ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๑/๒ - นิมิต (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 52


    ๒.นิมิต


    ข้าวิ่งไปตามผืนทรายใต้แนวผา

    ตามหาบางสิ่ง...ซึ่งข้าเองยังไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใดทว่ารู้สึกได้ว่ามันสำคัญต่อข้ามาก ข้าวิ่งไปไม่หยุดหย่อนกระทั่งเม็ดทรายร้อนแทรกเข้าไปในพื้นรองเท้าแตะหนัง...ข้ายังไม่ยอมเสียเวลาถอดรองเท้าเคาะทราย

    สติระลึกถึงตัวตนจะเลือนรางเหลือเกินในห้วงนิมิตแต่ข้ากลับคุ้นเคยกับความร้อนรนในใจนี้คลับคล้ายในวัยเด็กที่เผลอทำแจกันเขียนลายกรุงทรอยแสนวิจิตรของท่านพ่อแตกโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่อยากให้ท่านรู้ความผิดของตน

    ทว่าเหตุการณ์ที่เป็นอยู่นี้ไม่เหมือนไปเสียทีเดียวข้าไม่ได้ทำสิ่งใดแตกพังไร้หนทางซ่อมแซม เพียงแต่ทำหายเท่านั้นหากตามหาเจอ...ข้าจะไม่ถูกลงโทษ

    กระนั้นทะเลทรายช่างแสนกว้างใหญ่ตะวันสร้างคลื่นร้อนไหวระริกรอบกายข้าหวั่นเกรงเหลือเกินว่าสิ่งที่ตามหาอยู่จะสิ้นชีวิตกลางผืนทรายเสียแล้วยิ่งเค้าของลมทรายร้อนเริ่มปรากฏที่เส้นขอบฟ้าข้าก็ยิ่งลนลาน

    แต่แล้ว...เสียงร้องสั่นพร่าก็เรียกสายตาข้าไปยังร่างสีน้ำตาลแทบกลืนไปกับผืนทราย

    เจ้าลูกแพะล้มพังพาบอยู่ตรงนั้นเอง

    ข้าส่งเสียงทั้งเรียกทั้งปลอบตรงเข้าไปโอบมันไว้ ตั้งใจจะอุ้มมันกลับไปยังที่ที่ข้าควรกลับ แต่เมื่อนั้นลมพลันตีพัดทรายจนคลุ้งบดบังภาพทั้งหมดในสายตา

    ข้าคู้ตัวลงหันหลังออกปะทะทรายขณะอุ้มลูกแพะนั้นไว้ ลิ้นแข็งขัดสวดภาวนาวกวนแทบไม่ปะติดปะต่อพายุทรายมาเร็วจนตั้งตัวไม่ติด ข้านึกในใจว่าไม่ควรประมาทเลยเพราะเห็นว่าผาริมทะเลทรายอยู่เพียงไม่ห่างจึงมิได้นำอูฐมาด้วยทว่าหากไม่มีอูฐช่วยกำบังลม ถึงตามหาลูกแพะเจอเราทั้งสองก็คงไม่พ้นกลายเป็นศพกลางกองทรายแน่แล้วตอนนี้

    ข้าคิดว่าตนขดตัวนิ่งอยู่เป็นนานขณะเสียงลมพัดอื้ออึงรอบกายแต่แล้วพวกมันก็หยุดลงโดยฉับพลัน

    หรือข้าตายไปแล้ว...จึงไม่อาจสัมผัสลม...ไม่ได้ยินเสียงอีก

    ไม่สิไออุ่นจากตัวลูกแพะยังอยู่ ข้าลืมตาขึ้นและเห็นสิ่งที่ข้าไม่เคยคาดฝันว่าจะเห็นในเวลานั้น

    ...
    ร่างสูงโปร่งในพัสตราภรณ์พลิ้วสีขาวกรอบร่างระหงอรชรอย่างอิสตรี เรือนผมยาวสยายราวหลายศอกปลิวไหวอยู่ด้านหลังผมนั้นดำขลับราวขนนกกาน้ำดูนุ่มหนาทอประกายราวใยไหมเนื้อดี...

