ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Mandrake Hero(ine) - ผู้กล้าพืชป่วน ยกก๊วนปราบมังกร

    ลำดับตอนที่ #23 : 20 - เหตุไม่คาดฝันก่อนงานเทศกาล - “...ไม่ใช่เพราะท่านทอดเนื้อหรือ”

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 332
      1
      4 ก.พ. 54

    บทที่ 20

    เหตุไม่คาดฝันก่อนงานเทศกาล

     

    หยา!”

    อาเน่ล้มก้นจ้ำเบ้าบนพื้นดินโคลน มีดอกไอริสสีขาวม่วงสะบัดก้านไหวๆ อยู่ตรงหน้า

    เมลิสหัวเราะขึ้น...พร้อมกับดอกไม้โดยรอบ

    ระวังหน่อยนะ เด็กหญิงส่งมือให้แมนเดรกจิ๋วเกาะและยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะหันไปเด็ดก้านดอกไอริสที่กำลังบานเต็มที่อีกดอกหนึ่ง แล้วลุยห่างออกไป โดยไม่กลัวเสื้อผ้าเก่าสีซีดจางเปรอะเปื้อนโคลนยิ่งไปกว่านี้

    ...พยายามเข้าล่ะ อาเน่...

    ดอกไอริสที่ยังตูมอยู่ให้กำลังใจ กระนั้น เด็กผมเขียวยังแหงนมองก้านดอกที่สูงท่วมศีรษะตน ด้วยความรู้สึกเหมือนมนุษย์ซึ่งกำลังหลงอยู่ท่ามกลางพงหญ้าสูงท่วมหัว แทบไม่รู้ทิศทาง

    ในสภาพแบบนี้ เธอคงดึงรากที่ยาวที่สุดไม่ได้หรอกกระมัง

    ใกล้เทศกาลฤดูใบไม้ผลิแล้ว ดอกเชอร์รี่ที่ยังตูมอยู่ในเมืองพาร์ฟย่อมใกล้ผลิบานเต็มที่ ช่อดอกวิสทีเรียสีม่วงและขาว ซึ่งห้อยย้อยลงมาราวกับพวงองุ่นตามซุ้มไม้ก็เริ่มปรากฏ ไอริสสารพัดสี ทั้งขาว ม่วง เหลือง และน้ำเงินก็กำลังงอกงามที่ริมแหล่งน้ำต่างๆ

    ในช่วงนี้จึงมีการเก็บดอกไอริส...หรือที่จริงควรเรียกว่าทั้งต้น นำไปร้อยเป็นพวงมาลัยเครื่องหอมแขวนเหนือประตูบ้านตามธรรมเนียม โดยเชื่อกันว่าใครพบต้นไอริสที่มีรากยาวที่สุด ก็เท่ากับอายุจะยืนยาวตามไปด้วย นี่เองคือเหตุผลที่เมลิสเตรียมหมวกฟางกันแดดกับเสื้อผ้าเก่าๆ มาใส่ พร้อมทั้งหาหมวกฟางขนาดตุ๊กตามาให้อาเน่ แล้วออกมาเก็บดอกไอริสกับเพื่อนๆ ของเธอ รวมทั้งเอลี่กับอาร์ค ลูกศิษย์ของแม่มดดำที่เริ่มสนิทกันมากขึ้น และฟรานซิสที่แม้จะลงมาลุยริมชายน้ำด้วยไม่ได้ ก็ยังได้อาร์คช่วยแบกขาตั้งกับผืนผ้าใบมาให้นั่งวาดรูปอยู่บนฝั่งนั่นเอง

    เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นอยู่ทั่วไป...ขณะที่ทั้งเสียงพูดของคนกับต้นไม้ทับซ้อนกัน

    อุ๊ย! ต้นนี้รากย้าวยาวนะ

    ...ดูสิ...เขาบอกว่ารากข้ายาวมากแน่ะ...

    ...เชอะ ทำเป็นอวด...

    หมายความว่าพี่เอลี่จะอยู่จนเป็นยายแก่เหนียงยานไง

     “อาร์ค! ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ!”

    ...ดึงข้าสิ ดึงข้าสิ รากข้ายาวที่สุดเลยนะ...

    ...โม้มากกว่าละมั้ง เจ้าน่ะ อายุน้อยกว่าข้าอีก...

    ...แหม อายุมากกว่าไม่ได้หมายความว่ารากจะยาวกว่านี่...

    ผัวะ!

    หวา...ยายพี่ป่าเถื่อน โคลนเลอะหน้าข้าหมดเลย

    ...ว้าย! กลีบข้าเปื้อนหมดเลย อย่าทำแบบนี้สิ...

    สมควรแล้ว ไอ้น้องกวนประสาท!”

