คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑ - เม็ดทราย - ตอนที่ ๑ - สู่เมืองแห่งสายลม (รีไรท์)
บทที่ ๑
เม็ดทราย
๑.สู่เมืองแห่งสายลม
แสงเพลิงส่องสลัวอยู่ห่างออกไปลิบๆ ใต้ฟ้าใกล้ค่ำ
ข้าโล่งอกเมื่อเห็นแสงเหล่านั้น เพราะพวกมันเป็นสิ่งแสดงว่าข้ารอดจากการหลงทางกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่นี้ ข้ากางแผนที่เก่าคร่ำคร่าออกส่องดูกับแสงไต้ เห็นเส้นทางสู่โอเอซิสเขียนไว้ชัด
นั่นคือที่พักของข้าในคืนนี้และคืนพรุ่ง เช่นเดียวกับกองคาราวาน พวกโนมาเดสและนักเดินทางกลางทะเลทรายทุกคน ซึ่งล้วนต้องอาศัยน้ำเป็นสิ่งประทังชีพ
ข้าลูบใบหน้าและคอของอูฐที่หมอบสงบอยู่ข้างตัวก่อนจะขึ้นนั่งบนหลังของมัน แล้วชักบังเหียนกระตุ้นให้มันลุกขึ้นเดิน มุ่งหน้าไปทางแสงไฟที่เห็นนั้น
เพียงไม่นานภาพของหมู่กระโจมและยอดอินทผลัมสูงซึ่งไหวน้อยๆ ในลมทะเลทรายค่อยปรากฏชัด เช่นเดียวกับเงาร่างของพวกโนมาเดสหลายคนที่นั่งระวังยามหรือเดินตรวจตราฝูงสัตว์ของตน หลายคนหันมองข้ากับอูฐเพียงแวบเดียว ก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ
ก็แค่นักเดินทางอีกคนหนึ่งที่มาหาที่พักในโอเอซิส...พวกเขาคงคิดเช่นนี้
ข้าลงจากหลังอูฐ แล้วจูงมันเดินผ่านหมู่กระโจมลึกเข้าไปด้านใน บริเวณนั้นมีซากปรักหักพังของอาคารเก่าๆ ก่อจากโคลนแห้งตั้งรายรอบ พอเดาได้จากสภาพที่เห็นว่าที่นี่คงเคยเป็นชุมชนหรือหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างมาก่อน ในอาคารบางหลังซึ่งยังพอเหลือหลังคาคุ้มหัว มีนักเดินทางหลายคนนั่งล้อมรอบกองไฟ สนทนาเรื่องต่างๆ อย่างออกรส
จากประสบการณ์ของข้า นักเดินทางจากแดนไกลเหล่านี้ดูจะเป็นมิตรกับนักเดินทางด้วยกันมากกว่าคาราวานของพ่อค้ากับสินค้าล้ำค่าเตรียมไปขายในเมืองใหญ่ หรือพวกโนมาเดสที่มากับฝูงปศุสัตว์ อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่มีของมีค่ามากพอจะทำให้ต้องหวาดระแวงเรื่องการฉกชิงผลประโยชน์ หรือการเผชิญหน้ากับโจรทะเลทรายก็ได้
ข้าเองก็เป็นหนึ่งในพวกที่ไม่มีของมีค่าติดตัวเช่นกัน แต่อย่างน้อยข้าก็ยังพกดาบและกริชเตรียมไว้เผื่อป้องกันตัวในกรณีฉุกเฉิน ไม่ว่าจากสัตว์ร้ายหรือมือของมนุษย์ด้วยกันก็ตามที
ผ่านซากของหมู่บ้านเข้ามาถึงโอเอซิส กลิ่นของน้ำและพรรณพืชที่ห่างเหินมานานโชยเข้าจมูกของข้า ปลุกฆานประสาทที่แทบด้านชาจากละอองทรายให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ข้าตรงไปยังริมน้ำด้านที่ยังว่างอยู่ พยายามออกห่างจากฝูงแกะ แพะ และหมู่ผู้หญิงคลุมผ้าปกปิดหน้าตาซึ่งลงมาตักน้ำ