    พระอาทิตย์ส่องแสงจากด้านหลังของนาง...ประหนึ่งรัศมีแผ่รอบศีรษะทว่าขณะเดียวกันก็ทิ้งเงามืดไว้บนดวงหน้ากระทั่งข้าไม่อาจบอกได้ว่ารายละเอียดบนใบหน้านั้นเป็นเช่นไร

    ข้าตื่นขึ้น

    * * * * *

    นิมิตที่มาเยือนอีกคราทำให้ข้าไม่อาจนอนต่อ

    เหมือนทุกครั้งในวัยเยาว์ที่ฝันเช่นนี้ คงตั้งแต่ข้ารู้จักคำว่า “ทะเลทราย”

    ในฝัน...ข้าวิ่งตามหาบางสิ่งท่ามกลางผืนทรายสุดลูกหูลูกตา เมื่อเวลาผ่านไปราวสองสามปี ข้าพบว่าข้าตามหาลูกแพะ อีกสองสามปีข้าพบว่าพายุทรายถาโถมเข้ามาหลังข้าพบมัน

    นี่เป็นครั้งแรกที่พายุทรายสงบ และข้าเห็นหญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในฝัน
    ข้านอนลืมตาโพลง มองท้องฟ้าพราวดาวจากรอยแตกบนเพดานพร้อมกับปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ ฟังเสียงกรนเบาๆ จากเพื่อนร่วมที่พัก กับเสียงอูฐหายใจฟืดฟาดดังเป็นระยะๆ ตามปกติ แล้วเสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นให้ขนลุกซู่

    ...เสียงเพลง...

    เสียงนั้นทั้งหวาน ทั้งเย็นและโศกเศร้าจับใจ ดังแว่วมาจากที่ใดข้าไม่อาจทราบได้ นั่นเป็นภาษาที่ข้าไม่รู้จัก หรือมิเช่นนั้นก็ไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นภาษา อาศัยเพียงความสูงต่ำของการทอดเสียงเป็นท่วงทำนองอ้างว้าง โหยไห้และเลื่อนลอย...เหมือนกระแสลมที่พัดหวีดหวิว

    แต่นั่นเป็นเสียงของมนุษย์แน่

    ...เสียงของผู้หญิง...

    ข้าลุกขึ้นนั่ง เหลียวมองไปโดยรอบ เอนลิลกำลังหลับสนิท...แต่น่าแปลกที่ไม่มีเสียงกรนให้ได้ยินอีก ไม่มีแม้เสียงร้องหรือหายใจของอูฐ ในหูของข้ามีเพียงเสียงเพลงประหลาดดังอยู่เท่านั้น ได้แต่สงสัยว่าหญิงที่ใดกันจะลุกขึ้นมาร้องเพลงในยามวิกาลอย่างนี้

    ข้าคว้าผ้าคลุมมาห่มกันอากาศหนาว นำไต้ไปจุดกับกองไฟกลางห้อง แล้วก้าวออกไปข้างนอก

    ทุกสิ่งยังเรียบร้อยตามที่ควรเป็น อูฐทั้งสองยืนอยู่อย่างสงบ ในอาคารร้างหลังอื่นๆ และกระโจมของพวกโนมาเดสมีแสงไฟลุกโชติช่วง

    ...ผิดกับโอเอซิสที่เงียบเชียบและมืดสนิท...

    ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้ข้าเดินไปทางโอเอซิส แต่เมื่อรู้ตัวอีกที เท้าทั้งสองก็พาข้ามาหยุดอยู่ริมฝั่งที่เคยลงไปดื่มน้ำเมื่อค่ำเสียแล้ว กลิ่นดอกอินทผลัมยามดึกสงัดยิ่งโชยแรงกว่าเดิม แสงจันทร์สลัวส่องให้เห็นร่างสีขาวที่ข้าเคยพบ

    ขณะนี้ร่างนั้นยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของโอเอซิส ที่เดิม...กับที่ข้าเคยเห็น แม้นมิได้หันมาเผชิญหน้ากับข้าเหมือนเมื่อหัวค่ำ

    นางผู้นี้เองที่เป็นเจ้าของเสียงเพลงแสนประหลาด ใจของข้าได้คำตอบในทันที แต่แล้วข้าก็นึกสงสัยขึ้นมาอีกว่าหญิงธรรมดาที่ใด...มิหนำซ้ำยังเป็นหญิงของพวกโนมาเดส...จะออกมาร้องเพลงในยามวิกาลเพียงคนเดียว และด้วยเหตุใด

    ‘นาง’ เป็นใครกัน

    พลันข้าตั้งคำถามในใจ เสียงเพลงหยุดลงทันควัน ร่างในชุดขาวหันขวับมาทางข้า ตาต่อตาประสานกันเพียงชั่วแวบ...ก่อนที่นางจะกลับหลังหันวิ่งไปอีกทางหนึ่ง

    "เดี๋ยว!" ข้าตะโกนพร้อมกับวิ่งตามไปอย่างลืมตัว ทว่าร่างของหญิงสาวหายลับไปหลังหมู่ไม้เสียแล้ว

    ทิ้งให้ข้ายืนค้างอยู่ในน้ำลึกถึงระดับเอว เย็นเยียบจนสั่นสะท้าน เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนวิ่งตรงลงมาในโอเอซิส...ได้แต่สบถด่าความเผอเรอของตนเอง ระคนแปลกใจว่าตนไม่น่าจะขาดสติได้ถึงเพียงนี้เลย

    ข้าเดินขึ้นฝั่ง ก้มลงหยิบไต้ที่ดับแล้ว...และไม่รู้สึกตัวว่าโยนมันทิ้งไปเมื่อไร หลังส่ายหน้าเรียกสติอยู่ครู่ใหญ่ ข้าก็เดินกลับไปยังที่พัก หมายจะผลัดเสื้อผ้าที่เปียกแล้วเข้านอนต่อ

    “อะไรกัน เมื่อกลางวันแดดร้อนจนอยากเล่นน้ำอุณหภูมิปรภพเลยหรือ” เสียงทักเนิบๆ ทำเอาข้าสะดุ้งเฮือก หันไปเห็นเอนลิลลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ นัยน์ตาเป็นประกายจ้องตรงมาทางข้า

    “ข...ข้า...” ข้าก้มหน้าอย่างละอาย จะบอกตามตรงว่าเผลอวิ่งลงโอเอซิสตามผู้หญิงไปก็ใช่ที่ “ข้า...ออกไปเดินเล่นดูโอเอซิส แล้วไม่ทันระวังตัว เลย...เผลอตกน้ำ”

    อีกฝ่ายหัวเราะน้อยๆ ราวกับเห็นข้าเป็นเด็กซุกซน แต่ยังไม่วายเปรย

    “ระวังหน่อย อากาศในทะเลทรายเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ฉวยเป็นไข้สูงปอดบวมขึ้นมาจะลำบาก”

    “ขอรับ” ข้าตัดบทเรียบๆ รีบผลัดเสื้อผ้าแล้วล้มตัวลงนอน ทว่าไม่อาจหลับลงอีกจนรุ่งสาง...

    * * * * *

    ยามสาย ข้าไปแลกหนังสัตว์ที่ล่ามาได้ระหว่างทางกับเสบียงและสิ่งของจำเป็นอื่นๆ จากพวกพ่อค้าที่ผ่านมาทางโอเอซิสในช่วงเดียวกัน ก่อนจะเดินเตร็ดเตร่แถบริมโอเอซิสและแนวอาคารร้าง

    ข้าตั้งใจว่าจะออกเดินทางต่อพรุ่งนี้ เพราะยินว่าลมทะเลทรายยามนี้ค่อนข้างแปรปรวน ดูเหมือนจะมีพายุทรายพัดอยู่ในทิศที่ข้าต้องการไป จึงปลอดภัยกว่าหากรอให้พายุผ่านไปเสียก่อน

