างเพลิดเพลิน
ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่ง
และคิดอยากปกป้องเด็กสาวคนนี้กับที่ที่เธอจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไว้ให้ได้...
“เรื่องศึกหรือเปล่าคะ”
คำถามของเด็กสาวดึงเขาจากห้วงภวังค์
“ก็ใช่” เขาพยายามส่งยิ้มให้คู่สนทนาสบายใจ “ไม่นานข้าต้องไปประจำที่หน้าด่าน
คงไม่ได้แวะมาที่นี่อีกสักพัก”
“ได้ยินท่านพ่อบอกว่า
ครั้งนี้ฝ่ายข้าศึกรวบรวมพลครั้งใหญ่กว่าที่ผ่านๆ มา ฝ่าบาทก็จะเสด็จมาทรงบัญชาการรบด้วยพระองค์เองด้วย” สิมาริเมสเอ่ยอย่างกังวล “มีโอกาสที่พวกข้าศึกจะบุกเข้ามาถึงตัวเมืองไหมคะ”
“ไม่หรอก
อย่างไรเสียพวกเราจะกั้นมันไม่ให้ตีป้อมตะวันออกเข้ามาได้เด็ดขาด” เนมอสรับรองหนักแน่น “ยิ่งฝ่าบาทเสด็จมาทรงดูแลกองทัพเองก็วางใจได้”
“ค่ะ” ริมฝีปากบางนิ่งไปครู่หนึ่งจึงขยับไหวอีกครั้ง “ได้ยินมาว่าท่านเนมอสเป็นพระสหายของฝ่าบาทใช่ไหมคะ”
“พระสหายหรือ...” ขุนพลหนุ่มยักไหล่ “เรียกว่าเป็นสหายแต่ในศึกจะดีกว่า
ข้าไม่บังอาจตีเสมอองค์เหนือหัวหรอก”
กระนั้นความทรงจำของเขายังไพล่ไปถึงเมื่อแรกพบทหารร่างสูงโปร่ง
ดูเพรียวบางคล้ายอิสตรีมากกว่าจะกำยำอย่างนักรบ
เส้นผมตรงที่ยาวเลยหลังไหล่ยิ่งขับดวงหน้าคมคายให้ค่อนไปทางสวย
อายุหรือก็มากกว่าเขาแค่เดือนกว่าด้วยซ้ำ
ในครั้งนั้น
เขายังเป็นพลทหารประจำกองเล็กๆ นายหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายเป็นเจ้าชายรัชทายาทลำดับสอง...เจ้าชายดอร์มินผู้แทบไร้ตัวตนในเงาของพระเชษฐาผู้มีพระชนมายุมากกว่าถึงแปดชันษา
มีข่าวลือว่าเจ้าชายรองอาสามาทำศึกร่วมกับพวกทหารในดินแดนกันดารก็เพื่อมิให้พระบิดาลืมโอรสองค์นี้ไปเสียก่อน
เมื่อทั้งสองร่วมรบกันมาได้ปีหนึ่ง
พระเชษฐาซึ่งเนมอสเคยเห็นจากที่ไกลๆ ในงานพระราชพิธีถวายคำปฏิญาณก็สิ้นพระชนม์อย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยพระโรคเฉียบพลัน
หลังจากนั้นอีกครึ่งปี กษัตริย์รัชกาลก่อนก็สวรรคต
เจ้าชายซึ่งผู้ใดแทบไม่เคยสนใจข่าวคราวของพระองค์จึงได้ขึ้นครองราชย์ และแต่งตั้งทหารใกล้ชิดผู้นี้ให้มียศสูงขึ้นตามลำดับ
“พระองค์ทรงเป็นอย่างไรหรือคะ” เด็กสาวถามแล้วก็รีบต่ออย่างลังเล “ระ...หรือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรถาม”
“ไม่หรอก
แต่ข้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีเหมือนกัน นอกจากว่าทรงเป็นกษัตริย์และผู้นำที่ดี...”