การเหลือบมองผู้หญิงของพวกโนมาเดสแม้เพียงครั้งเดียวอาจทำให้ถูกฆ่าตายได้ง่ายๆ มีผู้เฒ่าท่านหนึ่งเคยแนะข้าด้วยความหวังดีไว้เช่นนี้ และข้าก็เชื่อมาโดยตลอด
ข้าคุกเข่าลง ปลดผ้าโพกหัวและผ้าคลุมหน้าสำหรับกันทรายออก ก่อนจะวักน้ำขึ้นล้างมือและใบหน้า ข้างๆ กันนั้นเจ้าอูฐเพื่อนยากก้มลงดื่มน้ำอย่างกระหาย เตรียมบรรจุลงกระเพาะเพื่อนำไปใช้กลางทะเลทรายต่อไป ส่วนข้ากรอกน้ำใส่ถุงกระเพาะแกะจนเต็ม แล้วจึงกอบน้ำขึ้นดื่มช้าๆ ให้ความเย็นชุ่มชื่นค่อยๆ รินลงเคลือบคอที่แห้งผากมาตลอดทั้งวัน
ขณะกำลังจะกอบน้ำขึ้นเป็นครั้งที่สอง...พลันปรากฏเงาสะท้อนสีขาวซีดบนผิวน้ำที่ไหวเป็นระลอกตรงหน้า
ข้าเงยมองด้วยความสงสัย
ร่างบอบบางของสตรีนางหนึ่งยืนนิ่งอยู่ริมน้ำ ใต้ร่มอินทผลัมตัวผู้ที่ออกดอกเป็นปุยช่อสีขาวนวล ห้อยโน้มลงมาราวกับหมู่ดาวตก เคียงคู่ต้นอินทผลัมตัวเมียที่มีช่อดอกดั่งสายลูกปัดย้อยระย้า ข้างดงกระบองเพชรที่ออกดอกพราวสะพรั่ง พัสตราภรณ์ที่คลุมตลอดร่างของนางเป็นสีขาวเช่นเดียวกับดอกไม้เหล่านั้น บางพลิ้วไปตามกระแสลมอ่อนซึ่งส่งกลิ่นหอมของดอกอินทผลัมมายังจมูกของข้า ดวงตาสีทองเป็นประกายสุกใสที่มิได้ปกคลุมด้วยผ้าขาวจ้องตรงมาทางข้า เหมือนมนต์สะกดทำให้ไม่อาจละสายตาไปจากนางได้
จวบจนร่างนั้นหันกลับ ลับจากไปหลังหมู่ไม้อีกฟากหนึ่งของโอเอซิส ข้าจึงได้เป็นอิสระในที่สุด ข้าก้มลงเห็นมือตนเองยังประสานกอบน้ำ...ค้างอยู่กลางอากาศ แม้น้ำจะไหลซึมผ่านร่องนิ้วลงไปหมดแล้วก็ตาม หัวใจของข้าเต้นระรัว แม้ในจักษุยังคลับคล้ายจะเห็นภาพของหญิงสาวในชุดขาวติดตาอยู่ไม่หาย คำถามมากมายผุดขึ้นในใจ
ดวงตาของนางไม่เหมือนใคร เพราะเหตุใดข้าก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าไม่เหมือน นางน่าจะอยู่ในวัยสาวสะคราญ...อย่างน้อยราวสิบหกสิบเจ็ด อย่างมากไม่เกินยี่สิบต้นๆ ทว่านัยน์ตาที่สบกันเมื่อครู่ดูมีวัย...ไม่แน่นอน แวบหนึ่งลึกซึ้งสุขุมราวผู้เฒ่าที่ผ่านโลกมากว่าครึ่งร้อยปี อีกแวบกลับไร้เดียงสาไม่มั่นคงเหมือนเด็กที่พลัดหลงจากพ่อแม่
กระนั้น สิ่งหนึ่งที่ข้าเห็นโดยตลอดในดวงตาคู่นั้น...ไม่ว่าจะสะท้อนจิตใจของคนวัยใด...คือความอ้างว้างเดียวดาย มีความขาดซึ่งไม่ได้รับการเติมเต็มในดวงตานั้น ความขาดอย่างเดียวกับที่ข้ารู้จักผูกติดนางไว้...เหมือนเงาสะท้อนของตัวข้าเอง
นางเป็นใครกัน เจ้าของดวงตาสีทองซึ่งสะกดข้าไว้ด้วยมนต์ประหลาดนั้นเป็นใคร
ข้าเงยหน้าขึ้นกวาดมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นแม้เงาร่างของนางผู้นั้น มีเพียงกลุ่มผู้หญิงโนมาเดสที่ทูนหม้อน้ำไว้บนหัวกำลังเดินจากไปอีกฟากหนึ่งเท่านั้น
