คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 - หมู่บ้านแห่งผึ้ง -- 1– คำตอบที่ซ่อนเร้น - “ท่านอย่าพูดถึงแม่ข้า!”
1 – คำตอบที่ซ่อนเร้น
...เสียงฝน...
...อื้ออึง...
...หนาว...
...เจ็บ...
เพียงการขยับเปลือกตา...ก็เทียบเท่ายกศิลาหนักอึ้ง
รอบด้านเป็นสีเทามัว...สีน้ำตาลของผืนดิน...สีดำ...ของบางสิ่งที่ทอดยาวอยู่ไม่ไกล...สุดด้านหนึ่งของสีดำคือสีขาว...สีขาวของใบหน้า...
ใบหน้าขาวเพียงแถบเดียว...ตัดกับสีแดง...ซีกหน้าที่เหลือครอบคลุมด้วยสีแดง...สีแดงนองแผ่กว้าง...
...เงาดำ...
...เงาดำยืนเบื้องหน้าใบหน้าสีขาว...มืดมัวมิอาจเห็นรายละเอียด...เพียงเค้าร่างบ่งบอกว่าน่าจะเป็นมนุษย์...
...ผู้ใด...
ผู้มองเห็นเผยอริมฝีปาก เสียงถามกลับกลายเป็นครางแผ่วในคอ...ลิ้นอาบด้วยรสเค็มปร่า แต่เจ้าของเงานั้นดูจะได้ยิน สองเท้าก้าวเข้ามา ย่ำบนพื้นเฉอะแฉะนองฝนและเลือด
ทว่าก่อนร่างนั้นถึงตัว...แก้วตาซึ่งฉายภาพในวันฝนมัว ก็พลันดับมืดลง
...................
...ความอบอุ่น...
...กลิ่นหอม...
...แม้นร่างกายจะยังเจ็บ...เจ็บที่ศีรษะ...เจ็บตามแขนขา...เจ็บในที่ที่บอกไม่ถูก...
เสียงฝีเท้าบนพื้นไม้ พูดพึมพำ...ฟังไม่ได้ศัพท์ บางสิ่งถูกสอดเข้ามาในปาก เป็นปลายแท่งยาว แล้วหยดน้ำก็รินลงคอ ขมจนอยากเบือนหน้าหนี...ทว่าไร้เรี่ยวแรงกระทำ...
เสียงพูดแข็งขึ้นเล็กน้อย ราวกับห้ามปราม
จึงได้แต่กลืนน้ำขมลงคอไป...ยากลำบากราวกลืนก้อนหิน คอปวดแสบกับทุกอึก รู้สึกเหมือนเนิ่นนานเป็นนิรันดร์...กว่าหลอดน้ำขมจะถูกดึงออกจากปาก แต่ไม่ช้ามันก็กลับมาอีกครั้ง
...ทว่าคราวนี้เป็นน้ำอุ่น...รสหวาน...หวานปานมธุรส...
...มธุรส?...
เจ้าของผัสสะนิ่งงัน มธุรสคือสิ่งใด แวบหนึ่งเหมือนจะนึกออก แต่อีกแวบ...สิ่งที่ผุดขึ้นมากลับเจือจาง ถูกปัดเป่าหายไปโดยเร็ว...
“นอ...พั......ากๆ...นะ”
เสียงพูดค่อยแจ่มชัด แต่ก็เพียงเท่านั้นเอง หลอดน้ำหวานถูกดึงออก เสียงฝีเท้าบนพื้นไม้เริ่มออกห่าง...
ทว่าผู้นอนอยู่ไม่อยากให้อีกฝ่ายผละไป เรี่ยวแรงที่กลับคืนอย่างประหลาดขับดันให้ขยับแขน เชื่องช้าในทีแรก แต่แล้วก็ยันร่างลุกขึ้นสำเร็จในอีกครู่...แม้อาการแปลบวาบในศีรษะจะทำให้แทบล้มหงายลงอีกครั้ง
“...เดี๋ยวก่อน!”
