ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Mandrake Hero(ine) - ผู้กล้าพืชป่วน ยกก๊วนปราบมังกร

    ลำดับตอนที่ #34 : 29 - ไล่ล่าหาจอมแว่นขาว - “เราไม่มีเข็ม”

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 268
      0
      31 พ.ค. 54

    บทที่ 29

    ไล่ล่าหาจอมแว่นขาว

     

    หลังจากเสี่ยงเชื่อป้ายบอกทางตามจริง ซึ่งโดยสามัญสำนึกแล้วย่อมน่าเชื่อถือดีกว่าป้ายเตือนให้ระวังจอมมารในจิตของจอมเวทขาว มาเทียสกับอาเน่ก็พาตนเองมาที่อาคารหินซึ่งเป็นสำนักงานสภาจอมเวทขาวได้สำเร็จในอีกพักหนึ่ง

    เด็กหญิงแมนเดรกซึ่งคล่องตัวกว่า (ในขนาดร่างกายที่เท่ากัน) ช่วยดึงช่างตีเหล็กขึ้นไปบนขั้นบันไดสั้นๆ ก่อนหน้าประตู อันไม่วายมีป้ายเขียนว่า เดินระวัง จอมมารใช้มนตร์ทำให้สะดุดหน้าคะมำได้ง่ายๆ จนขึ้นมาถึงลานหินเล็กๆ หน้าประตูได้แล้ว ก็รอผลุบเข้าไปพร้อมกับคนเปิดประตู

    หลังจากห้องโถงใหญ่ด้านหน้านั้นเป็นทางเดินยาว ซึ่งดูเหมือนจะมีป้ายชื่อและลำดับของเจ้าของห้องติดไว้เบื้องหน้า ด้านละสี่ประตู ที่สุดปลายทางเดินติดป้ายชื่อที่มีหมายเลขหนึ่งอยู่เด่นชัด คงเป็นห้องทำงานของจอมเวทขาวลำดับหนึ่ง

    มาเทียสมองประตูบนผนังซ้ายมือของตน ห้องแรกสุดนั้นซึ่งติดชื่อเจ้าของห้องเด่นชัด (โดยมีป้ายเขียนเด่นชัดยิ่งกว่าว่า ห้ามเปิดโดยไม่เคาะประตู เพราะจอมมารจะดลใจนางให้ด่าเราว่า คนไร้มารยาท”’)

    ออโรร่า เอเธลเวียร์ด

    จอมเวทขาวอันดับสอง

    ...เห?... มาเทียสแหงนมองชื่อนั้นอย่างประหลาดใจ ... ท่านหญิงออโรร่าที่ว่านั่น เป็นญาติอะไรกับเฮลิออสกับเอริเธียงั้นเหรอ...

    กระนั้น ช่างตีเหล็กก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลามานั่งสงสัย แต่ต้องรีบหาห้องทำงานของอัลบัสให้เจอ เขาจึงหันไปมองประตูฝั่งตรงข้าม และพบว่านั่นคือห้องทำงานของจอมเวทขาวอันดับเก้านามชาร์ล็อตเต้ เปติสซาริเย่ (ซึ่งมีป้ายเตือนค่อนข้างยาวว่า ห้ามแต่ต้องขนมของนาง ห้ามแม้แต่จะดมชีสเค้กในห้องของนาง เพราะจอมมารจะดลใจให้นางโมโหจนงับหัวเรากิน) แทนที่จะเป็นอันดับสามตามที่คิดไว้ในทีแรก

    เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าการเรียงห้องทำงานในสำนักงานจอมเวทขาวเป็นอย่างไรขึ้นไปอีก เมื่อสาวเท้ายาวๆ ไปแหงนมองประตูที่อยู่ข้างห้องทำงานของจอมเวทอันดับเก้า แล้วพบว่านั่นเป็นห้องของจอมเวทขาวลำดับสาม เบเนดิกท์ ซาล์ม (กับป้ายที่ว่า ห้ามขัดจังหวะเวลาเขาสวดมนตร์ จอมมารจะดลใจให้เขาสาปเราให้พูดไม่ออกไปหนึ่งวันเต็มๆ) ส่วนห้องที่อยู่ข้างห้องทำงานของจอมเวทขาวอันดับสองก็คือของจอมเวทขาวอันดับแปดนามฮาร์โมเนียส มูซิก้า (ห้ามเข้าไปตอนที่เขากำลังเล่นไวโอลิน มิเช่นนั้นจอมมารจะเสกให้ไม้ไวโอลินหลุดจากมือของเขามาทิ่มหัวเรา)

    ...จอมเวทขาวมีแต่คนเพี้ยนๆ เหมือนหมอนั่นเหรอเนี่ย...ไม่สิ! เราต้องรีบตามหามันต่างหาก...

    ...คงได้แต่เดินหาดูเสียแล้วละมั้ง ...เอ้อ จริงสิ...

    ลำดับเก้า           ลำดับสอง

    ลำดับสาม          ลำดับแปด

    ไม่รู้แน่               ไม่รู้แน่

    ไม่รู้แน่               ไม่รู้แน่

            ลำดับหนึ่ง

    เก้า...แปด สอง...สาม

    มาเทียสทำการคำนวณลำดับเลขจากประตูที่เห็นทั้งหมดสี่บาน และผังการวางห้องทำงานของจอมเวททั้งเก้าลำดับโดยเร็ว จนได้ข้อสรุปในอีกนาทีกว่าๆ ว่าห้องของอัลบัสน่าจะอยู่ถัดจากห้องของจอมเวทขาวอันดับสามนั่นเอง เพราะเลขห้องควรจะเรียงสลับฟันปลา ย้อนลงมาจากเก้า และเดินหน้าขึ้นไปจากสอง

    เขากำลังจะเดินไปพิสูจน์ดูพอดี เมื่ออาเน่ที่เดินตามมาข้างหลังชี้ไปที่ประตูบานเดียวกับที่ตนคิด

    นี่ต้องเป็นห้องทำงานของอัลบัสแน่

    เจ้ารู้ได้ยังไง ช่างตีเหล็กถามอย่างแปลกใจ

    อ้าว! มาเทียสไม่เห็นเหรอ

    ชายหนุ่มแหงนมองตามปลายนิ้วป้อมๆ ของอาเน่ และเห็นตุ๊กตาคุณไสยสภาพเก่ายับเยินมีป้ายแขวนคอว่า จอมมาร ถูกตอกตะปูตัวหนาเท่านิ้วทะลุอกให้ติดกับบานประตู ซ้ำยังมีเข็มหมุดปักตรึงหัว และแขนขาพราวไปหมดราวกับหมอนปักเข็ม

    ป้ายลอยๆ ซึ่งคงมีแต่ในมโนภาพของอัลบัสบรรยายเจ้าตุ๊กตาน่าสงสารตัวนั้นไว้ว่า ห้ามปล่อยให้ใครเอาออก ไม่อย่างนั้นจอมมารจะเข้ามาสาปแช่งทุกอย่างในห้องของเราได้

    เอ้อ... มาเทียสได้แต่เกาหัวแกรกอย่างเสียหน้า ที่ตัวเองมัวแต่นั่งคำนวณอะไรอยู่ก็ไม่รู้ จนไม่ทันเห็นของยืนยันที่มันชัดกว่านี้ไปเสียสนิท

    เอาเถอะ พวกเขาพบห้องของเป้าหมายแล้ว แต่ปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่าคงจะเป็น...