    พี่เอลี่พูดคำหยาบ! ข้าจะกลับไปฟ้องแม่!”

    เออ! เชิญตามสบายเลยย่ะ! นายลูกแหง่!”

    ...ระวังๆ อย่าเหยียบข้า...

    อาเน่ยืนหลับตา ถอนใจเฮือกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น

    ...เบื่อเหรอ อาเน่... ต้นไอริสใกล้ๆ เอ่ยขึ้น ...ทำไมไม่ร่าเริงเลย...

    ...ไม่รู้สิ... เด็กหญิงแมนเดรกไม่ใคร่รู้ความรู้สึกของตนนัก แม้จะยังกังขาไม่หาย

    ...ก็บอกแล้ว ว่าพวกเราไม่เจ็บหรอก อยากได้ดอกไหนก็เด็ดไปตามสบายเลย... เสียงหวานใสราวกับเด็กสาวหัวเราะร่าเริง ...ดีเสียอีกที่ได้เปลี่ยนสถานที่บ้าง ต้นไม้ที่ไปไหนไม่ได้น่ะ ก็ต้องอาศัยมนุษย์หรือสัตว์พาไปอย่างนี้แหละ...

    ...อือ... อาเน่รับ ...ข้ารู้อยู่แล้วล่ะ...

    ใช่ เธอรู้อยู่แล้ว พืชเป็นเผ่าพันธุ์ที่เกิดมาเป็นผู้ให้โดยแท้ ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์จะนำพืชไปใช้เพื่อการดำรงชีพอย่างใด พืชก็พร้อมจะน้อมรับและสนอง เหล่าพืชพรรณเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงไร้ความเจ็บปวด ไม่ว่ายามถูกเด็ด ตัด ถอน ปรุงสุก หรือแปรสภาพไปอย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน พืชที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์จะกลับภูมิใจในหน้าที่ของตนด้วยซ้ำ

    ...หากว่าสัตว์หรือมนุษย์นั้นจะไม่ได้ทำร้ายมันด้วยใจที่ขุ่นมัว หรือความรู้สึกด้านลบใดๆ

    อย่างไรก็ดี พวกพืชบอกอาเน่ว่าสัตว์ไม่ใคร่ทำเช่นนั้นดอก มีเพียงมนุษย์เท่านั้นเองที่นำความมืดในใจมาทำลายสิ่งมีชีวิตอื่น แต่ถึงมีมนุษย์เช่นนั้น พวกเขาก็ไม่ใคร่เป็นคนเมืองพาร์ฟ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิเป็นงานรื่นเริงน่าตื่นตา และโอกาสในการเฉลิมฉลองมอบความปรารถนาดีให้แก่กัน ดอกไม้ที่ถือกำเนิดและบานเฉพาะชั่วฤดูกาลนี้จึงได้ตั้งหน้าตั้งตารองานเทศกาลซึ่งไม้ใหญ่เล่าขานถึง ไม่ต่างจากเด็กๆ และหนุ่มสาวชาวเมืองนัก

    เวลานี้ หลายคนจึงมีภาระยุ่งต่างๆ กันไป แอนนาลีง่วนอยู่กับการทำชุดประกวด มาเทียสทำเครื่องประดับให้ช่างตัดเสื้อ และช่วยเรื่องโครงเหล็กของเวที กับอาวุธสำหรับซ้อมที่ใช้ในงานประลอง ดูเหมือนผู้กล้าเฮลิออสจะได้รับเชิญให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ แสดงฝีมือในรอบเปิดตัวของงานประลองอาวุธครั้งนี้ด้วย เขาจึงมุ่งมั่นกับการฝึกซ้อมเป็นพิเศษ...นอกเหนือจากดูแลความปลอดภัยรอบวิหารของเมือง ซึ่งจอมเวทขาวอัลบัสกำลังทำพิธีแก้คำสาปให้ดาบปราบมังกรอยู่

    ส่วนเอริเธีย ซึ่งเวลานี้กลับมาสวมหน้ากากแม่มดดำตามเดิมแล้ว ก็กำลังยุ่งกับการออกแบบสร้างปราสาทกระจกเงา อาเน่ดีใจไปด้วยที่หญิงสาวเก็บเงินได้มากพอสำหรับการนั้น แต่เอริเธียดูเหมือนจะยังมีเรื่องไม่พอใจ ...เธอบ่นกับมาเทียสและอาเน่ว่าพวกลิมนาเดสเก็บรักษาเงินไม่เป็น เหรียญจำนวนไม่น้อยที่ถูกแช่น้ำอยู่เป็นนานจึงขึ้นสนิม หรือสึกกร่อนเสียจนหมดสภาพ ไม่อาจนำมาใช้ในฐานะเงินตรา และได้แต่นำมาให้ช่างตีเหล็กหลอมใหม่อย่างลับๆ (อันเนื่องมาจากการหลอมเหรียญเงินโดยพลการผิดกฎหมายของอาณาจักร) เผื่อจะนำไปใช้เป็นอย่างอื่นได้

