ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Artifact Destroyer - มือลับขจัดสมบัติอันตราย

    ลำดับตอนที่ #1 : [พิเศษ] The Way of the Soul -1- ก่อปราสาททราย “ผมเพิ่งเคยเห็นท่านในรูปลักษณ์นี้"

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 60


    1 - ก่อปราสาททราย


    ชั่วขณะที่ร่างกำลังจะร่วงสู่กองเพลิง ปโตเลเมียส อเดลฟอส รู้ดีว่า ‘เวลา’ ที่เขาได้คืนกลับมาโดยไม่คาดฝันกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

    ทว่าเขาไม่เสียใจ อาจจะกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ทำใจไว้แล้วว่าสิ่งใดจะเกิดก็ต้องเกิด และขณะเดียวกัน อดีตฟาโรห์ก็เชื่อใจว่าสหายของตนย่อมรับมือต่อไปได้

    ครั้งนี้ยังดี ยังได้ใช้เวลาร่วมกันกับมิตรสหายและได้เตรียมตัวเตรียมใจกว่าเมื่อครั้งสิ้นลมหลายพันปีก่อนนัก

    ธาตุเบาของเขาถูกแขนยาวสีดำของยมทูตรั้งไว้ก่อนซากร่างแห้งกรังจะถูกแผดเผาให้เจ็บปวดเสียอีก และอดีตฟาโรห์ก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่ตนเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่นั่นเอง

    ความพยายามของเชตันถูกขัดขวาง อองรีผู้เป็นร่างทรงถูกสังหาร ปโตเลเมียสได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความผิดหวังและไม่อยากยอมรับของวิญญาณโซดิแอ็กผู้ทรยศก่อนที่ยมทูตจะจองจำดวงแสงเล็กๆ ที่คงเป็นวิญญาณของอีกฝ่ายไว้ในตะเกียงดวงเล็ก

    ส่วนตัวเขาเองได้รับ ‘เวลา’ ให้พูดคุยกับคาร์เตอร์อีกเล็กน้อย ก่อนที่จะมุ่งไปตามหนทางของวิญญาณตามที่ควรเป็น

    พวกยมทูตพาเขามายังสถานที่ที่ดูคุ้นตา ดูคล้ายสถานีรถไฟ ทว่าแทนที่จะมีรางรถไฟยกสูงบนพื้นกลับแล่นปริ่มน้ำ พอเขาถามถึงเรือข้ามแม่น้ำปรภพ พวกยมทูตก็อธิบายอย่างยาวว่าไม่คุ้มทุนและจุวิญญาณได้ไม่มาก จึงได้สร้างเป็นรางรถไฟความเร็วสูงข้ามแม่น้ำแทน จุดผ่านเข้าปรภพหลายแห่งก็เริ่มใช้รถไฟเช่นนี้กันแล้ว

    ยมทูตที่มีตะเกียงใส่ดวงวิญญาณของอองรีแยกตัวออกไปและเดินไปทาง ‘ขบวนคุ้มกันพิเศษ’ ขณะที่ปโตเลเมียสถูกบอกให้รอ ‘ผู้นำทาง’ ของตน จนอีกครู่หนึ่ง เขาจึงได้เห็นร่างที่สวมชุดแปลกตาอย่างชาวนิฮงเดินเข้ามาค้อมคำนับให้ตน

    “ท่านริวเซย์!” อดีตฟาโรห์เรียกอย่างยินดี ด้วยภาษาที่วิญญาณล้วนสื่อสารกันได้เข้าใจทั้งสิ้น “ท่านเองรึที่เป็นผู้นำทางของข้า”

    “ครับ ผมขอรับหน้าที่นี้เป็นพิเศษ” อาเบะ ริวเซย์ องเมียวจิผู้ล่วงลับค้อมกายน้อยๆ ให้อีกฝ่ายอีกครั้ง “เพราะผมเองก็อยากพบท่านอีกครั้ง”

    “...คิดว่า...ท่านถือกำเนิดใหม่ไปแล้วเสียอีก” ปโตเลเมียสเปรยขณะเดินตามอีกฝ่ายไปยังขบวนรถไฟที่ดูเงียบสงบ ไม่มีวิญญาณรอขึ้นอย่างแออัดเหมือนชานชาลาอื่นๆ

