ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Mandrake Hero(ine) - ผู้กล้าพืชป่วน ยกก๊วนปราบมังกร

    ลำดับตอนที่ #8 : 6 - จอมมารกับแผนการ - “แด่คุณหนูแสนน่ารัก”

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 523
      1
      12 ธ.ค. 53

     

    บทที่ 6

    จอมมารกับแผนการ

     

    เทียบกับช่วงเช้าและช่วงสายอันสับสนวุ่นวาย ยามบ่ายของร้านตีเหล็กถือได้ว่าสงบเงียบเป็นปรกติดี

    เฮลิออสไปจัดการหาโรงแรมที่พักในคืนนี้ เสบียง และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ถึงแม้ว่ามาเทียสจะคะยั้นคะยอให้ผู้กล้ามาพักที่บ้านของเขา ลูกศิษย์ทั้งสองของแม่มดทมิฬก็กลับหอคอยไปแล้ว ส่วนเมลิสไม่รอช้าที่จะพาอาเน่ไปเล่นกับฟรานซิสที่บ้านของเด็กชาย ด้วยเหตุทั้งหมดนั้น ในเวลานี้จึงมีแต่ช่างตีเหล็กอยู่ที่ร้านคนเดียว กับฝูงสัตว์เลี้ยงอีกสิบสองชีวิต อันประกอบด้วยสไลม์เจ็ด ซาลาแมนเดอร์หนึ่ง ห่านหนึ่ง แมวหนึ่ง และสุนัขอีกสอง

    เขานำแท่งโลหะเนื้อยืดหยุ่นแต่ทนทานมาทำส่วนเข็มอันใหม่ให้เข็มกลัดของนายจ้างเสร็จในเวลาไม่นาน และเริ่มคิดว่าตนควรจะจัดการดูแลดาบใหญ่ตามหน้าที่ใหม่ๆ หมาดๆ ดีหรือไม่

    พูดตามตรง มาเทียสเคยแตะงานอาวุธแค่นับครั้งได้ เขาจึงไม่อาจห้ามความประหม่า...เช่นเดียวกับอยากรู้อยากเห็น แกรมเป็นดาบในตำนานที่ผู้กล้าซิกฟรีดเคยใช้สังหารมังกรร้ายฟาฟเนียร์...เด็กแทบทุกคนในอิลลูเซียรู้ประวัติศาสตร์ข้อนี้กันทั้งสิ้น

    ดาบในตำนานจะแตกต่างจากดาบทั่วไปอย่างไรกันนะ

    รู้ตัวอีกที ชายหนุ่มก็ยืนอยู่ตรงหน้าดาบที่ห่อผ้ากำมะหยี่อย่างดีบนโต๊ะ แซะตราครั่งประจำราชวงศ์ของมิโทเซียออก คลายเกลียวไหม คลี่ผืนผ้า

    ...เผยเนื้อเหล็กเงางามสีเงิน...

    ด้ามดาบทำเป็นรูปมังกรสยายปีก ปากอ้าแสยะพ่นไฟออกมาเป็นรอยสลักเปลวไหวพลิ้วบนโคนดาบ ดวงตาทั้งสองของมังกรเป็นแก้วสีแดงสุกสกาว มีบางสิ่งหมุนวนอยู่ภายใน แลประหนึ่งมีชีวิต

    น่าสัมผัสจับต้อง น่าทดลอง... มือของมาเทียสค่อยๆ เอื้อมออกไป

    เสียงกระแอม

    ช่างตีเหล็กสะดุ้ง รีบดึงชายผ้ากำมะหยี่มาคลุมดาบสำคัญ แล้วจึงหันไปพบชายในชุดชาวไร่สวมหมวกฟางยืนอยู่ไม่ไกล

    ช่างตีเหล็ก เคียวข้าบิ่น ซ่อมหน่อยสิ

    ลูกค้าใหม่พูดพลางโบกของในมือไปมา

    ขอรับ เจ้าของร้านเดินเข้าไปต้อนรับ...แม้จะนึกสงสัยอยู่บ้างที่อีกฝ่ายเข้ามาข้างในร้านได้ โดยเจ้าหลงกับเจ้าโฮ่งไม่เห่าบอกเขาเลยแม้แต่น้อย

    และเมื่อรับของที่ต้องจัดการมา มาเทียสก็พลิกมันดูอย่างประหลาดใจ เขาขมวดคิ้วและอดถามไม่ได้