    ถึงอย่างนั้น แม่มดก็บอกว่ายังดีที่มีเงินทุนพอสร้างปราสาทกระจกหลังไม่ใหญ่นัก และเพื่อไม่ให้เสียเปล่า เธอจึงจะทำปราสาทกระจกเงาในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลินี้ เพื่อจะได้เก็บค่าเข้าชมมาช่วยถอนทุนคืนด้วย

    มาเทียสได้ฟังอย่างนั้นก็เกาหัวแกรก ตั้งคำถามว่าหากมีมนุษย์เข้าไปวิ่งเล่นโครมคราม ราชินีแห่งภูตเงาสะท้อนจะพอใจและแก้คำสาปได้อย่างไร ทว่าเอริเธียแย้งว่าพวกภูตเงาสะท้อนนั้นชอบความรื่นเริง และยิ่งชื่นชอบภาพสะท้อนซ้ำไปมาเป็นอนันต์ หรือภาพสะท้อนที่บิดเบี้ยวจากความเป็นจริงมากขึ้น

    ...พวกเขาเห็นของแบบนั้นเป็นงานศิลปะ... แม่มดดำสรุปพลางยักไหล่

     ในเวลาเช่นนี้ ทุกๆ คนดูยุ่งไปโดยปริยาย ผิดกับอาเน่ซึ่งตื่นนอนในแต่ละวันด้วยความรู้สึกประหลาด ...เธอตั้งคำถามว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง นอกจากสิ่งที่ทำเป็นประจำในทุกวัน เช่นช่วยเมลิสดูแลสัตว์เลี้ยงและทำงานบ้านเท่าที่ทำได้ หรือเล่นกับเด็กหญิง

    และเธอก็ยิ่งตั้งคำถาม...ว่าหลังจากงานเทศกาลฤดูใบไม้ผลิผ่านไป เธอจะทำอะไร

    มนุษย์มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ อย่างหนึ่งคือต้องหาเงินเลี้ยงปากท้อง ดูแลครอบครัว อาเน่ยังนึกไม่ออกว่าเธอจะหาเงินได้อย่างไร จริงอยู่ว่าเธอฟันดาบเป็น และกำจัดสัตว์อสูรได้ แต่ก็ไม่ต้องการทำเช่นนั้นอีกแล้ว

    ...อย่าคิดมากไปเลย... เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นข้างกาย ...สักวันต้องมีสิ่งที่อาเน่ทำได้สิ ดูอย่างพวกเรา ดอกไม้อย่างพวกเรายังเลี้ยงผีเสื้อกับแมลงต่างๆ ได้ แล้วก็ทำให้ผู้คนยิ้มแย้ม รู้สึกดีได้ด้วย...

    ...ใช่ๆ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตอะไรก็มีเวลาจำกัดทั้งนั้น ขอแค่มีความสุขและไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอแล้วไม่ใช่หรือ...

    เด็กหญิงแมนเดรกยิ้มกับถ้อยคำให้กำลังใจ

    ...ขอบใจนะ... เธอยืดตัวขึ้น ...งั้นเอาล่ะ ข้าจะพาดอกไหนกลับบ้านดีนะ...

    ...เลือกข้าสิๆ... หมู่ดอกไม้ส่งเสียงเซ็งแซ่อีกครั้ง ขณะที่อาเน่แหงนมอง หาดอกไม้สีสวยดอกใหญ่ซึ่งผลิบานเต็มที่

    ...อ๊ะ ดอกนี้ล่ะ... นิ้วมือป้อมค่อยๆ ทาบทับบนก้านใบสีเขียว ท่ามกลางเสียงรับอย่างดีใจของผู้ถูกเลือก และเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ ตลอดจนเรียกร้องความสนใจของดอกอื่นๆ

    แต่แล้ว เสียงที่ไม่ใช่หนึ่งในนั้นกลับแผดขึ้น

    ...เจ็บ! เจ็บปวดเหลือเกิน!...

    อาเน่ชะงักค้าง ...รู้สึกราวกับความปวดร้าวแล่นเป็นริ้วๆ ขึ้นมาจากเท้า...ส่งผ่านขึ้นมาถึงศีรษะและกระจายไปตลอดร่าง

    โหยหวน...ปั่นป่วน...ดิ้นทุรน...คือเจ้าของเสียงที่ส่งผ่านมานั้น ยังผลให้หมู่ดอกไม้และพืชโดยรอบล้วนเจ็บปวดทรมานไปด้วย เสียงกรีดร้องที่มนุษย์ไม่ได้ยินล้วนประสานกับเสียงนั้น ดังขึ้น ดังขึ้น

    ...ทรมาน! ข้าทรมานเหลือเกิน! ใครก็ได้...

