ไต่จาก 'ระดับซี' ขึ้นไปเป็น 'ระดับเอซ' ที่อายุน้อยที่สุดในวงการ เส้นทางสู่จุดสูงสุดของเขากำลังเบิกกว้างเรืองรอง...ก่อนจะตีบตันมืดมนไปในทันใด
เขาคือคาร์เตอร์ ฮาวล์ อาร์ติแฟกต์ ฮันเตอร์หนุ่มรูปงาม...แต่ไม่งามแล้ว ยอดนักแม่นปืน...ซึ่งสูญเสียสมรรถภาพในการยิง ผู้สุขุมเยือกเย็น...ที่บ่อยครั้งก็เลือดร้อนชอบโวยวาย ขี้น้อยใจ...และก็ขี้บ่นด้วย
ไม่นับข้อหลัง ๆ ที่เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การที่คุณสมบัติข้างต้นของเขาต้องกลายเป็นขาด ๆ หาย ๆ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนคนสับสนในชีวิต สาเหตุก็สืบเนื่องมาจากงานชิ้นล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปหมาด ๆ
แรกเริ่มเดิมที ทั้งหมดที่คาร์เตอร์ต้องลงแรงก็แค่ชักปืนคู่ใจเป่าภูตอารักษ์ทิ้งไปฝูงสองฝูง ติดตั้งกลไกงัดแงะโลงศพสามสี่ชั้นอีกห้าหกนาที เท่านี้ก็ได้ของตรงตามความต้องการผู้จ้างวาน แถมยังมีโอกาสสร้างผลงานเป็นผู้ค้นพบสุสานฟาโรห์กลับไปเสนอสมาคมแลกกับการเลื่อนระดับ แหม งานนี้มันช่างหวานหมู
...หารู้ไม่ ว่านอกจากลาภก้อนโตแล้ว สุสานแห่งนี้ยังมีเคราะห์จังเบ้อเร่อ
...สมบัติคือสิ่งมีค่า
นั่นคือคำจำกัดความที่ทุกผู้คนย่อมเห็นตรงกัน
...ทว่า 'สมบัติ' ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ความหมายของ 'สิ่งมีค่า' ในแต่ละบุคคลจึงแตกต่างกัน หรือตรงข้ามกัน
สำหรับอาร์ติแฟกต์ ฮันเตอร์
วัตถุโบราณ โบราณสถาน คือสิ่งมีค่า
...แล้วคุณค่าอยู่ที่ตรงไหน วัดจากอะไร
สิ่งมีค่าหนึ่งสามารถแลกมาซึ่งอีกสิ่งมีค่าหนึ่ง
เพชรพลอยอัญมณี วัตถุยากเสาะหานานา สามารถนำไปแลกเป็นเงินตรา
เงินตราแลกมาซึ่งความสามารถในการซื้อหา
แลกมาซึ่งความสุขที่ได้ครอบครอง
อาจกล่าวได้ว่า ระดับของคุณค่าขึ้นอยู่กับว่ามันแลกมาซึ่งสิ่งที่เราต้องการมากน้อยเพียงใด
สำหรับคาร์เตอร์ ฮาวล์
วัตถุโบราณ โบราณสถาน ยิ่งเก่าแก่ยิ่งลับแลยิ่งมีค่า พวกมันคือหนทางที่จะนำไปสู่เกียรติ ชื่อเสียง ความภาคภูมิ ขั้นบันไดที่จะพาเขาขึ้นไปเทียบเคียงกับผู้เป็นแม่
ส่วนผู้คน ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคน ยิ่งเพื่อนร่วมทางที่ไร้ประโยชน์แล้ว ไม่มีค่าอะไรเลย
...บางครั้งบางคราว คนเราก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังไขว่คว้าผิดเป้า ตอบไม่ได้ว่านั่นใช่สิ่งที่เราต้องการแน่หรือไม่
...ที่เป็นปัญหายิ่งกว่านั้นคือ ในขณะที่กำลังไล่ตาม 'สิ่งที่เราอาจไม่ได้ต้องการ' อย่างยากลำบาก เรากลับมองข้าม 'สิ่งที่มีค่าสำหรับตนเองอย่างแท้จริง' ไปง่าย ๆ
สำหรับปโตเลเมียส อเดลฟอส