    ท่านเอาเคียวไปตัดอะไรมาหรือ

    ทำไมหรือ

    ก็...เวลานี้ต้นฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยว แล้วรอยบิ่นก็ค่อนข้างใหม่ช่างตีเหล็กให้เหตุผล แต่ถ้าฟังเหมือนละลาบละล้วงก็ขออภัยด้วย

    อ๋อ ชาวสวมหมวกฟางพยักหน้าช้าๆ ก่อนน้ำเสียงจะฟังลังเลแผ่วเบา ไม่หรอก แต่บอกตามจริงแล้ว ท่านคงไม่แจ้งทางการมาจับข้าหรอกนะ

    หือ...ทำไมหรือ

    ลูกค้าดึงชายหมวกลงปิดบังใบหน้า

    ข้าเพิ่งเอามันไปตัดคอคนมา

    ... มาเทียสทำสีหน้าไม่ถูก

    ข้าพูดจริง ฉับเดียวขาดกระจุย เลือดสาดกระจาย เขาวาดนิ้วลากผ่านคอของตนโดยเร็ว

    ...ชาวพาร์ฟรับมุกหน้าตายแบบนี้ไม่เป็นหรอกนะท่าน ช่างตีเหล็กพยายามยิ้มแห้งๆ

    หือ...แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่ชาวเมืองนี้ ชายในชุดชาวไร่ตั้งคำถาม ข้าอาจจะอยู่แถวไร่ฟากตะวันออก เลยใช้บริการร้านตีเหล็กของฟอร์เกสมาตลอด เพิ่งมาแวะร้านท่านเป็นครั้งแรกเพราะท่านฟอร์เกสไม่สบายเลยปิดร้านก็ได้

    หา...อาจารย์ไม่สบาย มาเทียสเลิกคิ้ว แล้ว...

    ไม่เป็นไรมากหรอก แค่ไข้เปลี่ยนฤดู แอนนาลีกำลังดูแลอยู่ ว่าไป นางเพิ่งถามถึงท่านด้วย มาเทียส เห็นนางว่า...หมู่นี้ท่านไม่ได้แวะไปเลย

    เจ้าของร้านรู้สึกเหมือนใบหน้าร้อนขึ้นกะทันหัน ก่อนจะรีบกลบด้วยความคิดว่า...ก่อนออกเดินทางเช้าพรุ่งนี้ เขาควรจะแวะไปลาอาจารย์ พร้อมทั้งนำของเยี่ยมไปให้สักหน่อย

    นั่นสิ เมื่อปลายฤดูหนาวข้าก็มีแต่เรื่องยุ่งๆ ขอบคุณที่ท่านนำข่าวมาบอกนะ ท่าน...

    โยวา อีกฝ่ายยื่นมือออกมาข้างหน้า และชายหนุ่มก็จับมันไว้

    ยินดีที่ได้รู้จัก ท่านโยวา

    เช่นกัน

    เสร็จสิ้นการแนะนำตัวแล้ว มาเทียสจึงหันมาดูเคียวที่ตนต้องซ่อมอีกครั้ง โดยไม่ใคร่ติดใจจะถามหาความจริงอีก ว่ามันบิ่นมาจากอะไร

    ข้าว่าคงใช้เวลาสักครึ่งชั่วยาม ท่านโยวานั่งดื่มชากินขนมก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปจัดมาให้

    ช่างตีเหล็กวางเคียวลงบนโต๊ะ แล้วก็มุ่งหน้าไปเข้าครัว

    เขาจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มประหลาดบนริมฝีปากของ โยวา ขณะที่ชายสวมหมวกฟางทอดสายตาไปยังดาบพิฆาตมังกร ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะโดยมีเพียงผ้าคลุมไว้อย่างลวกๆ ...

     

    * * * * *

     

    โอ้โห

    เมลิสชะโงกเข้าไปดูภาพบนผืนผ้าใบ เห็นเด็กหญิงที่หน้าตาเหมือนอาเน่ ในชุดกระโปรงกับหมวกลูกไม้ กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ ถือก้านดอกทิวลิปสีชมพูซึ่งมีดอกใหญ่ประมาณศีรษะของตนไว้ แม้ยังไม่ได้ใส่รายละเอียดจนเสร็จสิ้น ก็ให้ความรู้สึกหวานและนุ่มนวลเหมือนภูตพรายในความฝัน

    คนวาดรูปสะกิดแขนของเธอ เรียกให้น้องสาวช่างตีเหล็กก้มหน้าลงมอง

    ...ถอยออกไปก่อน เงาเจ้าตกบนผ้าใบ... เขาพูดหน้าตาย

    แหม ก็ข้าอยากดูนี่ เด็กหญิงทำแก้มป่อง ครู่เดียวก็ไม่ได้หรือ

    ...ข้าวาดรูปนี้ให้เจ้า พอเสร็จแล้วเจ้าจะดูนานเท่าไรก็ได้น่า...