    อาเน่!

    ...ใครก็ได้ช่วยที!...

    เด็กหญิงแมนเดรกไม่รู้ว่าตนกรีดร้องออกมาเมื่อใด แต่เมื่อใครหลายคนลุยโคลนเลนเข้ามาหาเธอ...สติเฮือกสุดท้ายของเด็กผมเขียวก็ดับวูบไปเสียแล้ว

    * * * * *


    เปรี๊ยะ!

    โอ๊ะ ข้าขออภัยผู้กล้าเอ่ยพลางก้มลงมองรอยแยกบนเนื้อไม้ตรงหน้า ...ใต้หัวแครอทซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการหั่นเป็นแว่น (และชอกช้ำไปมากแล้วด้วยแรงอันหนักหน่วง)

    ไม่เป็นไรๆ เขียงบ้านข้าเก่าแล้ว ก็ต้องเปราะเป็นธรรมดา มาเทียสรับอย่างไม่ติดใจนัก...แม้จะอดคิดไม่ได้ ว่าเขียงไม้เนื้อหนานี้อยู่ยืนยงมาตั้งแต่พ่อแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ โดยไม่เคยบุบสลายด้วยเหตุทำนองนี้เลย

    ข้าคงไม่เหมาะกับงานละเอียดจริงๆเสียงของอัศวินหม่นลง

    ก็คงต้องฝึกเป็นธรรมดานั่นแหละท่าน...เอ้อ...เฮลิออส ช่างตีเหล็กรีบเปลี่ยนคำเรียกทันทีเมื่ออีกฝ่ายปรายตามองเขา กระนั้นก็ยังไม่ชินกับการเรียกท่านผู้กล้าแห่งมิโทเซียโดยไร้คำให้เกียรติเสียที

    แต่ว่าไป เขาก็คงไม่ชินกับหลายๆ อย่างของอีกฝ่ายอยู่มากเช่นกัน เขาไม่เคยคิดว่าผู้กล้าจะอยากหัดปะชุนเสื้อผ้า หรือทำอาหารเป็นเรื่องเป็นราว...แต่เมื่อตระหนักถึงเวลาที่อัศวินหนุ่มต้องเดินทางเพียงลำพัง ก็รู้สึกสมเหตุสมผลอยู่ ...แม้เขาไม่รู้ว่าควรชมพละกำลังขนาดทำเข็มงอด้ายขาด หรือผักช้ำเขียงพังของอีกฝ่ายดีหรือไม่

    เอาเถิด ผู้กล้ามีหน้าที่ปราบสัตว์อสูร บางตัวใหญ่โตมหาศาลขนาดพวกโทรลล์ อสูรยักษ์มิโนทอร์ หรือแม้แต่มังกร ผู้กล้าจะมีพละกำลังมากกว่าคนทั่วไปบ้างก็ไม่แปลกกระมัง...ช่างตีเหล็กบอกตนเอง

    มาเทียสนึกพลางบอกเฮลิออสให้ซอยหัวหอมเป็นอย่างต่อไป ก่อนจะทำเป็นตัวอย่างให้ดู มื้อเย็นนี้เขาตั้งใจจะทำสตูว์ เลี้ยงทั้งผู้กล้า เด็กๆ ที่ออกไปเก็บดอกไอริส และแอนนาลี (เขาชวนแม่มดดำด้วย แต่เธอบอกว่าคงกินร่วมโต๊ะกับทุกคนไม่สะดวกเพราะติดหน้ากาก จึงขอให้กันส่วนหนึ่งให้เธอกลับไปกินที่หอคอย...มากพอสักสองสามมื้อ) พักหลังมานี้ช่างตีเหล็กเพิ่งมีเวลาว่างจากช่วยเตรียมงานเทศกาล จึงอยากให้เมลิสที่ทำอาหารแทนเป็นส่วนใหญ่ได้กินของโปรดของเธอบ้าง

    ครั้นแน่ใจว่าอัศวินหนุ่มพอจะซอยหัวหอมได้ โดยไม่ทำให้เขียงเก่าแก่บุบสลายไปกว่าเดิมแล้ว ชายหนุ่มจึงได้หันไปสนใจเนื้อที่ตนหมักไว้ตั้งแต่เมื่อคืน และกำลังจะนำลงไปรวนในกระทะพอดี...เมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบนพื้น ไม่มากนัก แต่ก็แรงพอจะทำให้ผิวน้ำมันในกระทะ และน้ำซุปที่เขาใส่หม้อไว้สั่นกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง

    เอ่อ...เฮลิออส ไม่ต้องออกแรงสับหัวหอมขนาดนั้นก็ได้ มาเทียสติง

    หือม์...ข้ายังไม่ได้สับต่อเลยนะผู้กล้าตอบกลับอย่างประหลาดใจ

    อ้าว! ...แต่พื้นมันสั่นช่างตีเหล็กเริ่มขมวดคิ้ว

    ...ไม่ใช่เพราะท่านทอดเนื้อหรือ

    ...ไม่มีใครเขาทอดเนื้อจนพื้นครัวสั่นกันหรอกนะ มาเทียสพูดขึ้นแล้วก็นึกเอะใจ...เมื่อตระหนักว่าเจ้าซาลาแมนเดอร์ไฟที่ควรนอนแช่อยู่ในเตาอันตรธานไปเสียแล้ว

    ครั้นมองกวาดไปทั่วครัว ก็เห็นกิ้งก่าสีแดงตัวมันลื่นนั้นกำลังกระดืบๆ ผ่านกรอบประตูหลังบ้าน ออกสู่สวนซึ่งเจ้าหลงกับเจ้าโฮ่งกำลังวิ่งวนกันไปมาเป็นวงกลม แมวรัตติมายาหมอบนิ่งอยู่กลางพงหญ้า เจ้าปูหนีบก้าวขาดิกๆ โย้ไปเย้มา และสไลม์สีรุ้งทั้งเจ็ดตัวกำลังเกาะกลุ่มกลายร่างเป็นสีฟ้ากันยกใหญ่ กระทั่งห่านเพรียงที่ไม่ใคร่จะบินขึ้นก็กำลังบินวนอยู่เหนือสวนบ้านเขาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนพิกล

    เจ้าของบ้านเริ่มตื่นตัวทันที ...สัญชาตญาณระวังภัยของสัตว์นั้นเชื่อถือได้เสมอ

    ทิ้งมีด แล้วรีบออกไปข้างนอกเร็ว!”

    หา?”

    มาเทียสละจากเครื่องปรุงทุกอย่าง และกระชากแขนของผู้กล้าดึงให้วิ่งไปด้วยกัน...ขณะที่พื้นใต้เท้าเริ่มสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งกระทะเอียงเสียหลักร่วงลงกับพื้น

    ไม่นานทั้งสองก็ออกมาอยู่ข้างนอกกับบรรดาสัตว์เลี้ยง เวลานี้พื้นดินสั่นเทิ้มเสียจนชายหนุ่มแทบเห็นหลังคาบ้านของตนเขย่าขึ้นๆ ลงๆ ยอดไม้ใหญ่ที่สวนหลังบ้านของเขาก็ไหวเอนราวกับตกอยู่ในพายุ

    มีเสียงของตกและเสียงเพล้งดังจากในบ้านประปราย ชายหนุ่มเดาว่าคงเป็นจานชามที่ตนนำออกมาเตรียมอาหาร และภาวนาขอให้ไม่ใช่ชุดกระเบื้องรับแขกที่ได้รับเป็นมรดกจากพ่อแม่

    แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้แต่ภาวนาว่าบ้านตนจะไม่ล้มพังลงมา...มาเทียสไม่อยากนึกถึงการซ่อมแซมขนานใหญ่หลังจากนั้นเลย

    อย่างไรก็ดี พื้นสั่นแรงอยู่พักหนึ่งจึงได้สงบลง กระนั้นช่างตีเหล็กกับอัศวินก็ยังมองหน้ากัน ไม่ใคร่แน่ใจว่าควรกลับเข้าไปทำอาหารต่อดีหรือไม่

    ...แผ่นดินไหว? ผู้กล้าเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก

    ...คงอย่างนั้น มาเทียสตอบ พลางจับสังเกตท่าทางของพวกสัตว์เลี้ยง ซึ่งถึงแม้จะยังดูตื่นตัว ก็ไม่ได้ลุกลี้ลุกลนเช่นเมื่อครู่อีก ข้าคิดว่า...คงสงบแล้วกระมัง น่าจะกลับเข้าไปได้แล้ว

    อัศวินรับเบาๆ และตามเจ้าของบ้านกลับเข้าไปในครัวอย่างระแวดระวัง

    มาเทียสโล่งอกเมื่อพบว่าที่ตกแตกนั้นเป็นถ้วยชามเก่าๆ และแม้ชามไม้ใส่ผักจะตกลงมาด้วย ก็ยังคัดผักส่วนที่ไม่ช้ำมากนักไปล้างทำความสะอาดได้ ส่วนพื้นห้องครัวเป็นดินอัดแน่น จึงไม่ได้เสียหายจากน้ำมันร้อนที่หกลงมา แต่เมื่อนึกได้ถึงเรื่องอื่นก็ไม่อาจวางใจเต็มที่

    ...หวังว่าเมลิสกับคนอื่นๆ คงไม่เป็นไร...

