ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Mandrake Hero(ine) - ผู้กล้าพืชป่วน ยกก๊วนปราบมังกร

    ลำดับตอนที่ #28 : 24 - เสียงที่เด็กหญิงได้ยิน - “ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 287
      0
      17 มี.ค. 54

    บทที่ 24

    เสียงที่เด็กหญิงได้ยิน

     

    เหงาจัง

    ขณะพยายามข่มตาหลับ เมลิสบอกว่าตนเพียงแต่คิดไปเอง

    เด็กหญิงไม่ได้ยินเสียงใดๆ มานานหลายปีแล้ว ความรู้สึกเหมือนหูแว่วนี้จึงยิ่งประหลาด ว่าไป เธอได้ยินเสียงคล้ายร้องไห้...แผ่วเบา...ไม่ปะติดปะต่อ มาตั้งแต่ตอนบ่ายที่ไปเก็บดอกไอริสกับทุกคนๆ แล้วกระมัง

    ดูเหมือนจะเป็นก่อนหน้าอาเน่หมดสติไปแค่ไม่นาน บ่ายวันนั้นเกิดแผ่นดินไหว ทุกคนยิ่งวุ่นวาย เธอเองอยู่ในห้องกับอาเน่และทุกๆ คนด้วย แต่ก็ตามคำพูดไม่ค่อยทัน ต้องมาค่อยๆ เก็บจากฟรานซิสกับเด็กหญิงผมเขียวในทีหลัง

    ...นี้ดฮ็อกที่กินรากอิกดราซิล เพื่อไม่ให้อิกดราซิลถูกความชั่วร้ายของมนุษย์ทำให้เน่าเปื่อยไปงั้นหรือ...

    เมลิสเองเพิ่งรู้เช่นนี้ ว่าไปเธอก็เคยสงสัย ว่าทำไมนี้ดฮ็อกจึงต้องกินรากต้นไม้ที่ค้ำจุนโลก และในเมื่อนี้ดฮ็อกทำเช่นนั้น ทำไมจึงไม่มีผู้กล้าไปปราบมัน วันนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าหน้าที่ของนี้ดฮ็อกก็เหมือนกับคนสวนที่เด็ดกิ่งไม้ที่เป็นโรคหรือมีแมลงรบกวนอยู่ เพื่อไม่ให้สิ่งนั้นลามไปทั่วต้นไม้ จนมันเหี่ยวเฉาตายไป

    ...แต่นี้ดฮ็อกก็ได้แต่อยู่กับอิกดราซิลตามลำพังมาตลอด...คงจะเหงาสินะ...

    ใช่ ข้าเหงา

    เด็กหญิงแทบสะดุ้งเฮือกขึ้นจากเตียง

    เธอได้ยินเสียงอะไรก็ตามนั่นจริงๆ ...เสียงที่ฟังเหมือนเสียงผู้ชายอันอ่อนโยน เสียงของพ่อหรือพี่มาเทียส

    ...ใคร...

    เจ้าเพิ่งเรียกชื่อข้าไม่ใช่หรือ

    ...เปล่านะ เมลิสเผลอพูดออกมา

    แต่ข้าได้ยินเสียงเจ้านะ ...เจ้าเป็นใคร อยู่ที่ไหนกันหรือ

    เด็กหญิงกะพริบตาปริบๆ ...ทว่าความยินดีที่ได้ยินเสียงคนพูดอีกครั้งนั้นมีมากกว่าความกลัว

    ...ข้าชื่อเมลิส อยู่ที่เมืองพาร์ฟ แบบนี้เจ้าได้ยินไหม... เธอนึกอยู่ในใจ ...นี้ดฮ็อก...

