หน้าที่ 1
 
ใครแต่ง : Cidius
20 มิ.ย. 64
80 %
138 Votes  
#1 REVIEW
 
เห็นด้วย
31
จาก 32 คน 
 
 
เรื่องลับ ๆ ในเวทยาลัย กับการผจญภัยของไอหนุ่มหน้า (มืด) มน

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 10 มี.ค. 54
สังคมในรั้วสถานศึกษาก็คือโลกจำลองของสังคมภายนอก ที่ซึ่งคนมากมายจากหลากหลายแห่งหนได้มารวมตัว
และชั่วยามในสถานที่นี้ สำหรับหลาย ๆ คน ก็นับเป็นช่วงวัยที่สนุกสนานที่สุดในชีวิต
จึงไม่แปลกที่มันจะฮิตถล่มทลายในขณะยุคหนึ่งของวงการนิยาย
แต่ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เมื่อมีมากเข้าก็ย่อมจะถูกเหมาว่ามันเกร่อ ยุคถัดมา แนวโรงเรียนถูกโจมตีว่าเฝือ บรรดาคนอ่านแค่เห็นว่าเป็นแนวนี้ก็ร้องยี้ตั้งแต่ยังไม่ทันยล
โดยส่วนตัวแล้ว ผมยังชอบแนวนี้ (อาจเพราะวัยที่ยังอ่อนเยาว์ แง้ว =w=) และเชื่อว่าผู้อ่านอีกหลาย ๆ ท่านก็ยังชอบอยู่
ซึ่งอันที่จริงแล้ว จะแนวตลาดหรือแนวเตลิดคงไม่ใช่ประเด็น จุดสำคัญคือความสนุก ขอแค่มีองค์ประกอบที่น่าสนใจ และใส่เอกลักษณ์ของตัวเองได้เป็นพอ
...สำหรับผม เรื่องนี้มีองค์ประกอบที่ว่า และใส่เอกลักษณ์ดังที่กล่าวมา
ส่วนใหญ่แล้ว เวทมนตร์มักถูกพูดถึงในด้านการต่อสู้และความลึกลับมหัศจรรย์ แต่เรื่องนี้เปลี่ยนมันให้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน จับต้องได้ ใกล้ตัว และเข้าถึงง่ายขึ้น จำแนกประยุกต์คุณสมบัติของแต่ละธาตุเวทมนตร์ได้แปลกตา ผสมผสานกับความเป็นวิทยาศาสตร์และนำมาสอดแทรกเป็นมุกเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้น่าดูชม

แม้ดูภายนอกจะตัวถึกบึกบึนแรงช้างสาร แต่แท้ที่จริงแล้วเอค แอมเบอร์วูดกลับมีความฝันอย่างเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง...ปรารถนาจะเป็นพ่อมด ออกท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง
และแล้ว ในวันที่หมู่บ้านฝนแล้ง โอกาสของเขาก็มาถึง เมื่อจอมเวทแวะมาเยี่ยมเยือน
(เพราะได้น้องสาวแสนดีที่ผลักดันกึ่งขู่เข็ญให้) เอคไปเข้ารับการทดสอบ ผลคือเขามีคุณสมบัติในการควบคุม 'มานา' และได้รับการเชื้อเชิญให้ไปเล่าเรียนวิชาที่เวทยาลัยแห่งอาร์คาเดีย
ชายหนุ่มบ้านนาอำลาครอบครัว และก้าวออกจากบ้าน งก ๆ เงิ่น ๆ สู่เมืองที่เคยได้ยินแต่ชื่อ เพื่อศึกษาศาสตร์มนตร์ เจอะเจอผู้คน และค้นพบเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่เคยล่วงรู้
แต่ดูเหมือนกระทั่งเรื่องที่รู้ ก็ยังมีอะไร ๆ ที่เอคเข้าใจผิดไปไกล...ทั้งโลกของเวทมนตร์ที่เคยนึกไว้ และความสามารถที่ตนมีอยู่ในตัว

เมื่อไปถึงจุดหมาย เอคพบว่าอาร์คาเดียธรรมดากว่าที่คาดไว้มาก ไม่มีสัตว์พิสดารตื่นตา ไม่มีวัตถุแปลกประหลาดฉวัดเฉวียนไปมา ไร้ซึ่งแสงสีเฮ้ากวงใด ๆ
และคุณสมบัติพลังของเขานั้น ก็ดั๊นนนน...เป็นลักษณะของตัวร้ายในตำนานโดยแท้

เอคแทบไม่เคยมั่นใจในตัวเองเลย เขาวิตกจริตอยู่ทุกขณะจิตว่าอาจทำไม่ได้ ทั้งยังหวาดกลัวคุณสมบัติของตน
ไม่ใช่แค่เอค ยังมีมิตรสหายและคนในวัยไล่เลี่ยกันอีกมากที่รู้สึกกังขาในคุณสมบัติและคุณค่าของตัวเองไม่ต่างกันกับเขา
มีทั้งผู้ที่เป็นกังวลในความสามารถอันอ่อนด้อยของตน ไม่สมฐานะที่เป็นหลานของผู้มีชื่อยิ่งยง
มีทั้งผู้ที่เกลียดชังพลังอำนาจอันเกินจะควบคุมของตน
มีทั้งผู้ที่ได้รับการยกย่องเชิดชู แต่ลึก ๆ แล้วไม่เคยพอใจในขีดจำกัด เฝ้าชิงชังตัวเองและคนที่ดูแคลนตนว่าไร้สามารถ
มีทั้งผู้ที่ถูกชี้วัดคุณค่าว่าปราศจากคุณสมบัติ และถูกขับไล่กีดกัน

ทางออกของพวกเขาเหล่านั้นก็แตกต่างกันไป
บ้างเลือกทางลัด เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาแล้วไม่สนใจวิธีการ
บ้างเลือกที่จะตระหนัก พยายาม ทำความเข้าใจและเรียนรู้

ซึ่งอันที่จริงแล้ว ความสามารถจะแลเลิศหรูหรือดูน่าเกลียดคงไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ที่ 'การฝึกฝน' และ 'การนำไปใช้'
'คุณสมบัติ' ก็อาจไม่ใช่เพียงสิ่งที่ประเมินผ่านสายตาของผู้อื่นเท่านั้น หากแต่ยังเป็นสิ่งที่ควรจะค้นพบด้วยตนเอง
และบุคคลแรกที่พึงเห็น 'คุณค่า' ของเรา ก็คือเรา หาใช่ผู้ใด

...แต่ก็นั่นเอง
ไม่ว่าใครก็ต้องมีช่วงเวลาที่สับสน ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนก็ย่อมมีครั้งคราวที่อ่อนแอ และแน่แท้ว่าคนเราไม่สามารถฟันฝ่าทุกเรื่องราว ค้นพบคำตอบของทุกปัญหาได้ด้วยตัวคนเดียว
...มือที่หยิบยื่นเข้ามาประคับประคองก็เป็นปัจจัยอันสำคัญยิ่งที่เกื้อกูลให้คนคนหนึ่งเติบใหญ่
นอกจากเรื่องราวของหนุ่มสาวที่เริ่มเรียนรู้โลก ยังมีเรื่องเล่าของรุ่นผู้เฒ่าวัยฉกรรจ์ที่ผ่านโลกมาแล้ว
ไม่ใช่บทแอ็คชั่นอันสุดเร้า หรือมิตรภาพผองเพื่อนอันร้อนเร่า ส่วนที่มุ่งเน้นมากที่สุดของเรื่องกลับเป็นบรรยากาศอบอุ่นผูกพันของความเป็นครอบครัว...แม่ ปู่ย่าน้าอา รวมถึงบรรดาอาจารย์ ที่มีน้ำหนักไม่แพ้ลูกศิษย์ลูกหลาน