เขาตัดสินใจไม่พูดต่อว่า
‘เว้นแต่ในบางเรื่อง’
“ได้ยินว่าหมู่นี้เจ้าแอบหลบราชการไปเกี้ยวพาธิดาท่านข้าหลวงอยู่บ่อยๆ
หรือ”
‘บางเรื่อง’ ที่ว่าแสดงตนต่อขุนพลหนุ่มในทันทีที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง
หลังจากที่องค์เหนือหัวเสด็จมาถึงป้อมตะวันออกเฉียงเหนือหลังจากเขาไม่นาน
“กระหม่อมไปขอคำปรึกษาจากท่านข้าหลวง...ในฐานะผู้ชำนาญพื้นที่ต่างหากพ่ะย่ะค่ะ”
เนมอสรีบตอบแม้จะรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า
“นั่นสินะ” คนเอ่ยนั่งเอกเขนกบนเก้าอี้ยาว
รินน้ำสีแดงองุ่นจากเหยือกลงถ้วยเงินอย่างสบายใจ “วันหนึ่งไปขอคำปรึกษา
อีกวันหนึ่งไปขอแผนที่ แล้วอีกวันก็ไปขอผังคูน้ำ
ไฉนไม่รวบสามธุระไปในคราวเดียวก็ไม่อาจทราบได้”
ท้ายคำพูดคือเสียงหัวเราะขบขัน “ขุนพลเนมอสผู้ไม่เคยสนใจอิสตรี
ธิดาของท่านข้าหลวงประจำนครบุปผางามหยาดฟ้าเพียงใดกันหนอถึงทำให้ใจหินด้านชาของท่านกลับอ่อนเหลวลงเช่นนี้”
“ฝ่าบาท
กระหม่อมรับรองได้ว่า...” ชายหนุ่มรีบพูดตะกุกตะกัก
“เราไม่ถือสาหรอก
ตราบใดที่เจ้าไม่บกพร่องในหน้าที่”
ชายผู้สูงศักดิ์กว่ายกถ้วยขึ้นจิบพลางพูด “เจ้ารีบแต่งงานเสียทีก็ดี
จะได้มีทายาทมาช่วยทายาทเรารบอีกแรง”
“มะ...ไม่คิดไกลไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เนมอสก้มลงมองถ้วยสุราของตน ซ่อนสีหน้ากับคำพูดนั้น
“ไกลไปเสียที่ไหน
คิดดูเถอะ เผลอครู่เดียวเราก็รู้จักเจ้ามาจะสามปี
เรากลายเป็นพ่อลูกสองไปแล้ว...เจ้าสิยังอยู่เดียวเปลี่ยวเอกา ไม่รู้หรืออย่างไรว่าที่เราตั้งใจส่งเจ้ามาก่อนก็เพื่อให้มาชมบุปผาเล่นเย็นๆ
ใจ เผื่อจะเด็ดติดมือกลับเมืองหลวงสักดอกสองดอก...แต่ครั้นมาถึงแล้วกลับมัวแต่เงื้อง่า
ไม่กล้าเด็ดดอกไม้งามในสวนของท่านข้าหลวง ระวังจะถูกมืออื่นแย่งเด็ดไปเสียก่อนเถอะ”
ขุนพลหนุ่มหน้าแดงก่ำ
เขาได้แต่บ่นงึมงำในคอ
มองนายเหนือหัวที่ยังรินเมรัยเพิ่มแล้วก็บอกตนเองว่า...เห็นทีจะแค่ตรัสไปตามประสาคนเริ่มเมา
ฝ่าบาทดอร์มินยังร่ำสุราต่อไปอีกถ้วยสองถ้วยก่อนจะวางแล้วลุกจากเก้าอี้
ถอดผ้าคลุมติดชายครุยขนสัตว์เนื้อดีที่บ่งบอกสถานะกษัตริย์ออก
“ไปกัน เนมอส”
“ไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มรีบถาม
“อุตส่าห์มาถึงแดนแห่งบุปผาสักที
ก็ต้องแวะชมบุปผาน่ะสิ” อีกฝ่ายตอบพร้อมรอยยิ้มแฝงนัย “ชวนเจ้าไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง”
“แต่นี่จวนเย็นแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
กษัตริย์หนุ่มหัวเราะร่วน
“ไม่รู้หรืออย่างไร
บุปผาบางอย่าง...ต้องชมในยามราตรีถึงจะงาม”
ว่าแล้ว...