    เด็กหญิงพาอาเน่กับเพื่อนๆ ไปเก็บดอกไม้ที่ริมบึง บริเวณนั้นเป็นที่โล่ง ต่อให้แผ่นดินไหว ก็คงไม่มีอันตรายใด แอนนาลีน่าจะทำงานอยู่ในร้าน แต่ที่หน้าร้านของเธอก็เป็นถนนใหญ่ ย่อมหลบออกมาทัน

    ...ทว่าเอริเธียเล่า แม่มดอยู่ในหอคอยหรือเปล่า และหอคอยของเธอมั่นคงพอจะรับแผ่นดินไหวได้ไหม...

    ช่างตีเหล็กนึกได้อย่างนั้นก็เผลอวิ่งออกไปดูที่หน้าบ้าน จนเห็นชัดว่ายอดหอคอยสีดำทมิฬนั้นยังตั้งตรงดีก็ถอนใจเฮือก...กระทั่งผู้กล้าตามออกมาอย่างสงสัย

    มีอะไรหรือ มาเทียส

    ป...เปล่า เจ้าของบ้านรีบกลบเกลื่อน ข้าแค่ดีใจที่ไม่มีอะไรพัง

    แต่ในเมืองไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง ข้าควรเข้าไปดูหน่อยกระมัง อัศวินพูด ก่อนจะเดินตรงไปหาม้าเปกาซัสที่ตนผูกไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่ และปลอบมันให้หายตื่น ท่านรออยู่ที่นี่เถอะ เดี๋ยวหนูเมลิสกับเด็กๆ คงรีบกลับมา

    ได้ ถ้ามีปัญหาหรือแผ่นดินไหวอีก ชาวบ้านคงไปร่วมตัวกันที่จัตุรัสกลางเมือง ข้าจะไปสมทบกับท่านที่นั่นก็แล้วกัน ช่างตีเหล็กนึกถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยของเจ้าเมือง ซึ่งประกาศให้รู้ทั่วกัน แต่ถ้าไม่มีอะไร ท่านก็กลับมากินอาหารเย็นที่บ้านข้าล่ะ

    ผู้กล้ารับคำ และรีบขี่ม้าจากไป

    มาเทียสเพิ่งส่งเขาไปได้แวบเดียวเท่านั้นเอง...ก็ได้ยินเสียงอันแปลกประหลาด

    คล้ายเสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋ง...ตามด้วยแสงสว่างวาบที่หางตา

    ช่างตีเหล็ก! ไม่เป็นไรใช่ไหม!”

    ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นคนถาม

    แม่มดเอริเธียยืนอยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้านเขา ห่างออกไปไม่กี่สิบก้าว

    เธอยังคงสวมชุดสีดำตามเดิม ทว่าไม่ได้สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าที่แท้จริง...ซึ่งเวลานี้ดูตื่นตระหนกอย่างพิกล คล้ายตอนที่เขาพบเธอที่ริมทะเลสาบของลิมนาเดส

    ช่างตีเหล็กได้แต่ยืนมึนงงอยู่ตรงนั้น จนหญิงสาวก้าวยาวๆ เข้ามาหา และคว้าแขนซ้ายของเขาขึ้นดู

    เจ้าบาดเจ็บนี่!”

    มาเทียสก้มลงมองแขนของตน ซึ่งเวลานี้บวมขึ้นเป็นบางจุด คงเพราะถูกน้ำมันร้อนตอนกระทะกระเด็น

    เขาเพิ่งรู้สึกปวดแสบปวดร้อนในตอนนั้นเอง

    แผลแค่นี้ ไม่เป็นไรหรอก บ้านข้ามียา—”

     ชายหนุ่มพูดได้เท่านั้นก็ชะงักค้าง เมื่อเอริเธียยกมือซึ่งทาเล็บเป็นสีดำขึ้นเหนือบาดแผล ครั้นแล้วจึงเกิดแสงสว่างสีขาวจางๆ

    เมื่อแสงนั้นดับลง แผลน้ำมันลวกก็อันตรธานไปโดยสิ้นเชิง

    เอ่อ...ขอบคุณ มาเทียสพูดอย่างประหลาดใจ

    เอริเธียเงยหน้ามองเขาอย่างไม่คาดฝัน ด้วยสีหน้าซึ่งชายหนุ่มบอกไม่ถูก

    ...และไม่ทันได้สังเกตต่อ เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็สะบัดหน้าไปทันทีที่เขาพูดต่อ

