ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels' Saga - กบฏมายา มนตราเทวยุทธ

    ลำดับตอนที่ #9 : -- 1.8 - รัก - “หากจะมีใครผิด คนคนนั้นคือข้า ไม่ใช่เจ้า”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 177
      1
      15 ต.ค. 53

    บทที่ 8 - รัก

    ถ้าเป็นตามที่คาด พอถึงย่ำรุ่ง นางคงถูกเชิญกลับวิหารซินเธีย ระหว่างทางแม้มีโอกาส แต่ก็จะมีกำลังพลอารักขาหน้าหลังตลอดเวลา ถึงตอนนั้น ยิ่งลงมือช้าเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใกล้พระนคร ศูนย์กลางอำนาจของพวกนักบวชเท่านั้น

    หากเป็นที่นี่ ลงมือเสร็จแล้ว คิดหนีก็ง่าย ไฮฟ์ไม่ห่างจากมอร์ติกานัก

    ในบ้านมีจอมเวทอยู่สอง บวกด้วย...ตัวครึ่ง ๆ กลาง ๆ อีกหนึ่ง...กำลังเจ็บหนัก ไม่ต้องสน

    พวกนั้นอยู่ที่ชั้นล่าง อาจจะอีกสักพักถึงออกมา

    จะลงมือก็ต้องตอนนี้

     

    ...................

     

    มัธคาร์นอนไม่หลับ

    นายกองของเหล่าอัศวินบอกว่ามีวิธีการที่ดี ให้เขาวางใจ และพักผ่อนเอาแรงไว้ แต่เขาไม่รู้ว่าตนจะวางใจหรือพักผ่อนได้อย่างไร หลังจากผ่านเหตุอยู่ผิดกาลผิดสถานครั้งแล้วครั้งเล่าในวันนี้ จนไปจบลงที่คนในบ้านถูกล่วงเกิน อีกหนึ่งถูกลักหายไป เขายากจะข่มตาหลับ

    จริง ๆ แล้ว ต่อให้คิดหลับก็ไม่มีที่นอน บ้านของเขามีทหารเกราะเหล็กเดินเข้าออกตลอดเวลา ดูเหมือนจะกำลังเก็บพิสูจน์ เส้นผม หยดเลือด ร่องรอยใด ๆ ของผู้บังอาจหมิ่นเกียรติท่านหญิง เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานบ่งชี้บุคคล (ซึ่งก็ค่อนข้างชัดอยู่แล้วว่าใคร)

    เขาเดินกลับมาที่บ้านของปู่ คิดจะขอพบนายกองผู้นั้น หากวิธีการที่ว่านั่นยังต้องเตรียมการ เขาอาจสามารถช่วยเหลืออะไรได้

    แต่เมื่อมาถึงก็พบว่าที่นี่ยังพลุกพล่านยิ่งกว่า ทั้งอัศวินทั้งชาวบ้านวิ่งเข้าออกขนย้ายข้าวของ หญิงสาวและชรามากมายมารวมตัวกันรอท่ารับใช้ บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านกำลังถูกแปรสภาพ จัดแจงให้เป็นที่พำนักชั่วคราวของภิกษุณีผู้สูงศักดิ์ (ที่จริงแล้ว ดีนัวเสนอให้ใช้บ้านของตนซึ่งใหญ่โตพร้อมสรรพกว่ามาก แต่นายกองปฏิเสธ แม้ไม่บอกเหตุผล ทุกคนก็พอเดาได้)

    มัธคาร์รู้ว่าคงไม่อาจเข้าไป ทั้งไม่อยากอยู่ท่ามกลางสภาพที่แวดล้อมไปด้วยคนของศาสนจักรเช่นนั้น จึงเดินออกมา เฝ้ารออยู่รอบนอก

    ลึก ๆ แล้ว ชายหนุ่มไม่ชอบพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์...หรือสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับศาสนจักร อาจถึงขั้นเกลียดด้วยซ้ำ