เนมอสได้แต่ลอบถอนใจเมื่อรู้ที่หมายแน่ชัด
โคมไฟลายดอกไม้สีออกส้มแดงประดับประดาอยู่ทั่วไป
กลายเป็นแหล่งแสงสว่างที่เจิดจ้าแสบตาเมื่อเทียบกับโคมดวงกลมสีขาวนวลของท้องฟ้า
หน้าอาคารที่ตกแต่งสวยงามมีไม้พุ่มดอกสีม่วงและขาวพราว ส่งกลิ่นหอมแรงรัญจวนจิต
ผสมปนเปกับกลิ่นน้ำปรุงจากหมู่สตรีเฉิดโฉมในชุดผ้าแพรพลิ้วกรุยกราย
ดอกไม้สีสดแซมในเรือนผมที่เกล้าอย่างง่ายๆ ให้คลายคลี่ได้โดยไม่ลำบากนัก
เสียงสรวลของพวกนางผสานกับเสียงหัวเราะของบุรุษทั้งหนุ่มเฒ่าที่แต่งกายมีฐานะ
ซ้ำยังมีเสียงกระพรวนจากกำไลหรือต่างหูระย้าดังไม่ขาดจนโสตประสาทที่ถูกฝึกให้ฉับไวในสนามรบแทบอื้อ
แต่ผู้ที่นำเขามาดูจะไม่รำคาญไปด้วย
ชายผมยาวกลับตรงเข้าไปหาหญิงกลุ่มหนึ่งที่ตรงรี่มาต้อนรับทั้งสองเป็นอย่างดีด้วยพวงดอกไม้ที่สวมคล้องคอ
เจรจาปราศรัยกันไม่นาน เหรียญเงินก็ผลัดเปลี่ยนมือ
ชายหนุ่มโอบเอวหญิงสาวดวงหน้าแฉล้มคนหนึ่งเดินลึกเข้าไปในอาคาร โดยไม่ลืมหันกลับมาส่งยิ้มให้เนมอส
และหญิงที่ไม่ได้ถูกเลือกทั้งหลายก็กรูเข้ามาหาเขาต่อไป
ขุนพลหนุ่มโบกมือปฏิเสธพวงดอกกล้วยไม้สีชมพูแซมแดงรูปร่างแปลกตาที่พวกนางเบียดเสียดกันเข้ามาทำทีจะคล้องคอให้
เรียกเสียงหัวเราะคิกคัก
“ไม่รับดอกไม้หน่อยหรือเจ้าคะ”
หญิงคนหนึ่งฉอเลาะ
“ข้าแค่มาอารักขานาย” เขาตอบ “ไม่ได้มา...เอ่อ...เป็นแขก”
“แต่นายของท่านจ่ายเงินส่วนของท่านให้ด้วย
พวกเราไม่อยากรับเงินได้เปล่าหรอกนะเจ้าคะ”
“ในเมื่อเขามีน้ำใจ...ก็รับไว้เถอะเจ้าค่ะ” อีกคนหนึ่งคะยั้นคะยอแกมเย้า “ชอบพวกเราคนใดก็เลือกได้เลย”
สายตาเว้าวอนราวหกเจ็ดคู่ที่รายล้อมทำเอาชายหนุ่มแทบหาจุดหลบสายตาไม่ได้
กระนั้นเขายังสั่นศีรษะยืนกราน
“ไม่พอใจใครเลยหรือเจ้าคะ”
“พวกเราสวยไม่พอสำหรับท่านหรือเจ้าคะ”
“หรือจะสวยสู้หญิงในใจท่านไม่ได้”
คำเปรยลอยๆ
เรียกเขาให้หันขวับไปหาคนพูด ซึ่งไม่อาจมองออกว่าเป็นใครในบรรดาดวงหน้าขาวผ่องที่เรียงเป็นแถว
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น”
“ก็...นายของท่านบอกมาน่ะสิเจ้าคะ” คนพูดยกมือขึ้นป้องปาก ลดเสียงลงราวกับกำลังกระซิบกระซาบความลับ “ว่าท่านน่ะกำลังเป็นไข้ใจ แอบรักหญิงคนหนึ่งอยู่
แต่ไม่รู้ว่าจะแสดงความรักต่อนางอย่างไรดี”
“เขาเลยฝากให้เรา
‘สอน’ ให้
ท่านนี่โชคดีที่มีนายเป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้นะเจ้าคะ”
โชคดีเสียจนเนมอสอยากบุกตามเข้าอาคารไปกราบทูลฝ่าบาทให้ทรงพระกรุณาเลิกยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเขาเสียที...หากไม่ติดว่าจะพบอีกฝ่ายอยู่ในสภาพใดในขณะนี้
“เอาเงินไปคืนเถอะ
ข้าอยากอยู่คนเดียว” ว่าแล้วเขาก็ก้าวยาวๆ
