คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : -- ๓ – หญิงสาวผู้ปิดบังกับเด็กชายที่คล้ายกัน -"เด็กมีเขานี่เป็นอะไรกับน้องสาวรึ"
๓ – หญิงสาวผู้ปิดบัง กับเด็กชายที่คล้ายกัน
แอนเธียตกใจที่มีเด็กหญิงแต่งตัวดีเหมือนลูกคนรวยตรงเข้ามาชี้ตน ตะโกนเรียกเป็นปีศาจ แต่แล้วก็ตกใจมากกว่า เมื่อมองเลยเด็กหญิงนั้นไปเห็นใครอีกคนด้านหลังเธอ
...เด็กชายที่มีเขาข้างศีรษะ และนัยน์ตาซ้ายผิดแปลก...
“เผยโฉมออกมาเดี๋ยวนี้! นางปีศาจ!” เสียงของเด็กหญิงเรียกความสนใจเธออีกครั้ง “อย่าคิดจะหลอกฉันเลย! ฉันเห็นความมืด...แกมีความมืดอยู่ในตัว!”
“นี่หนู” ป้ารูธซึ่งขายขนมอยู่ที่แผงข้างหญิงสาวแทรกขึ้น “จู่ๆ ก็มาชี้ไม้ชี้มือ หาว่าคนอื่นเป็นปีศาจแบบนี้ไม่น่ารักเลย ขอโทษพี่สาวเขาเสียนะ”
เด็กหญิงผมทองกลับเชิดหน้าใส่หญิงวัยกลางคนเข้าชรา อย่างที่แอนเธียซึ่งพบเด็กมามากมาย ทั้งเรียบร้อย ขี้อาย ซุกซน เหลือขอ จัดอันดับได้ทันทีว่าเด็กคนนี้ก้าวเกินคำว่าหยิ่งไปเป็น ‘จองหอง’ เสียแล้ว
“ก็มันเป็นปีศาจจริงๆ นี่ คุณอย่ามายุ่งดีกว่า ถ้าไม่อยากเป็นคนนอกรีตไปด้วย”
“พี่แอนเธียไม่ใช่ปีศาจ” ป้ารูธยังพยายามพูดอย่างใจเย็น “ไม่ใช่คนนอกรีตด้วย เขาเป็นพวกคอนเวิร์ตก็จริง แต่ก็เป็นคนดี ป้าเห็นพี่แอนเธียมาแต่เด็ก เขาอยู่กับหลวงพ่อนิโคลัสที่โบสถ์ใกล้ๆ นี่เอง พอโตขึ้นมาก็ทำดอกไม้ขาย หนูยังไม่รู้จักเขา ทำไมถึงหาว่าเขาเป็นปีศาจ”
“ก็ฉันเห็น” เด็กหญิงแสดงออกชัดเจนว่ารำคาญ “คุณไม่รู้อะไรหรอก ฉันเป็นธิดาของพระมหาสังฆราชา องค์สุริยเทพประทานอำนาจให้ฉันมองเห็นความมืดในเมืองนี้ ฉันถึงได้มาตามล่าพวกมัน ปีศาจแห่งความมืดเป็นพวกชอบหลอกลวง หลบซ่อน ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นปีศาจที่แฝงกายอยู่ในหมู่พวกเรามานาน หลอกให้ตายใจก่อนลงมือ เหมือนในพระคัมภีร์ก็ได้”
แอนเธียตีสีหน้าเรียบเฉย เธอไม่รู้ว่าตนเองเป็นปีศาจหรือไม่ แต่ก็รู้ว่าเธอเคยเป็น...หรือที่จริงควรเรียกว่ายังคงเป็น...อย่างเดียวกับเด็กชายคนนั้น เด็กหญิงมีพลังรับรู้ตัวตนที่เธอซ่อนเร้นไว้ตามคำอ้างจริงๆ และหากเป็นธิดาของพระมหาสังฆราชา ก็ยิ่งเป็นอันตรายขึ้นอีก
“แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่มี ‘เขา’ นะครับ ท่านหญิง” ชายผมทองข้างหลังเด็กหญิงพูดขึ้น สายตาจับจ้องหญิงสาวอย่างพินิจพิจารณา และออกจะสนใจมากกว่านั้น “ปีศาจมันจะปลอมตัวแนบเนียน ขนาดหดเขาซ่อนได้เชียวหรือครับ”