    พูดเสร็จแล้ว ฟรานซิสก็หันไปทางแบบ ก่อนจะพยักพเยิดให้เมลิสมองตาม เห็นเด็กผมเขียวตัวจิ๋วทำหน้าง้ำ สองไหล่ยกเกร็ง

    ...ข้าเมื่อยแล้วนะ จะเสร็จหรือยัง...

    เด็กชายหันไปตอบอะไรสักอย่างกับอาเน่ ครั้นแล้วก็หันกลับมาทางเด็กหญิง

    ...วันนี้พอก่อนได้นะ เหลือแค่ลงรายละเอียดสี ไว้พาอาเน่มาเป็นแบบให้ข้าวันหลังก็ได้... เขาวางจานสีกับพู่กัน เช็ดมือ แล้วก็ขยับแว่น ...อีกประเดี๋ยว ท่านหมอซิลเวียจะมาฟื้นฟูขาให้ข้า ไม่นานก็ต้องเลิกอยู่ดี...

    เมลิสมองนาฬิกาบนผนังแล้วก็ตระหนักได้ตามนั้น เธอจึงพยักหน้า แล้วตรงไปอุ้มอาเน่ขึ้นมาใส่ตะกร้า เหมือนตอนเดินทางมาหาฟรานซิสที่ร้านวาดภาพเป็นครั้งที่สองในยามบ่าย จากนั้นจึงบอกลา

    ที่จริง ใช่ว่าเด็กหญิงไม่อยากให้เด็กผมเขียวได้เห็นสิ่งต่างๆ ในเมืองสะดวก หรือไม่อยากให้ออกมาเดินชมเมืองด้วยตนเอง แต่พี่ชายของเธอยังกำชับว่าอาเน่เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดสำหรับใครหลายๆ คน หากไม่เก็บเป็นความลับไว้ก่อน ก็อาจมีคนที่คิดจะลักตัวเด็กจิ๋วไปทำอันตรายต่างๆ นานา ...เหมือนอย่างแม่มดทมิฬ

    ในช่วงนี้ เมลิสก็เห็นด้วยว่าคงมีแต่คนที่พวกเขาไว้ใจเท่านั้นที่จะยอมให้รู้เรื่องของอาเน่ได้ ที่มาของเด็กหญิงจิ๋วยังคลุมเครือ จะส่งเนื้อเยื่อไปให้ศูนย์วิจัยเวทมนตร์ดูก็เกรงจะถูกพวกเขาเห็นเป็นของประหลาดที่ต้องเอาตัวไปตรวจสอบ

    แต่เอาเถิด ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หลังจากพรุ่งนี้พี่แมทคงไม่ได้อยู่บ้านไปอีกสักพัก ส่วนเธอเองคงมาค้างที่บ้านของฟรานซิสซึ่งมีห้องว่างอยู่ โดยเทียวไปดูแลสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ที่ร้านตีเหล็กบ้าง ที่บ้านไม่มีของมีค่าอะไรให้กลัวว่าจะถูกลักขโมยอยู่แล้ว

    เด็กหญิงเดินหิ้วตะกร้าใส่อาเน่ เดินฮัมเพลงกลับบ้าน หมายว่าจะเล่าให้พี่ชายฟัง ...ว่าฟรานซิสวาดภาพเหมือนของอาเน่ และภาพนั้นสวยงามน่ารักอย่างไรบ้าง

    แต่เมลิสไม่รู้เลย ว่าพี่ชายของเธอไม่ได้อยู่ที่นั่น

    และเธอกำลังจะพบเรื่องใหญ่หลวงเกินคาดคิดที่บ้านของตนนั่นเอง

    ...อ้าว สวัสดี หนูเมลิส... ชายสวมชุดชาวไร่ซึ่งเด็กหญิงแน่ใจว่าไม่รู้จักเอ่ยทักเธอ ซ้ำยังถอดหมวกฟางออกโค้งให้อย่างสุภาพบุรุษ ...พี่ชายเจ้าออกไปข้างนอกน่ะ อีกสักครู่คงกลับมา...

