ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานอาณาจักรมนตรา

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 - ความอาดูรของนักรบ - 1 - บุปผา

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 63


    ความรู้สึกแรกที่ชายหนุ่มมีต่อคฤหาสน์หลังนั้นคือน่าอยู่’

    ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้หลังใหญ่โตหรูหรา แต่ก็สะอาดสะอ้านและตกแต่งได้สมฐานะ ไม้ดอกไม้ใบซึ่งผลิบานในสวนยามฤดูใบไม้ผลิพากันอวดสีสันและกำจายกลิ่นมายังโต๊ะบนระเบียงที่ชายหนุ่มนั่งอยู่นี้

    แต่ที่หอมฟุ้งที่สุดเห็นจะเป็นช่อดอกไม้สีม่วงชมพูแซมดอกไม้สีขาวเล็กประปรายเบื้องหน้าโต๊ะ เข้ากับแจกันเครื่องเคลือบสีเขียวมรกตจับตา เขียนลายเป็นพุ่มพรรณพฤกษ์อ่อนช้อย ให้รู้สึกผ่อนคลายแม้จุดประสงค์ในการมาเยือนเจ้าของคฤหาสน์นี้คืองานราชการโดยแท้

    ขุนนางชราเบื้องหน้าเขาก็ให้การต้อนรับและชวนอาคันตุกะสนทนาอย่างมีอัธยาศัยดี ทำให้เขานึกขอบคุณผู้เป็นทั้งนายเหนือหัวและสหายในนครหลวงขึ้นมาที่มอบหมายงานนี้ให้ตน ถึงก่อนหน้านั้นจะคิดเบื่อหน่ายที่ไม่ได้ถูกส่งไปยังหน้าด่านหรือสนามรบที่ใดโดยตรงก็ตาม

    "ท่านขุนพลคงไม่เคยมายังเมืองของเราสินะ"

    "บอกตามตรง...งานทำให้ข้าแทบไม่ได้ไปยังแว่นแคว้นใดที่สงบเรียบร้อยดีเลย ท่านข้าหลวง"

    เจ้าบ้านหัวเราะรับคำตอบของอาคันตุกะหนุ่ม ส่วนเขาพูดต่อพลางปรายมองสวนเบื้องนอก

    "แต่เมืองนี้สวยงามสมชื่อ เพียงจวนของท่านก็ทำให้ทราบแล้วว่านี่คือแดนแห่งบุปผาไม่ผิดเลย"

    "ยกยอกันเกินไปแล้ว ครอบครัวข้าเพียงแต่ชอบจัดแต่งสวนเป็นพิเศษเท่านั้นเอง บุปผางามตามธรรมชาติของเมืองเราต่างหากที่มีมากมายยิ่งกว่านี้"

    มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของบุคคลที่สาม ตามมาด้วยเสียงถ้วยสองใบกระทบโต๊ะหินอ่อน

    ชายหนุ่มหันไปอย่างไม่ใส่ใจนัก...ทว่าสิ่งที่เขาได้เห็นต้องเป็นบุปผาอันงดงามที่สุดแน่แท้

    ดรุณีผู้ถือถาดเงินเผลอสบตาเขาเพียงครู่ก็ทอดสายตาลงมองโต๊ะอย่างสำรวมแล้วถอยออกห่าง จากนั้นก็ค้อมคำนับแล้วกลับหลังหันเดินลับเข้าไปในอาคาร

    กระนั้นชายหนุ่มยังจำติดตาถึงดวงหน้าจิ้มลิ้ม ริมฝีปากสีชมพูเหมือนกลีบดอกไม้แรกแย้ม นัยน์ตาสีทองเหมือนอำพัน...ไม่ก็เกสรหอมหวานที่ใจกลางดอกไม้ และเส้นผมยาวสลวยสีดำมะเกลือที่แผ่ปกคลุมแผ่นหลัง ซึ่งสะบัดไหวน้อยๆ ยามร่างอ้อนแอ้นย่างกรายกลับเข้าไป

    "นั่นสิมาริเมส ธิดาของข้าเอง" ข้าหลวงชราอธิบายยิ้มๆ เมื่อเห็นอาการตะลึงลานของขุนพลหนุ่ม "นางเพิ่งอายุสิบหกเมื่อไม่นานมานี้"