    ครั้งนั้น แม่ต้องจากไป ศาสนจักรก็มีส่วน

    คิดถึง ท่านหญิง นางนั้นแล้ว เขาก็สับสน

    ก่อนความจริงจะกระจ่าง ตอนนั้นเขาคิด...อย่างที่ทุกคนคิด...ว่านางหลบหนีมา ที่เขาดึงดันช่วยเหลือนาง ส่วนหนึ่งคงเพราะต้องการต่อต้านศาสนจักร

    แต่การณ์กลับเป็นว่าไม่ใช่ นางคือผู้เป็นที่เคารพของคนพวกนั้น และยังคงเป็น ไม่เพียงบรรดาอัศวิน คนของไฮฟ์...อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมด...ล้วนกุลีกุจอปรนนิบัติ พินอบพิเทาเอาใจใส่

    เจ็ดปีก่อน เดือดร้อนวุ่นวายเพียงนั้น ลืมเลือนกันสิ้นแล้วหรือไร...หรือเพราะยังจำได้ จึงตระหนักดีว่าไม่พึงเป็นศัตรู

    ชาวบ้านบางคนที่เห็นเขาพากันเดินเข้ามา บ้างถามไถ่ให้กำลังใจ บ้างเอ่ยปากชักชวนไปพักผ่อนด้วยในระหว่างที่รอคอย ชายหนุ่มนึกขัน ก่อนหน้าเพียงชั่ววัน เขาเป็นตัวประหลาดนอกคอกที่จะนำความฉิบหายมาสู่หมู่บ้าน ยามนี้กลับกลายเป็นผู้มีความดีความชอบอันดับหนึ่งที่ช่วยเหลือคนใหญ่คนโตไว้ หลายครอบครัวดูคล้าย อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาขึ้นมา

    น่าแปลก...หรือไม่แปลก

    ลึก ๆ แล้ว เขาคงไม่ชอบไฮฟ์ด้วยกระมัง

    ครั้งนั้น แม่ต้องจากไป ทุกคนในไฮฟ์ก็มีส่วน

    หนึ่งในนั้นมีปู่รวมอยู่ด้วย

    ปู่ยืนอยู่ที่โต๊ะหินตรงลานหน้าบ้านกับอัศวินสามสี่คน สีหน้าเคร่งเครียด กังวล ร้อนรน เหน็ดเหนื่อย...ไม่ต่างกับเขา

    ปู่เก่งกาจ สุขุม เยือกเย็น เข้มแข็งเสมอมา ภาพนั้นจึงไม่ใช่ภาพที่มัธคาร์คิดว่าจะเห็น ไม่คิดว่าเป็นภาพที่ปู่จะเป็น เขาจึงมองเป็นพิเศษ และเห็น อย่างที่ไม่เคยมอง ไม่เคยเห็น หรือบางทีเห็น แต่ไม่เคยนำมาใส่ใจ

    ปู่แก่ตัวไปมาก เส้นผมหงอกขาวที่เคยมีเพียงประปราย บัดนี้กระจายทั่วศีรษะ ร่างกายผ่ายผอมอิดโรย

    ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ และได้ยินคำสนทนาแว่ว ๆ ดูเหมือนพวกเขากำลังพูดคุยปรึกษา เส้นทางสถานที่ที่ซอร์ดีโอน่าจะมุ่งไปกบดาน

    มูอาทาผู้สละทุกอย่างเพื่อหมู่บ้าน กรำงานหนักมิว่างเว้นตลอดมา ช่างน่าชื่นชมแท้...ทิฐิทำหน้าที่ของมัน มัธคาร์ค่อนแคะในใจอย่างอดไม่ได้...ทุ่มเทหวังหาคนผิดมาลงโทษ เพื่อให้ชีวิตอื่นในไฮฟ์ได้รอดพ้นภัยลาม น่าสรรเสริญยิ่งแล้ว

    ...เอาเถอะ อย่างไรเสีย เขามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อยากตามหาเมลิสซ่า เจอไอ้ซอร์ดีโอก็เท่ากับเจอนาง ดังนั้นเขาจะร่วมมือด้วย