คนรุ่นใหญ่สามารถเป็นแบบอย่าง เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคนรุ่นเล็กมากเพียงไร ในทางกลับกัน คนรุ่นเล็กก็ทรงอิทธิพลต่อคนรุ่นใหญ่มากเพียงนั้น
เมื่อมีสิ่งที่ต้องดูแล มีอนาคตของชีวิตวัยเยาว์ที่ต้องแบกรับ นำพาไปในหนทางที่ถูกควร
ก็มีบ้างบางคนที่เปลี่ยนตัวเอง ละทิ้งการใช้ชีวิตแบบลอยชายไร้จุดหมาย ยอมเป็นในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะเป็น
มีบ้างบางคนที่ก้าวออกจากความผิดพลาดในอดีต เรียนรู้แล้วแก้ไข บ่มเพาะฝึกฝนคนรุ่นใหม่ต่อไป

ช่วงอายุและประสบการณ์ที่สัมผัส ย่อมนำมาซึ่งแนวคิดและความรู้สึกที่แตกต่าง
จะปฏิเสธและผลักไส หรือยอมรับและอยู่ร่วมกัน
จะวางรากฐานอันมั่นคง หรือก่อความเหลวแหลกจมปลัก
จะได้รับการฟูมฟักด้านบวก ออกไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หรือถูกปลูกฝังสั่งสมด้านลบ ออกไปทำลายอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าที่เคยมีมา
บางทีแล้ว ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เลือก แต่เป็นทั้งสองฝ่ายต่างหากที่ต้องช่วยเลือกให้แก่กัน

โดยรวมแล้ว นี่เป็นนิยายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคนรุ่นก่อนและรุ่นหลัง ที่ทุกการกระทำย่อมส่งผลต่อกันทั้งทางให้และทางรับ
ตัวละครค่อนข้างเยอะ แต่กระจายบทบาทให้ความสำคัญได้ถ้วนทั่ว โดยที่เอคตัวเอกก็ยังคงเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมด
สบาย ๆ ผ่อนคลาย ข้อคิดย่อยง่าย มองโลกในแง่ดี มีบู๊มีตลกมีรักมีเศร้า มีทั้งกลิ่นอายของเด็ก (ที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่) และผู้ใหญ่ (ที่ใจยังเด็ก) เป็นแฟนตาซีที่วัยไหนก็อ่านได้ขอรับ = v = b
     
 
ใครแต่ง : Foxilla
30 มี.ค. 59
80 %
4 Votes  
#2 REVIEW
 
เห็นด้วย
10
จาก 10 คน 
 
 
วิบากกรรมของเหล่าหนุ่มหล่อทรมานใจหญิง ศึกแย่งชิงหมอผีสาวทรมานใจชาย

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 3 มี.ค. 54
ไม่รู้จะใช้คำแทนชาแมนว่าอะไรดี เลยขอใช้ว่าหมอผีตามผู้เขียนเรื่องแล้วกัน แหะ ๆ

คำทำนายกับอนาคตที่ปรวนแปรยากจะคาดเดา เช่นเดียวกับใจนาง ผู้แม้ไม่คิดฝ่าฝืน แต่ก็ดูจะชอบกระเซ้ายั่วเย้ากับลิขิตชะตาของตัวเองอยู่เนือง ๆ
นี่คือเรื่องของคารุส ชาแมนเด็กสาวผู้พราวเสน่ห์และเป็นจอมเจ้าเล่ห์
เธองามเย้ายวนน่าหลงใหล ฉลาดเฉลียวฉับไว ไม่หวั่นเกรงผองภัย และเสื่อมซกมกเกินห้ามใจ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เธอมีอำนาจอันยิ่งยง ชนิดที่ยากจะพานพบในรอบหลายร้อยปี
ทว่า อำนาจนั้นก็มีข้อห้ามยิ่งยวดประการหนึ่งคือ ต้องถือพรหมจรรย์ ยามใดที่เสียมัน ยามนั้นจะสูญซึ่งพลัง
กระนั้น คารุสทราบดีจากนิมิตว่าชะตาของตนถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเสียมันไปให้ใครสักคน
ปัญหาคือ ใครคนนั้นเป็นใครกันล่ะ
เอลคาน ราชาหนุ่มจอมโหด หรือโซฮา ว่าที่ราชาหนุ่มจอมหื่น
รึจะเป็นเดนาโดส เจ้าชายหนุ่มรูปงาม
ไม่อย่างนั้นก็ฮาดัด เจ้าชายหนุ่มใหญ่บ้ากาม
ยังมีซีฟ หมาป่าหนุ่มนักตบ (?) น่าเกรงขาม โอ้ว หนุ่มเต็มไปหมดเลย

ใช่แล้ว ซาร่า นิยายเรื่องนี้เป็นแนวฮา (เร็มหนุ่ม) ตรึม = v =
แต่ไม่หรอก จอร์จ ถึงเป้าหมายหลักจะเป็นนักอ่านหญิง แต่จริง ๆ ผู้ชายก็อ่านได้ (แหงล่ะ อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่ง :P) แม้ว่าทั้งเรื่องจะอบอวลด้วยความกุ๊กกิ๊ก กับเหล่าบุรุษชาตรีผู้ยกก๊วนมาชวนให้กรี๊ดกร๊าดและร่วมลุ้นว่าในหมู่ผู้เข้าชิงทั้งหลายใครจะได้ตำแหน่งพระเอก แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความหนักแน่นเคร่งขรึม มีเรื่องของสงคราม การเจรจาต่อรอง การต่อสู้นองเลือด
จุดเด่นของเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีแค่คนหล่อโฉบเฉี่ยวไป คนสวยเฉิดฉายมา ทุกตัวมีบุคลิกเฉพาะและเรื่องราวของตัวเอง มีรูปแบบการแสดงออกของความรักและวิธีการเพื่อให้ได้รักมา
...บ้างเคารพ ให้เกียรติ เฝ้ารอ
...บ้างไม่ได้ดั่งใจก็อาละวาด ใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ ไม่สนว่าจะต้องแลกกับอะไร
นั่นนำมาซึ่งคำถามที่ว่า
...เมื่อต้องเลือก จะเด็ดเดี่ยว หรือลังเล
...เมื่อปรารถนา จะไขว่คว้า หรือจะเสียสละ
คำตอบนั้นยังโยงใยไปถึงความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นในเรื่อง ไม่เฉพาะสัมพันธ์ของชายหญิง ยังมีแม่กับลูก ยายกับหลาน พี่กับน้อง ...การมอบความรักอย่างยุติธรรมหรือลำเอียง ความเข้มงวดหรือการปล่อยปละ การสั่งสอนให้ตระหนักระหว่างส่วนตนหรือส่วนรวม การหล่อหลอมเลี้ยงดูเช่นไรจึงสร้างคนให้เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นแบบไหน
นอกจากความรัก ทุกตัวละครยังมีเรื่องให้ต้องคำนึง ...บุพการี มิตรสหาย บ้านเกิดเมืองนอน
นอกเหนือจากเรื่องของหัวใจ ทุกคนมีเป้าหมาย มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ มีลำดับความสำคัญที่ต้องทำก่อนหรือหลัง มีภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับพร้อมกันไป
...ในโลกของความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น