วัตถุโบราณ โบราณสถาน คือบ้านเมืองของเขา คือยุคสมัยของเขา คือสิ่งควรค่าแก่การเคารพบูชา
คือข้อกังขาที่ว่าสิ่งทั้งปวงที่คนทั้งมวลเมื่อวันวานยกย่องให้คุณค่าสูงส่งนั้น ในอีกร้อยปีพันปีให้หลัง อาจกลายเป็นเพียงสิ่งไร้คุณค่ากระนั้นหรือ
หรือมิใช่ มันยังคงมีคุณค่า หากแต่ในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง และในรูปแบบนั้นยังนับเป็นคุณค่าได้รึไม่
...แต่ไม่ว่าจะแตกต่างวิถี มียุคสมัยที่ห่างไกลกันกี่ร้อยกี่พันปี สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน...นอกจากตามหาสิ่งที่มีค่าสำหรับตนเอง คนทุกคนล้วนตามหา 'คุณค่า' ในตัวเอง
สองข้อที่สังเกตได้จากนิยายเรื่องนี้คือ แม้ว่าตัวเอกจะมีคาแร็คเตอร์แบบนิยายวัยรุ่น แต่ประเด็นที่สอดแทรกและบรรยากาศบางส่วนมีกลิ่นอายไปทางนิยายผู้ใหญ่มากอยู่ การดำเนินเรื่องไม่เน้นความฉับไว แต่ให้เนื้อที่กับการปูพื้นเรื่องนานพอควร การแบ่งช่วงตอนก็ค่อนข้างยาว จำนวนหน้าในแต่ละบทเยอะกว่านิยายวัยรุ่นของไทยโดยทั่วไป
อีกข้อคือเรื่องของข้อมูล ผู้เขียนให้ความสำคัญกับจุดนี้มาก เห็นได้ว่าค้นข้อมูลมาเยอะ นำเสนอวัฒนธรรมที่ยกมาใช้ประกอบเรื่อง...โดยในเล่มแรกนี้คืออียิปต์...ได้ชัดเจน ไม่ลอย ๆ เลือน ๆ หรืออ่านปุ๊บทะ
ปั๊บว่านั่งเทียน เพียงแต่ตอนที่อ่านอาจต้องตั้งใจเก็บรายละเอียดพอสมควร เพราะอ้างอิงถึงภาษา สิ่งของ และสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคย (สำหรับผม พูดถึงอียิปต์นึกออกแค่ปิรามิดกับสฟิงซ์ :P) แต่ก็ทดแทนด้วยการใช้ภาษาซึ่งเรียบเรียงและบรรยายให้เห็นภาพได้ดี โดยเฉพาะกลไกกับดักในสุสานช่วงไคลแม็กซ์ ชอบมาก
เนื้อหาโดยหลักเป็นการผจญภัยสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ตะลุยด่านไขปัญหา ยิงหมาฆ่าฮิปโป บวกมุกล้อเลียนจิกกัดกับความขี้บ่นได้โล่ของพระเอก โดยรองเป็นการขับเคี่ยวกันด้วยอำนาจพิเศษของวัตถุโบราณ หรือที่ในเรื่องเรียกว่า 'อาร์ติแฟกต์' ซึ่งผู้เขียนนำเอาของวิเศษในตำนานของประเทศต่าง ๆ มาดัดแปลง ในเล่มแรกนี้ออกมาให้เห็นแค่ไม่กี่ชิ้น แต่ในตอนจบเล่มทิ้งท้ายด้วยการเกริ่นถึงกลุ่มตัวละครที่น่าจะเป็นหลักสำคัญของเรื่องหลายตัว เล่มต่อ ๆ ไปจึงคิดว่าน่าจะมีอาร์ติแฟกต์โผล่มาอีกเยอะ และเหมือนกับว่าตัวเอกก็เปลี่ยนประเทศที่ไปลุยด้วย ตำนานคนและของวิเศษก็ย่อมจะเปลี่ยนตาม น่าสนใจว่าคนเขียนจะหยิบอะไรจากตำนานของประเทศนั้น ๆ มาเล่นอีก (โดยส่วนตัว อยากเห็นคาร์เตอร์มาหาอาร์ติแฟกต์ที่ประเทศไทย ...ถ้ามีนะ = v =)
นอกจากเรื่องของวิเศษ ตลอดทั้งเล่มยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย อ้างอิงเรื่องเล่า แปลง 'ชื่อ' ที่หยิบยกมาจากสิ่งต่าง ๆ ให้แปร่งไปจากเดิม ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่ารู้จักของจริงหรือตำนานจริงที่ยกมามากแค่ไหน ใครรู้จักเยอะก็อินและฮามากหน่อย = v =