‘ท่านหญิง’ สะบัดหน้าไปทางชายคนนั้น ซึ่งคงเป็นผู้ติดตามของเธอ
“ฉันไม่ได้เอานายมาออกความเห็น” เธอบอก “ทำหน้าที่ของครูเซเดอร์ก็พอ”
“แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็น ‘ลูกจ้าง’ ใครเหมือนเด็กนั่น หมายจับก็ไม่มี ท่านหญิงจะ ‘ซื้อตัว’ เธอยังไงดีครับ” ชายคนเดิมตั้งคำถาม
แอนเธียมองเด็กหญิงต่อปากต่อคำด้วยเสียงกรุ่นขึ้นทุกที กับชายหนุ่มซึ่งแย้งอย่างใจเย็น ขณะเดียวกัน เธอก็เร่งคิด หญิงสาวไม่เคยพบใครอื่นที่เป็นเหมือนตน แต่ก็รู้ว่ามีอยู่ คงเพราะ ‘เขา’ ของเด็กคนนี้ฟ้องชัด จึงถูกนำไปขายเป็นทาสแรงงานใต้ดิน (หรือที่เรียกอย่างสุภาพว่า ‘ลูกจ้าง’ ซึ่งมีสัญญาขายแรงงานไร้กำหนด) ท่านหญิงธิดาตระกูลลูเชียสน่าจะรู้ตัวตนของเด็กชายกับแอนเธียจริง และจับตัวเด็กชายได้ก่อนมาพบเธอ
เคราะห์ดีที่หญิงสาวไม่มีเขา ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นปีศาจ หากยืนกรานไม่ไปด้วย ก็ยังมีคนที่พร้อมจะช่วย ทั้งป้ารูธและหลวงพ่อนิโคลัส ...ทว่าเด็กคนนั้นเล่า ต่อให้เด็กหญิงลูเชียสไม่อาจหาเรื่องจับเธอโดยไร้เหตุผลที่ฟังขึ้นในสายตาผู้ใหญ่ เด็กชายก็มีความผิดแปลกในตัวชัดแจ้ง ซ้ำอยู่ในกำมือพวกโซลาริสเรียบร้อยแล้ว แกคงไม่พ้นถูกฆ่าในฐานะปีศาจแน่นอน
นั่นเป็นเรื่องที่แอนเธียไม่อาจปล่อยไปได้ เด็กชายเป็นพวกเดียวกับเธอ ยิ่งเห็นนัยน์ตาเคว้งคว้างที่จ้องตรงมาทางเธอ...กึ่งคาดหวัง กึ่งเศร้าใจ กึ่งผิดหวังอย่างประหลาด หญิงสาวจะนิ่งดูดายได้อย่างไร
ใช่...เธอยังช่วยแกได้ ต้องหาจังหวะที่เหมาะสม ใช้ ‘ความสามารถ’ ของตนโดยไม่ให้พวกเขารู้ตัว...
“ขอโทษนะคะ” หญิงสาวขัดขึ้นอย่างใจเย็น สีหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติ “คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่พวกคุณก็อยากให้ฉันพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้เป็นปีศาจจริงๆ ใช่ไหมคะ ฉันยินดีไปยืนยันความบริสุทธิ์ที่มหาวิหารค่ะ ถึงไม่ได้เกิดใต้ความคุ้มครองขององค์สุริยเทพ แต่ตอนนี้ ฉันก็เป็นสาวกผู้ศรัทธาในพระองค์นี่คะ”
เด็กหญิงเพ่งมองเธอเงียบอยู่ คิ้วขมวด ริมฝีปากเม้มแน่นเหมือนไม่ไว้ใจ ครั้นแล้วก็สะบัดหน้ากลับ
“จะพูดอะไรก็พูดไป แต่แกหลอกฉัน ท่านพ่อ กับท่านพี่ไม่ได้หรอก นางปีศาจ!”