หรือนางจะเป็นเผ่าโนมาเดส...ก็อาจเป็นได้ การแต่งกายของนางคล้ายกับพวกหญิงเผ่าร่อนเร่ในทะเลทรายซึ่งต้องคลุมผ้ามิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้า เปิดเผยได้เพียงดวงตา
คิดแล้วให้รู้สึกสิ้นหวัง หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าคงไม่มีโอกาสพบนางอีกครั้ง ปกติพวกโนมาเดสเป็นมิตร และต้อนรับเลี้ยงดูปูเสื่ออาคันตุกะใดก็ตามที่มาเยือนเผ่าเป็นอย่างดี ทว่าพวกเขามีความเชื่อและธรรมเนียมเป็นของตนเอง แปลกแยกจากพวกพ่อค้าหรือพวกเรานักเดินทาง โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ชายหญิง ซึ่งมีกฎเกณฑ์ว่าหญิงทั้งหลายไม่อาจพูดคุยกับชายที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือสามี บางเผ่าเข้มงวดกระทั่งหญิงไม่อาจออกไปไหนตามลำพังโดยไม่มีญาติชายคอยคุ้มกันเป็นอันขาด
พวกโนมาเดสเคร่งครัดต่อธรรมเนียมเหล่านั้นจนแทบไม่ย่อหย่อนต่อผู้กระทำผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนนอกส่วนมากจึงคิดว่าไม่เข้าใกล้ข้องแวะกับพวกเขาจะดีกว่า เพื่อมิให้ถูกเข้าใจผิดว่ามีเจตนาทำเรื่องชู้สาว
ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงพยายามสลัดความคิดเกี่ยวกับความอ้างว้างในดวงตาคู่นั้นและเจ้าของดวงตาไปให้หมด ก่อนจะลุกขึ้นยืน จูงอูฐไปจากโอเอซิสและเสาะหาที่พักในยามค่ำคืนเท่าที่เหลืออยู่
* * * * *
“ยินดีต้อนรับสู่เมืองแห่งสายลม” เสียงทักด้วยภาษาของบ้านเกิดทำข้าชะงักกึก พอมองหาต้นเสียงก็ปะกับช่องประตูท่ามกลางซากผนังโคลนแห้งของอาคารหลังหนึ่ง
“สายัณห์สวัสดิ์” เสียงเดิมดังมาอีกครั้งจากในอาคารร้าง เมื่อข้ารีรออยู่ว่าควรเข้าไปดีหรือไม่ “ที่ว่างมีเกินพอ เชิญสหายเข้ามาเถิด”
ข้ายิ้มรับก่อนจะผูกอูฐของตนข้างๆ อูฐตัวหนึ่งที่เสาริมประตู แล้วเข้าไปข้างใน เห็นชายเพียงคนเดียวนั่งอยู่ข้างกองไฟสว่าง มีไม้เสียบเนื้ออะไรบางอย่างปักย่างอยู่ราวสี่ห้าไม้
ชายผู้นั้นดูอายุมากกว่าข้า คงราวๆ ต้นสามสิบ โครงหน้าคมเข้ม เห็นรูปคางและกรามเด่นชัด ร่างกำยำ ผิวเป็นสีทองแดงบ่งบอกเชื้อสาย...และความคุ้นชินกับแสงแดดร้อนแรง นัยน์ตาสีเข้มจนดูไกลๆ เหมือนหินแก้วภูเขาไฟสีดำ เส้นผมที่พ้นจากผ้าโพกศีรษะเป็นสีดำ ยาวลงมาประมาณปลายคาง หนวดเคราไม่ได้โกนเกลี้ยง แต่ก็ตัดสั้นเป็นระเบียบเรียบร้อย เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแม้เป็นเพียงชุดนักเดินทางตามทะเลทรายที่ดูไม่มีราคาค่างวด ผิดกับข้าที่ไม่ได้โกนหนวดเคราหั่นผมมาแรมเดือน ซ้ำแต่งตัวเก่าปอนกว่า
“เอนลิลจากนิบรู” เขาแนะนำตัวก่อน
“อามอนจากเดโลส” ข้าตอบ