    ระหว่างทางข้าเห็นหมู่ผู้หญิงกับเด็กๆ โนมาเดสกลุ่มหนึ่งกำลังต้อนฝูงปศุสัตว์ บางคนมีทารกหรือเด็กเล็กสะพายอยู่ด้านหลัง ข้าแอบชำเลืองมอง ใจหนึ่งหวังจะได้เห็นหญิงเจ้าของดวงตาสีทองในชุดขาวคนนั้น...แต่ก็ไม่พบใครที่ดูละม้ายเลยแม้แต่น้อย

    นางคงไม่ใช่ชาวโนมาเดสกระมัง หญิงชาวโนมาเดสล้วนแต่งกายด้วยสีทึมทึบออกดำ เช่นเดียวกับสีกระโจมขนแพะที่ใช้พัก เครื่องแต่งกายของพวกนางประกอบด้วยเสื้อคลุมยาวทับเสื้อหลวมที่มีสายรัดตรงสะเอว ปักด้ายสีตามเชิงชายและแขนเสื้อกว้างอย่างละเอียด มีผ้าคลุมศีรษะ ปักลวดลายตกแต่งด้วยลูกปัด และทุกคนคลุมหน้า เปิดเผยเพียงดวงตา

    ทว่านางผู้นั้นแต่งกายด้วยผ้าสีขาวบริสุทธิ์ไร้ลวดลาย เนื้อบางพลิ้วไร้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ

    ข้ายังไม่วายแปลกใจ...เหตุใดตนจึงได้คิดถึงแต่เรื่องของหญิงนางนั้น ทั้งๆ ที่ข้าเคยเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว เห็นหญิงที่ว่างามของหลายชนชาติมาก็นักต่อนัก หญิงนี้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรข้าไม่ทราบ เห็นเพียงดวงตาสีทองแปลกกว่าคนทั้งมวล

    ลางที...อาจเพราะข้าไม่เคยพบใครที่มีดวงตาแสนอ้างว้าง...แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนสะกดได้ทุกสิ่งเหมือนนางผู้นั้นเลยกระมัง

    ครู่หนึ่ง...ข้านึกแวบขึ้นมาว่าหรือนางจะเป็นหญิงที่ข้าพบในความฝัน แต่นั่นก็เป็นคำถามที่ข้ายังไม่อาจหาคำตอบได้เช่นกัน ทางเดียวที่พิสูจน์ได้คงมีเพียงหาตัวนางให้พบอีกครั้ง...และดูให้แน่ชัดว่านางมีรูปร่างหน้าตาเช่นเดียวกับหญิงในฝันซึ่งข้าเห็นเพียงด้านหลังหรือไม่

    ระหว่างครุ่นคิดอยู่ ข้าคงเดินวนไปมานานพอดู...กระทั่งหญิงชาวโนมาเดสบางคนเริ่มปรายตามองอย่างระแวงพลางรุนหลังเด็กๆ ให้เดินไปเร็วขึ้น ครั้นคิดว่าควรถอยไปก่อนเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงเรื่องกับชาวเผ่า...ก็บังเอิญพบเอนลิล นักเดินทางจากนิปปูร์อีกครั้ง

    “อามอนจากเดโลส ไยมาเดินวนอยู่แถวนี้เล่า กำลังมองหาสิ่งที่หายไปหรือ” เขาทักข้าก่อน

    “เอ่อ...หามิได้ขอรับ ท่านพี่" ข้าตอบเขา “เพียงแต่...”