    “คงอีกพักใหญ่ครับ ผมมีกำหนดช่วยงานทางนี้ก่อน” ริวเซย์บอกพลางผายมือให้อดีตฟาโรห์เดินนำไปยังประตูตู้รถไฟที่เปิดว่าง

    “ช่วยงานอันใดกันรึ”

    “เป็นยมทูตหรือผู้นำทางให้ดวงวิญญาณน่ะครับ”

    ปโตเลเมียสมองดวงวิญญาณตรงหน้าอย่างสงสัย “ทว่าท่านมิต้องแต่งเสื้อคลุมสีดำแลหน้ากากอย่างคนอื่นๆ รึ”

    “ผมปรากฏกายอย่างนี้...เพราะผมอยากให้ท่านเห็นผมที่เป็นเช่นนี้ ท่านเองหากอยากให้ผมเห็นในรูปลักษณ์อื่นก็ทำได้เช่นกัน แต่รูปลักษณ์ที่เคยเป็นจะกำหนดจิตให้ปรากฏได้ง่ายที่สุด”

    “เช่นนั้นฤา…” อดีตฟาโรห์รับแล้วจึงลองทำตาม ให้ร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นเด็กหนุ่มเช่นเดียวกับยามที่ตนเคยมีชีวิตอยู่ ในชุดผ้าป่านอย่างที่เคยสวมใส่ในกาลก่อน

    ริวเซย์ยิ้มน้อยๆ รับการเปลี่ยนแปลงนั้น “ผมเพิ่งเคยเห็นท่านในรูปลักษณ์นี้”

    “ข้าก็ไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์นี้มานานนับพันปีแล้วกระมัง” ปโตเลเมียสก้มลงมองตนเองด้วยสายตาเรียบๆ “แลต่อไป ก็คงจะมิได้อยู่ในรูปลักษณ์นี้อีกเช่นกัน”

    วิญญาณองเมียวจิพยักหน้ารับ “ท่าน...เข้าใจเรื่องนี้ดี และยังดูนิ่งสงบกว่าครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน”

    “เช่นนั้นฤา คงเพราะผ่านชีวิตมามากขึ้นแม้เพียงนิดกระมัง” อดีตฟาโรห์นั่งลงบนที่นั่งซึ่งอีกฝ่ายผายมือบอกเขา และมองออกนอกหน้าต่างไปยังลำน้ำซึ่งตนเคยเดินทางเลียบและแวะลงไป “ข้ารู้สึกเหมือนเคยเห็น...อะนิเมะของแม่หญิงมีน่าซึ่งมีรถไฟบนแม่น้ำเช่นนี้”

    ริวเซย์หัวเราะเบาๆ “รถไฟความเร็วสูงข้ามแม่น้ำซันโทของโยโมตสึอาจจะได้แรงบันดาลใจมากระมังครับ...แต่ก็ดีใช่ไหมครับ...ที่มีบางสิ่งที่คุ้นเคยให้เห็น”

    “นั่นสิ” ปโตเลเมียสรับราบเรียบ “ทว่า...ข้าคงไม่ได้พบพระบิดา พระเชษฐาและพระพี่นางของข้ากระมัง พวกเขาคงไปเกิดเป็นชีวิตใหม่เนิ่นนานแล้ว”

    ผู้นำทางที่นั่งตรงข้ามกับเขาเอียงคอน้อยๆ เหมือนสงสัย “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะครับ”

    “...ก็ข้า…” อดีตฟาโรห์ขมวดคิ้วเมื่อฉุกคิดขึ้นมา “อาจจะได้พบพวกเขาแล้วฤา”

    เขาเองก็ตายไปเป็นพันๆ ปีก่อนวิญญาณถูกเรียกคืนมายังร่างมัมมี่ ช่วงเวลานั้นก็อาจจะได้เกิดเป็นคนอื่นหรือได้พบกับวิญญาณดวงอื่นๆ ที่รู้จักผูกพัน กระทั่งวิญญาณของพ่อมดเมิร์ดดินยังบอกว่าเขาคือกษัตริย์อาเธอเรียสที่กลับมานำรัตนาแห่งราชันคืนเลยด้วยซ้ำ

    “ผมไม่สามารถบอกได้ครับ แต่หัวใจของท่านคงจะบอกท่านได้” ริวเซย์ตอบด้วยรอยยิ้ม

    “นั่นสินะ” ปโตเลเมียสรับคำ “ข้าเคยพบพวกเขาแล้ว และต่อไปก็ย่อมจะได้พบอีก…”