นัยน์ตาที่เพ่งมองค่อยเห็นภาพชัดขึ้น ผู้ดูแลหันกลับมา นัยน์ตาสีเข้มใต้แสงตะเกียงเบิกกว้างอย่างตกใจ ก่อนถาดและถ้วยไม้ที่ถืออยู่ในมือจะถูกวางลงบนโต๊ะ แล้วสองเท้าจึงสืบเข้ามาหาผู้บาดเจ็บโดยเร็ว
ผู้หญิง...อายุไม่มากเท่าไร...น่าจะเป็นเด็กสาว สักสิบสามสิบสี่ ผิวคร้ามแดดเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลยาวถักเป็นเปียเดี่ยวพาดบ่า...เครื่องแต่งกาย...เหมือนชาวบ้านธรรมดา
...ไม่รู้จัก...นึกไม่ออก...
“อย่าเพิ่งฝืน!” เด็กสาวเอ็ดเอา ทั้งที่มือยังรองหลังผู้บาดเจ็บ “ท่านเจ็บหนักมาก นอนพักก่อนเถอะ”
ทว่านัยน์ตาของคนเจ็บกลับจ้องตรงมา สำรวจรายละเอียดของใบหน้าอีกฝ่าย จนตระหนักแน่ชัดว่าไม่อยู่ในความทรงจำจริงๆ
“เจ้า...เป็นใคร?”
ขณะรอฟังคำตอบ ผู้ตั้งคำถามกลับสั่นสะท้าน ควานหาสิ่งอื่นในสมอง มะงุมมะงาหราราวนักเดินทางที่ทำตะเกียงตกดับในความมืด
...แล้วข้าเล่า... ข้า...เป็นใคร?...
...................
“ควรแจ้งอัศวินศักดิ์สิทธิ์”
หัวหน้าหมู่บ้านประกาศกร้าว ท่ามกลางชาวบ้านชายอันเงียบงัน นัยน์ตาดุดันที่มีรอยช้ำเลือดจ้องตรงมาทางชายหนุ่มร่างกำยำผมสีน้ำตาลเบื้องหน้า ผู้เป็นเป้าหมายของทุกสายตาในที่ประชุมนั้น ประหนึ่งจำเลยที่ทำความผิดอุกฉกรรจ์
“แต่นางยังเจ็บหนัก”
“ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบเพียงชีวิตของคนในหมู่บ้าน” ชายชรากล่าว “ปิดเรื่องเงียบไว้อาจเป็นภัยต่อพวกเราเอง รวมทั้งเมลิสซ่า และเจ้าด้วย มัธคาร์”
“แต่พวกเขาอาจฆ่านาง!”
“นางมิใช่คนที่นี่ อาจฟังไร้หัวใจ แต่หากนางเป็นภิกษุณีที่หนีออกจากอารามจริง ก็ต้องรับโทษทัณฑ์ของตน ทว่าหากนางมิได้หนีออกนอกอาราม และชายที่ตายนั้นเป็นเพียงผู้ติดตามหรือคนร้าย พวกอัศวินก็จะพานางกลับไปรักษา ในพระนครมีแพทย์หลวงฝีมือดี ย่อมช่วยนางได้มากกว่าหมู่บ้านตามมีตามเกิดของพวกเรา”
ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก ตำหนิตนเองที่เปิดเผยเรื่องการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตเกินไป หญิงบาดเจ็บสาหัสที่เขาพบอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าชุ่มเลือด...แม้นร่างไร้รอยแผล ผิดกับร่างชายชุดดำที่ทอดนอนอยู่ไม่ห่างกัน ซึ่งดูราวกับถูกกรีดฟันยับเยิน ในย่ามสัมภาระซึ่งร่วงอยู่ใกล้ศพชายนั้นมีรอยรื้อค้นกระจุยกระจาย และมีชุดเสื้อคลุมผ้าไหมยาวสีขาวขลิบทองอย่างนักบวช...ภิกษุณีผู้มีศักดิ์สูงในนครใหญ่ มิใช่ชุดผ้าฝ้ายฟอกขาวไร้ลวดลายตามอารามสำนักชีชนบท
...หญิงร่างเปลือยเปล่า...แต่มีอาภรณ์อย่างนักบวชอยู่ใกล้ๆ ...กับศพชายซึ่งสวมชุดดำล้วน ไร้อาวุธ และตายด้วยรอยแผลราวถูกรุมฟัน...ไม่ว่าใครก็ย่อมสงสัยความสัมพันธ์...