    “มองหาผู้หญิงอยู่ก็ยอมรับมาเถิด” ใบหน้าของข้าร้อนวาบขึ้นมา เขาดักคอได้แบบถูกเผง...แต่แฝงนัยความหมายน่ากลัวกว่านั้น “เห็นเจ้าชำเลืองมองเหล่าหญิงชาวบัดวีสองสามรอบแล้ว ระวังบรรดาสามีแม่คุณจะมารุมบั่นคอเจ้าเสีย”

    “บัดวี...ท่านหมายถึงพวกโนมาเดสหรือ”

    “นั่นเป็นชื่อที่พวกเขาเรียกตนเอง”

    “ไยท่านจึงรู้ไปทั่วว่าชนกลุ่มไหนเรียกตนเองว่าอะไร กระทั่งชาวสุเมเรียนที่สาบสูญไปราวสองพันปีแล้ว” ข้าตั้งคำถาม

    “ข้าเพียงแต่เคยเดินทางไปมากว้างไกลกว่าเจ้า” เอนลิลพูดต่อก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เจ้ากำลังตามหาใครอยู่จริงๆ ใช่ไหม"

    ข้าชั่งใจว่าควรเล่าให้เขาฟังดีหรือไม่ ด้วยเกรงว่าเขาจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้

    ลางที...อาจกลัวเป็นที่สุดว่าเขาจะเห็นข้าเป็นคนฟั่นเฟือน ยึดติดกับความฝันลมๆ แล้งๆ ซ้ำหูตาฝาดเฝื่อนในยามวิกาลอีกกระมัง

    กระนั้น ข้าคิดว่าสายตาของเพื่อนนักเดินทางจากนิปปูร์คนนี้แฝงความสุขุมเยือกเย็นอย่างผู้รู้ นั่นเองทำให้ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เหมาะสมจะปรึกษาเรื่องนี้ด้วยมากที่สุด

    “ตอนมาดื่มน้ำที่โอเอซิสครั้งแรกเมื่อเย็นวาน ข้าเห็นหญิงคนหนึ่ง นางมีตาสีทอง คลุมผ้าสีขาวตลอดร่าง... ไม่เหมือนผู้หญิงโนมาเดสหรือบัดวี ยังไม่ทันพูดกันนางก็ผละไปเสียก่อน ตกดึก ข้าได้ยินเสียงเพลง ครั้นตามมาก็เห็นนางยืนร้องเพลงอยู่ริมโอเอซิส แต่พอนางรู้ตัวว่าข้าแอบฟังก็วิ่งหนีไป”

    “เจ้าถึงได้วิ่งตามลงน้ำจนเปียกปอน...อย่างนั้นสินะ” เอนลิลเปรยเป็นอย่างแรก ทำเอาข้าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีก จนรีบตัดบทด้วยการถาม

    "ท่านพี่คิดว่านางเป็นใครขอรับ"

    เขาส่งยิ้มน้อยๆ ให้ข้า ก่อนจะเอ่ยช้าๆ

    "หากตอบแบบนักพิณออร์เฟอุสชาวเอลิเนสเช่นเจ้า...นางอาจเป็นพรายเซเรนที่ส่งเสียงขับขานให้บุรุษหลงใหลจนยอมพลีร่างเป็นภักษาหาร หากตอบแบบกิลกาเมช ราชันแห่งอุรุค...นางอาจเป็นอินันนา เทพกัญญาแห่งสิเนหาผู้มายั่วยวนพระองค์...

    “แต่หากตอบอย่างอดีตผู้เคยถือเมืองแห่งสายลมเป็นบ้านเกิดเรือนตาย พวกเขาคงตอบว่านางคือ ยาบินต์ อัล-ฮาวา

    เอนลิลหันมาสบตากับข้า ดวงตาของเขาแฝงประกายประหลาดที่ทำให้ข้าหนาวเยือกขึ้นมาทันใด

    ยา...บินต์...อัล...ฮาวา” ข้าทวนคำอย่างงงๆ “คือผู้ใดหรือขอรับ”

    ธิดาแห่งวายุ แต่เจ้าเห็นจะไม่คุ้นกับภาษาของชาวบัดวี คงเรียกลำบากสักหน่อย” เขาเริ่มเผยรอยยิ้มน้อยๆ ซึ่งไม่ได้ชวนให้ข้ารู้สึกดีขึ้นเลย “ลางที ชื่อ สิมูน คงคุ้นหูเจ้ามากกว่ากระมัง”