“เดโลส...เป็นชื่อที่ใช่จะได้ยินบ่อยนัก แต่เป็นสถานที่ที่เทพเจ้าเคยถือกำเนิดเช่นนั้นสินะ”
ข้าหัวเราะน้อยๆ ไม่นึกว่าเพื่อนร่วมที่พักมีความรู้กว้างขวางพอตัวสำหรับชาวทะเลทราย
“ถูกแล้ว เดโลสเป็นเกาะที่ประสูติแห่งเทพอพอลโล และเทพกัญญาอาร์เทมิส”
“แล้วธุระใดกันที่นำชนชาติเอลิเนสอย่างอามอน ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังดินแดนทะเลทรายห่างไกลเช่นนี้”
ข้ายักไหล่
“ข้าเพียงแต่เดินทางพเนจรไปเรื่อยๆ ไร้หลักแหล่งเท่านั้น ท่านเล่า”
เอนลิลหยิบเนื้อย่างไม้หนึ่งมาแตะๆ ดู
“ข้าก็เดินทางไปๆ มาๆ...ตามแต่สายลมจะพาไป”
“เช่นนั้นเราก็คล้ายกัน” ข้ารับพลางรื้อค้นสัมภาระ หาเนื้อและผลอินทผลัมแห้งที่เก็บไว้เป็นเสบียง “ข้าจะอายุยี่สิบสองปีนี้ ไม่ทราบท่านอายุเท่าไร”
“อย่างน้อยก็มากกว่าเจ้าหลายปีอยู่” อีกฝ่ายตอบเรียบๆ ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้ม
“เช่นนั้น...ตามธรรมเนียมข้าควรเรียกท่านว่า ‘ท่านพี่’”
เอนลิลกลั้วหัวเราะในคอ
“ตามใจเจ้า มีน้องชายเป็นชาวเอลิเนสจากเกาะซึ่งเทพถือกำเนิดสักคนก็ดี”
ข้าพลอยหัวเราะรับไปด้วย ก่อนจะตั้งคำถามบ้าง
“เห็นท่านพี่บอกว่ามาจากนิบรู...ขอถามได้ไหมว่าเมืองนั้นอยู่ที่ใด ข้าไม่เคยได้ยินเลย”
“นิบรู...บางทีเจ้าอาจรู้จักในนาม นิปปูร์”
“นิปปูร์...หรือ”
“เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำไทกริสกับยูเฟรติส ที่ตั้งของมหาวิหารแห่งเทพเจ้าโบราณองค์หนึ่ง น่าเสียดายที่ไม่มีใครบูชาเทพพระองค์นั้นอีกแล้ว”
“เทพเจ้า...ท่านหมายถึงเทพของบาบิโลเนียหรือ” ข้าคำนวณจากที่ตั้งของเมืองตามที่เขาบอก
“เก่ายิ่งกว่านั้นอีก”
“เทพของสุเมเรีย” ข้านึกถึงชนผู้เคยได้ยินว่าอาศัยอยู่ในดินแดนที่ต่อมาเป็นของอาณาจักรบาบิโลเนีย
“นั่นเป็นชื่อที่ชนชาติอื่นเรียกพวกเขา พวกเขาเรียกตนเองว่าอุง ซัง กิ-กา...ชนผู้มีศีรษะสีดำ” เอนลิลอธิบาย “เช่นเดียวกับที่พวกเขาเรียกนิปปูร์ว่านิบรู”
ข้าปรายตามองปอยผมที่ย้อยจากผ้าโพกของอีกฝ่าย แล้วอดคิดไม่ได้ว่าช่างเป็นนามที่สมกับผู้ที่มาจากเมืองเก่าของชนเผ่านี้ และอาจสืบเชื้อสายจากชนเผ่านี้เสียจริง เอนลิลมีผมตรงสีดำสนิท ดั่งขนนกกาน้ำที่ข้าเคยเห็นชาวประมงในมาเคโดเนียใช้จับปลาเมื่อเริ่มออกเดินทางใหม่ๆ
ยามติดต่อกับผู้คนขณะสวมผ้าคลุมเช่นชาวทะเลทรายทั่วไป พวกเขามักเข้าใจว่าข้าเป็นชาวทะเลทราย เนื่องเพราะวิสัยของข้าคุ้นเคยกับธรรมเนียมของคนเหล่านั้นจากประสบการณ์รอนแรมเกือบห้าปี ทว่าเมื่อข้าปลดผ้าโพกผมและถอดผ้าคลุมออก พวกเขาก็มักจ้องมองอย่างประหลาดใจที่ผิวเกรียมแดดของข้าเป็นสีออกแดง และเส้นผมหยักศกเป็นสีน้ำตาลอ่อนผิดแปลกไป