“มัธคาร์” หัวหน้าหมู่บ้านเรียกหนักๆ “หลายครั้งกฎก็สำคัญกว่าความเมตตา หรือเจ้าลืมเรื่องของเออร์ลีอา—“
“ท่านอย่าพูดถึงแม่ข้า!” ชายหนุ่มสะบัดเสียงพร้อมกับผุดลุกขึ้น “ท่านฆ่าสะใภ้ของตนได้ลงคอ! ยังมีหน้ามาพูดว่าตนทำถูกได้หรือ!”
มัธคาร์หมุนกาย เดินตรงไปยังประตู แทบไม่สนเสียงตะโกนที่ดังไล่หลัง
“หลังฝนหยุดตก ข้าจะส่งคนไปยังป้อมอัศวินทันที เจ้าเตรียมใจไว้เถอะ มัธคาร์”
...................
บ้าที่สุด!
ทั้งร่างเปียกปอน ชายหนุ่มกระแทกหมัดใส่ต้นไม้ใหญ่ข้างทาง นำอารมณ์ที่อยากระเบิดใส่ผู้อื่นไปลงกับมัน
ชาวบ้านสูงวัยหลายคนยกย่องมูอาทา ว่าเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่เข้มแข็งและเฉียบขาดที่สุดในรอบหลายสิบปีของไฮฟ์ ผู้ริเริ่มคิดค้นวิธีเพิ่มปริมาณผลผลิต โดยการเก็บน้ำผึ้งไม่ให้กระเทือนถึงรังและตัวอ่อน และยังเจรจาต่อทั้งศาสนจักรอาร์โคเซียและมอร์ติกา เมืองพาณิชย์ซึ่งพอใจใคร่ขายสินค้าให้ผู้ใดก็ได้...แม้แต่เหล่าจอมเวทจากเนิร์ฟเธน...หากราคานั้นคู่ควร หาไม่แล้ว หมู่บ้านที่มีสินค้าออกเพียงน้ำผึ้งแห่งนี้คงไม่แคล้วถูกผูกขาดการค้าโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และถูกจงชังถือเป็นศัตรูของอีกฝ่าย กระทั่งถูกรังควานหาความสงบมิได้แน่
..แม้นการรักษาความสงบและสายสัมพันธ์นั้น จะต้องแลกด้วยชีวิตของลูกสะใภ้ตน...
แม่ผิดหรือ...ที่มอบน้ำผึ้งและนมผึ้งชั้นดีให้ชายคนหนึ่งที่ดั้นด้นมายังหมู่บ้านนี้ พร้อมเงินเพียงไม่กี่เหรียญทอง...กับคำร้องขอให้ช่วยลูกที่กำลังล้มป่วยหนัก ซึ่งแม่ถือว่าสูงค่ายิ่งกว่าสิ่งใด
มูอาทาที่ละเลยชีวิตคน แต่รักษาผลประโยชน์ของหมู่บ้านกลับถูกสรรเสริญ ขณะที่แม่ซึ่งช่วยชีวิตคน แต่ทำให้หมู่บ้านเสียผลประโยชน์เพราะไม่อาจส่งสินค้าครบตามจำนวนเพียงไม่กี่โถ กลับต้องพบความตาย
ก็ให้รู้กันไปสิ ว่าเขาจะฆ่าข้าได้... มัธคาร์คิดอย่างบ้าบิ่น ลูกชายเขาตายไปแล้ว ข้าก็เป็นหลานชายคนเดียว หากเขาฆ่าข้าเท่ากับไม่มีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อ เขาทำให้เมลิสซ่าเจ็บมากแล้ว ยังจะกล้าทำร้ายจิตใจนางอีกหรือ...
แต่ต่อให้ไม่ฆ่ามัธคาร์ หัวหน้าหมู่บ้านก็คงมีวิธีเอาตัวหญิงบาดเจ็บนั้นไปส่งทางการจนได้ เวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างไม่อาจทำอะไรเพราะติดฝน ทว่าทางชายหนุ่มเห็นจะลำบากยิ่งกว่า เพราะต่อให้ฝนหยุด ก็ไม่แน่ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะฟื้นตัวพอหนีออกจากหมู่บ้านทัน
แต่ขอเพียงเธอฟื้นคืนสติก็คงดี มัธคาร์ภาวนา หากเขารู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องหนี ก็คงไม่เป็นไร แต่หากรู้ ก็คงต้องช่วยออกไปให้จงได้ เธอจะได้ไม่ต้องตาย...