    เมลิสกะพริบตาปริบๆ เมื่อเขามองเธอตลอดการสนทนา ซ้ำทำรูปปากให้มองเห็นได้ชัดเจน ราวกับรู้อาการผิดปรกติของเธอมาก่อนหน้านี้แล้ว

    ท่านเป็นคนรู้จักของพี่หรือคะ เด็กหญิงตั้งคำถาม

    ...อือม์ จะว่าอย่างนั้นก็ได้... อีกฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้ม ...ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันเมื่อครู่ก็เถอะ ข้าชื่อโยวา อยู่ที่ฟากตะวันออกของเมือง เป็นคนรู้จักของท่านฟอร์เกส...

    อ๋อ เมลิสพยักหน้า แล้วพี่แมทละคะ

    ...ข้ามาให้เขาซ่อมเคียวให้ ที่จริงมันก็แค่บิ่น แต่ไปๆ มาๆ ดูเหมือนด้ามจะหลวมด้วย ข้าต้องรีบใช้ เขาก็กลัวเป็นอันตราย เลยบอกว่าจะขันหมุดให้ใหม่ แล้วหมุดที่ร้านนี้ก็เกิดหมดพอดี... โยวาบอก ...ทีแรกข้าก็บอกว่าไม่เป็นไร ไว้ท่านฟอร์เกสหายไข้แล้วข้าค่อยเอาไปให้เขาซ่อมก็ได้ แต่พี่เจ้าได้ยินว่าท่านฟอร์เกสไม่สบายก็อยู่เฉยไม่ได้ จัดของเยี่ยมไปให้ จะได้เลยไปซื้อหมุดเพิ่มด้วย แล้วเขาก็บอกให้ข้ารออยู่ที่นี่ ถ้าข้าไม่รีบอะไร...

    ...อย่างนี้นี่เอง...

    เด็กหญิงพยักหน้ารับ แล้วก็บอกให้แขกกึ่งลูกค้าทำตัวตามสบาย เธออาสาจะจัดขนมกับน้ำชาให้เขา ทว่าเขาปฏิเสธ โดยบอกว่าพี่ชายของเธอจัดมาให้ชุดหนึ่ง และเขาก็รับประทานเรียบร้อยแล้ว

    ตามหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี เมลิสคิดว่าตนคงต้องพาอาเน่ขึ้นไปพักบนห้อง แล้วลงมาอยู่เป็นเพื่อนคุยของโยวา ที่จริงเด็กหญิงอยากอยู่กับอาเน่ แต่เด็กผมเขียวอ่านหนังสือได้ ดังนั้นคงไม่เป็นไร แล้วฟรานซิสก็อุตส่าห์ให้ยืมหนังสือสนุกๆ มาตั้งหลายเล่ม เพื่อให้เพื่อนใหม่ของทั้งสองได้อ่านโดยเฉพาะ

    น้องสาวช่างตีเหล็กจึงได้เอ่ยขอตัวสักครู่หนึ่ง และไม่ช้าก็กลับลงมา

     

    * * * * *

    ...ประกวดชุดของเทพธิดาประจำเทศกาลฤดูใบไม้ผลิอย่างนั้นหรือ...

    ขณะใช้แท่งถ่านขีดเขียนบนกระดาษร่างแบบเสื้อผ้า หญิงสาวก็ปล่อยตนเองไปกับความฝัน เธออยากได้ผ้าที่ทำจากฝ้ายขนแกะเมืองอินดิก้า แล้วก็สีย้อมจากกุหลาบหมอก มัดย้อมดีๆ น่าจะได้สีแดงชมพูที่จางไล่ลงไปจนเป็นปลายสีขาว และมีลวดลายเหมือนพิมพ์ดอกกุหลาบบนผืนผ้าได้ไม่ยาก ...จากนั้นก็ตัดเย็บ ท่อนบนเป็นเสื้อเปิดไหล่ข้างหนึ่งสีเขียว ตัดปลายเสื้อให้เป็นหยัก ย้อมแดงเหมือนกลีบเลี้ยงดอกกุหลาบ ทิ้งชายกระโปรงสีชมพูกุหลาบพลิ้วบานหลายๆ ผืนเหมือนกลีบดอกไม้ ประดับดอกกุหลาบสด แบบนี้จะชนะการประกวดเทศกาลประจำภูมิภาคได้ไหมนะ

    แต่ก็นั่นเอง ผ้าฝ้ายขนแกะจากอินดิก้าเป็นของชั้นเลิศราคาแพง เนื่องจากต้นฝ้ายพันธุ์นั้นไม่อาจปลูกได้ในอิลลูเซีย หากจะซื้อก็ต้องไปหาตามเมืองท่าการค้าใหญ่ๆ อย่างพรีม่า...ซึ่งเทียบดูแล้วค่าเดินทางไปเองยังน่าจะถูกกว่าสั่งซื้อผ่านสมาคมการค้าผ้าของพาร์ฟ ทว่าเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ พ่อแม่ของเธอไม่มีวันยอมให้เธอเดินทางไปไกลขนาดนั้นเป็นอันขาด ท่านตายิ่งไม่ต้องพูดถึง