    “สิมูน...” ข้าลองเรียกตาม คำคำนั้นฟังแผ่วเบา...ล่องลอยอย่างสายลม

    แวบหนึ่ง...ข้ารู้สึกเหมือนเคยเอ่ยคำคำนี้มาก่อน ทว่าไม่แน่ใจว่าเมื่อใด...ในเหตุการณ์ใด อาจเป็นช่วงใดสักช่วงของการเดินทางรอนแรมราวห้าปี หรือ...ไม่สิ...นานกว่านั้น

    ครั้นแล้วข้าก็ระลึกได้...ทั้ง ‘ยาบินต์-อัลฮาวา’ และ ‘สิมูน’ อยู่ในถ้อยคำซึ่งข้าสวดสะเปะสะปะในนิมิตซ้ำๆ ของตน...

    * * * * *

    ข้อมูลประกอบตอนที่ 2

    บัดวี - บัดวี่(badawi - ภาษาอาหรับ) หมายถึงพวกเบดูอินหรือโนมาเดส สำหรับคำภาษาอาหรับ ขอขอบคุณคุณ PaladiousAsmy ผู้ให้เสียงอ่านครับ ที่จริงในคำว่า บัดวี่ มีวรรณยุกต์เอกที่พยางค์ท้าย แต่เพื่อให้เสียงอ่านเป็นระบบเดียวกันทั้งเรื่องจึงไม่ได้ใส่วรรณยุกต์กำกับ

    ออร์เฟอุส (Orpheus) และไซเรน/เซเรน (Siren ภาษากรีกถอดเสียงได้ว่า Seiren) - คีตธรในตำนานกรีก มีตำนานว่าตอนที่เจสันเดินทางไปนำขนแกะทองคำ ระหว่างทางเดินเรือผ่านเกาะที่มีนางพรายไซเรน/เซเรนอาศัยอยู่ พวกไซเรนร้องเพลงให้ชาวเรือหลงใหลและโดดลงจากเรือมาให้พวกนางกินเป็นอาหาร แต่พวกของเจสันรอดมาได้เพราะมีออร์เฟอุสติดมาด้วย โดยออร์เฟอุสได้ร้องเพลงและเล่นพิณเป็นบทเพลงที่ไพเราะกว่า กลบเสียงของพวกไซเรนจนหมดสิ้น

    อินันนา (Inanna) - เทพีแห่งความรักและสงครามในตำนานของเมโสโปเตเมีย ชาวบาบิโลเนียนเรียกนางว่าอิชทาร์ (Ishtar) ในมหากาพย์กิลกาเมช นางพยายามเกี้ยวพากิลกาเมช แต่ถูกเขาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย จึงพิโรธจนขอให้มหาเทพอัน หรือ อานู นภาเทพผู้เป็นบิดา ส่งกระทิงสวรรค์ลงไปสังหารเขา กิลกาเมชกับเอ็นคิดูร่วมมือกันฆ่ากระทิงสวรรค์ได้ แต่ก็เป็นเหตุให้เอ็นคิดูต้องโทษจนตาย

    ยาบิ้นต์-อัลฮาวา (Ya-Bint-Al-Hawa) - เป็นชื่อภาษาอาหรับ แปลว่าธิดาแห่งสายลม ขอขอบคุณเสียงอ่านจากคุณ PaladiousAsmy เช่นกันครับ :)

    สิมูน (Simoon) หรือ สิมูม (Simoom) - ชื่อลมแรงในทะเลทรายที่รุนแรงและหอบทรายเป็นจำนวนมาก อาหรับเรียก ซามูม ชื่อนี้แปลว่า "ลมพิษ" เพราะหากลมสิมูนพัดอาจทำให้เกิดคนตายเฉียบพลันจากอาการคล้ายไข้แดด

    * * * * *

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×