เขาเดินไป คิดไปกลางฝน จนสุดท้ายก็ถึงบ้านตน...บ้านเก่าของแม่ซึ่งมัธคาร์กับเมลิสซ่าแยกตัวออกมาอยู่ โดยไม่ยอมกลับไปอาศัยบ้านหัวหน้าหมู่บ้านอีก
“เมลิสซ่า พี่กลับมา—“ ชายหนุ่มชะงักทันทีกับภาพไม่คาดฝัน
หญิงสาวผู้บาดเจ็บยังอยู่บนเตียงเขา ทว่าเธอไม่ได้นอน กลับนั่งเอนพิงหมอนทุกใบในบ้านที่เมลิสซ่าคงขนมาวางสุมให้ มีน้องสาวเขานั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ใช้หวีสางผมยาวตรงสีทองสว่าง ซึ่งแผ่ลงมาปรกหลังไหล่ของเธอ ราวกับแต่งตัวให้ตุ๊กตาตัวใหญ่
หญิงสาวมองเขาอย่างตื่นๆ ด้วยนัยน์ตาสีฟ้าใส ขณะที่เมลิสซ่าขมวดคิ้ว
“พี่มัธคาร์! ลืมร่มไว้ที่บ้านท่านปู่อีกแล้วสิ!”
“ไม่ได้ลืม” ชายหนุ่มพูดเสียงแข็ง แต่ก็อดหลบสายตาน้องสาวไม่ได้ “พี่ตั้งใจทิ้งไว้เอง ตากฝนแค่นี้ไม่ตายหรอก”
“รีบผลัดเสื้อผ้าแล้วมาผิงไฟเดี๋ยวนี้ เกิดเป็นหวัดขึ้นมา ข้าไม่ดูแลให้เด็ดขาด” เมลิสซ่าพูดเหมือนไร้เยื่อใย “คนหาเรื่องใส่ตัว”
มัธคาร์ไม่โกรธน้องสาวเลย เธอคงรู้ว่าเขาทะเลาะกับปู่...อีกแล้ว แต่ไม่อยากพูดเรื่องนั้น ชายหนุ่มเห็นด้วยว่าตนควรรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดเผ้าผม ทว่าความสนใจของเขายามนี้ อยู่ที่หญิงแปลกหน้าซึ่งฟื้นคืนสติรวดเร็วกว่าที่คิดต่างหาก
“แม่หญิง ท่านเป็นผู้ใด” ชายหนุ่มตั้งคำถามตรงประเด็นทันที “ข้ารู้ว่าท่านเพิ่งฟื้นตัว แต่จำเป็นต้องทราบตอนนี้ หัวหน้าหมู่บ้านจะส่งคนไปตามอัศวินศักดิ์สิทธิ์มาหลังฝนตก เพื่อให้พวกเขาพาตัวท่านไป หากท่านมีความจำเป็นต้องหนีจากพวกนั้น ข้าก็จะรีบช่วย”
ผู้บาดเจ็บกลับมองเขาอย่างงุนงง
“ทำไมต้องหนี”
มัธคาร์ไม่เข้าใจยิ่งกว่า จนเมลิสซ่าซึ่งวางมือจากการหวีผมพูดขึ้น
“ข้า...คิดว่าพี่หญิงคงยังจำอะไรไม่ได้ แต่ไม่แน่ ถ้ารออีกสักหน่อย...”
รออีกสักหน่อย...หมายความว่านางเสียความทรงจำงั้นเหรอ!