    อาจเป็นท่านคาร์เตอร์ แม่หญิงมีน่ากับแม่หญิงทีน่า ท่านแอ็กเซล ท่านโอซิแมนเดียส หรือคนอื่นๆ ที่เขารู้จัก แม้เวลานี้อดีตฟาโรห์จะไม่รู้ เพียงแค่อุ่นใจที่ได้กลับมาพบกันและรู้ว่าจะได้กลับมาพบกันอีกในกำเนิดครั้งหน้าก็เพียงพอแล้ว…

    “ท่านเองก็คงรอเวลาที่จะได้พบกับแม่หญิงมิโคโตะและท่านโซเมย์เช่นกันสินะ” ปโตเลเมียสเอ่ยแผ่วเบา

    ริวเซย์พยักหน้าช้าๆ ขณะที่รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวไปจากสถานี “ครับ ผมมีที่ไปตามเวลาของผมแล้ว ท่านเองก็เช่นกัน ที่นั่นเราคงได้พบกันอีก แม้จะไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะจดจำหรือพูดคุยกันได้อย่างนี้ แต่ผมขอรับหน้าที่มาเพราะต้องการพูดคุยกับท่านก่อน”

    “ด้วยเรื่องอันใดกันรึ” ปโตเลเมียสเลิกคิ้วอย่างสงสัย

    “สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” น้ำเสียงของผู้ทรงเวทจากนิฮงเคร่งเครียดขึ้น “การต่อสู้ที่ผ่านมาทำให้สมดุลระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณเสียไป แม้อับดัลเชตันจะพ่ายแพ้ เชตันก็จะไม่หยุดเพียงนี้ พวกโซดิแอ็กมีสิ่งที่ต้องจัดการมากมายในภายหน้า”

    อดีตฟาโรห์พยักหน้ารับและพยายามทำใจให้สงบ แม้จะรู้สึกได้ถึงความกังวลที่ก่อตัวขึ้นในใจ

    เขายังวางเรื่องของมิตรสหายไม่ลงจริงๆ นั่นละ

    “ยังมีสิ่งใดที่ข้าทำได้บ้างไหม”

    ริวเซย์ยิ้มบาง “คงต้องถามว่า...ยังมีสิ่งใดที่ ‘เรา’ ช่วยกันทำได้น่ะครับ”

    “ ‘เรา’ อย่างนั้นหรือ…” ปโตเลเมียสพึมพำตามอย่างสงสัย

    “เราสองคนยังมีบทบาทในอนาคตนะครับ” ผู้ทรงเวทจากนิฮงเอ่ยเรียบเฉย “เท่าที่ผมทราบมา...แต่หากไม่ใช่เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการคงอยู่ของโลกวิญญาณ เบื้องบนคงไม่ยอมให้ผมทราบ อีกทั้งไม่ยอมให้ผมมารับตัวท่านเช่นนี้แน่”

    อดีตฟาโรห์นิ่งเงียบไปนาน “ฟังดูซับซ้อนนัก…”

    ชายอีกคนหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะพยักพเยิดไปนอกหน้าต่าง

    “พักผ่อนก่อนเถอะครับ คิดเสียว่าท่านทำงานเสร็จแล้วมาเที่ยวพักตากอากาศก็ได้ โลกหลังความตายของนิฮงยินดีต้อนรับครับ”

    “อืม…” ปโตเลเมียสรับในคอก่อนจะหันออกไปมองแม่น้ำซึ่งไหลเรี่ยไปกับทางรถไฟ ที่มุมหนึ่งมีร่างวิญญาณเด็กๆ กำลังก่อปราสาททรายภายในรั้วกั้น

    แม้จะบอกว่ารั้วมีไว้ป้องกันพวกอสูรยักษ์เข้ามาทำร้ายวิญญาณของพวกเด็กๆ มันก็ยังคงดูเหมือนที่คุมขังสำหรับผู้ที่อยู่ภายในเช่นกัน

    “เราไม่มีวันได้อะไรมาโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนกับสิ่งอื่นหรอกครับ” ริวเซย์เอ่ยแผ่วเบาราวกับล่วงรู้ความคิดของเขา “เพื่อให้คาร์เตอร์ซังป้องกันไม่ให้เชตันฟื้นคืนมา ท่านเองก็สละชีวิตของตนไม่ใช่หรือ”