    มีแต่ความเงียบอยู่เป็นนาน...จนเมลิสนึกว่าตนคงจะ หูฝาด ไปเองจริงๆ

    แต่แล้ว เสียงนั้นก็กลับมาอีก

    ได้ยิน แต่ไม่ตลอด บางทีเสียงเจ้าก็เบา บางทีก็ดัง มังกรตอบกลับมา

    เอ...เพราะข้าไม่ได้พูดออกมาเหรอ เด็กหญิงพูดพึมพำ ด้วยกลัวจะปลุกอาเน่ที่นอนอยู่ไม่ห่างขึ้นมา

    ไม่นะ...เพราะเจ้าอยู่ไกลออกไปกระมัง ในมิติกายภาพนี้

    มิติ...กายภาพเหรอ

    โลกของพวกเจ้า

    อ๋อ

    ข้าเพิ่งขึ้นมาบนโลกนี้เป็นครั้งแรก ...แต่ได้ขึ้นมาเพราะปวดท้องมากนี่แย่เนอะ

    ...ไม่เป็นไรหรอก... เมลิสเปลี่ยนมานึกในใจแทน ...เดี๋ยวก็หายปวดแล้ว มีคนบอกว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อขับพิษนี่...

    อื้อ...ที่นี่เป็นที่ สะอาด ที่อยู่ใกล้ที่สุดในมิติกายภาพ ข้าเลยมุ่งหน้ามาทางนี้ ...แต่ก็รู้สึกแย่เหมือนกัน ที่ทำให้ใครต่อใครในมิติกายภาพเดือดร้อน เพราะข้าปรากฏตัวขึ้นมา

    ...ข้าคิดว่าทุกคนเข้าใจเจ้านะ... เด็กหญิงบอก ...มีคนบอกพวกเราแล้ว...

    อย่างนั้นหรือ งั้นก็ดี ข้าค่อยวางใจหน่อย แต่ก็...

    ...แต่ก็?...

    แต่...ก็ยังเหงาอยู่ดี

    ...ทำไมล่ะ... เมลิสยิ้มเศร้าๆ ...อยู่ที่โน่นก็เหงาเหมือนกันหรือเปล่า...

    อยู่ที่โน่นไม่เหงาหรอก อิกดราซิลเป็นศูนย์รวมของวิญญาณ ข้าได้พูดคุยกับพวกเขาอยู่ตลอดเวลาเลย แต่อยู่ที่มิติกายภาพนี้...กลับไม่ได้ยินเสียงของใครเลย

    ...เอ๋...แต่อาเน่บอกว่าได้ยินเสียงของเจ้านะ... เด็กหญิงทัก

    อาเน่?

    ...เพื่อนข้าเอง นางเป็นต้นแมนเดรกพูดได้ แถมยังทำทุกอย่างได้เหมือนมนุษย์เลยด้วย...

    น่าสนใจนะ แต่ข้าว่าข้าไม่เคยได้ยินเสียงของอาเน่เลย

    ...เหรอ คงเพราะนางไม่เคยพูดกับเจ้าตรงๆ เลยกระมัง... เมลิสสันนิษฐาน ...เอาเถอะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะเล่าให้นางฟังแล้วกัน นางจะได้ลองคุยกับเจ้าดู...

    ถ้าได้ก็ดีนะ แต่...กว่าจะถึงตอนนั้น ข้าก็คงจะเหงาน่าดู เสียงของนี้ดฮ็อกหมองลง ข้านอนหลับในมิติกายภาพไม่ค่อยได้ แถม...ท้องยังปวดอยู่ด้วย

    ...อือม์...นั่นสิ ทำไงดีนะ... เด็กหญิงลองนึกดู ก่อนจะได้คำตอบ ...งั้นข้าร้องเพลงให้ฟังไหม...

    ร้องเพลง...หรือ

    ...เมื่อก่อน ตอนที่ไม่สบาย แม่จะร้องเพลงให้ข้าฟัง... เมลิสบอกมังกร ...พอแม่จากไปแล้ว ข้าก็หูหนวก เลยฟังเพลงไม่ได้อีก แต่พี่แมท...พี่ชายข้า...ก็ร้องเพลงกล่อมข้าเหมือนกันนะ เขาจะเอามือข้าไปวางไว้บนคอของเขา พอเขาร้องเพลง...ข้าก็จะรู้สึกได้ คอของเขาจะสั่นเป็นจังหวะของเพลง...แล้วยังอุ่นมากด้วย บางทีพี่แมทก็จะให้ข้าทายว่าเขาร้องเพลงอะไรอยู่...