โดยรวมแล้วนี่เป็นนิยายที่ถ่ายทอดมุมมองความรักควบคู่ไปกับการใช้ชีวิต เป็นความรักของหนุ่มสาวที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ (แม้บางเวลาน้องหนูนางเอกจะเปิ่นเป๋อเอ๋อเหรอ ซอกแซกซุกซนจนนึกสงสารบรรดาไอ้หนุ่มที่ดันมารักคุณเธอก็ตามที)
มุกตลกรั่วล้นลื่นไหล ปริศนาวางไว้ได้น่าค้นหา ชวนฝันแต่ก็จริงจัง เชียร์ได้สนุกสนานทั้งศึกรบและศึกเลิฟขอรับ = v = b
     
 
ใครแต่ง : NewBlood สถาพร
1 เม.ย. 55
80 %
9 Votes  
#3 REVIEW
 
เห็นด้วย
10
จาก 10 คน 
 
 
วังวนหมู่คนคิดคด มิติวงกตผวนผัน พลังลบเลือนคืนวัน สะบั้นสัมพันธ์สายใย

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 18 ต.ค. 54
นับจากสูญเสียครอบครัวไปเมื่อสามปีก่อน ไรอัน โดวิงตันกลายเป็นเด็กจรจัดไร้บ้าน จมชีวิตอยู่กับความอาฆาตเดียวดาย ฝึกฝนฝีมือ เก็บงำประกาย เพื่อเฝ้ารอ...เบาะแสของฆาตกรและโอกาสที่จะล้างแค้น
ทว่าไม่ทันที่เวลานั้นจะมาถึง เรื่องประหลาดก็มาเยือนเสียก่อน สหายของเขา...ในอดีต แลนดิส ฮัลลาลาน บุตรชายคนเดียวของเจ้าเมืองประสบเหตุน่าฉงน เขาถูกลืมเลือน ไม่มีใครจดจำเขาได้ แม้แต่บิดาของเขาเอง
มีเพียงไรอันที่เป็นข้อยกเว้น
ไรอันคับข้องใจจนต้องเริ่มลงมือสืบหาสาเหตุ และในระหว่างนั้นเอง เขาก็ได้พบกับคนที่ยังไม่อาจบ่งชี้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ชายผมเงินผู้มาพร้อมกับข้อเสนอหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไรอันรอคอยมานาน...เบาะแสและโอกาส
ไรอันรู้ ว่าหากปฏิเสธ ตนอาจจะไม่มีวันเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขนาดนี้อีกเลย แต่เขาก็รู้เช่นกัน ว่าหากรับไว้ มันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล


การมีอยู่ของบุคคลย่อมหลงเหลือรูปรอยทิ้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของ การกระทำหรือแนวคิด สิ่งเหล่านั้นย่อมส่งผลต่อบุคคลอื่นไม่ว่าทางอ้อมหรือทางตรง
หากคิดกำจัดคนคนหนึ่งให้ตายไปอย่างสมบูรณ์...แค่การฆ่าจึงยังไม่พอเพียง

หากถูกความชั่วร้ายครอบงำ จะต้องถูกกำจัด
องค์การอีเรสใช้กฎนี้ต่อทุกผู้คนอย่างเสมอภาคเท่าเทียม

คำถามที่สำคัญยิ่งกว่า วิธีการถูกต้องหรือไม่ คือ ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสิน ยังมีอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเป็นตัวแปรหรือไม่
...หากคำตอบคือใช่ การตัดสินพิพากษาจะเป็นไปอย่างเสมอภาคเท่าเทียมจริงหรือ
...หากคำตอบคือไม่ ควรเรียกคนคนนั้นว่ายุติธรรม หรือ ไร้หัวใจ

แม้กล่าวอ้างหลักการหนักแน่นแค่ไหน แต่เนื้อแท้ของการกระทำนั้นเป็นไปตามอุดมการณ์ที่ยึดมั่น หรือเพียงปฏิบัติตามคำสั่งอันเลื่อนลอย เพื่อคุณธรรม หรือเพื่อความต้องการส่วนตน
และ...ความจริงที่น่าตลกและโหดร้ายก็คือ เมื่อถึงยามต้องลงดาบ บางที ความดีหรือความชั่วของเป้าหมายอาจไม่มีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจแม้แต่น้อย


เสียงร่ำลือแว่วมาตั้งแต่ก่อนได้อ่านเรื่องนี้ พอได้เห็นหนังสือเล่มเป็น ๆ ก็รู้สึกว่าตรงกับที่ได้ยิน คำโปรย ลายเส้นภาพประกอบ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแผ่รัศมีม่วงเจือจาง พอเปิดพินอัพหน้าสี ก็สะดุดตากับสาวผมม้าหน้าหวาน o=w=o แต่ในส่วนแนะนำตัวละครหน้าถัดมาได้รู้ว่าชื่อเอริค เอ มันชื่อผู้ชายนี่หว่า ติดแทร็พตั้งแต่หน้าแรกเลยรึเรา orz พลอยหวาดระแวงสาวน้อยโลลิหิ้วกระต่ายที่ด้านข้าง เพราะเจ้าหล่อนชื่อโนอาร์ซึ่งก็คล้าย ๆ ผู้ชายอีกนั่นแหละ
ด้วยเหตุผลข้างต้น ประกอบกับตัวละครชายสูงยาวเข่าดีที่เหลือ ทำให้แอบคิดไปไกล ว่าข้างในคงเต็มไปด้วยสารกระตุ้นต่อมจิ้น ทั้งบทชมโฉมชายงามตลอดจนฉากบุรุษสยิวกิ้ว
แต่เมื่ออ่านจบแล้ว พบว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนผสมดังกล่าวแต่อย่างใด (ส่วนเล่มต่อไปจะมีมั้ยคงต้องถามท่านผู้เขียนเอา :P) แม้เหล่าตัวละครในเรื่องจะมีพฤติกรรมและคำพูดจาสองแง่สามง่ามราวจะยั่วเย้าให้หัวใจ Y แต่ลงท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ ตัวละครไม่มีอะไรเกินเลยกัน ถ้าจะมีใครมอบเรต ฉ ให้เรื่องนี้ก็คงด้วยเลือดและแอลกอฮอล์ที่ปรากฏในบางบท หาใช่เลิฟซีนล่อแหลม (ซึ่งไม่มีสักกะซีน) ดังนั้นนักอ่านท่านไหนที่ไม่ได้หัวใจ Y ก็ยังสามารถหยิบอ่านและสนุกไปกับมันได้

เรื่องราวของนิยายเรื่องนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือภารกิจของตัวเอกซึ่งเป็นทั้งการฝึกฝนและการทดสอบคุณสมบัติในการเข้าร่วมองค์การ อีกหนึ่งคือเรื่องราวการชิงอำนาจในราชวังระหว่างบรรดาขุนนางกับกษัตริย์จำเป็น โดยทั้งสองส่วนพุ่งไปข้างหน้าตั้งแต่เริ่มต้น ไม่อ้อยอิ่งในฉากใดและไม่รีรอที่จะบอกเล่า ภายในช่วงครึ่งแรกของเล่ม คนอ่านจะได้รู้ถึงความหมายของ 'การลบ' และ 'วิธีในการลบ', การมีอยู่ของกลุ่มมือสังหารแต่ยุคโบราณ, สภาพการณ์ในวัง ความเป็นมาของยุวราชัน ฯลฯ เนื้อหากับตัวละครไม่กั๊กความลับหรืออมพะนำแม้แต่น้อย ความรู้สึกด้านหนึ่งก็ต้องบอกว่าสนุกทันใจ ข้อมูลสำคัญหลายอย่างที่เผยออกมาแต่เนิ่น ๆ ช่วยดึงเรื่องให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างดี แต่อีกทางก็ออกจะรู้สึกรวบรัดตัดความ เพราะบางประการที่ควรจะเป็นความลับยากค้นหา กลับเฉลยออกมาให้เห็นรวดเร็วเหลือเกิน
แต่พอเข้าสู่ช่วงสองบทสุดท้ายก็ได้รู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกประสก เพราะสิ่งที่บอกให้ล่วงรู้อาจไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด และอาจไม่ใช่ความจริงทั้งสิ้น...