    “นั่นสินะ…” อดีตฟาโรห์ยิ้มเหนื่อยอ่อน “แต่สิ่งที่ข้าทำ...ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะร่างกายนี้ไม่มีผัสสะใดให้อาลัยนัก หากยังเป็นมนุษย์ธรรมดามีเลือดเนื้อ มิใช่อสุภะแห้ง ก็คงจะไม่ง่ายดายเช่นนี้”

    เขายินดีรับหน้าที่เสี่ยงทั้งหลายทั้งปวงแทนเพื่อนพ้องคนอื่นตลอดมาเพราะทุกคนมีเลือดเนื้อ ทั้งคาร์เตอร์ แม่หญิงทีน่าและแม่หญิงมีน่า ทว่าตนไม่ใช่ ลึกๆ ในใจ ปโตเลเมียสรู้สึกว่าเขาไม่ควรจะมีตัวตนอยู่ที่ตรงนั้น...แม้ชีวิตและช่วงเวลาของเขาจะเคยถูกพี่สาวของตนช่วงชิงไปโดยไม่สมควรก็ตาม

    ผู้ทรงเวทจากนิฮงพยักหน้าเหมือนจะบอกว่าตนเข้าใจ สำหรับวิญญาณที่ถูกปู่ของตนจองจำด้วยหน้ากากให้ทำการต่างๆ ที่ทำร้ายผู้คนไปมากมายและยินดีจากโลกมนุษย์ไปโดยไม่อาลัยนักก็คงเคยรู้สึกไม่ต่างกัน

    “ผมเองก็กลัวครับ...ช่วงเวลาต่อไปที่เราไม่มีความทรงจำถึงสิ่งที่ผ่านมา คงจะกลับไปกลัวความเจ็บปวดและความตายอีกครั้ง”

    “...แต่...ก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด” ปโตเลเมียสพึมพำ “เด็กน้อยในที่ปิดขังก็ยังก่อปราสาททรายเรื่อยไปหรือมิใช่”

    ริวเซย์ทำเสียงรับในคอและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ขณะที่รถไฟยังคงแล่นต่อไปตามรางปริ่มน้ำ ข้ามผ่านแม่น้ำแบ่งภพคนเป็นและคนตาย

    ...

    “ฝ่าบาทอเดลฟอส!” เสียงที่คุ้นหูอย่างประหลาดแม้จะไม่ได้ยินมานานรอต้อนรับอดีตฟาโรห์ที่ลงมาจากรถไฟ ณ สถานีอีกฟากหนึ่ง พร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันสองคนที่วิ่งเข้ามาหาเขา ทั้งสองสวมชุดผ้าลินินโบราณและมีผิวคล้ำผมดำคุ้นตา

    “เคปรี! คเนมู! ไยพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้…” เขาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ด้วยจำได้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคือมหาดเล็กของพระเชษฐาของเขาเอง

    เคปรีซึ่งเป็นพี่ชายมองคเนมูคนน้องเหมือนจะถามกันอย่างเงียบๆ ว่าผู้ใดควรตอบคำถามนั้น แล้วเด็กหนุ่มที่อายุมากกว่าจึงได้เอ่ยช้าๆ “พวกกระหม่อมได้รับคัดเลือกให้ติดตามฝ่าบาทไอโอลอสไปนี่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคือม้าทรงของพระองค์ ส่วนคเนมูคืออินปูตัวนั้น…”

    “...อา…” ปโตเลเมียส อเดลฟอสนิ่งงันไปขณะมองทั้งสองด้วยสายตารู้สึกผิด

    อดีตฟาโรห์ใช่จะไม่เคยได้ยินเรื่องการสังเวยข้าราชบริพารตามรับใช้กษัตริย์ในโลกหน้า แม้ในเวลานั้นจะยังไม่ได้ผูกเรื่องนี้กับภูตอารักษ์ที่ตนเพิ่งรู้ แต่เมื่อพระบิดาและพระเชษฐาสิ้นไปเขายังเด็กเกินกว่าจะคิดถึงความอยุติธรรมนั้น เมื่อสองพี่น้องหายไปเช่นเดียวกับข้าราชบริพารใกล้ชิดจำนวนหนึ่ง...