แหวกวงของพวกนางออกไป
และเลยออกนอกรั้วประดับโคมแดงซึ่งบ่งบอกอาณาเขตของโลกแห่งบุปผาราตรี
นักรบหนุ่มเดินเฉี่ยวชายอีกคนที่เดินสวนมา
เรียกเสียงสบถของอีกฝ่าย ทว่าเขาไม่สนใจฟัง กลับเดินจ้ำต่อไปจนพ้นเสียงจอแจ
ที่สุดย่านเริงรมย์เป็นคูน้ำไหลเอื่อยสายหนึ่งในบรรดาหลายสายทั่วเมือง
ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทร์เรียกให้เนมอสทรุดกายลงนั่งที่ริมคู
ปล่อยสองเท้าให้ห้อยลงรับไอเย็นของน้ำที่อยู่ต่ำลงไปก่อนจะถอนใจเฮือก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝ่าบาทดอร์มินพาเขามาในที่แบบนี้
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝ่าบาทคะยั้นคะยอทางอ้อมให้เขา ‘เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง’ ตามคำตรัส แต่ทุกครั้งก็มีอันต้องจบลงด้วยการที่กษัตริย์หนุ่มถามทีเล่นทีจริงในวันถัดมาว่าเขามีสิ่งใด
‘ผิดปกติชายชาตรี’ หรืออย่างไร
จึงได้ทิ้งโอกาสอันดีเช่นนี้ไปเสียทุกครั้ง
แน่ละ
เขาบอกไม่ได้ว่าการผ่อนคลายของฝ่าบาท ทหารอีกหลายคนทั้งยศสูงและต่ำกว่า
รวมถึงขุนนาง
เศรษฐีคหบดีและชายใดก็ตามที่มีเงินใช้สอยเป็นสิ่งผิดในเมื่อไม่ได้ไปบังคับข่มเหงใคร
แต่ลึกลงไปในใจเขา มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
ขุนพลหนุ่มหยิบก้อนหินข้างตัวขึ้นมา
เขาโยนมันลงน้ำจนเกิดเสียงเบาๆ และวงกระเพื่อมไหว
ยี่สิบเอ็ดปีก่อน...เด็กชายคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นเหมือนวงกระเพื่อมบนผิวน้ำยามโยนก้อนหิน
กล่าวคือเป็นผลพลอยได้ที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด
แต่ที่ผิดจากวงกระเพื่อมบนน้ำคือเด็กชายไม่สามารถอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาครู่เดียวได้
คนโยนหินซึ่งคงมีทั้งอำนาจและเงินตรา แต่ที่มีมากกว่าคือความกลัวเกรงภรรยาหลวงของตน
จึงต้องใช้ทั้งสองอย่างเพื่อย้ายสายน้ำให้ไหลไปยังแห่งหนอื่น พร้อมกับนำวงกระเพื่อมนั้นไปด้วย
ส่วนสายน้ำที่มีตะกอนขุ่นข้นติดมาจากก้อนหินก็ไม่มีวันกลับสะอาดบริสุทธิ์ได้อีก
ใครกันเล่าจะกล้ามาข้องแวะด้วย
เด็กชายคนนั้นคือเขา
แม่ของเขาต้องลำบากเลี้ยงดูเขาเพียงลำพังเพราะความต้องการของชายคนหนึ่ง
เท่านี้คงเพียงพอแล้วใช่ไหมที่เขาจะไม่อยากทำให้หญิงคนใดต้องลำบากเช่นนี้
และไม่อยากให้เด็กคนใดต้องเกิดมาเช่นเขาอีก
แต่ถึงอย่างไร
ทุกครั้งที่ถูกฝ่าบาทตรัสถามหลังชวน เนมอสก็ไม่เคยปริปาก หลังเข้ากองทัพก็ไม่มีใครรู้ความเป็นมาของเขา
เพราะเขาไม่คิดจะเล่าให้ใครฟัง
ในเมื่อแม่ของเขาสิ้นไปแล้ว
ชายหนุ่มคงจะไม่มีวันให้ใครได้รู้ความจริงนี้อีกกระมัง
แล้วสิมาริเมสล่ะ...