ชาวเอลิเนสผู้ถือว่าตนเจริญกว่าชาติอื่น...ไยจึงออกมาร่อนเร่พเนจรท่ามกลางชนป่าเถื่อนเช่นพวกเรา นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาสงสัย และมักถามข้าอ้อมๆ โดยตัดคำว่า ‘เจริญกว่าชาติอื่น’ และ ‘ท่ามกลางชนป่าเถื่อนเช่นพวกเรา’ ออกไป กระนั้นคำถามทำนองนี้ก็มักนำความลำบากใจมาสู่ข้าไม่น้อย
กระนั้น ข้ากลับไม่อาจห้ามตนเองให้เอ่ยปาก...ในเมื่อชายตรงหน้าไม่มีท่าทีฉงนสงสัยแม้แต่น้อย
“ท่านพี่เอนลิล”
“หือ”
“ท่านไม่ถามหรือ...ว่าเหตุใดชาวเอลิเนสอย่างข้าจึงเดินทางมายังถิ่นทะเลทราย”
“ทุกคนล้วนมีเหตุผลของการกระทำของตน และมีเหตุผลที่จะบอกหรือไม่บอกใครทั้งนั้น”
ข้าหัวเราะรับเฝื่อนๆ
“จริงของท่าน”
ทว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้าต้องการบอกหรือไม่ แต่อยู่ที่...บางครั้งข้ายังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ข้ามีบ้านและครอบครัวรออยู่เบื้องหลัง...แม้นญาติที่ข้าเคารพรักที่สุดจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว ข้ามีสิ่งที่ควรเป็นในชีวิต...แม้นนั่นจะไม่ใช่สิ่งที่ข้ากำหนดเอง ที่เดโลสข้ามีความสุขสบายกาย...แต่ก็มิได้หมายความว่าไม่สุขสบายใจ ในเมื่อคำนึงด้วยเหตุผลว่าตนมีทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ ข้าจึงไม่เข้าใจหัวใจที่อยากออกเดินทางร่อนเร่ หมายจะเห็นสิ่งแปลกใหม่ให้มากที่สุด...แต่ขณะเดียวกันก็หมายจะพบเพียงสิ่งเดียวซึ่งเคยเห็นเพียงในความฝันเลือนราง
เอาเถิด ข้าพยายามห้ามตนเอง นี่ไม่ใช่เวลาที่ควรตั้งคำถามที่ไม่อาจพบคำตอบเหมือนทุกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อได้พบเพื่อนร่วมที่พักอันแปลกจากธรรมดาเช่นนี้
การวางตนและคำตอบของเอนลิลชวนให้ข้าคิดว่าเขาน่าจะได้ร่ำเรียนสูงกว่านักเดินทางทั่วไปที่ข้าเคยพบ หากแต่งกายภูมิฐานกว่านี้และถือม้วนตำราในมือ ข้าคงบอกตนเองอย่างไม่ลังเลว่าคนตรงหน้าเป็นบัณฑิตแน่แท้
“เชิญท่านพี่ตามสบาย” ข้าคลี่ถุงใส่เนื้อแห้งกับผลไม้ส่งให้เขาตามธรรมเนียม ‘เพื่อนร่วมที่พักยามยาก’
“ขอบใจ” เขาตอบสั้นๆ แล้วหยิบอาหารของข้ามาอย่างละนิดอย่างละหน่อย
ข้าเริ่มรับประทานมื้อเย็นเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยเมื่อผ่านไปอีกสักพัก
“ท่านทราบมหากาพย์กิลกาเมชหรือไม่”
เขาหัวเราะน้อยๆ
“ข้ามาจากเมืองที่เคยเป็นของชาวซัก-กิ-กา เหตุใดจะไม่รู้จัก”
“ขออภัย” ข้ายิ้มรับแห้งๆ “หากไม่รบกวนเกินไป ท่านจะกรุณาเล่าให้ข้าฟังได้ไหม”
“ท่าทางเจ้าน่าจะรู้จักมหากาพย์นี้อยู่แล้ว”
“ก็พอทราบบ้าง” ข้าออกตัว “แต่ข้าอยากฟังฉบับของผู้ที่มาจากเมืองของชาวสุ...เอ้อ...ชาวซัก-กิ-กาบ้าง”