    เจ้ามีแม่กับพี่ชายที่ดีนะนี้ดฮ็อกรับ ข้าชักอยากรู้แล้วสิ ว่าพวกเขาร้องเพลงอะไรให้เจ้าฟังบ้าง ...ร้องให้ข้าฟังได้ไหม

    ...อื้อ... เด็กหญิงแทบพยักหน้าจริงๆ ก่อนจะนึกถึงบทเพลงอันอบอุ่นอ่อนโยนในใจ

    คืนนั้น เธอหลับไปด้วยความคิดที่จะส่งมอบเสียงเพลงให้แก่มังกรที่ไม่อาจได้ยินเสียงอื่นนั่นเอง

     

    * * * * *

     

    อาเน่...เชื่อหรือเปล่า

    เด็กหญิงแมนเดรกกะพริบตาปริบๆ กับคำบอกของเพื่อนมนุษย์ หลังจากพี่ชายของเธอออกจากบ้านไปช่วยซ่อมแซมส่วนในเมืองที่เสียหายจากแผ่นดินไหว

    แต่อาเน่รู้ว่าเมลิสย่อมไม่พูดปดเรื่องนี้แน่นอน

    เชื่อสิ ที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ เด็กหญิงตัวจิ๋วเอ่ยยิ้มๆ พร้อมกับสบตาคู่สนทนา เรื่องนี้ยืนยันว่านี้ดฮ็อกไม่มีจุดประสงค์ร้ายนี่นา แล้ว...ข้าก็ไม่อยากให้ใครเหงาเหมือนกัน

    รอยยิ้มของเมลิสสดใสยิ่งกว่าดอกทานตะวัน...แม้อาเน่จะยังอดกังวลไม่ได้

    แล้วตอนนี้ เจ้าได้ยินเสียงของนี้ดฮ็อกอยู่หรือเปล่า

    เด็กหญิงสั่นศีรษะ

    เขาบอกว่าคงเพราะอยู่ในมิติกายภาพ การเดินทางของ เสียงวิญญาณ เลยไม่แน่นอน ข้าว่าจะไปดูเขาที่อ่างเก็บน้ำสักหน่อย จะได้ได้ยินชัดขึ้น ถึงยังไง มันก็ไม่ไกลจากชานเมืองพาร์ฟด้านนี้เท่าไร เมลิสตอบ แล้วข้าก็บอกให้เขาร้องเรียกดังๆ ด้วย ถ้าจอมมารหรือใครจะมาทำร้ายเขา

    งั้นเหรอ อาเน่พยักหน้า ก็เป็นวิธีที่ดีนะ

    เด็กหญิงยังคงยิ้มแย้ม ขณะที่ขอตัวลงไปดูเจ้าหลงกับเจ้าโฮ่งข้างล่าง วันนี้เป็นวันอาบน้ำให้สุนัขทั้งสอง เด็กหญิงแมนเดรกจึงตั้งใจจะอ่านหนังสืออยู่ในห้อง เพราะเธออยากรู้เรื่องของนี้ดฮ็อกมากกว่านี้

    แต่ก็นั่นเอง เพียงแต่หนังสือกี่เล่มๆ ที่มีตำนานเกี่ยวกับต้นอิกดราซิล ล้วนแต่เขียนไว้ว่านี้ดฮ็อกเป็นมังกรที่กินรากของอิกดราซิล และเมื่อกินจนหมด โลกก็จะถึงกาลล่มสลาย

    ไม่มีเรื่องอื่น...เช่นว่านี้ดฮ็อกเกิดขึ้นมาอย่างไร และมีนิสัยอย่างไร ว่าไป ในตำราอื่นๆ ก็เหมือนจะมีข้อมูลของมังกรพวกรูปร่างลักษณะ นิสัย และพฤติกรรมเท่าที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั่นเอง

    เช่นว่า จะปราบมังกรให้เชื่องได้อย่างไร ฝึกใช้งานได้อย่างไร ...หรือปราบปรามฆ่าฟันได้อย่างไร

    ...มนุษย์เห็นตนเองเป็นศูนย์กลางของโลก... ความหมายของคำพูดของอาจารย์โยฮันน์พลันผุดขึ้นมา

    แต่นั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายหรือเปล่านะ

    อาเน่ไม่มีคำตอบ จิตวิญญาณต้นไม้ในห้องเองก็ปลอบว่า...ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใดย่อมต้องเห็นสิ่งใกล้ตัว ก่อนสิ่งอื่น และมองด้วยสายตาของตนเองทั้งนั้นมิใช่หรือ

    นอกจากเผ่าพันธุ์พืช ซึ่งจับความรู้สึกและความต้องการของชีวิตรอบด้านได้

    ...แล้วจอมมารเล่า...