ครูเซเดอร์นอกเครื่องแบบทั้งสอง กับหญิงผู้ติดตามของเด็กหญิงชุดขาวมีสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่หญิงสาวก็เพียงหันไปขอให้ป้ารูธช่วยดูแลร้าน พร้อมกำชับว่าจะรีบกลับหลังเสร็จธุระ
เด็กหญิงร้องสั่งให้สวมกุญแจมือแอนเธีย แต่ชายทั้งสองล้วนไม่มีกุญแจมือ และปฏิเสธจะคุมตัวเพศตรงข้ามในทีแรก กระนั้น คุณหนูลูเชียสยังยืนกรานจนชายผมทองซึ่งไม่ได้คุมตัวเด็กชายมีเขาเอ่ยขอโทษ เบาๆ แล้วก็จับข้อมือข้างหนึ่งของหญิงสาวไว้หลวมๆ
แต่ทั้งหกเพิ่งเดินไปไม่ถึงหัวมุมถนน ก็พลันเกิดเสียงดังกึกก้อง
ราวปืนกระหน่ำยิงกราว ฟังดูทั้งไกลและใกล้ในขณะเดียวกัน
พวกเขาและคนมากมายบนท้องถนนยืนตัวชา แข็งทื่อมึนงงไปครู่หนึ่ง ครั้นแล้วจึงมีเสียงเช่นเดียวกันอีกคำรบ แต่คนละทิศทาง ใกล้กว่า...จนรู้สึกได้ว่าพื้นถนนปูนสั่นไหวตามเสียงนั้น เสียงกรีดร้องดังไล่มาแว่วๆ
เสียงปืน...หรือระเบิด แอนเธียเดา ก่อนได้ยินคำร้องยืนยันในไม่ช้า พร้อมความอลหม่านที่เริ่มแผ่กระจาย ราวกับควันพวยพุ่งเป็นสายสู่ฟ้าคลุ้มฝุ่นทั้งสองด้าน ตัดกับแสงโคมไฟสว่างในวันเทศกาล
“ระเบิด! มีระเบิด!”
“วางระเบิด! พวกมันวางระเบิดไว้ไหนบ้างก็ไม่รู้!”
“ผู้ก่อการร้าย...พวกอัสลาน! พวกมันแน่ๆ!”
“ไม่นะ---!!” เสียงที่หญิงสาวได้ยินใกล้สุดคือเสียงของเด็กหญิงชุดขาว ก่อนที่เธอจะวิ่งลิ่วหายไปในกลุ่มฝูงชนซึ่งหนีสวนมาจากมหาวิหาร พี่เลี้ยงของเด็กหญิงกรีดร้อง ครูเซเดอร์นอกเครื่องแบบที่กุมข้อมือแอนเธียสบถคำหนึ่ง ก่อนจะคลายมือแล้วออกวิ่ง ทิ้งหญิงสาวไว้อย่างไม่สนใจอีก
เพื่อนร่วมงานของเขาปล่อยเด็กชายมีเขา และตามไปแทบทันทีเช่นกัน
แอนเธียจึงรีบคว้าแขนเด็กชาย ฉุดให้วิ่งตามเธอไปในทางตรงข้ามกับคนพวกนั้น ไหลตามกระแสฝูงชน ไม่มีเวลาพูด ไม่มีเวลาอธิบาย ความคิดเดียวของหญิงสาวคือต้องพาอีกฝ่ายไปที่โบสถ์ของหลวงพ่อนิโคลัสซึ่งอยู่ไม่ไกล หลวงพ่อย่อมรู้วิธีปกป้องแก ที่นั่นแกจะปลอดภัย...ทั้งจากระเบิดและพวกโซลาริสที่คิดว่าแกเป็นเด็กปีศาจ
นั่นคือความคิดของหญิงสาว ก่อนพบโบสถ์ซึ่งเคยอุปการะตน...ในรูปลักษณ์อันน่าพรั่นพรึงไม่เคยนึกฝัน เปลวไฟลามเลียขึ้นไปถึงตราสัญลักษณ์แห่งองค์สุริยเทพ บนยอดหลังคาอันสูงที่สุด