    "อย่างนั้นหรือ" อีกฝ่ายรับเมื่อนึกอะไรไม่ออก "ข้า...เอ่อ...ขออวยพรวันเกิดนางย้อนหลังด้วย"

    ชายสูงวัยกว่าหัวเราะรื่นเริงขึ้น ขณะที่ชายหนุ่มหยิบถ้วยน้ำมายกดื่มแก้ประหม่า

    "ช่อดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าท่าน นางก็เป็นคนจัดเอง อันที่จริงต้องบอกว่านางจัดดอกไม้รับรองแขกทุกครั้ง หลังจากที่ภรรยาของข้าเริ่มตาฝ้าฟางนั่นละ" ข้าหลวงพูดเรียบเรื่อย

    "ดอกไม้สวยมาก" ขุนพลหนุ่มรับแล้วก็เงียบไป ด้วยไม่รู้ว่าคำพูด 'เช่นเดียวกับคนจัด' จะทำให้บิดาของนางคิดอย่างไร เขาจึงได้เข้าจุดประสงค์ของการมาเยือนเสียที "ว่าแต่สถานการณ์ชายแดนทางตะวันออกเรียบร้อยดีอยู่หรือ"

    ผู้มากวัยกว่ามีสีหน้าเครียดขรึมขึ้น "มีรายงานว่าพวกเผ่าในทะเลทรายกำลังรวบรวมพล แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าจะโจมตี"

    "สถานการณ์คงเดิม"

    "จะว่าอย่างนั้นก็ได้" ชายชราเสมองไปยังทิวเขาที่เห็นวิหารอยู่ลิบๆ บนยอด "แต่ฝ่าพระบาทคงจะทรงเล็งเห็นว่าพวกมันจะยกทัพมาในไม่ช้า ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งขุนพลมือหนึ่งเช่นท่านมาดอก"

    ชายหนุ่มผู้ถูกพูดถึงนิ่งเงียบไป ก่อนจะเอ่ยเป็นพิธีรีตอง "ข้ายังไม่ชำนาญพื้นที่แถบนี้ คงต้องรีบศึกษาชัยภูมิเตรียมรับสถานการณ์ไว้ก่อน"

    ความคิดถึงบุปผาแสนงามที่เขาพบในวันนั้นเลือนไปในชั่วครู่เดียว หากไม่ได้มีเหตุให้เขากลับมาอีกในวันรุ่งขึ้น

     

    บุปผางามท่ามกลางหมู่บุปผายังไม่ทันเห็นเขา

    ตะกร้าหวายใส่ดอกไม้สดหลากสีที่คล้องแขนบอกจุดประสงค์ของร่างบอบบางเบื้องหน้า และขณะนี้ร่างนั้นก็กำลังเอื้อมมือเรียวขึ้นสู่ร่มไม้แซมดอก เท้าเล็กขาวในรองเท้าสานเขย่งน้อยๆ พ้นชายกระโปรงที่ยาวเลยข้อเท้าลงมา

    เด็กสาวลดมือลงเมื่อเอื้อมไม่ถึง ก่อนจะหันมองซ้ายขวาเหมือนหาบางสิ่ง เขาเลยสาวเท้าเข้าไปข้างๆ แล้วยกมือขึ้นแตะก้านเรียวพลางถามโดยไม่หันไปมอง

    "กิ่งนี้ใช่ไหม"

    "คะ...ค่ะ" สิ้นเสียงหวานที่ตอบแผ่วเบา ช่อดอกไม้สีม่วงชมพูก็ถูกปลิดโดยมือของชายหนุ่ม และส่งต่อให้มือของเธอ "ขอบคุณมากค่ะ ท่าน...ขุนพลเนมอส"

    "ไม่เป็นไรหรอก" ชายหนุ่มตอบขณะมองอีกฝ่ายที่ก้มหน้างุด กำก้านดอกไม้แน่นทั้งสองมือ "ว่าแต่ท่านรู้จักชื่อข้าด้วยหรือ"

    "ค่ะ...ท่านพ่อบอกเมื่อวาน แล้วท่านขุนพลก็...มีชื่อเสียงเลื่องลือมากด้วย"

    "เลื่องลือ...หรือ"

    "ค่ะ คือ...เขาพูดกันว่าท่านเก่งกาจมาก เลยได้เป็นขุนพลตั้งแต่ยัง...เอ่อ...อายุน้อยเพียงเท่านี้"