    เด็กหญิงผมเขียวสั่นศีรษะ ...จอมมารไม่มีทางเป็นคนดีไปได้หรอก ต่อให้เห็นใจไวเวิร์นพวกนั้น และเห็นว่ามนุษย์ที่พรีม่าแล้งน้ำใจกันเพียงใด สิ่งที่จอมมารทำก็ยังผิดอยู่ดีไม่ใช่หรือ และการทำลายล้างโลกทั้งใบนั้น...อย่างไรก็ถือเป็นสิ่งที่เลวร้ายไม่ใช่หรือ

    ...แต่ว่า...นั่นคือหน้าที่ของจอมมารหรือเปล่านะ หากว่าทุกสิ่งมีหน้าที่ในการดำรงอยู่ในโลกนี้...

    ...แล้วแมนเดรกกลายพันธุ์อย่างข้าเล่า...

    อาเน่ตกอยู่ในห้วงความคิด จนกระทั่งได้ยินเสียงลมวูบใหญ่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง และพลิกหน้ากระดาษของหนังสือที่วางค้างอยู่เล่มหนึ่งจนพลิกเปิดไปเอง

    หนังสือตำราสมุนไพรสำหรับเด็ก เปิดไปอยู่ที่หน้าข้อมูลของต้นแมนเดรกพอดี

    แม้จะเคยอ่านมาแล้ว (ด้วยความสยดสยองในบางครั้ง) เด็กหญิงผมเขียวก็อดทวนข้อความบนหน้ากระดาษนั้นซ้ำไม่ได้

    รูปร่างลักษณะของต้นแมนเดรก...วิธีการปลูก ดูแลรักษา และถอน...ส่วนต่างๆ ที่นำมาใช้ประโยชน์

    สรรพคุณ...มีฤทธิ์กดประสาท ใช้เป็นยานอนหลับ แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการเพ้อและเห็นภาพหลอน

    จู่ๆ อาเน่ก็นึกภาพตัวเองร่วงลงไปในกระเพาะสัตว์อสูร...ละลายหายไปในน้ำย่อยของมัน ขณะที่เจ้าตัวอะไรก็ตามที่กินเธอเข้าไปนั้นล้มตึงลงกับพื้น สลบไสลไปในทันที

    เอาเถอะนะ ถึงที่สุดเธอก็ใช้เป็นตัวพลีชีพได้กระมัง

    โฮ่งๆๆๆ

    เสียงเห่าของสุนัขข้างล่างดังมาแว่วๆ ตามด้วยเสียงบอกไล่ๆ กันมาของวิญญาณต้นไม้

    ...อาเน่! เมลิส!...

    ทำไม เมลิสเป็นอะไร!” เด็กหญิงร้องถามทันควัน

    ...ที่หน้าต่าง...

    อาเน่วิ่งไปที่ริมหน้าต่างซึ่งอยู่เหนือโต๊ะเขียนหนังสือ เห็นเด็กหญิงมนุษย์วิ่งลิ่วผ่านสวนหน้าบ้าน และเลี้ยวไปตามทางออกนอกเมืองโดยเร็ว

    เด็กหญิงแมนเดรกไม่รู้ว่าเมลิสตั้งใจจะทำอะไร หรือเร่งรีบด้วยเหตุใด ทว่าหากออกไปนอกเมือง ก็มีความเป็นไปได้สูงสุดเพียงอย่างเดียวที่เธอนึกออก

    ...นี้ดฮ็อก...