     ข้า...เพิ่งรู้ว่าท่านทำอย่างนี้เป็นด้วย

    ถึงข้าจะเป็นแม่มดดำ ก็ต้องเรียนเวทขาวมาบ้าง อย่าดูถูกกันนักเลยเสียงของเธอยิ่งหงุดหงิด

    เปล่า ข้าไม่ได้จะดูถูก ช่างตีเหล็กเกาหัวแกรก แค่...ไม่คิดว่าท่านจะรักษาแผลให้ข้าด้วย

    สามร้อยเกล

    มาเทียสอ้าปากค้าง

    ค่ารักษา นี่อุตส่าห์คิดราคาพิเศษนะ

    ...บวกจากราคาปกติอีกเท่าไร ชายหนุ่มถามแห้งๆ ข้ารู้เรื่องหน้ากากบวกสองพันเกลของพี่ท่านนะ

    พูดอย่างนี้แสดงว่าอยากได้ราคาปกติงั้นเหรอ แม่มดคนงามเหลียวมองช่างตีเหล็กเพียงแวบ ห้าร้อยเกล ข้ารึกลัวจะโดนช่างตีเหล็กบ้านนอกกล่าวหาว่าขูดรีดกันเกินไป เลยอุตส่าห์จะลดให้หรอกนะ

    ชายหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจ...ว่าตนควรจะเดินเข้าไปหยิบเงินในบ้านออกมาให้แม่มดหน้าเงินดีหรือไม่

    เอาเถอะ ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินหรอก จ่ายเป็นอาหารที่จะทำให้ข้านั่นล่ะ

    ข้าไม่ได้ทำอาหารขาย!” มาเทียสพูดเสียงแข็งขึ้นทันที...จนกระทั่งตนเองยังประหลาดใจ

    เอริเธียเองก็คงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเช่นกัน เธอจึงหันมา เลิกคิ้วอย่างไม่ใคร่แน่ใจ

    ชายหนุ่มยืนหน้าชาอยู่ตรงนั้น จนแม่มดเองเป็นฝ่ายเบือนหน้า และเริ่มก้าวออกห่าง

    เจ้าปลอดภัยแล้วก็ดี ข้ายังไม่อยากเสียช่างตีเหล็กประจำตัวตลอดชีพไปง่ายๆ

    อ้อ ไม่ต้องห่วงหรอก ช่างตีเหล็กรับ ข้ามันอึ้ดทึ่ดอย่างกับแมลงสาบ ยังอยู่ให้ท่านใช้งานเปล่าๆ ไปได้อีกนานโขเชียวล่ะ

    ...นี่มันเรื่องบ้าอะไร... มาเทียสถามตนเองเช่นนั้นอยู่ในใจ กระนั้นก็ยังไม่กล้าห้ามหญิงสาวที่เรียกคทาออกมาวาดกลางอากาศ และเริ่มร่ายวงเวท...คงเพื่อย้ายร่างกลับไป แม้เขาจะรู้สึกแปลบในใจว่าตนควรขอโทษใช่ไหม

    ...แล้วแม่มดเล่า ไม่ต้องขอโทษหรือที่ดูถูกเขาก่อน ชายหนุ่มอยากทำอะไรให้ใคร หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงเขาก็ทำ ไม่คิดจะเรียกร้องเงินทองหรือสิ่งตอบแทนอะไร และก็ไม่คิดว่าบางสิ่งจะซื้อหรือทดแทนได้ด้วยเงิน

    หากเธอไม่ยอมเข้าใจเรื่องนี้ เขาก็ไม่คิดว่าตนควรขอโทษก่อนกระมัง

    มาเทียสกลับหลังหัน ตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปเก็บกวาดภายในครัว ขณะที่แม่มดดำยังคงร่ายเวทต่อไป ...แต่เป็นเสียงของผู้อื่นต่างหากที่ขัดการกระทำของทั้งสอง

    แมท!

    ชายหนุ่มหันขวับ เงยหน้าขึ้นมองฟ้า เห็นแอนนาลีโบกมือให้เขาจากบนหลังม้าเปกาซัส เบื้องหน้าเฮลิออส

    ม้านั้นร่อนลงบนสนามหน้าบ้านของมาเทียส ครั้นแล้วแอนนาลีจึงตั้งท่าจะรีบลงมา แต่ด้วยความสูงของม้า...จึงได้แต่รอให้อัศวินหนุ่มลงมาก่อน แล้วช่วยพยุงลงมา ทว่าทันทีที่เท้าแตะพื้น เธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาช่างตีเหล็ก

    ...และโผกอดเขาในทันที

    ชายหนุ่มยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ขณะที่หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับอกของเขา

    แอน! เป็นอะไรไป! มีเรื่องอะไร!” มาเทียสรู้ว่าตนต้องรีบตั้งสติ ขณะประคองต้นแขนอันสั่นเทิ้มของเพื่อนวัยเด็กไว้ ท่านฟอร์เกส...หรือใครที่บ้านเจ้าเป็นอะไรไปหรือ!”