ในแง่แก่นสารแล้ว The Relation : Erased ดูเหมือนจะไม่ได้มุ่งตั้งคำถามทางศีลธรรมหรือหานิยามของความถูกผิด หากแต่ต้องการบอกเล่าธรรมชาติของมนุษย์และตัวแปรที่ใช้ตัดสินยามเมื่อต้องเลือกทำบางสิ่ง ในแง่การเดินเรื่อง ไม่ได้เน้นในด้านอารมณ์ลึกลับสยองขวัญ แต่ให้น้ำหนักไปที่ความกดดันกับปริศนาข้อสงสัยที่แสดงออกมาในรูปของภาพอดีตซึ่งโผล่มาหลอนตัวเอกอยู่เป็นระยะ บ่อยครั้งไปบ้างแต่ก็ช่วยสร้างบรรยากาศกึ่งจริงกึ่งเท็จ เป็นการเตือนกึ่ง ๆ ท้าทายให้ตั้งคำถามระหว่างที่อ่านว่าอะไรจริงอะไรเท็จ และปมต่าง ๆ ที่หยอดทิ้งไว้ตามรายทางเหล่านี้ก็ที่ช่วยหนุนเสริมบทสรุปในตอนท้ายได้ดี
จบเล่มนี้ เรื่องราวของภารกิจและการชิงอำนาจก็จบลงตาม แต่ดูท่าว่านี่ยังเป็นแค่ยกแรกเท่านั้น คำตอบของแผนการที่ออกมาก่อให้เกิดคำถามใหม่ผุดขึ้นอีกมากมาย คล้ายจะบอกโดยกลาย ๆ ว่า "หากอยากรู้จงอ่านต่อเล่มสอง"
สำหรับผม ส่วนที่ชอบที่สุดของเรื่องก็คือการที่ผู้เขียนจบเล่มในรูปแบบนี้ ดังนั้นระหว่างอ่านกับไม่อ่านจึงตัดสินใจได้ไม่ยาก ง่ายกว่าทางเลือกของไรอันเยอะแยะ = v =
     
 
ใครแต่ง : NithiN
16 มี.ค. 55
80 %
4 Votes  
#4 REVIEW
 
เห็นด้วย
8
จาก 8 คน 
 
 
พืชน้อยพาป่วน ยกขบวนกำราบมังกร

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 24 ก.พ. 54
หลังจากรับหน้าที่กู้โลกด้วยความเคร่งเครียด หลั่งเลือดและน้ำตามานักต่อนัก มาบัดนี้ก็ถึงเวลาที่วีรบุรุษจะต้องสร้างเสียงหัวเราะบ้างแล้ว
'แนวล้อเลียนขนบผู้กล้า' เป็นหนึ่งในทางเลือกที่นักเขียนยุคปัจจุบันเลือกใช้เพื่อแหวกแนว มาถึงตอนนี้ แม้ไม่สด แต่ยังถือว่าใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าใส่สีสัน ความสนุกน่าสนใจได้มากแค่ไหน

สำหรับเรื่องนี้ ดูเหมือนเป้าหมายไม่ได้มุ่งแต่จะถลุงผู้กล้าคนเดียว ความติงต๊องถูกกระจายอย่างทั่วถึง มีตัวละครหลากหลายประเภทในแบบที่ต่างออกไปจากภาพลักษณ์ที่เคยเป็น

...ทั้ง 'ต้นแมนเดรก' ที่ไม่ได้ร้องกรี๊ดอย่างเดียว แต่บังเอิญมีชีวิตจิตใจขึ้นมา และยังจับพลัดจับผลูต้องรับหน้าที่อัศวินจำเป็น
...ทั้ง 'ผู้กล้า' ที่ไม่ได้จนกรอบ ระหกระเหินจากบ้านนา แต่มาจากตระกูลมีชื่อ ร่ำรวยเงินถุงเงินถังและใช้จ่ายมือเติบ
...ทั้ง 'จอมมาร' ผู้มิได้ชั่วร้ายและอำนาจเหลือล้น เพราะที่เหลือล้นกว่าคือหนี้สิน บัญชีรายจ่ายของปราสาทติดตัวแดงเถือก
...ทั้ง 'จอมเวทขาว' ผู้ไม่ได้สุขุมและเปี่ยมเมตตาปรานี แต่เจ้ายศเจ้าอย่าง ขี้เก๊กยิ่งกว่าอะไร ยังไม่นับที่เกลียดจอมมารเข้าไส้ มีเรื่องซวยอะไรด่าจอมมารไว้ก่อน
...ยังมี 'แม่มดดำ' ผู้ไม่ได้ลึกลับ เนื่องจากรู้จักกันทั้งหมู่บ้าน ยามเมื่อเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากอำนาจของเธอ สิ่งตอบแทนก็มิใช่ไอเท็มพิสดารหาโคตรยากในดินแดนอันห่างไกล และไม่ใช่เสียงอันไพเราะหรือชีวิตวิญญาณ เงินเท่านั้นที่เธอต้องการ
...ที่ขาดไม่ได้ คือ 'ช่างตีเหล็ก' ผู้ไม่ใช่ช่างตีดาบในตำนาน ดังนั้นมองผ่าน ๆ จึงเหมือนตัวประกอบ ทว่าเขาผู้แสนธรรมดา ดันมีบทโดดเด่นกว่าใคร
ไม่ได้ทึ่มทื่อ เถรตรง แรงวัวแรงฟายเข้าว่า กลับกันเขาดูจะฉลาดและรู้จักแก้ปัญหาที่สุดในเรื่อง (ส่วนคุณสมบัติข้างต้นไปโผล่ในตัวผู้กล้าแทนซะงั้น)

ตัวละครเหล่านี้หลากหลายและมีสีสัน ที่สำคัญไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาแค่เพื่อแสดงความแหวกแนว แม้จะล้นรั่วแต่ก็เติมเต็มด้วยภูมิหลังที่มีมิติ เรียกได้ว่าถึงจะบ้าก็บ้าอย่างสมเหตุสมผล :D
ดังนั้น ความผิดเพี้ยนจากภาพลักษณ์ที่ควรเป็นของตัวละครไม่แค่นำมาซึ่งความโปกฮา ยังสะท้อนความจริงอย่างหนึ่งที่ว่า 'ทุกสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ทุกสิ่งที่เป็น' ผู้คนและเรื่องราวทั้งหลายมักซุกซ่อนแง่มุมที่คาดไม่ถึงไว้เสมอ และเมื่อมองผ่านมุมที่ต่างออกไปเหล่านั้น ความจริงอาจกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ไม่ได้เห็นและไม่น่าจะเป็น...ก็กลับเป็น