    แล้วเราจะเปิดประตูเข้าไปได้ยังไง

    อาเน่มีสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกออก ว่าทั้งสองล้วนแต่ตัวเตี้ยเกินกว่าจะเอื้อมถึงลูกบิดประตูในเวลานี้

     

    * * * * *

     

    ถึงไหม

    อ...อีกนิดนึง ว้าย!” อาเน่ซึ่งยืนอยู่บนบ่าของมาเทียสเกือบเสียหลัก แต่ยังดีที่เกาะบานประตูไว้เป็นหลักได้

    มาเทียสเองก็พยายามยืนตั้งหลักให้มั่นคงที่สุด เขาเพิ่งตระหนักว่าร่างของอาเน่หนักแค่ไหนก็ในตอนนี้เอง

    ไม่ถึง ยังไม่ถึงเลย เด็กหญิงแมนเดรกสั่นศีรษะ ถ้าไม่กระโดด...ก็คงไม่ไหวแฮะ

    กระโดด...งั้นเหรอ ช่างตีเหล็กเริ่มเหงื่อแตกซิก เมื่อนึกภาพอาเน่ทิ้งตัวลงใส่ร่างของตน หลังจากหมุนลูกบิดประตูเสร็จ

    อืม...มาเทียสเป็นฐานให้ข้ากระโดด แล้วก็รีบถอยไปให้ข้าลงพื้นเองดีกว่า อาเน่เสนอ

    อ้อ ชายหนุ่มเพิ่งนึกได้ เอาแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน

    งั้นข้าจะนับนะ หนึ่ง...สอง...สาม!”

    แรงกดทับบนสองบ่าของมาเทียสเพิ่มขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนจะยกหายไป มาเทียสรีบก้าวถอยออกมาให้เร็วที่สุดหลังจากนั้น

    มีเสียงแกร่กครู่หนึ่ง คงเป็นตอนที่เด็กหญิงแมนเดรกกระโจนขึ้นเอื้อมมือหมุนลูกบิด แล้วจากนั้นเธอจึงลงสู่พื้นอย่างสวยงาม โดยย่อตัวใช้มือข้างหนึ่งช่วยยันพื้นไว้

    ทว่าประตูไม่เปิดออกเลยแม้แต่น้อย

    อาเน่ลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันมาสั่นศีรษะกับช่างตีเหล็ก ประตูลงกลอนไว้

    มาเทียสทรุดลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นพรมอย่างเหนื่อยอ่อน

    ...ทำไมแกต้องทำให้เรื่องทุกอย่างยากเย็นนักฮึ ไอ้จอมแว่นขาว...

    ข้าว่า...เราลองหาทางเข้าทางหน้าต่างดีไหม เด็กหญิงแมนเดรกเสนอ

    ลองดู ยังไงหน้าต่างคงพังง่ายกว่าประตู ช่างตีเหล็กอดไม่ได้ที่จะพูดเผื่อไว้ แต่ถ้าประตูลงกลอน ก็เป็นไปได้มากว่าอัลบัสอาจจะไม่ได้อยู่ในห้อง เขาอาจจะอยู่ที่บ้าน หรือที่อื่นก็ได้

    และชายหนุ่มก็ไม่อยากนึกเลย ว่าตนเองต้องเดินฝ่าท้องถนนที่เต็มไปด้วยสารพัดจอมมารกับสารพัดป้ายเตือน เพื่อไล่ล่าหาบ้านของจอมเวทขาวซึ่งเขาไม่รู้กระทั่งที่อยู่ ในเมืองที่เขาเองยังไม่เคยเข้ามาเลยในความเป็นจริง

    ...นั่นสิ เสียงรับของอาเน่ฟังดูกังวล

    เป็นเมื่อนั้นเอง ที่เสียงเปิดประตูห้องห้องหนึ่งดังขึ้น ยังผลให้มาเทียสกับเด็กหญิงรีบวิ่งไปหลบข้างกระถางต้นไม้ประดับริมทางเดินในทันที

    เท่าที่สังเกต ไม่มีใครในโลกในใจของอัลบัสสนใจทั้งสองเลยแม้แต่น้อย...นั่นรวมถึงการที่รถและเท้าคนมุ่งตรงมาทางพวกเขาโดยไม่มีการชะงัก ชะลอ หรือหยุด...ให้มาเทียสกับอาเน่ได้แต่ตะเกียกตะกายหลบไปให้พ้นทางเอง