“อ้อ” เอนลิลรับเบาๆ “ย่อมได้”
“ขอบคุณมากขอรับ” ข้าค้อมศีรษะ
“มิเป็นไร ในที่พักแรมยามค่ำ เรานักเดินทางย่อมหาเรื่องมาเล่าฆ่าเวลาให้สนุกสนานกันอยู่แล้วมิใช่หรือ”
ข้ากระวีกระวาดคว้าม้วนกระดาษปาปิรัส พู่กันกับขวดหมึกมาเตรียมไว้ เพื่อนร่วมที่พักของข้าปรายตามองพร้อมกับยิ้มน้อยๆ แต่ก็มิได้เอ่ยว่ากระไร
ข้าเองก็ไม่เร่งเร้า หมายรอให้เขารับประทานเสร็จ ทว่าเมื่อจรดพู่กันเขียนวันเดือนปี และกำลังจะเขียนสถานที่ที่ข้าพักอยู่ในคืนนี้ ความคิดแวบก็ทำให้อดถามไม่ได้
“ตอนนั้น...ท่านเรียกที่นี่ว่า ‘เมืองแห่งสายลม’ หรือ”
“ใช่”
“นี่คือชื่อจริงของเมืองนี้หรือ คือข้าทราบเพียงว่าที่นี่เป็นซากเมืองร้างติดโอเอซิส พวกชาวโนมาเดสกับพ่อค้าจึงใช้พักแรมเท่านั้นเอง”
อย่างน้อย พ่อเฒ่าผู้ชี้ทางให้ในแผนที่ของข้าแลกกับขนจิ้งจอกทะเลทรายก็บอกว่าจุดพักแรมนี้เป็นเพียง ‘ซากเมืองเก่า’ มิได้เอ่ยถึงชื่อเมืองเลยแม้แต่น้อย
“ก็ไม่เชิง ชื่อจริงๆ ของเมืองนี้ ตอนนี้คงมีแต่เทพเจ้าที่จำได้ คนเราลืมเลือนไปเสียนานแล้ว” เอนลิลตอบ “แต่ข้าพอใจจะเรียกที่นี่ว่า ‘เมืองแห่งสายลม’ เพราะคิดว่าเป็นชื่อที่เหมาะสมแล้วเท่านั้น”
“เพราะเหตุใด”
“ข้าคือสายลม” เขายกมือขึ้น ชี้ที่อกของตน แล้วจึงชี้มาทางข้า “เจ้าก็คือสายลม ข้างนอกนั้นล้วนมีเพียงสายลม พัดไปไร้หลักแหล่ง ไม่รู้จะมีวันย้อนคืนเส้นทางเดิมหรือไม่”
“อ้อ...” ข้าเข้าใจคำเปรียบเปรยของเขา “เช่นนี้เอง”
จากนั้นเขาจึงได้เล่ามหากาพย์แห่งชาวซัง กิ-กาให้ข้าฟังและจดบันทึก พลางแบ่งปันของขบเคี้ยวประดามีในหมู่เราสองคน
ข้าฟังไปจดไป เช่นเดียวกับหลายๆ คืนที่ได้ฟังเรื่องเล่าของนักเดินทางชนชาติอื่น ทั้งเรื่องจากอียิปต์ เปอร์เซีย ฟรายเกีย ไลเดีย ไปจนถึงดินแดนแห่งพุนท์อันผู้คนมีผิวคล้ำราวรัตติกาล เพื่อในวันหลังจะได้อ่านย้อนและหวนรำลึกอีกครั้ง
ข้ารู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว ทว่าดวงดาวเคลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งไปมากเหนือหลังคาบ้านที่หายไป บ่งบอกว่ากว่าเอนลิลจะขอพักกลางคัน...ก่อนกิลกาเมชเดินทางสู่ดิลมุนแดนแห่งเทพเจ้าเพื่อค้นหาความลับแห่งชีวิตอมตะ...ราตรีนั้นก็ผันไปเกือบค่อนคืน ข้าเขียนจนมือล้า ส่วนเขาเองคงเหนื่อยไม่น้อย พวกเราจึงดับไฟและรีบเข้านอนโดยเร็ว
เมื่อนั้นเอง ที่นิมิตอันคุ้นเคย...ทว่ายังแปลกประหลาดกว่าทุกครั้ง...มาเยือนข้าในเมืองแห่งสายลม
...ข้าเห็นหญิงคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน...แต่กลับคุ้นเคยคลับคล้าย...เหมือนเป็นคนรู้จักลึกซึ้งนัก...