...ไม่ว่าจะการเซ่นสรวงภูตพรายที่ทำให้ภูตพรายเดือดร้อน
...หรือ ชาวเมืองที่ถูกมังกรรุกรานอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ
...หรือ แม่มดดำซึ่งแม้จะหน้าเลือดหน้าเงินซะขนาด แต่เบื้องหลังนั้นมีความจำเป็นที่น่าเศร้า (...สำหรับเธอ แต่น่าหยิกสำหรับคนอ่าน)
...หรือ จอมมารที่ดูเผิน ๆ กระทำทุกอย่างตามอำเภอใจ ตีรวนกวนเมืองไปวัน ๆ แท้ที่จริงเขามีกฎข้อบังคับสำหรับจอมมารที่ต้องปฏิบัติตาม รวมถึงความในใจลึก ๆ ที่เก็บไว้ลึกจนเหมือนไม่มี (เอ รึที่จริงก็ไม่มีจริง ๆ =__=a)
...หรือ น้องสาวของช่างตีเหล็กที่แม้จะสามารถพูดคุยกับทุกสิงสาราสัตว์ แต่ที่สื่อสารได้ยากที่สุดสำหรับเธอกลับเป็นมนุษย์ด้วยกัน
...หรือ พี่ชายน้องสาวสองคู่ ที่คู่หนึ่งฝ่ายน้องสาวหูใช้การไม่ได้แต่กลับเข้าใจกันและกันได้ดียิ่งกว่าพี่น้องอีกคู่ที่ปรกติดีทุกประการ
...ตลอดจน แมนเดรกน้อยที่ไป ๆ มา ๆ ถึงแม้จะตัวกระจิ๋วหลิว แต่ปมปัญหาและความขัดแย้งในจิตใจดูจะใหญ่เบ้อเริ่มที่สุด

ความเป็นจริงที่ขัดแย้งในสถานการณ์ที่แตกต่างกันเหล่านี้ ถูกสอดแทรก ตั้งคำถาม และถ่ายทอดบทสรุปออกมาด้วยอารมณ์อมยิ้มหัวเราะร่า น้ำตาคลอแอบซึ้ง ไปจนถึงจิกกัดประชดประชันตลอดบรรยากาศสบาย ๆ สลับจริงจังบ้างเป็นบางจังหวะของเรื่อง

โดยรวมแล้วนี่เป็นนิยายที่น่าติดตามเรื่องหนึ่ง ส่วนผสมหลากหลายแต่เขย่าได้เข้ากัน อ่านแล้วเบาสมอง แต่ก็ได้แง่คิด
แหวกอย่างสร้างสรรค์ ขบขันอย่างมีสาระขอรับ = v = b
     
 
ใครแต่ง : NewBlood สถาพร
15 ก.พ. 56
80 %
5 Votes  
#5 REVIEW
 
เห็นด้วย
7
จาก 8 คน 
 
 
นักล่าสมบัติโบราณ องค์การลับ ๆ ล่อ ๆ ฟาโรห์แสนดีขี้หงอ มัมมี่เคยหล่อขี้โว

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 10 ต.ค. 54
ไต่จาก 'ระดับซี' ขึ้นไปเป็น 'ระดับเอซ' ที่อายุน้อยที่สุดในวงการ เส้นทางสู่จุดสูงสุดของเขากำลังเบิกกว้างเรืองรอง...ก่อนจะตีบตันมืดมนไปในทันใด
เขาคือคาร์เตอร์ ฮาวล์ อาร์ติแฟกต์ ฮันเตอร์หนุ่มรูปงาม...แต่ไม่งามแล้ว ยอดนักแม่นปืน...ซึ่งสูญเสียสมรรถภาพในการยิง ผู้สุขุมเยือกเย็น...ที่บ่อยครั้งก็เลือดร้อนชอบโวยวาย ขี้น้อยใจ...และก็ขี้บ่นด้วย
ไม่นับข้อหลัง ๆ ที่เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การที่คุณสมบัติข้างต้นของเขาต้องกลายเป็นขาด ๆ หาย ๆ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนคนสับสนในชีวิต สาเหตุก็สืบเนื่องมาจากงานชิ้นล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปหมาด ๆ

แรกเริ่มเดิมที ทั้งหมดที่คาร์เตอร์ต้องลงแรงก็แค่ชักปืนคู่ใจเป่าภูตอารักษ์ทิ้งไปฝูงสองฝูง ติดตั้งกลไกงัดแงะโลงศพสามสี่ชั้นอีกห้าหกนาที เท่านี้ก็ได้ของตรงตามความต้องการผู้จ้างวาน แถมยังมีโอกาสสร้างผลงานเป็นผู้ค้นพบสุสานฟาโรห์กลับไปเสนอสมาคมแลกกับการเลื่อนระดับ แหม งานนี้มันช่างหวานหมู
...หารู้ไม่ ว่านอกจากลาภก้อนโตแล้ว สุสานแห่งนี้ยังมีเคราะห์จังเบ้อเร่อ


...สมบัติคือสิ่งมีค่า
นั่นคือคำจำกัดความที่ทุกผู้คนย่อมเห็นตรงกัน
...ทว่า 'สมบัติ' ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ความหมายของ 'สิ่งมีค่า' ในแต่ละบุคคลจึงแตกต่างกัน หรือตรงข้ามกัน

สำหรับอาร์ติแฟกต์ ฮันเตอร์
วัตถุโบราณ โบราณสถาน คือสิ่งมีค่า

...แล้วคุณค่าอยู่ที่ตรงไหน วัดจากอะไร
สิ่งมีค่าหนึ่งสามารถแลกมาซึ่งอีกสิ่งมีค่าหนึ่ง
เพชรพลอยอัญมณี วัตถุยากเสาะหานานา สามารถนำไปแลกเป็นเงินตรา
เงินตราแลกมาซึ่งความสามารถในการซื้อหา
แลกมาซึ่งความสุขที่ได้ครอบครอง
อาจกล่าวได้ว่า ระดับของคุณค่าขึ้นอยู่กับว่ามันแลกมาซึ่งสิ่งที่เราต้องการมากน้อยเพียงใด

สำหรับคาร์เตอร์ ฮาวล์
วัตถุโบราณ โบราณสถาน ยิ่งเก่าแก่ยิ่งลับแลยิ่งมีค่า พวกมันคือหนทางที่จะนำไปสู่เกียรติ ชื่อเสียง ความภาคภูมิ ขั้นบันไดที่จะพาเขาขึ้นไปเทียบเคียงกับผู้เป็นแม่
ส่วนผู้คน ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคน ยิ่งเพื่อนร่วมทางที่ไร้ประโยชน์แล้ว ไม่มีค่าอะไรเลย

...บางครั้งบางคราว คนเราก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังไขว่คว้าผิดเป้า ตอบไม่ได้ว่านั่นใช่สิ่งที่เราต้องการแน่หรือไม่
...ที่เป็นปัญหายิ่งกว่านั้นคือ ในขณะที่กำลังไล่ตาม 'สิ่งที่เราอาจไม่ได้ต้องการ' อย่างยากลำบาก เรากลับมองข้าม 'สิ่งที่มีค่าสำหรับตนเองอย่างแท้จริง' ไปง่าย ๆ

สำหรับปโตเลเมียส อเดลฟอส
วัตถุโบราณ โบราณสถาน คือบ้านเมืองของเขา คือยุคสมัยของเขา คือสิ่งควรค่าแก่การเคารพบูชา
คือข้อกังขาที่ว่าสิ่งทั้งปวงที่คนทั้งมวลเมื่อวันวานยกย่องให้คุณค่าสูงส่งนั้น ในอีกร้อยปีพันปีให้หลัง อาจกลายเป็นเพียงสิ่งไร้คุณค่ากระนั้นหรือ
หรือมิใช่ มันยังคงมีคุณค่า หากแต่ในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง และในรูปแบบนั้นยังนับเป็นคุณค่าได้รึไม่

...แต่ไม่ว่าจะแตกต่างวิถี มียุคสมัยที่ห่างไกลกันกี่ร้อยกี่พันปี สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน...นอกจากตามหาสิ่งที่มีค่าสำหรับตนเอง คนทุกคนล้วนตามหา 'คุณค่า' ในตัวเอง