    "อ้อ" เนมอสรับแล้วก็นึกหาคำพูดต่อ แต่กลับเอ่ยได้เพียง "ขอบคุณมาก"

    ร่างเล็กกว่าเหลือบมองเขาแวบหนึ่งอย่างสงสัย "เรื่องอะไรหรือคะ"

    "ก็...เรื่องที่นำคำร่ำลือดีๆ มาบอกข้าน่ะสิ คุณหนูสิมาริเมส"

    "อะ...อะไรกัน ข้าก็แค่พูดตามที่ได้ยินมาเท่านั้นละค่ะ" เด็กสาวตอบเสียงอ่อนๆ ก่อนจะเงยหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ "ท่านขุนพลจำชื่อข้าได้ด้วยหรือคะ"

    "ก็..." ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตนถูกดวงหน้าอ่อนเยาว์สะกดจนคำพูดติดขัด "...ชื่อท่านเพราะ...ฟังแล้วรื่นหูดี"

    กลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนแย้มยิ้ม นัยน์ตาสีเหมือนอับเรณูเสลงต่ำอีกครั้ง

    "ขอบคุณค่ะ เป็นเกียรติสำหรับข้าจริงๆ ที่ท่านขุนพลจำได้"

    สิมาริเมสเอ่ยเท่านี้แล้วก็เงียบไป ขุนพลหนุ่มจึงมองไปรอบๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดเพื่อรักษาบรรยากาศ

    "ข้า...เอ่อ...มาขอคำปรึกษาจากท่านข้าหลวง"

    "ท่านพ่อมีประชุมงานจนถึงเที่ยงค่ะ"

    "ท่านหญิงบอกข้าแล้ว พอข้าบอกว่าจะรอ นางก็แนะนำให้มาเดินเล่นในสวน" เขาปรายมองตะกร้าดอกไม้ของอีกฝ่าย "ขออภัยที่รบกวนเวลาของท่าน"

    "ไม่รบกวนหรอกค่ะ อันที่จริง ในฐานะเจ้าบ้าน...ข้าควรอาสาพาท่านชมสวนเสียด้วยซ้ำ นอกเสียจากว่า..." เธอกลับก้มหน้าอย่างลังเล "ท่านขุนพลอยากอยู่ตามลำพังมากกว่า"

    "ไม่เลย ข้าจะยินดีมากเสียอีก" เนมอสตอบ "ข้าไม่ค่อยรู้จักชื่อดอกไม้เลย"

    "ถ้าท่านขุนพลสนใจ ข้าก็ยินดีเหมือนกันค่ะ" สิมาริเมสเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ

    "ถ้าอย่างนั้น..." ชายหนุ่มวางมือลงบนลำต้นของไม้ดอกสีม่วงชมพูหวาน "เริ่มจากต้นนี้เลยดีไหม"

    เด็กสาวพยักหน้าก่อนจะตอบแผ่วเบา "ไลแลค...ค่ะ"

    "ดอกของมันหอมดีนะ"

    "ค่ะ ข้าชอบกลิ่นดอกไลแลคมากเลย"

    "ต้นสูงใหญ่ขนาดนี้ เห็นทีจะปลูกมานาน"

    "ค่ะ ได้ยินว่าท่านพ่อท่านแม่ให้ปลูกตอนแต่งงานกัน ก่อนข้าเกิดถึงยี่สิบกว่าปีได้กระมังคะ"

    "นานขนาดนั้นเชียว" เนมอสฉุกคิดขึ้นมาแล้วอดถามไม่ได้ "แล้วท่านมีพี่น้องคนอื่นบ้างไหม"

    "ไม่มีเลยค่ะ" เด็กสาวสั่นศีรษะ เอ่ยแผ่วเบา "ตามจริงแล้วข้าไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของพวกท่าน"

    "อย่างนั้นหรือ" ขุนพลหนุ่มนึกไปถึงเมื่อครู่ที่ได้พบกับนายหญิงของบ้าน ซึ่งอยู่ในปลายวัยกลางคนไม่ห่างจากท่านข้าหลวงเท่าใดนัก ตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็ประหลาดใจอยู่ว่าเหตุใดท่านข้าหลวงกับภรรยาถึงดูเหมือนจะมีลูกสาวที่ยังเยาว์วัยเช่นนี้เพียงคนเดียว