    หากมีสิ่งใดที่ข้าช่วยได้ ขอให้บอก รบกวนทุกท่าน ช่วยเหลือหลานสาวของข้าด้วย

    นั่นเป็นประโยคแรกที่ชายหนุ่มได้ยินชัดเจน จากปู่

    และทำให้เห็นต่อไปถึงความจริงง่าย ๆ ที่มองข้ามตลอดมา

    ...ปู่เหลือเขากับเมลิสซ่าเพียงสองคน

    หลายปีที่ผ่าน ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา เขาถือตนเป็นทายาทสืบทอดคนสุดท้าย อาศัยข้อนี้อวดดีคัดง้างเย้ยหยันปู่อยู่กลาย ๆ เพราะรู้ ปู่ต้องหวังพึ่งเขาสานต่อสายเลือดและปณิธาน

    แต่...ไม่ใช่เพราะสำคัญ ไม่ใช่ว่ารู้สึกผิดต่อพวกเขาหรือไร จึงยอมอ่อนข้อ จึงยอมลงให้

    หากไม่เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขที่ภาคภูมิ ไยจะเชื่อใจหมายฝากฝัง

    ...เขากับเมลิสซ่าก็เหลือปู่เพียงคนเดียว

    พ่อจากไปหลังจากเขาจำความได้ไม่นาน ที่แล้วมา มิใช่ชายคนนี้หรือที่ดูแลคุ้มครองเสมือนพ่อของเขากับน้อง

    ลึก ๆ แล้ว เขายังคงรักปู่ แม้ผิดหวังเคืองแค้น ไม่อาจยอมรับวิธีและหลักการไร้น้ำใจ แต่อย่างไรก็ยังคงรักอยู่นั่นเอง

    ที่ผิดหวัง ที่เคืองแค้น ก็ไม่ใช่เพราะยังรักหรอกหรือ...

    รู้สึกตัวอีกที มัธคาร์ก็คลี่เสื้อคลุมของตนวางบนแผ่นหลังปู่

    มูอาทาหันกลับมามอง ใบหน้าฉายความประหลาดใจในทีแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ทว่านัยน์ตานั้นยิ้ม

    เสื้อเจ้าเปียก ชายชราพูด นี่เห็นข้าเป็นราวตากรึ

    ข้าลืมหยิบร่มมา ชายหนุ่มตอบห้วน ร่มของเมลิสซ่าที่กลุ่มค้นหานำกลับมา เขาก็ทิ้งไว้ในบ้านปู่

    กลุ่มอัศวินกล่าวขอตัวและเดินออกไป เหลือมัธคาร์กับมูอาทาสองคน

    ไม่ไปนอนรึ ปู่เป็นฝ่ายเริ่ม แต่ไม่ได้หันมาทางเขา

    ข้าไม่มีที่นอน ท่านล่ะ ทำไมยังไม่นอน เขาตอบ แล้วรีบโยนคำถามกลับไป ไม่มองหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน

    คืนนี้ข้าก็นอนที่บ้านตัวเองไม่ได้ ผู้ชายทุกคนในบ้านต้องไปพักที่อื่น เพื่อเป็นการให้ความเคารพแก่ท่านหญิง

    อ้อ เขารับสั้น ๆ จากนั้นก็เงียบไป ไม่รู้จะกล่าวอะไรอีก

    "เจ้ากำลังโทษตัวเอง"

    จู่ ๆ ปู่กลับพูดขึ้นมาอีกครั้ง มัธคาร์สะดุ้งหันมามอง พบว่าปู่ก็กำลังมองเขา

    มันไม่ใช่ความผิดเจ้า หัวหน้าหมู่บ้านบอก ทั้งเรื่องของเมลิสซ่า เรื่องของท่านหญิง และ... ปู่นิ่งไป ครั้นแล้วจึงค่อย ๆ พูดต่อช้า ๆ เรื่องของเออร์ลีอา หากจะมีใครผิด คนคนนั้นคือข้า ไม่ใช่เจ้า

    ข้า...