สองข้อที่สังเกตได้จากนิยายเรื่องนี้คือ แม้ว่าตัวเอกจะมีคาแร็คเตอร์แบบนิยายวัยรุ่น แต่ประเด็นที่สอดแทรกและบรรยากาศบางส่วนมีกลิ่นอายไปทางนิยายผู้ใหญ่มากอยู่ การดำเนินเรื่องไม่เน้นความฉับไว แต่ให้เนื้อที่กับการปูพื้นเรื่องนานพอควร การแบ่งช่วงตอนก็ค่อนข้างยาว จำนวนหน้าในแต่ละบทเยอะกว่านิยายวัยรุ่นของไทยโดยทั่วไป
อีกข้อคือเรื่องของข้อมูล ผู้เขียนให้ความสำคัญกับจุดนี้มาก เห็นได้ว่าค้นข้อมูลมาเยอะ นำเสนอวัฒนธรรมที่ยกมาใช้ประกอบเรื่อง...โดยในเล่มแรกนี้คืออียิปต์...ได้ชัดเจน ไม่ลอย ๆ เลือน ๆ หรืออ่านปุ๊บทะ ปั๊บว่านั่งเทียน เพียงแต่ตอนที่อ่านอาจต้องตั้งใจเก็บรายละเอียดพอสมควร เพราะอ้างอิงถึงภาษา สิ่งของ และสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคย (สำหรับผม พูดถึงอียิปต์นึกออกแค่ปิรามิดกับสฟิงซ์ :P) แต่ก็ทดแทนด้วยการใช้ภาษาซึ่งเรียบเรียงและบรรยายให้เห็นภาพได้ดี โดยเฉพาะกลไกกับดักในสุสานช่วงไคลแม็กซ์ ชอบมาก

เนื้อหาโดยหลักเป็นการผจญภัยสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ตะลุยด่านไขปัญหา ยิงหมาฆ่าฮิปโป บวกมุกล้อเลียนจิกกัดกับความขี้บ่นได้โล่ของพระเอก โดยรองเป็นการขับเคี่ยวกันด้วยอำนาจพิเศษของวัตถุโบราณ หรือที่ในเรื่องเรียกว่า 'อาร์ติแฟกต์' ซึ่งผู้เขียนนำเอาของวิเศษในตำนานของประเทศต่าง ๆ มาดัดแปลง ในเล่มแรกนี้ออกมาให้เห็นแค่ไม่กี่ชิ้น แต่ในตอนจบเล่มทิ้งท้ายด้วยการเกริ่นถึงกลุ่มตัวละครที่น่าจะเป็นหลักสำคัญของเรื่องหลายตัว เล่มต่อ ๆ ไปจึงคิดว่าน่าจะมีอาร์ติแฟกต์โผล่มาอีกเยอะ และเหมือนกับว่าตัวเอกก็เปลี่ยนประเทศที่ไปลุยด้วย ตำนานคนและของวิเศษก็ย่อมจะเปลี่ยนตาม น่าสนใจว่าคนเขียนจะหยิบอะไรจากตำนานของประเทศนั้น ๆ มาเล่นอีก (โดยส่วนตัว อยากเห็นคาร์เตอร์มาหาอาร์ติแฟกต์ที่ประเทศไทย ...ถ้ามีนะ = v =)
นอกจากเรื่องของวิเศษ ตลอดทั้งเล่มยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย อ้างอิงเรื่องเล่า แปลง 'ชื่อ' ที่หยิบยกมาจากสิ่งต่าง ๆ ให้แปร่งไปจากเดิม ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่ารู้จักของจริงหรือตำนานจริงที่ยกมามากแค่ไหน ใครรู้จักเยอะก็อินและฮามากหน่อย = v =

The Artifact Hunter มีตัวละครและวิธีเดินเรื่องตามรูปแบบนิยมแต่ก็แอบล้อขนบอยู่เนือง ๆ มีความซับซ้อนแต่ก็ไม่ถึงกับอ่านยาก มีความแปลกแต่ก็ไม่แหวกจนแหกโค้งหลุดออกทะเลทั้ง ๆ ยังอยู่บนบก ดูเหมือนผู้เขียนพยายามปรับแต่งหาจุดลงตัวระหว่างแนวมาตรฐาน (หรือที่มักเรียกกันว่าแนวตลาด) กับความแปลกใหม่ แม้จะมีบางจุดที่ผสมได้ไม่เป็นเนื้อเดียวกันนัก แต่ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าติดตามดูกันต่อไป

พูดถึงการหาจุดที่ลงตัวแล้ว ในด้านรูปเล่ม ก็เห็นได้ว่านิยายจากโครงการนี้ต่างไปจากที่เคยเล็กน้อย นั่นคือมีภาพประกอบ
ช่วงหลัง ๆ นิยายของไทยที่ได้เปิดผ่านตามีองค์ประกอบข้อนี้ให้เห็นมากขึ้น โดยส่วนตัวแล้ว เนื่องจากชอบทั้งเขียนทั้งวาด อ่านทั้งนิยายและการ์ตูน ไม่ได้รู้สึกขัดข้องอะไรที่เห็นมันขยับเข้าหากัน ขอแค่ 'นิยาย' ยังคงความสมบูรณ์ในตัวเอง กล่าวคือภาพวาดมีเพื่อเสริมสร้างความสวยงามหรือความแปลกตา ส่วนตัวอักษรยังสามารถเล่าเรื่องครบถ้วน และถ่ายทอดเรื่องราวในแบบของมัน อาจจะมีลักษณะเฉพาะทางการ์ตูนโผล่มาบ้าง แต่ไม่ได้มากเกินไปจนเสียความเป็นนิยายเท่านั้นก็พอ
จากที่ได้พบนิธินทร์ผู้เขียนกับคุณ บ.ก.ของโครงการ (ซึ่งอายุน้อยกว่าที่คิด = v =) เห็นว่าเล่มต่อไปก็เริ่มเขียนทรีตเมนต์กันแล้ว (โอ้ พระเจ้ากล้วย ฟิตกันเหลือเกิน) นึกว่าจะแค่ใช้เพื่อคัดเลือกตอนประกวดแค่นั้นซะอีก แอบตกใจแต่ก็คิดว่าเข้าท่าดีที่ยังคงยึดถือการทำงานเป็นระบบไว้
ในด้านของนักเขียน แน่นอนว่าต้องการถ่ายทอดความเป็นตัวเองและสิ่งที่ชอบให้มากที่สุด แต่ในด้านของสำนักพิมพ์นั้น ก็มีความจริงข้อหนึ่งซึ่งปฏิเสธไม่ได้ ดังเช่นประโยคหนึ่งที่แอ็กเซล พ่อของคาเตอร์ได้พูดไว้ "จะทำขายก็ต้องให้ถูกปากคนซื้อมาก ๆ ล่ะนะ" การสร้างระบบที่ทั้งสองฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนมุมมองช่วยกันออกความเห็นจึงนับเป็นสัญญาณที่ดี นักเขียนได้รับรู้ความคิดความต้องการของทางสำนักพิมพ์ และกลับกัน ตัวนักเขียนเองก็ได้มีส่วนร่วมในขั้นตอนการผลิตงานออกมาเป็นรูปเล่มมากขึ้น
ก็ขอเอาใจช่วยทั้งสำนักพิมพ์ทั้งนักเขียนที่ริเริ่มลองทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิมนะขอรับ ไม่ถึงกับต้องเปลี่ยนแปลงในระดับปฏิวัติ หรือหวังผลถึงขั้นพลิกวงการปุบปับยกระดับฉับพลัน แค่เขยิบทีละนิด แผ้วถางทีละหน่อย ให้มีพื้นที่และแนวทางใหม่ ๆ สำหรับงานสร้างสรรค์ในตลาดหนังสือเพิ่มขึ้นทีละน้อยก็พอ = v =
     
 
ใครแต่ง : Zore
20 ก.ค. 57
80 %
4 Votes  
#6 REVIEW
 
เห็นด้วย
5
จาก 5 คน 
 
 
ซอมบี้บุกไทย!!