    "พวกท่านไม่มีลูก เลยรับข้ามาเลี้ยง อันที่จริงข้าก็ไม่ทราบว่าพ่อแม่แท้ๆ ของข้าเป็นใคร แต่ข้าก็ไม่ได้เสียใจอะไรหรอกนะคะ" สิมาริเมสคลี่ยิ้มสดใส ให้เห็นว่าเธอหมายความตามที่พูดอย่างจริงใจ "เพราะท่านพ่อท่านแม่รักข้าเหมือนลูกจริงๆ ก็ว่าได้"

    "ดีแล้วละ ที่มีพ่อแม่ที่รักท่านมาก" เนมอสพลอยยิ้มตามไปด้วย

    "แล้วท่านขุนพลล่ะคะ มีพี่น้องหรือเปล่า"

    "ข้า..." ชายหนุ่มเริ่มลังเล แต่แล้วก็ตัดสินใจ "เป็นลูกคนเดียว"

    "พ่อแม่ของท่านคงภูมิใจในตัวท่านมากสินะคะ"

    "แม่ข้าเสียไปแล้ว" เขาเผลอพูดเร็วเกินใจจะทันห้าม "ส่วนพ่อ...ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน"

    "อย่างนั้นหรือคะ ขะ...ข้าขอโทษนะคะ"

    สีหน้าคนฟังที่เจื่อนลงทำให้ชายหนุ่มต้องรีบเอ่ยต่อ

    "ไม่เป็นไรหรอก ทุกวันนี้ข้าเองก็มีความสุขดี ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือขาดอะไร"

    ครั้นอีกฝ่ายหนึ่งยังเงียบ เนมอสเลยหันไปสนใจต้นไลแลคอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

    "ไลแลคเป็นไม้มงคลหรือ ถึงได้ปลูกในตอนแต่งงาน"

    "ก็ไม่เชิงค่ะ" เด็กสาวตอบ "จะว่าไปก็เป็นธรรมเนียมพิเศษของเมืองเรา ที่เรียกว่า 'บุปผาพจี' นั่นละค่ะ"

    "บุปผาพจี? "

    "หมายถึงภาษาของดอกไม้ค่ะ เราชาวเมืองนี้ถือว่าดอกไม้แต่ละอย่างมีความหมายพิเศษ เพราะมีตำนานว่าพวกเราสืบเชื้อสายจากหมู่นางไม้ที่ใช้ดอกไม้ในการสื่อสารแทนคำพูด โดยส่งดอกไม้ที่มีความหมายต่างๆ ให้กับผู้ที่ต้องการสื่อความด้วย ปัจจุบันพวกเราก็ยังปฏิบัติตามธรรมเนียมนี้อยู่ในบางโอกาส ที่ท่านพ่อกับท่านแม่ปลูกต้นไลแลคไว้ ก็เพราะท่านพ่อเคยมอบดอกไลแลคให้ท่านแม่ในงานเทศกาลบุปผา แล้วก็เพราะความหมายของมันด้วย"

    "แล้วไลแลคหมายความว่าอย่างไรหรือ"

    สิมาริเมสทอดสายตาลงต่ำ ก่อนจะตอบเสียงแผ่วเบาแทบเป็นกระซิบ

    "’ รักแรก’ ...ค่ะ"

    นักรบหนุ่มรู้สึกเหมือนใจเต้นรัวโดยไร้เหตุผลเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้นจากเธอ ทั้งๆ ที่มันก็เป็นเพียงคำอธิบายซึ่งไม่ควรมีความรู้สึกใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเท่านั้นเอง

    สายลมพัดโชยกลิ่นดอกไม้สีม่วงอ่อนมาสู่ทั้งสองในชั่วขณะนั้น ประหนึ่งจะย้ำใจความของมันต่อสองหนุ่มสาวในอ้อมกอดของไอกรุ่นกำจาย

    เพียงครู่...ก่อนที่เด็กสาวจะแก้ประหม่าด้วยการชวนเขาไปดูดอกไม้ชนิดอื่นๆ

    และเพียงช่วงหนึ่งปีอันแสนสั้น...ก่อนชะตากรรมจะแปรกลายจากสายลมอ่อนเป็นพายุโหมแรง

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×