* * * * *
เรื่องนี้เป็นโรแมนติกแฟนตาซีฉากทะเลทราย ผสมตำนานกรีกและเมโสโปเตเมียครับ เวลาในเรื่องจะประมาณ 400-300 ปีก่อนคริสตกาล แต่เกี่ยวข้องกับโลกของเทพและตำนานมากกว่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ หากชอบก็หวังว่าจะติดตาม และขอความกรุณากับคอมเมนต์ด้วยครับ m[_ _]m
สืบเนื่องจากคราวที่แล้ว คุณ Rhodes ผู้อ่านจากบอร์ดออลไฟนอลเสนอว่าน่าจะทำภาคผนวกอธิบายคำที่ใช้ในเรื่อง ดังนั้นจึงเริ่มแต่ตอนนี้ คำบางคำมีการเปลี่ยนเสียงอ่านเมื่อผมลองค้นเพิ่มเติมว่าเสียงในภาษาเดิม (ส่วนมากคือภาษากรีก) อ่านอย่างไร แต่แตกต่างจากภาษาอังกฤษไม่มากครับ
เรียงตามลำดับการปรากฏคำครับ
โนมาดา แก้ไขเป็น โนมาเดส (nomades พหูพจน์ในภาษากรีก) - พวกโนแมดหรือเผ่าเร่ร่อน
นิบรู/นิปปูร์ (Nibru/Nippur) - ชื่อเมืองโบราณที่เก่าที่สุดแห่งหนึ่งของสุเมเรีย ตอนนี้กลายเป็นแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่สำคัญ เมืองนี้บูชาเทพสำคัญองค์หนึ่งซึ่งผมขออุบไว้ก่อน แต่หากค้นใน wiki จะพบปริศนาสำคัญของเรื่องซ่อนอยู่ครับ :)
เดโลส (Delos) - ชื่อเกาะในกรีซ ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ตำนาน และโบราณคดีของกรีก เชื่อว่าเป็นที่ประสูติของเทพอพอลโลและเทพีอาร์เทมิส เป็นเกาะที่ไม่มีความสามารถในการผลิตอาหาร แต่คงอยู่มาได้ด้วยความสำคัญทางวัฒนธรรมดังที่ว่า และเป็นศูนย์กลางการค้าด้วย ในตอนต่อๆ ไปจะมีการพูดถึงธรรมเนียมของเกาะแห่งนี้ชัดเจนขึ้นครับ
เฮลเลเนส (Hellenes) แก้ไขเป็น เอลิเนส - ชื่อที่ชาวกรีกใช้เรียกชนชาติของตน โดยเรียกดินแดนกรีกว่า เฮลลัส หรือ เอลัส (Hellas) ชื่อประเทศกรีซอย่างเป็นทางการในปัจจุบันคือ สาธารณรัฐเฮลเลนิค (The Hellenic Republic)
ซัก-กิ-กา (Sag gi-ga) แก้ไขเป็น ซัง กิ-กา (g แรก ออกเสียงเป็น ง) - ชื่อที่ชาวสุเมเรียนเรียกพวกตน แต่เรียกดินแดนสุเมเรียว่า คิเอนเกียร์ (Ki'engir) ความหมายคือชนผู้มีศีรษะดำ ตามที่เอนลิลบอกในตอนแรก