เธอยืนตะลึงงัน ตัวชาวาบ พวกเด็กวัยรุ่นกับนักบวชรุ่นหนุ่มช่วยกันวิ่งพลางอุ้มหรือจูงเด็กเล็กกว่า ออกมาจากเรือนพักที่อยู่ติดโบสถ์ แต่หลวงพ่ออยู่ที่ใด แอนเธียไม่เห็น...ไม่เห็นเลย
ต้องหา...เธอต้องหาหลวงพ่อให้เจอ ทันทีที่รวบรวมสติเพียงพอ หญิงสาวก้าวไปข้างหน้า...แต่แล้วก็รู้สึกถึงแรงฉุดที่แขนกับเสียงร้องเบาๆ
เด็กชายมีเขาไม่ทันตั้งหลัก เขาล้มลง เธอคุกเข่า เพิ่งถามอย่างตระหนักได้
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ยืนไหวไหม”
“ม...ไม่เป็นไรฮะ” เด็กชายตอบ “ผมแค่เดินไม่ถนัด แต่ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ เดินได้ฮะ ให้วิ่งก็ได้”
“จ๊ะเอ๋” เสียงของชายอีกคนดังเหนือร่างทั้งสอง
แอนเธียเงยหน้าขึ้นอย่างตระหนก เห็นชายคนหนึ่งค้อมตัวอยู่หลังเด็กชายมีเขา แจ็คเก็ตสีแดงเพลิงที่เขาสวมแทบกลืนไปกับเปลวไฟรอบด้าน
ใบหน้าเสี้ยมแหลมนั้นคุ้นเคยเกินพอ ทว่าสิ่งที่ทำให้หญิงสาวตกใจที่สุด กลับเป็นเขาสองข้างบนศีรษะที่ตัดผมสั้นเกรียน ซึ่งฮู้ดสีแดงเคยปกคลุมไว้ต่างหาก
“บอกหน่อยซิ เด็กมีเขานี่เป็นอะไรกับน้องสาวรึ”
แอนเธียได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายตะลึงงัน จนกระทั่งเด็กชายเป็นผู้ตอบก่อน
“เราไม่รู้จักกันฮะ! เพิ่งเจอกันวันนี้! ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย! จะทำอะไรก็ทำผมคนเดียว! เขาไม่เกี่ยว!”
“อ้อ” ชายคนนั้นพยักหน้ารับ “งั้นก็ดี”
ครั้นแล้ว เขาก็คว้าคอเสื้อของเด็กชาย เหวี่ยงร่างผอมขึ้นพาดบ่าง่ายดาย ราวกับห่อของที่ไร้ความหนัก
“น้องสาวจะได้ไม่ว่าอะไร...ถ้าฉันจะขอตัวเด็กนี่ไป”
ลำคอของหญิงสาวแห้งผาก สมองมึนชาไม่ทันตั้งคำถาม เธอเพิ่งผุดลุกได้เมื่อเห็นชายมีเขานั้นกลับหลังหันวิ่งไปอีกทาง...ตามตรอกซอกซอยริมด้านหนึ่งของโบสถ์
แอนเธียวิ่งตาม แต่แล้วก็ผงะเมื่อได้ยินเสียงคล้ายปืนดังขึ้นอีก พื้นสั่นสะเทือน ความร้อนวาบปะทะร่าง ถุงขยะซึ่งวางพิงข้างทางในตรอกล้มกระจัดกระจาย ไฟลุกท่วมราวกับถูกระเบิดลูกย่อมๆ
อีกฟากของตรอกหลังกองขยะไหม้ไฟนั้นไม่มีใครเลย ไม่ว่าชายสวมแจ็คเก็ตแดงหรือเด็กชายมีเขา ทั้งคู่อันตรธานไปราวกับปีศาจล่องหน ท่ามกลางความอลหม่านของเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังมอดไหม้
* * * * *
ความคิดเห็น