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 16 ก.พ. 54
เท่าที่อ่านมา แม้จะเพิ่งไปได้ไม่กี่บท แต่ก็แสดงจุดเด่นออกมาได้เยอะเลยครับ

บรรยายการฆ่าได้หยดหยองมาก เห็นภาพและลำดับชัดเจน = v ="

การดำเนินเรื่องคาดเดายาก ฆ่าตัวละครกันไม่บันยะบันยังและไม่ปรานีเลยทีเดียว คนที่นึกว่าจะรอดแล้วหรือตัวที่ไม่นึกว่าจะตายก็ฆ่าทิ้งซะอย่างนั้น
ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่แม้จะเหมือนหนังซอมบี้ทั่วไป แต่ท้ายบทก็สร้างความน่าสนใจด้วยการทิ้งคำถามชวนฉงนเอาไว้ (ทำไมไม่กลายเป็นผีดิบ?) และพอบทถัด ๆ มา ปริศนาและคำถามก็ยังถูกหยอดมาเป็นระยะ ๆ ทำให้อยากอ่านต่อไปเรื่อย ๆ

อีกจุดเด่นหนึ่งคือการสร้างอารมณ์ซึ่งสำคัญมากสำหรับเรื่องแนวสยองขวัญ
ไม่รีบร้อนที่จะเข้าฉากนองเลือด แต่ค่อยเป็นค่อยไป ปูบรรยากาศทีละน้อยทำให้พื้นฐานของตัวละครและสภาพรอบด้านจับต้องได้มากพอ จนถึงจุดที่มันพลิกตลบจึงกระชากความรู้สึก เร้าอารมณ์สับสนและหวาดกลัวของคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์นองเลือดฉับพลันได้ดี
แต่ก็เพราะอารมณ์ด้านนี้ทำได้ดี พอเทียบกับอารมณ์อีกด้านซึ่งก็คือความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียคนสำคัญ จึงมองว่ายังให้รายละเอียดน้อยไปบ้าง
แล้วก็เวลาตัวละครกรีดร้อง เจ้าเครื่องหมายตกใจ (!) และ หางเสียง กรี๊ดดดดดด หรือ อ๊ากกกกกกก ใส่ยาวแค่พอประมาณหรือพยายามใช้เป็นการบรรยายแทนน่าจะทำให้ดูขรึมเครียดเข้ากับเรื่องมากกว่าครับ

ความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติม ถ้ามีการเล่นอะไรที่เป็นไทย ๆ หรือใส่บรรยากาศของความเป็นเมืองไทยมากกว่านี้เพื่อให้มีเอกลักษณ์แตกต่างออกไปจากหนังซอมบี้ฮอลลีวู้ดก็จะยอดเลยครับ
     
 
ชื่อเรื่อง :  The Voice Lingering in the Wind
ใครแต่ง : runaway guy
24 ก.ย. 52
80 %
1 Votes  
#7 REVIEW
 
เห็นด้วย
4
จาก 4 คน 
 
 
โลกแฟนตาซีที่ตำนานเหนือจริงเป็นเพียงสิ่งแปลกปลอม

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 14 ก.พ. 54
ผสานยุคเทพนิยายกับยุคปัจจุบันออกมาได้น่าสนใจไม่เลวครับ

เป็นเรื่องสั้นที่แตกออกมาจากเรื่องหลัก แต่มีเนื้อหาเป็นเอกเทศเล่าจบในตัวมันเอง เปิดฉาก ปูพื้นความเป็นมา สร้างปมขัดแย้ง และปิดม่านได้ดี

เรียบเรื่อย ไม่เน้นความหวือหวา แต่สวยงาม การบรรยายไหลลื่นลงตัว ใช้ภาษาถ่ายทอดอารมณ์เศร้า ๆ เหงา ๆ ได้จับใจทีเดียว
     
 
17 เม.ย. 55
80 %
3 Votes  
#8 REVIEW
 
เห็นด้วย
4
จาก 5 คน 
 
 
บทเพลง สุขสันต์ ฝันวัยเยาว์ - สามเรา หม่นเศร้า ปัจจุบัน

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 18 มี.ค. 54
แสดงถึงทักษะการเล่าเรื่องขนาดสั้นที่ดี เลือกกลวิธีในการเล่าได้เข้ากับบรรยากาศที่ต้องการถ่ายทอด แบ่งแต่ละบทออกเป็นสองส่วนแล้วเดินเรื่องตามรอยกัน แต่ขับเน้นให้เห็นภาพของอารมณ์ที่ตัดกันระหว่างความสุขและความทุกข์

ทั้งยังสื่อความรู้สึกของตัวละครออกมาได้พอดี ไม่พยายามเค้น แต่เป็นธรรมชาติ และจบเรื่องราวลงในรูปแบบที่มันควรเป็น
     
 
ใครแต่ง : NewBlood สถาพร
27 มี.ค. 55
80 %
6 Votes  
#9 REVIEW
 
เห็นด้วย
3
จาก 3 คน 
 
 
หอสมุดสรรพศาสตร์ เด็กประหลาดไร้ที่มา หนุ่มเบื่อโลกจอมมุสา ปริศนาแห่งความตาย

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 29 พ.ย. 54
___นามสกุลก็มั่ว ประวัติก็โม้ นิสัยก็แสร้ง อะไร ๆ ก็แต่งขึ้นมา
___ด้วยคุณวุฒิที่เปลี่ยนแปลงแปลกปลอมไปหมดตั้งแต่หัวจรดหางขนาดนี้ หนุ่มหัวหยิก ซาซาไร โฮลแลกติค คงไม่นึกแปลกใจอะไรถ้าการสมัครงานของตนจะคว้าได้แค่คำปฏิเสธ

___...ผ่าน หอสมุดลูเพียสรับเขาเข้าทำงานซะอย่างนั้น รายได้งาม แถมจัดเครื่องแบบกับอุปกรณ์อย่างหรูให้พร้อมอีกด้วยแน่ะ

___แต่...แน่นอน ก็ตามที่เขาสังหรณ์ ผลตอบแทนสูงค่าที่ได้มาง่าย ๆ นั้น...ไม่มีในโลก
___หน้าที่ 'บรรณารักษ์' ของเขามีอะไร ๆ มากกว่าที่คิด
___เพื่อนร่วมงานก็ล้วนแล้วพิลึกคน ถ้าไม่เป็นมิตรเกินเหตุก็มนุษยสัมพันธ์แย่เกินทน เหม็นหน้ากันโดยไม่มีเหตุผล
___วันดีคืนร้าย ดันมีจ๊อบพิเศษ 'เลี้ยงเด็ก' พ่วงมาให้อีกต่างหาก


___แสดงความรู้สึกอย่างเถรตรงสุดลิ่มย่อมนำมาซึ่งความบาดหมาง
___แต่มากมารยาทอย่างสุดโต่งก็อาจกลายเป็น มารยา
___การสื่อสารระหว่างคนเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนหลากแง่มุมเสมอมา


___ซาซาไร โฮลแลกติก เลือกที่จะตัดปัญหา เขาตีหน้าซื่อ ทำตาใส แม้ในใจจะลอบนินทา แหลสดพร้อมฉีกยิ้มเข้าไว้ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์แบบใด
___วิธีนี้ง่ายดายและปลอดภัย ไม่ต้องขัดแย้งกับใคร สามารถใช้ชีวิตปรกติได้ฉลุยราบรื่นไปอีกพักใหญ่ ๆ