    มีคนเปิดประตูออกมาจากห้องของจอมเวทขาวอันดับเก้า

    เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กบอบบางราวกับยังไม่พ้นวัยเด็กสาว สวมเครื่องแบบสีขาวขลิบน้ำเงินของจอมเวทขาว ยิ่งรวบผมสีแดงอ่อนจนแทบเป็นชมพู...อย่างที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่สีผมธรรมชาติ...ไว้เป็นแกละสองข้างศีรษะแล้วก็ยิ่งดูเด็กลงไปอีก ทว่าเครื่องหน้าทั้งหมดบนดวงหน้ากลมนั้นกลับดูเหมือนจอมมาร และไม่เข้ากับทุกอย่างบนร่างของเธอเลย

    บนศีรษะของเด็กสาวผมแกละมีป้ายลอยอยู่ว่า ห้ามแย่งขนมหรือกระตุกผม จอมมารจะดลใจให้นางงับหัวเรา

    เด็กสาวก้าว มาที่ประตูห้องของอัลบัสอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะกระแอมเบาๆ อย่างประหม่าทีหนึ่ง

    ...แล้วก็ลงมือทุบบานประตูโครมๆ

    อัลบัส เบลมิท! ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในนั้น! ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้นะ!”

    ไม่มีเสียงตอบจากในห้อง

    ไอ้แว่นขโมยชีสเค้ก! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ! ไม่งั้นแม่งับหัวซะเลย!”

    ยิ่งพูด มาเทียสก็ยิ่งรู้สึกเหมือนปากที่กำลังเจรจาแจ้วๆ อยู่นั้นอ้ากว้างขึ้นราวกับขยายที่มุมปากสองข้าง เผยเขี้ยวปลายแหลมซี่โตราวกับฟันฉลาม

    ชะ! อย่านึกว่าปิดประตูทำเขตป้องกันแล้วข้าจะเข้าไปไม่ได้ล่ะ กะแค่ปลดกลอนประตูนิดเดียว ก็แหวกเขตป้องกันเข้าไปได้แล้วย่ะ! ถ้าสำนึกผิดแล้วก็เปิดออกมาขอโทษกันดีๆ ข้าไม่กินหัวเจ้าหรอก!”

    ...น่าเชื่อหรอกนะ... ช่างตีเหล็กขนลุกซู่กับปากฉลามของเด็กสาวผมแกละสีชมพูหน้าตาเหมือนจอมมาร วันนี้ตัวเขาเองก็ถูกกินมาหลายรอบจนหวาดผวาเกินไปแล้ว

    ไม่มีเสียงตอบจากในห้อง เด็กสาวโวยวายอยู่พักหนึ่งก็ส่งเสียง ฮึอย่างเหลืออด แล้วกลับหลังหันทำท่าจะเดินกลับห้องของตน

    กุญแจอยู่ใต้พรม อาเน่กระซิบกับชายหนุ่ม ให้นางไขเข้าไปให้เราดีมั้ย

    มาเทียสกำลังจะถามอยู่พอดีว่าเด็กหญิงรู้ได้อย่างไร ก็เห็นป้ายห้ามแปะชัดเจนบนพรม

    ห้ามยกพรมขึ้น กุญแจลงอาคมเปิดประตูเข้าห้องซ่อนอยู่ใต้พรม เดี๋ยวจอมมารจะรู้

    ...แบบนี้แล้วยังไม่รู้ก็ให้มันรู้ไปสิ...