    อาเน่กระโดดลงจากโต๊ะ และวิ่งลงไปโดยเร็ว พร้อมกับส่งจิตบอกวิญญาณต้นไม้ต่างๆ ให้ช่วยรีบตามห่านเพรียงมาที่นี่โดยเร็ว เพื่อช่วยเป็นพาหนะให้เธอ

    ...ก่อนจะถอนใจอย่างร้อนใจอยู่ที่หน้าบ้าน เมื่อต้นไม้ใบหญ้าพากันบอกว่าเจ้าห่านเพรียงดอดตามฝูงห่านของคนเลี้ยงห่านไปที่ริมน้ำ ด้วยหวังจะจีบห่านสาวตัวหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย (ถึงแม้ว่าห่านเพรียงที่เกิดจากต้นไม้ กับห่านบ้านที่เลี้ยงกันทั่วไปเป็นคนละสายพันธุ์ เจ้าห่านก็ดูจะปักใจรักมั่นของมันมาหลายฤดูผสมพันธุ์แล้ว...แต่ว่าไป อาเน่ก็เพิ่งนึกได้ว่าห่านนั้นเป็นสัตว์ที่มีคู่เดียวตลอดชีวิต เว้นแต่คู่มันจะตายหรือถูกฆ่าไป ดังนั้นต่อให้มีลูกกันไม่ได้ เจ้าห่านเพรียงก็ยังคงตามดูแลสาวห่านบ้านที่มันชอบอยู่ดีนั่นเอง)

    พวกจิตวิญญาณพืชพากันรับรองแข็งขันว่าจะรีบตามเจ้าห่านมาพบเธอโดยเร็วที่สุด และขณะที่เดียวกัน เด็กหญิงแมนเดรกก็ถามพวกเขาว่ามาเทียส เอริเธีย หรือผู้กล้าเฮลิออส ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ควรแจ้งให้รีบรู้เรื่องนี้ไว้นั้นอยู่ที่ใด

    เฮลิออสกับเอริเธีย...อยู่ที่ร้านตัดเสื้อของแอนนาลี ส่วนมาเทียสถูกกะเกณฑ์ไปที่อ่างเก็บน้ำซึ่งมีนี้ดฮ็อกอยู่ ร่วมกับอาสาสมัครซ่อมแซมเมืองคนอื่นๆ ซึ่งอัลบัสนำขบวนไปกับเจ้าเมือง และเจ้ามณฑล

    ...ทำไมล่ะ... เด็กหญิงเริ่มสงสัย

    ...สร้างกำแพง...ป้องกันนี้ดฮ็อก... คำตอบดังไล่ๆ มาจากพืชที่ส่งผ่านคำตอบของผู้ร่วมเหตุการณ์

    อาเน่เริ่มชั่งใจ ว่าตนควรไปบอกเฮลิออสกับเอริเธียก่อน หรือตามเมลิสไปในทันทีที่ทำได้ดี

    ฝั่งเด็กหญิงน่าจะต้องการความช่วยเหลือมากกว่า นี้ดฮ็อกคงจะบอกอะไรกับเมลิส จึงทำให้เธอวิ่งออกไปเช่นนั้น...และนั่นก็น่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วน เช่น จอมมารโจมตี เด็กหญิงแมนเดรกจึงควรตามผู้กล้าคนอื่นๆ มาสมทบก่อน อย่างน้อยก็เพื่อให้ทุกคนรู้ไว้ว่าน้องสาวของช่างตีเหล็กสื่อสารกับมังกรแห่งอิกดราซิลได้

    เมื่อนึกได้เช่นนั้น เด็กหญิงแมนเดรกจึงรีบวิ่งไปตามทางเข้าเมืองทันที พร้อมกับบอกจิตวิญญาณพืชต่างๆ ให้บอกที่อยู่ของตนต่อห่านเพรียงด้วย เพื่อจะได้ตามไปสมทบกันได้เร็วขึ้น

     

    * * * * *

     

    นี่ ตอกให้มันดีๆ สิ จอมมารดลใจเจ้าให้ตอกหลวมๆ จะได้พังเข้าไปได้ง่ายๆ รึยังไง อัลบัสขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ พลางดันแว่นขณะมองคนหนุ่มในเมืองช่วยกันแบกหามไม้ ตลอดจนวัสดุก่อสร้างอื่นๆ มาตามแนวรั้วรูปวงกลมที่กั้นไว้รอบอ่างเก็บน้ำ

    เวลานี้เขายังไม่แน่ใจว่ามังกรนั่นคือนี้ดฮ็อกจริงหรือไม่ อย่าว่าแต่เรื่องรักษาต้นอิกดราซิลเลย แต่ในเมื่อมีจดหมายขู่จากจอมมารส่งมา ป้องกันไว้ก่อนย่อมเป็นเรื่องดี...ไม่ว่าจะเป็นมังกรจากจอมมาร หรือชาวบ้านและบริเวณโดยรอบจากมังกร