The Artifact Hunter มีตัวละครและวิธีเดินเรื่องตามรูปแบบนิยมแต่ก็แอบล้อขนบอยู่เนือง ๆ มีความซับซ้อนแต่ก็ไม่ถึงกับอ่านยาก มีความแปลกแต่ก็ไม่แหวกจนแหกโค้งหลุดออกทะเลทั้ง ๆ ยังอยู่บนบก ดูเหมือนผู้เขียนพยายามปรับแต่งหาจุดลงตัวระหว่างแนวมาตรฐาน (หรือที่มักเรียกกันว่าแนวตลาด) กับความแปลกใหม่ แม้จะมีบางจุดที่ผสมได้ไม่เป็นเนื้อเดียวกันนัก แต่ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าติดตามดูกันต่อไป
พูดถึงการหาจุดที่ลงตัวแล้ว ในด้านรูปเล่ม ก็เห็นได้ว่านิยายจากโครงการนี้ต่างไปจากที่เคยเล็กน้อย นั่นคือมีภาพประกอบ
ช่วงหลัง ๆ นิยายของไทยที่ได้เปิดผ่านตามีองค์ประกอบข้อนี้ให้เห็นมากขึ้น โดยส่วนตัวแล้ว เนื่องจากชอบทั้งเขียนทั้งวาด อ่านทั้งนิยายและการ์ตูน ไม่ได้รู้สึกขัดข้องอะไรที่เห็นมันขยับเข้าหากัน ขอแค่ 'นิยาย' ยังคงความสมบูรณ์ในตัวเอง กล่าวคือภาพวาดมีเพื่อเสริมสร้างความสวยงามหรือความแปลกตา ส่วนตัวอักษรยังสามารถเล่าเรื่องครบถ้วน และถ่ายทอดเรื่องราวในแบบของมัน อาจจะมีลักษณะเฉพาะทางการ์ตูนโผล่มาบ้าง แต่ไม่ได้มากเกินไปจนเสียความเป็นนิยายเท่านั้นก็พอ
จากที่ได้พบนิธินทร์ผู้เขียนกับคุณ บ.ก.ของโครงการ (ซึ่งอายุน้อยกว่าที่คิด = v =) เห็นว่าเล่มต่อไปก็เริ่มเขียนทรีตเมนต์กันแล้ว (โอ้ พระเจ้ากล้วย ฟิตกันเหลือเกิน) นึกว่าจะแค่ใช้เพื่อคัดเลือกตอนประกวดแค่นั้นซะอีก แอบตกใจแต่ก็คิดว่าเข้าท่าดีที่ยังคงยึดถือการทำงานเป็นระบบไว้
ในด้านของนักเขียน แน่นอนว่าต้องการถ่ายทอดความเป็นตัวเองและสิ่งที่ชอบให้มากที่สุด แต่ในด้านของสำนักพิมพ์นั้น ก็มีความจริงข้อหนึ่งซึ่งปฏิเสธไม่ได้ ดังเช่นประโยคหนึ่งที่แอ็กเซล พ่อของคาเตอร์ได้พูดไว้ "จะทำขายก็ต้องให้ถูกปากคนซื้อมาก ๆ ล่ะนะ" การสร้างระบบที่ทั้งสองฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนมุมมองช่วยกันออกความเห็นจึงนับเป็นสัญญาณที่ดี นักเขียนได้รับรู้ความคิดความต้องการของทางสำนักพิมพ์ และกลับกัน ตัวนักเขียนเองก็ได้มีส่วนร่วมในขั้นตอนการผลิตงานออกมาเป็นรูปเล่มมากขึ้น
ก็ขอเอาใจช่วยทั้งสำนักพิมพ์ทั้งนักเขียนที่ริเริ่มลองทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิมนะขอรับ ไม่ถึงกับต้องเปลี่ยนแปลงในระดับปฏิวัติ หรือหวังผลถึงขั้นพลิกวงการปุบปับยกระดับฉับพลัน แค่เขยิบทีละนิด แผ้วถางทีละหน่อย ให้มีพื้นที่และแนวทางใหม่ ๆ สำหรับงานสร้างสรรค์ในตลาดหนังสือเพิ่มขึ้นทีละน้อยก็พอ = v =