เขาอยากตบหน้าผากตนเองแรงๆ นั่นเป็นคำตอบที่เลวร้ายกว่านางมีเหตุให้ต้องหนีจริงๆ เสียอีก
“เอาเถอะ” ชายหนุ่มตั้งสติ “เรื่องเช่นนี้คงฝืนไม่ได้ ค่อยๆ นึกสิ่งใดออก ก็รีบบอกข้าแล้วกัน ไม่ว่าท่านจะถูกผู้ใดทำร้าย หรือหลบหนีผู้ใดอยู่ ข้าจะช่วยเหลือเต็มที่”
หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ ราวกับไม่เห็นความจำเป็นของการเร่งรีบนั้น แม้นคิ้วเรียวของเธอจะขมวดน้อยๆ ราวกับครุ่นคิด หรือเคร่งเครียดด้วยเรื่องอื่น
“ข้า...จำได้คำหนึ่ง”
“คำอะไร” มัธคาร์ถาม
“...แอ็กนัส...” หญิงบาดเจ็บเอ่ยถ้อยคำประหลาด “...แอ็กนัส...แคสตัส...แต่ข้าไม่รู้...ว่ามันหมายความว่าอย่างไร”
“หรือจะเป็นชื่อของพี่หญิง?” เมลิสซ่าเสนอ “แต่...แอ็กนัส...ฟังอย่างไรก็เหมือนชื่อผู้ชาย หรือจะเป็นแอ็กเนส...ใช่ชื่อของพี่หญิงหรือเปล่า?”
“...ไม่รู้สิ” หญิงสาวยกมือขึ้นกุมหน้าผาก “ข้า...จำไม่ได้ จำไม่ได้จริงๆ ...”
“อย่าเพิ่งฝืนเลย” มัธคาร์พูดอ่อนลง “ท่านนอนพักไปก่อน เรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากันตามจำเป็นเถอะ”
ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ขอตัวไปผลัดเสื้อผ้า...ทั้งที่ยังมีคำถามไร้คำตอบมากมายในใจ
...................
อาร์โคเซียถูกช่วงชิงสิ่งอันล้ำค่า
เนิร์ฟเธนถูกเข่นฆ่าสังหารจอมเวท
ไฮฟ์...หมู่บ้านเล็กไร้ความสลักสำคัญ ได้สิ่งอันคลุมเครือ มิรู้ดีร้าย มิรู้คำตอบ...
...แม้นมันอาจซ่อนเร้นอยู่...
...................
รูปตัวละคร
มัธคาร์
สาวปริศนา
เมลิสซ่า
สี่ช่องท้ายตอน
คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 1 – คำตอบที่ซ่อนเร้น'
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านเช่นกันขอรับ
คุณ Blue Mouse ถล่มตัวครับ ที่จริงเขาเป็นคนที่เขียนน่าอ่าน น่าสนใจ สำนวนเฉียบ กระชับฉับไว เอาเป็นว่าตอนไหนที่ดูเหมือนฉากยาวหน่อย คุยสะบั้นหั่นแหลก ดราม่ากระจาย อันนั้นของผมเองแหละ ^^a
ชื่อเรื่อง กบฎมายา หรือภาษาอังกฤษว่า The Rebels' Saga ตอนนี้ขอเฉลยแค่ Saga คือ มหากาพย์ หรือเรื่องแนวผู้กล้าอันยาวโอฬาร (ประมาณจากรุ่นพ่อแม่ไปถึงรุ่นลูกหลาน เป็นซุปเปอร์ไซย่ากันต่อๆ ไป) แต่เรื่องนี้เท่าที่คิดยังไม่ไปลูกหลานละครับ มีแต่แววยาวใหญ่ตามประสาสงครามสองดินแดนนี่ละที่เริ่มสำแดง
ส่วนกบฎ กับ มายา มีความหมายยังไง คิดว่าให้ผู้อ่านค่อยๆ ดูไปสักระยะแล้วเฉลยดีกว่า เดี๋ยวไม่มันส์
แล้วการร่วมกันเขียนนี้ ได้แต่ใดมา
ในด้านผม ได้จากความ "ตัน" ครับ
เพิ่งเขียน The Sun Seeker จบภาคแรกไป ภาคสองก็ยังไม่รู้ว่าจะขึ้นยังไงดี ส่วนสงครามบัลลังก์เหนือก็ยังต่อฉากในภาค 2 ไม่ติด แถมรีไรท์ภาคแรกกับภาคสองช่วงต้นก็เห็นข้อบกพร่องชวนน้ำลายฟูมปากที่ไม่รู้ ว่าจะแก้ยังไงเยอะไปหมด เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เครียดกับไรเตอร์บล็อคเอามากๆ