    ท่านเจ้าเมืองกับเจ้ามณฑลเองต่างก็เห็นด้วย จึงได้รีบกะเกณฑ์อาสาสมัครที่ตั้งใจจะซ่อมแซมเมืองมาแต่รุ่งสาง ตั้งใจกันว่าในทีแรกจะขึ้นเป็นกำแพงไม้ซุง แล้วจึงให้จอมเวทขาวลงอาคมคุ้มกันกำกับไว้

    กว่ากำแพงจะเสร็จ คงต้องใช้เวลาราวสองสามวัน อาจฟังเหมือนน้อย แต่ทุกวินาทีที่เนิ่นช้าย่อมเสี่ยงต่อการโจมตีของจอมมาร อัลบัสเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิด เขานึกอยากใช้เวทมนตร์เร่งกำลังวังชาให้พวกคนงานสร้างกำแพงได้เร็วยิ่งกว่านี้ ทว่าการใช้เวทมนตร์กับคนหมู่มากนั้นสิ้นเปลืองพลังเวทมนตร์โดยใช่เหตุ โดยเฉพาะในขณะที่เขาควรเก็บออมพลังเวทของตนไว้รับการโจมตีของจอมมาร

    นักรบใช้กำลังกายในการต่อสู้จนเหนื่อยอ่อนฉันใด นักเวทก็ใช้อำนาจจิต และเวลาในการร่ายเวทจนเหน็ดเหนื่อยได้ไม่ต่างกันฉันนั้น

    บางที...เมื่อนึกเช่นนี้แล้ว อัลบัสก็นึกเยาะพวกคนที่เคยหาว่าตนขี้ก้างไร้แรง และบางทีก็อาจจะกำลังนึกอยู่ในตอนนี้ในใจ ...พวกนั้นไม่รู้หรอก ว่าเวทมนตร์ใช้ยากและละเอียดอ่อนกว่ากำลังกายหยาบๆ ที่แค่เหวี่ยงมือเท้าเปะปะก็ทำได้มากแค่ไหน

    แต่หากไม่มีกำแพงไม้เป็นอาณาเขตทางกายภาพ จอมเวทขาวก็ไม่อาจหาหลักเป็นสื่อสร้างเขตเวทมนตร์ เขตที่กว้างขนาดนี้ หากใช้เวทมนตร์สร้างเพียงอย่างเดียวย่อมกินพลังมหาศาล

    กำแพงลงเวทอักขระจึงเหมาะสมที่สุด...หากไม่นับว่าเสียเวลา

    และก็อาจมีเหตุขัดข้อง

    หยุดนะ—! อย่านะ—!

    อัลบัสหันไปทางต้นเสียงอย่างประหลาดใจ กับเหตุที่มาในลักษณะไม่คาดฝัน

    เด็กหญิงผมเปียคู่สีน้ำตาลคนหนึ่ง แต่งตัวอย่างเด็กชาวบ้าน วิ่งกระหืดกระหอบมาทางนี้

    จอมเวทขาวขมวดคิ้ว แม้ก่อนที่เด็กหญิงจะหยุดยืนหอบจนตัวโยนตรงหน้าเขาเสียอีก

    จอมมารชำนาญการหลอกล่อปลอมแปลงตน ดังนั้นจะประมาทไม่ได้

    ย...อย่าทำกำแพง...นะ นี้ดฮ็อก...ไม่ชอบ เด็กผมเปียเริ่มพูดด้วยสำเนียงที่เหน่ออย่างประหลาด

    ...นี้ดฮ็อกไม่ชอบ...

    ...อะไรของเด็กนี่...