ความคิดนั้นกลับผุดขึ้นในใจรวดเร็วโดยไม่ทันห้าม
เด็กสาวที่ไม่รู้ชาติกำเนิดของตนแต่ได้รับการเลี้ยงดูโดยพ่อแม่บุญธรรมแสนดีเช่นนั้นจะรู้สึกอย่างไรกันหนอ
หากได้รู้ว่าขุนพลเนมอสที่แท้แล้วเป็นแค่ลูกของนางบำเรอไร้หัวนอนปลายเท้า
ในมโนภาพ
เขาเห็นกระทั่งรอยยิ้มเบาบาง หูได้ยินถ้อยคำที่ตั้งใจจะปลอบโยนให้เขาสบายใจขึ้น
“แต่ท่านเป็นคนดี...เท่านี้ก็พอแล้วนี่คะ”
เห็นชัดจนกระทั่งต้องสั่นศีรษะแรงๆ
เพื่อลบภาพนั้นออกไป
ในเมื่อแสงโคมแดงบาดตากับกลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้ยิ่งทำให้จิตใจของเขาฟุ้งซ่าน
เผลอนำภาพฝ่าบาทดอร์มินโอบกอดบุปผาราตรีเมื่อครู่ไปซ้อนกับภาพของเขากับบุปผาสูงค่านั้นเสียได้
ดีแค่ไหนแล้วที่ฝ่าบาทไม่ได้ทราบถึงขนาดที่ว่า...จนบัดนี้แล้วเขาไม่เคยแตะต้องแม้ปลายก้อยของเด็กสาวเลยสักครั้ง
หาไม่แล้ว
ขุนพลหนุ่มคงมีอันถูกล้อเลียนจนอยากแทรกแผ่นดิน
หากมีใครถามว่าทำไม
เนมอสก็ยังนึกหาคำตอบอย่างยากเย็น คงเป็นเพราะเขาไม่อยากคิดถึงเรื่องแต่งงาน
ชายหนุ่มอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดตั้งแต่สิ้นมารดา
เห็นสนามรบและค่ายพักทหารเป็นบ้านยิ่งกว่าบ้านหลังเล็กซอมซ่อที่เคยอาศัยอยู่กับแม่
และยิ่งกว่าบ้านอันโอ่โถงที่ฝ่าบาทดอร์มินพระราชทานให้สมกับตำแหน่งขุนพล
ฝ่าบาทดอร์มินเคยเลียบเคียงว่าจะทาบทามสู่ขอกุลสตรีธิดาขุนนางให้เขาสักคนก็ยังได้
แต่นักรบหนุ่มปฏิเสธมาโดยตลอดจนได้รับคำค่อนขอด
“เห็นทีเจ้าคงอยากแต่งงานกับศาสตราวุธมากกว่าสตรี!”
เป็นคำค่อนขอดที่เนมอสไม่เคยถือสา
ในเมื่อเขาเห็นจริงว่าดาบข้างกายดูแลง่ายกว่าผู้หญิงเป็นไหนๆ
ชายหนุ่มยังคงเห็นจริงแม้หลังจากพบธิดาท่านข้าหลวงแล้ว
แต่ความคิดที่จะไม่ชอบพอหญิงใดก็ยิ่งคลอนแคลน ในเมื่อเขาอดชำเลืองหาเด็กสาวไม่ได้ทุกครั้งที่มีธุระต้องไปยังจวนท่านข้าหลวง
และเมื่อมีโอกาส ก็อดไม่ได้ที่จะสนทนาด้วยครั้งละนานๆ
เพราะทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เธอ เขารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก็แค่เพราะเธอไม่เหมือนหญิงทั่วไปตามที่เขาเข้าใจกระมัง
จะว่าไปก็เหมือนดอกไม้บอบบางที่เติบโตในเรือนแก้ว รอดพ้นจากหมู่ภมรใดๆ
งามตาน่าชมแต่น่ากลัวว่าจะชอกช้ำสูญค่ายามแตะต้อง
เจ้าวงน้ำไร้ค่านี้...ไหนเลยจะกล้าฉุดรั้งบุปผาลงมาแปดเปื้อนตะกอนดินที่ก้นน้ำ...
ความคิดเห็น