    เด็กสาวผมแกละกำลังจะเดินกลับไปถึงประตูห้องแล้ว ช่างตีเหล็กได้แต่รีบพยักหน้ากับอาเน่ ซึ่งวิ่งตรงออกไปงัดขอบพรมขึ้น แล้วตีลังกาม้วนเปิดผืนพรมเช็ดเท้าหน้าห้องนั้นโดยเร็ว

    เสียงสวบสาบทำให้เด็กสาวหันหน้ากลับมา และมองเห็นกุญแจดอกเล็กๆ ซึ่งเมื่อครู่ก่อนถูกทับไว้ใต้พรมที่เวลานี้ม้วนไปครึ่งหนึ่งอย่างสวยงามได้ถนัดตา

    อ๊ะ!” เธออุทาน แล้วก็หัวเราะฮิฮะออกมาอย่างพออกพอใจ ก่อนจะก้มลงหยิบกุญแจนั้นขึ้นมา แล้วไขเปิดประตู

    เวลานั้นเอง อาเน่ก็พุ่งตัวออกมาจากในม้วนพรม วิ่งอ้อมหลังเท้าของจอมเวทสาว มาสมทบกับมาเทียสที่ข้างๆ กระถางต้นไม้ประดับในทันที ก่อนที่ทั้งสองจะรีบวิ่งเข้ามาในห้องของจอมเวทขาวอันดับเจ็ด เมื่อประตูถูกเปิดออก

    ห้องภายในนั้นเต็มไปด้วยหนังสือและกระดาษรกรุงรัง ทั้งในตู้ บนโต๊ะ และลามมาถึงบนพื้นห้องทำงาน บนหน้ากระดาษหลายแผ่นมีรอยวาดอักษรหรือวงอาคมไว้ เช่นเดียวกับรูปการตายในลักษณะต่างๆ ของจอมมารที่มีหัวกลมๆ และแขนขาเป็นเส้นเส้นเดียว

    มีป้ายเตือนจำพวกอย่าย้ายของ อย่าหยิบของ อย่าเอานิ้วจุ่มลงไปในโหลปลาทอง (ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำเขียวขุ่นด้วยตะไคร่ และปลาตัวซีดนอนหงายหายใจพะงาบๆ จนไม่น่าแตะเลยแม้แต่นิดเดียว) ฯลฯ ติดอยู่ไม่น้อยกว่าภายนอก หรืออาจจะมากกว่าตามปริมาณวัตถุในห้องด้วยซ้ำ

    ทว่าไม่มีเงาร่างของใครอยู่ในห้องนั้นเลย

    อ้าว! ไม่อยู่เหรอนี่!” เด็กสาวผมแกละเท้าสะเอวอย่างขัดใจ ครั้นแล้วก็ก้าวไปที่หน้าโต๊ะทำงานซึ่งมีโหลใส่ลูกกวาดหลากสีที่ปะหน้าจอมมารไว้ทุกเม็ดอยู่เต็มโหล ณ มุมโต๊ะด้านหนึ่ง

    เธอเปิดฝามันออก แล้วก็คว้าลูกกวาดหนึ่งกำมือขึ้นมาโยนเข้าปากฟันฉลามเคี้ยวกร้วมๆ ก่อนจะเดินออกไป

    ประตูปิดลง ทิ้งมาเทียสกับอาเน่ให้ได้แต่ยืนมองโหลลูกกวาดที่มีป้ายแปะไว้ว่า ห้ามกิน จอมมารใส่คำสาปให้ลูกอมติดคอ อึ้งอยู่ครู่หนึ่ง

    จนสุดท้าย ช่างตีเหล็กก็ยักไหล่ และพูดขึ้นในที่สุด เอาเถอะ ถึงมันจะไม่อยู่ ลองค้นห้องมันสักหน่อยก็ดี อย่างน้อยจะได้รู้ว่าบ้านมันอยู่ที่ไหน หรือมันอาจจะไปอยู่ที่ไหน

     

    * * * * *

     

    หลายครู่ต่อมา มาเทียสพบว่าการค้นห้องในสภาพตัวเล็กไม่ต่างจากอาเน่เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง

    แต่ในเมื่อทำลงไปแล้ว ก็ได้แต่เดินหน้าต่อไป

    สายตาของชายหนุ่มล้ากับการอ่านหน้ากระดาษที่รกเต็มห้อง อีกทั้งป้ายเตือนต่างๆ ที่ลอยเข้าลอยออกเหนือข้าวของ นับรวมกันแล้วคงได้สักล้านล้านตัวอักษร จนกระทั่งช่างตีเหล็กบอกตนเองว่าหลุดออกไปได้เมื่อไร เขาจะขอพักไม่อ่านตัวอักษรอะไรเลยเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ

    ชายหนุ่มเดินไปมาบนพื้น ดูว่ามีแผนที่ทางไปบ้านของอัลบัส หรือเงื่อนงำว่าจอมเวทขาวจะไปที่ไหนได้บ้าง ขณะที่อาเน่ซึ่งคล่องตัวกว่ากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ จากนั้นก็ตามชั้นวางของต่างๆ ซึ่งอยู่สูงเกินกว่าที่เขาจะปีนถึงได้ง่าย

    จนสุดท้าย ก็เป็นเด็กหญิงแมนเดรกเองที่ส่งเสียงเรียก มาเทียส!”

    เขาหันไปเห็นเธออยู่ที่มุมชั้นหนังสือด้านหนึ่ง และชี้ไปทางกล่องกำมะหยี่ปริศนาสีขาวมัว ซึ่งถูกแอบไว้ในมุมของชั้นหนังสืออันหนึ่ง

    มีป้ายบอกว่าอย่าเอาออกมา ไม่อย่างนั้น ที่พักใจ ของอัลบัสจะแปดเปื้อนล่ะ

    ที่พักใจ? ...แปดเปื้อน? ช่างตีเหล็กเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ แต่ไม่ทันห้าม...อาเน่ก็เปิดฝากล่องกำมะหยี่นั้นออกโดยเร็ว

    มีแสงกะพริบวาบขึ้นครู่หนึ่ง แต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้เกิดเหตุแปลกปลอมอะไรอีก

    มาเทียสแหงนมอง เห็นยอดทรงกลมใสๆ ของสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้น

    ลูกแก้วเหรอ

    ผู้กล้าแมนเดรกมองดูยอดของ ลูกแก้ว นั้น ก่อนจะชะโงกมองข้างใน แล้วค่อยๆ เอานิ้วแตะมัน

    ดูเหมือนจะมีอะไรอยู่ข้างในลูกแก้วนี่ด้วย แต่ข้างในนี้มันมืด มองแทบไม่เห็นเลย เอามันออกมาจากกล่องดีมั้ย

    ค่อยๆ ละ เราไม่รู้ว่าข้างในนี้มีอะไรบ้าง ชายหนุ่มเตือน

    อาเน่เอียงปากกล่อง สองแขนล้วงเข้าไป แล้วก็อุ้มเอาบางสิ่งออกมาพร้อมกับส่งเสียงครางน้อยๆ

    อาเน่! ไม่ไหวก็ปล่อยก่อนล่ะ!”

    เด็กหญิงเซไปข้างหลังสองสามก้าว แต่ก็ยังทรงตัวได้อยู่ ไม่เป็นไร ยกไหว แต่อันมันใหญ่จัง

    มาเทียสค่อยโล่งใจ เมื่อนั้นเองที่เขาเห็นว่าด้านหนึ่งของลูกแก้วถูกครอบด้วยบางสิ่งที่เป็นทรงกระบอก และมีพื้นแบน มันมีฐาน วางลงก่อนก็ได้

    ผู้กล้าแมนเดรกทำตามนั้น แล้วช่างตีเหล็กจึงได้เห็นรูปเงาของบ้านขนาดย่อส่วนอยู่ภายในลูกแก้ว ซึ่งมีเกล็ดสีเงินระยิบระยับค่อยๆ ลอยอ้อยอิ่งลงสู่พื้นด้านฐาน

    “‘เมืองหิมะ งั้นเหรอ...