มาซิโดเนีย (Macedonia) แก้ไขเป็น มาเคโดเนีย - อาณาจักรของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ในสมัยของอามอน พระองค์ยังไม่ประสูติ ชาวมาซีโดเนียใช้ภาษากรีก แต่ชาวเอเธนส์ยังไม่ใคร่ถือว่าเป็นพวกที่เจริญแล้วเหมือนตนเพราะยังใช้ระบบปกครองแบบโบราณ (เข้าใจว่าแบบกษัตริย์สืบทอดตามสายเลือด) ที่จริงชื่อมาซีโดเนียที่ยกขึ้นมาเป็นเพราะอ่านพบว่าชาวมาซีโดเนียมีการใช้นกกาน้ำจับปลา ซึ่งสอดคล้องกับเนื้อเรื่องตอนนี้ครับ
ฟรีเจีย (Phrygia) แก้เป็นฟรายเกีย - อาณาจักรฟรีเจียอยู่กลางที่ราบสูงอานาโตเลีย ค่อนไปทางตะวันตก ปัจจุบันคือตุรกี เล่ากันว่าเป็นชนเผ่าที่เคยเข้าร่วมสงครามกรุงทรอย โดยอยู่ฝ่ายทรอย ตำนานของชาวฟรีเจียนไม่เหลือตกทอดมาในปัจจุบัน เหลืออยู่แต่ตำนานที่กรีกเล่าถึง เช่น เรื่องของกษัตริย์ไมดาส (Midas) ซึ่งช่วงหนึ่งหยิบจับทุกสิ่งเป็นทอง และถูกสาปให้มีหูลา ในสมัยของอามอน ฟรีเจียถูกเปอร์เซียยึดครอง เสียความรุ่มรวยทางภูมิปัญญาและอิสรภาพ ชาวกรีกและโรมันในยุคต่อมามักติดภาพว่าชาวฟรีเจียไม่ฉลาดและเฉื่อยชา แต่ส่วนตัวผมคิดว่าอามอนน่าจะเห็นอะไรจากพวกเขามากกว่านั้น
ลิเดีย (Lydia) แก้เป็นไลเดีย - อาณาจักรลิเดีย/ไลเดียอยู่ทางตะวันตกของเอเชียไมเนอร์ หรือพื้นที่บางส่วนของตุรกีในปัจจุบัน ยามรุ่งเรืองสุดเคยครอบคลุมพื้นที่ตะวันตกของที่ราบสูงอานาโตเลียทั้งหมด ตำนานและวัฒนธรรมของชาวลิเดียนสาบสูญไปในปัจจุบัน เหลือแต่เรื่องที่ชาวกรีกเล่าถึงเช่นเดียวกับฟรีเจีย ที่เด่นๆ ได้แก่เรื่องของกษัตริย์แทนทาลัสซึ่งจะเล่าถึงในตัวนิยาย มีบันทึกว่าชาวลิเดียเป็นชนชาติแรกของตะวันตกที่ประดิษฐ์เหรียญกษาปณ์ใช้และตั้งร้านค้าถาวร
พันท์ (Punt) แก้เป็นพุนท์ - ดินแดนที่ชาวอียิปต์โบราณเล่าขานถึงในฐานะคู่ค้าที่ผลิตและส่งออกทอง ยางไม้หอม ไม้มะเกลือ งาช้าง ทาสและสัตว์ป่า ยังไม่พบที่ตั้งแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าอยู่ในอัฟริกาตะวันออกที่ไม่ใช่ทะเลทรายอาระเบีย เพราะสัตว์ป่าที่พูดถึงในพุนท์มีทั้งยีราฟ ลิงบาบูน ฮิปโป และเสือดาว
กิลกาเมช (Gilgamesh) - ชื่อวีรบุรุษในมหากาพย์แห่งกิลกาเมช เรื่องย่อมีว่ากษัตริย์แห่งอุรุค (Uruk) นามกิลกาเมชได้ต่อสู้กับคนเถื่อน เอนคิดู (Enkidu) และเป็นเพื่อนพี่น้องร่วมสาบานกัน ต่อมา เอนคิดูตาย กิลกาเมชจึงต้องการค้นหาชีวิตอมตะและเดินทางไปยังดินแดนเทพ แต่ไม่สำเร็จ
ดิลมุน (Dilmun) - ชื่อดินแดนเทพของสุเมเรีย
ความคิดเห็น