พอคุณ Blue Mouse เสนอให้เขียนร่วมกัน เลยตกลงตั้งแต่แรก เพราะอยากทำอะไรที่เป็นการรีเฟรชไอเดียกับความอยากเขียนตัวเองบ้าง
ทำไปทำมา ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะกลายเป็นเรื่องที่ไอเดียตัวเองวิ่งมายาวไกลขนาดนี้ ชนิดทำผมเอาแต่ใจ ขอใส่นั่นนี่กับคุณ Blue Mouse ไปซะเยอะแยะ ^^a
คงบังเอิญที่ช่วงนั้นผมมีพล็อตเรื่องแนว "นางเอกความจำเสื่อมเผชิญเหตุพลิกผัน" อยู่ในหัว แต่ยังไม่ชัดเจนพอจะเรียบเรียงเขียน บวกกับมีเรื่องที่คิดว่าควรเขียนให้จบก่อนเยอะจนไม่กล้าเริ่มเรื่องใหม่อีก เรื่อง เลยเอามาผสมๆ ในเรื่องนี้แทน กะช่วยกันเขียนแบบชิลๆ แล้วมันก็ออกมากลับตาลปัตรไม่เหลือเค้าเดิมกว่าที่คิด
ถึงอย่างนั้น ถ้าคนชวนไม่ใช่คุณ Blue Mouse ก็คงจะไม่รับง่ายๆ และรวดเร็วขนาดนี้ เพราะคุณ Blue Mouse เป็นทั้งคอมเมนเตเตอร์กิตติมศักดิ์ที่ช่วยอ่าน ช่วยให้คอมเมนต์อันมีค่ากับเรื่องของผมมานาน แล้วก็เป็นคนเขียนที่ผมอยากอ่านงานของเขามากขึ้น ติดแต่นิยายของเขาที่ผมตามอยู่ แลดูเหมือนจะถูกดองอย่างทารุณเช่นกัน (ฮา...) เมื่อเขาชวน เลยคิดว่าเราต่างคนก็รู้สไตล์ใจคออีกฝ่ายดี ซึ่งก็ค่อนข้างเป็นคอเดียวกัน และน่าจะไปด้วยกันได้
พอลองทำงานด้วยกันไปเรื่อยๆ ผมสนุกมากครับ บางครั้งก็เป็นเหมือนการผูกปมให้อีกฝ่ายแก้ (แหะๆ) บางทีก็เหมือนเจอปมที่ไม่รู้ใครตั้งใจวาง (อ้าว...) แล้วก็มาช่วยกันแก้ ภาพของตัวละครกับเหตุการณ์ค่อยๆ ร้อยเรียงกัน ค่อยๆ ชัดขึ้น จากปมเริ่มเป็นตาข่าย ต่อไปไม่แน่อาจเป็นผ้าทอ แต่ความยาวกับลวดลายก็คงต้องดูกันต่อไป
คุณ Blue Mouse เปรียบงานของเราเหมือนการทำอาหารของพ่อครัวหัวป่าก์สองคน ส่วนผมนึกถึงการเขียนลายผ้าญี่ปุ่น ซึ่งไปเห็นที่ศูนย์หัตถกรรมเกียวโตเมื่อเดือนก่อน ก่อนนี้ไม่นึกเหมือนกัน ว่าลายผ้ากิโมโนพวกดอกไม้อันสวยงามทั้งหลาย เกิดจากการใช้กระดาษฉลุลายทาบ และลงสีบนผ้าเป็นชั้นๆ จากนั้นต้องใช้ยาพอกปิดลวดลาย แล้วนำลงไปย้อมสีพื้นอีกที ตอนดูวิดีโอแสดงวิธีทำทีละขั้นตอน ก็ลุ้นว่า...ความงามน่ามองของผ้าค่อยๆ เกิดขึ้นได้ยังไง
ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องนี้จะเป็นผ้าลายอะไร จะสวยหรือถูกใจใครหรือไม่ แต่ก็มีหลายกระบวนการ มีหลายสิ่งที่ต้องแต่งเติม และระหว่างเติมก็สนุกก็ลุ้นดี ว่า..."อือม์ ต่อไปมันจะออกมาเป็นยังไงนะ"
อยากให้ผู้อ่านค่อยๆ ดูผ้าผืนนี้ สีตรงนี้เป็นยังไงบ้าง ขอบลายล่ะ ชอบไม่ชอบอะไร มีอะไรที่อยากติชม ก็บอกพวกเราสองคนได้ครับ
ขอบคุณมากครับ
Anithin
ความคิดเห็น