    มาเทียสเคยเห็นเครื่องตกแต่งแบบนี้จากในเมือง เป็นส่วนผสมของลูกแก้วเนื้อใสกับเครื่องกระเบื้องทาสี โดยมากเขาจะหล่อกระเบื้องเป็นรูปอาคารสถานที่ที่สวยงามติดกับฐาน ครอบไว้ด้วยลูกแก้ว ภายในใส่น้ำและแผ่นเงินเล็กๆ ต่างเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมา

    อาเน่ย่อตัวลงจ้องเมืองหิมะนั้นครู่หนึ่ง จึงได้หันมาบอกช่างตีเหล็ก ในนี้มีบ้านอยู่ด้วยแหละ

    ข้าเห็นแล้ว

    ไม่ใช่...ข้าหมายถึงบ้านจริงๆ นะ มาเทียส ป้ายเตือนของอัลบัสบอกว่าห้ามเอาเข็มทิ่มในรูที่อยู่กึ่งกลางลายประดับฐานของเมืองหิมะ ไม่อย่างนั้นทางเข้า ที่พักใจ จะเปิดออก

    อา... ชายหนุ่มพยักหน้ารับช้าๆ ...แต่แล้วก็ตระหนักได้ เราไม่มีเข็ม

    ครู่หนึ่งเขานึกไปถึงเข็มปลิดวิญญาณของโยฮันน์ แต่ไม่ใช่...เข็มที่ใช้ฆ่าคนได้แบบนั้น อีกฝ่ายคงไม่ให้เขามาแค่เพื่อเข้าไปในเมืองหิมะแน่นอน...ต่อให้นั่นเป็นที่พักใจ อะไรก็ตามของจอมเวทขาวก็เถอะ

    อาเน่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปดึงของบางอย่างออกจากใต้กล่องกำมะหยี่ที่เคยใส่เมืองหิมะ

    มันสะท้อนแสงเป็นรูปทรงแท่งยาวบางสีเงินวาวอยู่ในมือของเด็กหญิงแมนเดรก

    มาเทียสตบหน้าผาก ...และถามตนเองว่าเขาคาดหวังอะไรกับจอมเวทขาวที่เก็บกุญแจไขเข้าห้องไว้ใต้พรมหน้าประตูกันเล่า

     

    * * * * *

     

    หลังจากได้อาเน่ช่วยหาทางปีนขึ้นมาจนถึงชั้นหนังสือที่วางเมืองหิมะแล้ว มาเทียสก็กำเข็มเล่มยักษ์เมื่อเทียบกับขนาดร่างกายของเขาไว้ในมือ และคุกเข่าจ่อมันไว้หน้ารูบนฐานของเมืองหิมะ ซึ่งรองรับบ้านสีขาวหลังงามเพียงหลังเดียวในนั้นไว้

    ที่จริง เด็กหญิงแมนเดรกบอกว่าเธอจะลองไขเข้าไปเอง และให้มาเทียสรออยู่ข้างนอก เผื่อว่านี่เป็นกับดัก แต่ช่างตีเหล็กรู้สึกเหมือนตัวเขาเองปล่อยให้เด็กหญิงทำสิ่งต่างๆ นานามากเกินไปแล้ว จึงได้ตัดสินใจว่าตนต้องลงมือทำอะไรสักอย่างบ้าง

    ชายหนุ่มเตรียมใจให้พร้อม แล้วสอดเข็มเข้าไปจนสุด

    มีเสียงดัง กริ๊ก เบาๆ

    แสงสว่างเรืองขึ้นจากในลูกแก้ว อาบทอบ้านภายในด้วยแสงสีขาว ก่อนที่มาเทียสจะรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นไร้ที่มาซึ่งพัดอยู่เบื้องหน้าตน

    กว่าจะรู้ตัวอีกที มือของเขาก็คลายจากเข็ม และร่างลอยละลิ่วเหมือนไร้น้ำหนักเข้าไปทางแสงสว่างที่เห็นเบื้องหน้าเสียแล้ว