    อัลบัสกอดอก มองลงมายังเด็กหญิงที่เงยมองตนแทบตาไม่กะพริบ แม้ร่างจะยังสั่นเป็นระยะๆ จากการหายใจ

    แล้วรู้ได้ยังไงว่ามันไม่ชอบจอมเวทขาวตั้งคำถามเสียงเครียด

    เด็กหญิงจ้องหน้าเขาอีกครู่ถึงได้ตอบ

    นี้ดฮ็อกบอกข้า ข้าได้ยินเสียงเขา เขากลัวที่มีคนมากมายมาที่นี่ แล้วก็...จะมาทำอะไรปิดขังเขาไว้ นี้ดฮ็อกต้องการพลังวิญญาณที่ไหลเวียนได้สะดวก แล้วก็ไม่ชอบความรู้สึกหวาดกลัวของหลายคนที่อยู่ที่นี่ด้วย

    แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง ทำไมถึงได้พูดกับนี้ดฮ็อกรู้เรื่อง ทำไมเด็กธรรมดาๆ อย่างเจ้าถึงคุยกับมันได้ล่ะ

    ร่างที่เตี้ยเล็กกว่าเม้มปาก แต่ยังคงไม่ละสายตาไป แววตามองตรงมาที่เขาเป็นจุดเดียว แม้จะดูเหมือนมึนงงอยู่

    อัลบัสอดรู้สึกไม่ได้ ว่าเด็กที่ไหนก็ไม่รู้นั้นกำลังจ้องหน้าของตน...ทั้งๆ ที่จนมุม แน่ละ นี้ดฮ็อกมันจะไปพูดกับเด็กไม่รู้เรื่องคนนี้ทำไม นอกเสียจากเด็กนี่จะหลอกลวง ถูกส่งมาเป็นสายของจอมมาร

    ...ไม่ก็เป็นจอมมารปลอมตัวมาเสียเอง...

    ถ้าเจ้าบอกไม่ได้ว่าทำไมตัวเองถึงได้ยินเสียงนี้ดฮ็อก ข้าก็หยุดสร้างกำแพงไม่ได้เหมือนกัน ถ้าตามที่เขาว่ากันมาเป็นจริง นี้ดฮ็อกก็เป็นมังกรสำคัญของโลก ไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้า จู่ๆ มาพูดแบบนี้ ใครเขาเชื่อก็โง่ตาย—”

    พ...พูดช้ากว่านี้ได้ไหมคะ ข้าฟังไม่ทันจู่ๆ เด็กหญิงก็ขัดขึ้น

    จอมเวทขาวชะงักไป

    และโกรธขึ้นมา

    อัลบัสไม่คิดว่าตนพูดเร็วหรือพูดค่อยจนเกินไปเลย ทำไมเด็กนี่ถึงจะฟังไม่ทัน

    คิดจะกวนกันอย่างนั้นหรือ

    ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า ยิ่งฟังไม่ทัน ข้าก็ยิ่งขี้เกียจบอก ชายสวมแว่นแค่นเสียง และชี้ไปยังทางออก กลับบ้านไปซะ พวกเรากำลังทำงานสำคัญ จะปล่อยให้เด็กไม่รู้ความอย่างเจ้ามาพูดอะไรไม่เข้าเรื่องได้ยังไง

    อัลบัสพูดพลางหันไปมา มองหาทหารยามที่อยู่ใกล้เพื่อจะออกคำสั่ง ทว่าเด็กหญิงยังคงพูดขึ้นมาอีก

    แต่...แต่นี้ดฮ็อกไม่ชอบกำแพงจริงๆ นะคะ! อย่าสร้างกำแพงเลย! ยิ่ง...ยิ่งรู้สึกว่าคนพวกนี้ตึงเครียดเท่าไร...ยิ่งพลังงานไหลเวียนไม่สะดวกเท่าไร...เขาก็ยิ่งปวดท้องนะ!”

    ไปไกลๆ เจ้าเด็กนี่! ทหาร!” จอมเวทขาวพบเป้าหมายของตนในที่สุด...แม้จะอดคิดในใจไม่ได้ว่าทหารของท้องถิ่นนี้ช่างไม่มีความกระตือรือร้นหรือระมัดระวังตัวเอาเสียเลย เอาตัวเด็กนี่ออกไปซะ!”