    แล้วยังเรื่องงบประมาณ...คณะกรรมการสมาคมเมืองคงมีอันสั่นศีรษะเป็นทิวแถวกับค่าวัตถุดิบที่บานปลาย ต่อให้เธอบอกว่าลงทุนเพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่เมืองพาร์ฟ...ชิงสิทธิ์ในการเป็นเมืองเจ้าภาพจัดงานเทศกาลเก็บเกี่ยวของภูมิภาคมาให้ได้เป็นครั้งแรกก็เถอะ

    หญิงสาวถอนใจอยู่หน้าจักรเย็บผ้า และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงประสบการณ์ไม่สู้ดี ปีที่แล้วชุดประกวดของพาร์ฟแพ้ย่อยยับ คำวิจารณ์สาดเทมาว่าเนื้อผ้าราคาถูกเกินไป แบบชุดเรียบไม่น่าสนใจเกินไป ดูเหมือนชุดหญิงชาวไร่มากกว่าเทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ มิหนำซ้ำ...ชุดอย่างนี้ตกยุคล้าสมัยไปแล้ว คณะกรรมการต้องการ รูปลักษณ์ขององค์เทพีที่ดูแปลกใหม่

    ใครๆ ที่พาร์ฟล้วนปลอบว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว แต่แอนนาลีก็อดโทษตนเองไม่ได้ ที่จริงปีนี้เธอไม่ควรได้รับผิดชอบงานนี้อีก ถึงอย่างนั้น ท่านเจ้าเมืองกับบุตรสาวที่เป็นลูกค้าประจำก็บอกว่าไม่มีช่างตัดเสื้อคนไหนในเมืองที่ออกแบบชุดสตรีวัยสาวได้สวยงามกว่าเธออีกแล้ว หน้าที่ของเธอก็มีเพียงทำให้สุดฝีมือ นอกจากนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาก็พอ

    ...แต่ข้าก็อยากมีโชคดีกว่านี้บ้างหรอกนะ... ช่างตัดเสื้อนึกในใจ ...ถ้าเพียงแต่...เทพีประจำฤดูใบไม้ผลิปรากฏตัวให้ดูจริงๆ ก็ดีสิ...

    เสียงกระดิ่งที่หน้าร้าน

    หญิงสาวเงยหน้าขึ้น หมายจะทักทายลูกค้า แต่กลับพบบุคคลไม่คาดฝัน...ร้อยวันพันปีเธอไม่คิดว่าเขาจะเข้าร้านตัดเสื้อ โดยเฉพาะร้านของเธอ

    มาเทียส!” เธอทัก ไม่ได้เจอกันเสียนาน ลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะ

    ชายหนุ่มยังคงแต่งกายไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม เสื้อเก่าสำหรับทำงาน มีรอยไหม้ และคราบเขม่าจากควันไฟเปื้อนตรงนั้นตรงนี้ แอนนาลีมองแล้วก็แอบอมยิ้มอยู่ในใจ...ดีที่วันนี้เขาไม่เร่งรีบกระทั่งลืมถอดผ้ากันเปื้อน

    ช่างตีเหล็กผู้ถูกทักนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงตั้งสติเอ่ยขึ้นได้

    แอนนาลี ทำไมวันนี้เจ้าเปิดร้าน ท่านฟอร์เกสไม่สบายไม่ใช่หรือ

    หือม์? อีกฝ่ายกลับเลิกคิ้ว ใครบอกเจ้า วันนี้ท่านตาสบายดี ยังตีเหล็กอยู่แต่เช้าเลย

    ร้านไม่ได้ปิด?

    ก็ไม่ได้ปิดน่ะสิ ทำไมถึงคิดว่าท่านตาไม่สบายจนปิดร้านล่ะหญิงสาวลุกจากหน้าจักรเย็บผ้า แล้วเหลือบมองตะกร้าที่ผู้มาเยือนถืออยู่อย่างรู้ดี อ๊ะ แต่ถ้าของเยี่ยมไม่ใช่ข้าวต้ม ท่านตาก็ยินดีรับนะ เจ้านั่งก่อนสิ ข้าได้ชากุหลาบจากดามัสก์มา มาดื่มด้วยกัน

    ก็โยวาบอกข้ามาว่าอย่างนั้น เสียงของชายหนุ่มยังงุนงง

    โยวา? แอนนาลีขมวดคิ้ว หันกลับมาทันควัน โยวาไหน?”