    แอนนาลีสั่นศีรษะ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของหญิงสาวกลับดูไม่ดีเอาเสียเลย

    ทว่าก่อนเธอจะทันได้ตอบอะไร เสียงของใครอีกคนก็ร้องละล่ำละลักเข้ามา

    พี่แมท! พี่แมท!”

    มาเทียสหันกลับไป เห็นเมลิสวิ่งนำเด็กๆ ทุกคนกลับมาที่บ้าน พร้อมกับประคองบางสิ่งไว้แนบอกเสื้อ ด้วยสองแขนที่ยังคงเปื้อนโคลน มีเอลี่เข็นรถของฟรานซิสมา โดยอาร์คแบกขาตั้งกับอุปกรณ์วาดรูปทั้งหลายปิดท้าย

    พี่แมท! อาเน่! อาเน่เป็นอะไรไปก็ไม่รู้!”

    ร่างอ่อนปวกเปียกในอ้อมแขนของเธอคืออาเน่ที่สลบไสลไม่ได้สติ ช่างตีเหล็กผละออกจากอ้อมกอดของแอนนาลี ตรงเข้าไปดูเด็กหญิงแมนเดรกซึ่งมีสีหน้าซีดเผือด และตัวเย็นเฉียบ

    เขากำลังจะรับเด็กตัวจิ๋วไปจากอ้อมแขนของน้องสาวอยู่แล้ว เมื่อมือเล็กบางมือหนึ่งแตะเข้าที่หน้าผากของอาเน่

    ...มือที่มีเล็บทาสีดำ

    ไม่เป็นไร พลังชีวิต ของนางยังไหลเวียนดีอยู่ เรียกอย่างมนุษย์ก็คือแค่เป็นลมไปนั่นล่ะ เจ้าของมือนั้นพูดเรียบๆ แต่ลองทำให้เด็กหัวแข็งนี่เป็นลมได้ คงเป็นอะไรที่เอาเรื่องอยู่ ข้าจะช่วยร่ายเวทฟื้นพลังให้แล้วกัน พานางขึ้นไปนอนพักที

    มาเทียสรีบรับคำ แล้วก็พยักพเยิดบอกเมลิสให้ส่งตัวอาเน่มา ก่อนจะเหลียวบอกแอนนาลีระหว่างรีบสาวเท้ายาวๆ เข้าบ้าน ให้เข้ามาพูดคุยกันข้างใน

    ระหว่างนั้น เขาไม่กล้าเหลือบมองเอริเธียเลย และเพียงแต่ได้ยินเสียงเธอพูดกับผู้กล้าเฮลิออสดังมาแว่วๆ

    เอ้า! พี่ชาย! ยืนบื้ออยู่ตรงนั้นทำไม! ถ้าไม่มีธุระอะไรก็เข้ามาด้วยแล้วกัน ข้ามีเรื่องต้องพูดกับท่านพอดี

     

    * * * * *

     

    คนเขียนขอคุย

     

    สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน ขออภัยที่หายไปนานครับ m[_ _]m

    เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของเรื่องแล้ว บทนี้ก็แอบมีอะไรงอกออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่คิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แค่หวังว่าคงจะไม่เครียดเกินไปนะครับ ^^a

    เทศกาลฤดูใบไม้ผลิในเรื่องนี้ ผมได้ต้นคิดอย่างประหลาดๆ มาจากการดึงรากดอก Sweet Flag ไอริสของชาวญี่ปุ่นในสมัยเฮอัน เอามาทำเป็นลูกบอลเครื่องหอมแขวนที่ประตู ซึ่งก็คล้ายๆ กับการเก็บดอกไม้มาร้อยพวงมาลัยหน้าบ้านในเทศกาล Beltane (งานฉลองเข้าสู่หน้าร้อนของไอริชหรือเคลติก) เลยกลายมาเป็นงานที่ผสมผสานกันอย่างประหลาดๆ ดีเหมือนกัน ^^a

    อาเน่เป็นอะไรไป แผ่นดินไหวคราวนี้จะส่งผลใดกับงานเทศกาล และท่านผู้กล้าจะอัพสกิลทำอาหารขึ้นมาได้กี่เลเวล (???) โปรดติดตามชมตอนต่อไปครับ :)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×