___ทว่า ผลลัพธ์จากการแอ๊บแบ๊วกลับไม่เป็นดังคาด มิตรเขาพอมี แต่อริก็รายล้อม
___แม้ไม่หวังให้คนรอบข้างมาสนิทชิดใกล้ แต่ต่อให้ตัดเรื่องนี้ออกไป เขาก็ยังคงรู้สึกค้างคาใจ
___เพราะอะไร เขารู้ แต่คร้านจะยอมรับ
___...ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ใช่จะต้องใช้การเล่นละครเข้าตอบสนองเสมอไป
___...ว่าวิธีการของเขานั้น โดยอีกนัยหนึ่ง มันคือการไม่ใส่ใจ ผ่านเลยต่อความรู้สึกของคนที่พบเจอ ทั้งยังเมินเฉยต่อความนึกคิดของตน
___ไม่เรียนรู้ผู้อื่น และไม่เรียนรู้ตัวเอง


___อันดับแรก ขอชมเชยคุณเซเซ่ผู้แต่ง ที่ทั้งเขียนเรื่องและวาดรูปประกอบเองโดยที่คุณภาพของเนื้อหากับภาพอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ด้อยลงไป ขยันจริง ๆ = v =b
___ก่อนจะได้เปิดอ่าน ต้องบอกว่าเดาแนวของเรื่องนี้ไม่ออกเลย โทนสีของหน้าปกมืดทึมซ่อนเร้นแต่ก็ขับเน้นแสงจากปลายเทียนและจากตัวสุนัขร่างยักษ์ หน้าพินอัพสีสันสดใสแต่ก็แสดงน้ำหนักของเงาเด่นชัด ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็ใกล้เคียงกับสถานที่หลักของนิยายเรื่องนี้...นั่นคือหอสมุด หนึ่งในสถานที่ที่มีภาพลักษณ์ความเป็นขั้วตรงข้ามรวมอยู่ในแห่งเดียว เป็นแหล่งชุมนุมของผู้คนมากหน้าหลายตา มีการเข้าออกเคลื่อนไหว แต่ต้องรักษาความเงียบสงบเป็นสำคัญ เอกสารบันทึกที่เก็บสะสมมีความเก่าแก่โบราณ ขณะเดียวกันก็มีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มพูนสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา
___เรื่องราวในเล่มก็เช่นเดียวกัน เน้นถ่ายทอดอารมณ์ทั้งสองด้าน มีมุกขำขัน เรื่องรักใคร่ ความเบิกบานสว่างไสว และมีความตาย เงื่อนงำดำมืดลึกลับ สลับควบคู่กันไปตลอดทั้งเล่ม

___ยามเมื่อเรากล่าวถึงหอสมุด การยืม-คืน การค้นหา สถานที่นั่งอ่าน ภาพในมุมมองผู้ใช้บริการน่าจะเป็นภาพที่เด่นชัดที่สุด แต่สำหรับเรื่องนี้ ผู้เขียนเลือกจะบอกเล่าถึงฝั่งตรงข้าม การจัดเก็บ การซ่อม การซื้อหนังสือ และยังมีการเขียน ซึ่งเป็นมุมมองของเจ้าของสถานที่แทน โดยถ่ายทอดออกมาในรูประบบการทำงานของบรรณารักษ์ผสมผสานกับความเป็นแฟนตาซี ลูกเล่นต่าง ๆ ที่ใส่ลงในตัวละคร สิ่งของ สถานที่ เป็นไอเดียง่าย ๆ แต่ประกอบกันเป็นภาพลักษณ์ที่จดจำได้ติดตาและน่าสนใจ
___ด้านการเดินเรื่อง ใช้การเล่าผ่านมุมมองของตัวเอก สภาพโลกทัศน์ 'เหนือจริง' ทั้งหลายในเรื่องจะมีทั้งสิ่งที่ 'ธรรมดา' และ 'แปลกใหม่' สำหรับเขา การปรับความรู้สึกตรงนี้ขลุกขลักนิดหน่อยในบทแรก แต่เมื่อได้ข้อมูลมากพอที่จะมองเห็นภาพในบทที่สอง และเมื่อตัวละครสำคัญเปิดตัวในบทที่สาม เนื้อหาก็ลื่นไหลไปจนจบ ผู้เขียนคุมจังหวะในการเดินเรื่องได้สมดุล ไม่มีตรงไหนที่รู้สึกว่าช้าไปหรือเร็วไป ในส่วนของปริศนา ว่าด้วยการรื้อฟื้นอดีตกับความทรงจำที่ขาดหายไปช่วงหนึ่งของซาซาไร ตลอดจนความเป็นมาของเด็กน้อยต่างจักรวาล แบ่งส่วนและจัดลำดับการตั้งคำถามกับเผยคำตอบได้ดี มีจุดที่รู้สึกแย้งกันเล็กน้อย แต่โดยภาพรวม ยังคงเก็บรายละเอียดที่แทรกไว้ตามจุดต่าง ๆ ได้ครบถ้วนตามที่ควรเป็น และนำประเด็นหลักของเรื่องคือ 'ตัวตน' ของคนคนหนึ่งมาเล่นกับบทเฉลย ก่อนจะนำไปสู่บทสรุปปิดท้ายได้อย่างลงตัว = v =b

___โลกของการทำงานที่เราจะได้เพียงนึกเดาหากแค่ฟัง จะได้เพียงคาดการณ์หากแค่ดู แต่จะไม่มีวันรู้ว่าของจริงเป็นอย่างไรจนกว่าจะได้ลงมือทำด้วยตัวเอง กฎระเบียบที่ไม่เข้าใจเหตุผลถึงการมีอยู่ หน้าที่ซึ่งมาอย่างไม่คาดหมายและไม่อาจปฏิเสธ
___สังคมที่เต็มไปด้วยคนหลากประเภท คนที่ตีสนิทกับเราได้ง่ายจนรู้สึกว่าถูกรุกล้ำ คนที่เราเข้าถึงได้ยากจนรู้สึกไม่น่าคบหา ทั้งคนที่เราไม่ชอบหน้า และคนที่ไม่ชอบหน้าเรา
___...เหล่านี้คือภาพที่ Lupius Library สะท้อนออกมา
___ตัวเอกของเรื่องนั้น หากตัดทักษะเหนือมนุษย์ออกไปแล้ว ก็จะกลายเป็นคนธรรมดาสามัญอย่างเรา ๆ มีข้อดีข้อด้อยในนิสัย เอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่นและเห็นแก่ตนในบางกรณี มีข้อกังขาเมื่อต้องพบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย วิถีปฏิบัติที่แตกต่างจากเดิม มีความกังวลเมื่อต้องอยู่ร่วมกับคนที่ไม่เคยรู้จัก เจอกับปัญหาในการปรับตัว
___และอาจเป็นอย่างที่เขากล่าวไว้ในตอนท้าย...สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียง 'ตอนจบ' แต่อยู่ที่ 'ระหว่างเรื่องราว' ได้เรียนรู้อะไร... ดุจเดียวกับในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งไม่มีตอนจบ ตราบที่ชีวิตยังไม่สิ้นสุด เราก็คงยังต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตต่อไป
___ในโลกของนิยาย บทชิงภูตจำลองเป็นเพียงการเริ่มต้น ชีวิตบรรณารักษ์ของนายผมหยิกคงยังมีอีกหลายบทกว่าจะถึงบทอวสาน และถึงแม้ตัวเอกจะพูดอย่างนั้น แต่เชื่อว่าหลายคนที่อ่านจบเล่มนี้ นอกจาก 'เส้นทาง' ที่นายผมหยิกจะก้าวเดินในเล่มต่อ ๆ ไปแล้ว ก็น่าจะยังอยากรู้เช่นกันว่า 'ปลายทาง' ของเขาจะเป็นอย่างไร :P)
     
 
หน้าที่ 1