    เจ้าไม่รู้จักเขาหรือ

    หญิงสาวยิ้มแห้งๆ พร้อมกับยักไหล่

    ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าโยวาคนไหน ที่นี่มีคนชื่อโยวาอยู่เป็นสิบได้กระมัง ...อย่างน้อยที่ชอบมาวอแวถึงร้านตัดเสื้อก็มีตั้งสามคนได้แล้ว

    อ้าว! แล้วอาจารย์ไม่ปรามเขาบ้างหรือ สีหน้าขมวดคิ้วของชายหนุ่มทำเอาช่างตัดเสื้อแทบตัวลอย พ่อเจ้าด้วย

    ทั้งสองคนก็มีงานต้องทำกันทั้งนั้น แต่ท่านตาบอกนะ ว่าอายุท่านก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว จะให้มานั่งทำหน้ายักษ์หน้ามารกันใครเข้าใกล้ข้าอยู่ตลอดเวลา...ก็เหนื่อยหัวใจเกินไป สู้ฝากหน้าที่นี้ให้คนหนุ่มสักคนที่ไว้ใจได้จะดีกว่า แอนนาลีลอบชายตา ถ้าเพียงแต่เขาจะแวะมาบ่อยๆ บ้างก็ดีหรอก

    มาเทียสดูเหมือนจะหน้าแดงขึ้นนิดหน่อย และก้มหน้าลงพูดอ้อมแอ้ม

    ขอโทษนะ ช่วงหน้าหนาวมีพายุ ข้ากับเมลิสเลยไม่ค่อยได้ออกนอกบ้าน พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็ต้องซ่อมแซมหลังคากับรั้วที่พัง แล้วก็รับงานพวกไถกับจอบเข้ามาเยอะ เลยไม่ได้มาเยี่ยมอาจารย์เสียที อย่างน้อยก็ยังดีที่มาวันนี้ เพราะพรุ่งนี้ข้าก็ต้องเดินทางไปพรีม่า—“

    พรีม่า!” แอนนาลีรับอย่างดีใจทันที เจ้าจะไปพรีม่าหรือ! พอดีเลย! ...ว่าแต่จะไปทำไมหรือ

    และหญิงสาวก็ไม่รีรอเลยที่จะซักถามเหตุแห่งการเดินทางของชายหนุ่มอย่างกระตือรือร้น ...โดยลืมเรื่องของ โยวา ที่มาเทียสเอ่ยถึงไปเสียสนิท

    แอนนาลีพูดปด เธอไม่รู้จักผู้ชายชื่อโยวาเลยแม้แต่คนเดียว

     

    * * * * *

     

    ...ช่างเป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ ...

    โยวานึกในใจขณะนั่งคุยกับเด็กหญิง พร้อมกันนั้นก็นึกต่อไป... ไม่เสียเที่ยวเลยที่เขาเปลี่ยนแผนการ และรอพบ น้องสาวคนเดียว ที่ช่างตีเหล็กพูดถึงด้วยน้ำเสียงทั้งห่วงใยและเอ็นดูเสียก่อน

    ทีแรก เขาคิดว่าเพียงวางคำสาปไว้ที่ดาบพิฆาตมังกรก็เพียงพอแล้ว แต่ในเมื่อเด็กหญิงเมลิสน่ารักเช่นนี้ ชายหนุ่มก็นึกอยากพาเธอไปเป็นตัวประกัน อีกคน ดูทีรึว่าทั้งอัศวินผู้กล้า ช่างตีเหล็ก และมนุษย์แมนเดรกจะทำอย่างไรกันต่อไป

    ว่าไป เจ้ามีเหรียญให้ข้ายืมไหมชายสวมหมวกฟางตั้งคำถาม

    เด็กหญิงกะพริบตาปริบๆ กับคำขอปุบปับ แต่ก็พยักหน้า และหยิบถุงเงินขึ้นมาเปิดดูแต่โดยดี

    กี่เกลคะ

    กี่เกลก็ได้ ถ้าจะให้ดี ขอเหรียญเก่าๆ ใหญ่ๆ หน่อย

    เหรียญหนึ่งเกลที่เมลิสส่งให้เขาเก่าสมคำขอ สีทองแดงของมันด้าน แถมลายพิมพ์บนเหรียญดูเหมือนจะสึกไปพอสมควร