    คนสวมเกราะสองคนซึ่งเดินเข้ามากลับมีทีท่างุนงง และไม่แม้แต่จะแตะตัวเด็กหญิง ซึ่งหันไปพูดกับพวกเขาอย่างร้อนรน...ด้วยเรื่องเดิมๆ

    นี้ดฮ็อกไม่อยากให้สร้างกำแพง ถ้าสร้างแล้วเขาจะหายดีช้ากว่าเดิม—”

    มัวยืนบื้ออะไรอยู่! เอาตัวเด็กบ้านี่ออกไปสิ

    อัลบัสเหลืออดจะยุ่งกับเด็กหญิง และทหารซึ่งเอาแต่หันไปมองหน้ากันเลิกลักอีกต่อไป เขาหันผละไปอีกทาง...แต่เดินไปได้ไม่ทันสามก้าวดีก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงที่แขนเสื้อ

    ฟังข้าก่อนสิคะ! ข้าพูดจริ—”

    จอมเวทขาวสะบัดแขน

    เขาไม่คิดว่าตนออกแรงมากเกินไป...ทว่าสิ่งที่ตามมาคือเสียงดังตุบ และเสียงร้องเบาๆ

    อัลบัสหันขวับ เห็นเด็กหญิงนั่งแปะอยู่เบื้องหลัง ท่าทางของเธอยังมึนงงไม่หายเมื่อยกสองมือที่ใช้ยันพื้นขึ้นมอง เห็นหยาดหยดสีแดงค่อยๆ ซึมแทรกฝุ่นดินบนฝ่ามือออกมา

    แวบแรก จอมเวทขาวคิดว่าจะเข้าไปรักษาให้...แต่แล้วก็ยั้งไว้

    แผลไม่ได้หนักหนา แค่ล้างและทายาง่ายๆ ไม่นานก็หาย แล้วอีกอย่าง เวลานี้ไม่รู้จอมมารจะบุกเข้ามาเมื่อไร ถึงอย่างไรก็ควรเก็บออมพลังเวทไว้ก่อน

    อัลบัสได้ข้อสรุปเช่นนั้น จึงได้หันกลับไป

    เพียงเสี้ยววินาที...ก่อนความเจ็บปวดระเบิดจะวาบที่ข้างแก้ม และร่างผอมบางของชายสวมแว่นถึงแก่ล้มหงายหลังลงบนพื้นดิน

    แว่นตาเคลื่อนไป...แต่ยังไม่ถึงกับแตกร้าวหรือหัก จอมเวทขาวข่มความเจ็บกับรสเลือดในปากขณะจัดมันให้เข้าที่ ก่อนจะมองตรงไปยังคนที่บังอาจชกหน้าของตนอย่างเดือดดาล

    ...และพบว่านั่นไม่ใช่ใครเลย นอกจากช่างตีเหล็กแห่งเมืองพาร์ฟ ซึ่งเวลานี้กำลังยืนค้ำร่างของเขาอยู่นั่นเอง

     

    * * * * *

     

    คนเขียนขอคุย

           

            สวัสดีผู้อ่านทุกท่านขอรับ

            ขอโทษที่ช่วงนี้อาจจะลงช้าไปบ้างนะครับ รู้สึกเหมือนเรื่องของอาเน่ใกล้จบแล้ว แต่ไอเดียที่มีอยู่ตอนนี้ก็เนือยแปลกๆ เหมือนกัน ถึงอย่างนั้น ก็จะพยายามเขียนให้เต็มที่ ให้จบสมบูรณ์ที่สุดครับ

            ฝากประชาสัมพันธ์นิดนึงนะครับ ตอนนี้ผมได้รับเลือกให้เข้าโครงการ New Blood Fantasia ของสถาพร ดังนั้นจึงต้องเน้นเรื่องที่เขียนให้กับโครงการเป็นหลัก อาจจะมีช่วงที่เรื่องอื่นๆ ลงช้าไป แต่ก็จะกระจายเวลา ลงแต่ละเรื่องให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ครับ

            เสาร์ที่ 19 มี.ค. นี้จะมีปฐมนิเทศโครงการ ใครสนใจก็ไปเข้าร่วม และทักทายกันได้นะครับ ^^

            สำหรับในตอนนี้ แม่หนูเมลิสของเราก็เริ่มแสดงความไม่ธรรมดาออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงได้ยินเสียงของนี้ดฮ็อก และความขัดแย้งระหว่างช่างตีเหล็กกับจอมแว่นขาวจะเป็นยังไง ติดตามชมได้ในตอนต่อไปครับผม :)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×