    มาเทียส!” ช่างตีเหล็กได้ยินเสียงเรียกอยู่แว่วๆ พร้อมกับรู้สึกได้ว่ามีมือของใครอีกคนจับมือของเขาไว้

    ...เมื่อแสงจางลง ทั้งสองก็พบตนเองยืนอยู่บนพื้นสีขาว ขาวและเย็นอย่างหิมะ

    ชายหนุ่มยืนมองบ้านสีขาวหลังนั้นอยู่ ใต้ฟ้าสีเทา ดูอึมครึมแต่ไม่ถึงกับครึ้มยามพลบค่ำ หรือมีพายุ ต้องบอกว่าเป็นฟ้าที่ดูไร้ชีวิตชีวา และไร้กาลเวลาอย่างบอกไม่ถูก

    นี่...บ้านของอัลบัสเหรอ อาเน่ตั้งคำถาม

    มาเทียสยักไหล่ ...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราทำได้แค่ลองไปดูไม่ใช่เหรอ

    เด็กหญิงแมนเดรกเงียบไป แต่ก็พยักหน้า และเริ่มเดินไปพร้อมกับมาเทียส สู่บ้านสีขาวในโลกหิมะที่ปรากฏเด่นชัดอยู่เบื้องหน้า

    ไม่รู้ทำไม แต่ช่างตีเหล็กซึ่งเผชิญกับโลกที่ใหญ่ยักษ์กว่าตัวเองมาโดยตลอดค่อยโล่งอกขึ้นบ้าง ที่บ้านสีขาวหลังนั้นมีขนาดพอเหมาะกับตัวเขาได้พอดี ถึงแม้ว่าตัวเขาจะเล็กพอๆ กับอาเน่ในเวลานี้ก็ตาม

    ประตูหน้าบ้านไม่ได้ลงกลอน มาเทียสจึงเปิดเข้าไปได้โดยง่าย...และพบกับสีขาวรอต้อนรับ

    โถงหน้าของบ้านซึ่งใหญ่โตราวกับคฤหาสน์นั้นว่างเปล่า ...เครื่องเรือน ผนัง เพดาน บันได ทุกสิ่งถูกเคลือบทับด้วยสีขาวแสบตา

    ช่างตีเหล็กมองไปโดยรอบ แล้วก็กำลังจะทักว่า ไม่เห็นมีใครอยู่เลย พอดี เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำแข็งกร้าวพูดขึ้น...หรือที่ถูกควรเรียกว่าตวาด

    ใช้ไม่ได้เรื่องจริงๆ อัลบัส!”

     

    * * * * *

     

    คนเขียนขอคุย

     

    ขออภัยที่นอนรอไอเดียอยู่นานนะครับผม m[_ _]m

    ตอนนี้ให้อารมณ์เหมือนฉากเดินในดันเจี้ยนเกม adventure โดยเฉพาะพวกแนวจิตๆ อย่าง Rule of Rose พิกลแฮะ ^^a

    ประดาดารารับเชิญสภาจอมเวทขาวค่อนข้างจะมาเป็นดารารับเชิญแบบสดๆ ชื่อก็อิงจากพฤติกรรมหรือสิ่งที่เกี่ยวข้อง ^^a โดยเฉพาะชาร์ล็อตเต้ เกิดนึกไปถึงแม่มดชาร์ล็อตในมาโดกะพอดี เลยออกมาเป็นสาวน้อยผมแกละสีลูกกวาดบ้าชีสเค้ก ขู่งับหัวจอมแว่นขาวซะงั้นเลย ^^a

    ว่าแต่...คงไม่มีใครคิดว่าวิธีเก็บกุญแจกับเข็มอันสำคัญของอัลบัสเวิร์คแหงแก๋ ^^;;;

    ในที่สุด มาเทียสกับอาเน่ก็เข้ามาถึง ที่พักใจ ของอัลบัสจนได้ ว่าแต่เจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร และพวกเขาจะพบจอมแว่นขาวหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม :)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×