    จะเอาไปทำอะไรหรือคะ น้องสาวช่างตีเหล็กตั้งคำถาม

    อือม์...ก็ทำแบบนี้น่ะสิ

    ครั้นแล้ว โยวาก็กำเหรียญและตวัดมืออย่างรวดเร็ว

    เมื่อเขาแบมืออีกครั้ง สิ่งที่อยู่บนนั้นก็ไม่ใช่เหรียญเก่าๆ อีกต่อไป

    แด่คุณหนูแสนน่ารัก ชายสวมหมวกฟางส่งดอกไม้สีม่วงดอกโตให้กับมือของเด็กหญิง ซึ่งรับมันมาด้วยดวงตาเป็นประกาย

    สวยจัง! แล้วยังหอมด้วย... เมลิสจรดจมูกกับดอกไม้ และสูดกลิ่นหอมเข้าไปเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ให้ นี่ดอกอะไรหรือคะ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

    โอ้ เป็นดอกไม้จากแดนไกล เขาเรียกกันว่า บุปผากัญญางาม’” ชายหนุ่มอธิบายยิ้มๆ มีสรรพคุณทางยาด้วยนะ

    คะ? เด็กหญิงรับอย่างสงสัย นัยน์ตาของเธอเริ่มหรี่ปรือ

    มันเป็นดอกไม้ที่ก่อให้เกิด...นิทราอันแสนหวานยังไงล่ะ

    บุปผากัญญางามร่วงลงสู่พื้น...พร้อมกับที่โยวากางอ้อมแขนออกรับร่างของเด็กหญิงไว้อย่างทะนุถนอม

    หลับฝันดีนะ เจ้าหญิงน้อย เขาขยับหมวกฟาง พลางยิ้มให้กับร่างเล็กๆ ที่ไม่อาจมองเห็นริมฝีปากซึ่งเอ่ยถ้อยเหล่านั้น

     

    * * * * *

     

    คนเขียนขอคุย

     

    และแล้วท่านจอมมารก็ได้ออกโรงเต็มรูปแบบ ถึงจะมาในชุดชาวไร่ถือเคียว (อันสำมะคัญ) เลยก็เถอะ ^^a

    พร้อมกันนั้น เราก็ได้ตัวละครใหม่มาหนึ่งตัว แอนนาลี นี่ก็เป็นสาวที่ผมชอบคนนึง อดรู้สึกไม่ได้ว่าเพราะไม่ค่อยเห็นเรื่องแนวแฟนตาซีพูดถึงช่างตัดเสื้อมากด้วยมั้งครับ (หรือเป็นเพราะเสื้อผ้าของเหล่าผู้กล้าทนทายาด สวมแค่ชุดหรือสองชุดตลอดจนจะจบเรื่อง แถมออกจากป่ามาได้ด้วยเสื้อขาวใหม่สะอาดโอโม่ ไม่โดนหนามเกี่ยว ไม่มีรอยเปื้อนแม้แต่นิดเดียว?)

    แอนนาลีมาพร้อมกับปัญหาและความต้องการของตัวเอง ซึ่งว่าไปก็มีอะไรคล้ายๆ กับผมในตอนนี้เหมือนกัน เวลาเขียนเลยรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่ออกจะสมจริงหน่อยๆ เมื่อเทียบกับคนอื่น แต่เธอก็มีนิสัยรั่วๆ แปลกๆ อยู่เหมือนกัน...ถึงจะน้อยกว่าท่านผู้กล้ากับแม่มด หรือที่จริง คนเมืองพาร์ฟโดยรวมอาจจะดูปกติเมื่อเทียบกับคนเมืองอื่นๆ ในอิลลูเซียกระมัง ^^a

             เขียนถึงฝ้ายขนแกะอินดิก้าแล้วก็รู้สึกเหมือนอดบอกเล่าเก้าสิบเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ ฝ้ายชนิดนี้ผมได้แรงบันดาลใจจาก The Vegetable Lamb of Tartary ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นไม้ที่ออกผลเป็นแกะ โดยมีก้านเชื่อมต่อกับต้นในที่ที่เป็นสายสะดือครับ ว่ากันว่าเจ้าแกะผักแห่งทาร์ทารี่นี่จะกินหญ้าและพืชต่างๆ รอบต้นของมันจนเหี้ยนเตียน แล้วจากนั้นก็อดตาย ไม่ก็โดดหนีไปจากต้น เนื้อของมันเขาว่ามีรสเหมือนปลา ส่วนเลือดหวานหอมเหมือนน้ำผึ้ง และขนยังใช้ทำเสื้อผ้าได้อย่างขนแกะจริงๆ ด้วย