    “แต่ด้วยเหตุนี้เราจึงได้มารับใช้พระองค์อีก” เคปรีเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เป็นเกียรติสูงสุดของเราแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

    “ทีแรกพวกกระหม่อมยังตกใจว่า ฝ่าบาทไอโอลอสทรงบันดาลโทสะง่ายดายขึ้นกว่าเดิมมากนัก” คเนมูพูดขึ้นบ้าง “ตอนหลังจึงได้พบว่าเป็นวิญญาณคนอื่น แต่ท่านคาร์เตอร์และแม่หญิงทั้งสองก็เป็นสหายที่ดีของพระองค์จริงๆ”

    ปโตเลเมียสพยักหน้ารับอย่างไม่คัดค้าน

    “ทว่า...ที่พังไปมีเพียงรูปสลักอินปูมิใช่หรือ คเนมูจึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วเคปรีมาได้อย่างไรกัน” เขาถามอย่างสงสัย

    “เหล่าผู้ยืนอยู่ในสุริยวิถีเห็นว่าควรปลดปล่อยภูตอารักษ์ พวกกระหม่อมจึงได้มาอยู่ที่นี่เพื่อรอรับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

    อดีตฟาโรห์เลิกคิ้ว "เช่นนั้นฤา..."

    "นอกจากพวกกระหม่อมแล้ว ภูตอารักษ์อื่นๆ ก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ" เคปรีเสริม "เพลานี้โลกวิญญาณจึงได้คับคั่งขึ้นมากทีเดียว"

    ดีแล้วที่พวกเขาได้เป็นอิสระ...ปโตเลเมียสคิดเช่นนั้น แต่ขณะเดียวกันเขากลับสังหรณ์ว่าจะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นจากเหตุการณ์นี้หรือไม่

    “ทุกท่านรีบเดินทางกันต่อเถอะครับ เรายังต้องไปพบท่านเอ็มมะไดโออีก” ริวเซย์พูดขึ้นมาก่อนจะหันมาสบตากับอดีตฟาโรห์ “แต่ก่อนหน้านั้น ท่านจะได้พักผ่อนกับอนเซ็นและอาหารชุดไคเซกิแสนพิเศษของเรียวคังอันดับหนึ่งแห่งโยโมตสึแน่นอนครับ”

    “อา...ที่จริงไม่ต้องขนาดนี้…” ปโตเลเมียสพยายามพูด แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าร่างวิญญาณของตนเหนื่อยล้าและน้ำลายสอขึ้นมาอย่างประหลาด

    ว่าไป ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในร่างมัมมี่ เขาก็ได้แต่มองมิตรสหายรับประทานอาหารต่างๆ นานาโดยที่ตนเองไม่อาจดื่มได้กระทั่งน้ำสักหยดเลยไม่ใช่หรือ

    “นั่นไงครับ ท่านเป็นคนของโลกนี้แล้วจึงกินอาหารของโลกนี้ได้” ผู้ทรงเวทของนิฮงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนเถอะครับ นี่คือรางวัลที่ท่านร่วมรบมา”

    “เช่นนั้นข้าก็ขอรับน้ำใจ แต่ทว่า…” อดีตฟาโรห์นิ่งนึก

    “มีอะไรหรือครับ”

    “ข้า...ไม่ขอรับข้าวหน้าหน่อไม้หรือเหล้าองุ่นของหญิงชราเหล่านั้นได้หรือไม่” เขาหมายถึงพวกชิโคโจ วิญญาณหญิงแก่ที่เปิดโรงพักแรมดักพวกมิตรสหายของตนเมื่อครั้งลงมานำดาบประหารเทพ และเกือบใช้ข้าวอบหน่อไม้มาล่อลวงคนอื่นๆ ได้สำเร็จ

    เวลานั้นปโตเลเมียสไม่ได้อยู่ในกลุ่มกับพวกคาร์เตอร์ด้วย จึงไม่ได้ปะทะกับพวกนางโดยตรง แต่แม่หญิงมีน่าเล่าให้เขาฟังอย่างออกรสทีเดียวว่าข้าวอบหน่อไม้ของพวกนางน่ากลัวอย่างไรบ้าง

    ริวเซย์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

    “พวกนาง...ไม่ได้อยู่ที่ทาเคะยาบุอนเซ็นกับชาโตเดอชิโคโจแล้วครับ อย่าห่วงไปเลย”

    อดีตฟาโรห์จับได้ว่าท้ายเสียงขององเมียวจิดูจะกังวลอย่างประหลาด แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่ทักขึ้นมาและให้อีกฝ่ายนำทางต่อไป

    ...


     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×