    สันนิษฐานกันว่าความเชื่อเรื่องแกะทาร์ทารี่ มาจากสมัยยุคกลางซึ่งคนยุโรปนำเข้าผ้าฝ้ายจากเอเชีย โดยยุโรปไม่มีฝ้าย ใช้ขนแกะทอผ้าเป็นส่วนมาก พอได้ยินว่ามีต้นไม้ที่ออกผลเป็นปุยๆ เหมือนขนแกะ เลยจินตนาการเป็นต้นแกะกันเสียเลย ทาร์ทารี่ที่ว่าก็คือทาร์ทาร์ หรือพื้นที่ที่อยู่ในอินเดียสมัยก่อน ซึ่งก็มีคนบันทึกว่าต้นแกะพบได้ในอินดิก้า หรือชื่อของอินเดียสมัยนั้นเหมือนกัน

    บางที่ก็ว่าแกะทาร์ทารี่มาจากต้นเฟิร์นชนิดหนึ่ง ชื่อ Cibotium barometz  ซึ่งเจ้าต้นนี้มีรากที่ขุดขึ้นมาหงายดูแล้วคล้ายๆ ลูกแกะที่มีขนอ่อนๆ สีเหลืองทอง ผมดูรูปแล้วก็คิดว่ามันดูคล้ายๆ ลูกแกะเหมือนกันฮะ

    ส่วนดอกบุปผากัญญางาม นึกถึงดอกฝิ่นหรือดอกป๊อปปี้ในการ์ตูนเรื่อง ตุลาการทมิฬ ที่มีชื่อในนั้นว่าหยางกุ้ยเฟย แต่ไม่ทราบว่าจะค้นภาษาอังกฤษยังไงให้รู้ว่ามีดอกฝิ่นสายพันธุ์นี้จริงๆ หรือเปล่าแฮะ

    รายชื่อตัวละคร (ตัวละครที่ไม่มีบทในตอนนี้ จะใส่ไว้ข้างล่างของรายชื่อนะครับ)

    มาเทียส (Mathias) ช่างตีเหล็กที่ได้รู้จาก โยวา ว่าอาจารย์ของตนไม่สบาย

    โยวา??? (Jova) ชาวไร่ลึกลับผู้นำเคียวมาให้ช่างตีเหล็กซ่อม และนำข่าวบางอย่างมาบอก

    เมลิส (Melis) น้องสาวของช่างตีเหล็ก

    ฟรานซิส (Francis) เพื่อนของเมลิส เป็นเด็กชายขาพิการที่วาดรูปเก่ง

    อาเน่ (A’ne) แมนเดรกที่กลับมีชีวิตขึ้นมาเป็นมนุษย์จิ๋วอย่างประหลาด

    แอนนาลี (Annalee) ช่างตัดเสื้อ หลานสาวของอาจารย์ของมาเทียส ขณะนี้กำลังกลุ้มกับการตัดชุดประกวดเทพีฤดูใบไม้ผลิ

    ฟอร์เกส (Forges) ช่างตีเหล็ก อาจารย์ของมาเทียส ตาของแอนนาลี

    เอลิโนร่า หรือ เอลี่ (Elinora) ลูกศิษย์ของแม่มดดำ พี่สาวของอาร์ค

    อาร์คิมิดีส หรือ อาร์ค (Archimedes) ลูกศิษย์ของแม่มดดำ น้องชายของเอลี่

    เฮลิออส (Helios) อัศวินผู้กล้า ซึ่งชื่นชอบรสมือโฮมเมดของช่างตีเหล็ก แต่ออกจะเฟลหน่อยๆ ที่เสนอชื่อแล้วเด็กหูหนวกจับไปกระเดียดเป็นอีกชื่อหนึ่งเสียอย่างนั้น

    โยเวียส (Jovius) จอมมารซึ่งกำลังติดบัญชีตัวแดง และวางแผนจะทำยันต์คำสาปใส่ดาบของผู้กล้า

    เอริเธีย (Erithia) แม่มดดำผู้มีอีกโฉมหน้าซ่อนอยู่ แต่ไม่ว่าจะใบหน้าไหนก็ยังกินอาหารหน้าตาแหยะๆ ลงหน้าตาเฉย และหน้าเงินเหมือนเดิม

    โยวาหรือโยเวียสจะนำตัวเมลิสไปสำเร็จหรือไม่ และที่แท้เขามีนามว่าจอมมาร เพโดเวียส (???) หรือมีรสนิยมโลลิคอนหรือเปล่า ติดตามชมได้ในตอนต่อไปครับ :)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×