    ชายหนุ่มคิดแย้ง แต่ไม่ทันความรู้สึกซึ่งพรั่งพรูออกมา สิ้นคำนั้น มัธคาร์ร้องไห้ น้ำตาหลั่งไหลอย่างไม่อาจห้าม

    เขาเจ็บใจ อับอาย รังเกียจตนที่ช่างโง่เง่าไร้ประโยชน์นัก...แม่ ...เมลิสซ่า ...ท่านหญิงผมทอง ถึงยามจำเป็นขึ้นมา เขาปกป้องไว้ไม่ได้สักคน

    มืออบอุ่นข้างหนึ่งแตะที่บ่าเขา

    มัธคาร์ ปู่พูด ความจริงแล้ว...

    ตอนนั้นเอง ที่เสียงผิดปรกติบางอย่างดังขึ้น

     

    ...................

     

    ...โกหก

    ซอร์ดีโอรู้ได้ในทันที คนตรงหน้ากำลังโกหก

    เขาคลุกคลีกับเพศตรงข้ามมาหลากหลาย มากมายพอที่จะรู้ทันเล่ห์กลเล่มเกวียนของสตรี อย่าว่าแต่เด็กอ่อนวัยเพิ่งหัดใช้จริตเช่นนี้

    "ไยท่านจึงไม่ตอบรับเล่า หรือว่าคำที่ท่านหมั่นพร่ำพลอดกับข้าเสมอ ๆ เป็นแค่คำหวานหูของผู้ชาย ท่านไม่เคยรักข้าเลยหรือ" นังเด็กผมเปียยังพล่ามไม่หยุด ช่างโง่เง่าล้นรั่วไม่มีใครเกิน

    ...รักหรือ

    ใช่ มีคนที่เคยพูดคำนี้กับเขา

    ...แม่

    ...พี่

    ...นอสทรี

    หญิงสามคนที่รักเขา และเขาก็รักพวกนาง รักยิ่งกว่าใครในโลก

    เคยรัก

    กระทั่งถึงวันที่ได้รู้ว่ารักนั้นหลอกลวง

    แม่บอกว่าจะดูแลเขาไปทั้งชีวิต แต่ก็เลือกหนีตามไอ้ผู้ชายบัดซบนั่น

    พี่บอกว่าจะอยู่กับเขา ไม่มีวันจากไปไหน แต่พี่ก็ยังหนีไป

    นอสทรีเล่า มอบสัญญาแก่กัน ผูกพันแนบชิดเพียงนั้น ถึงเวลาก็สลัดหลุดเขาได้ไม่ไยดี

    ทั้งแม่ ทั้งพี่ ทั้งนอสทรี ทุกคนไร้คำล่ำลา เพียงทิ้งให้เขาตื่นขึ้นมารับรู้ในเช้าวันหนึ่งว่า นางจะไม่อยู่กับเขาอีกต่อไป

    พอกันที เขาถูกหลอกลวงมามากพอแล้ว

    ซอร์ดีโอเกลียดการถูกหลอกลวง

    ใครคิดหลอกลวงเขา เท่ากับว่ามันกำลังมองเขาเป็นคนโง่

    ไอ้โง่...เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ...ลูกคุณหนู...คำเย้ยหยัน กีดกันเขาให้แตกต่าง จากเด็กในหมู่บ้านที่กลุ้มรุมเตะถีบเพียงเพราะวันนั้นเขาใส่เสื้อใหม่ เนื้อผ้าดีมีราคา เขายังจำได้

    แค่เด็ก ๆ ทะเลาะกัน...พ่อบอก ราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทุกครั้งที่เขาร้องไห้กลับไป...เด็กพวกนั้นเป็นลูกของเหล่าคนมีสิทธิ์มีเสียงสำคัญของหมู่บ้าน ผูกมิตรไว้ย่อมดี เราเพิ่งย้ายมา อย่ามีเรื่องกับใคร

    เขาในตอนนั้นไม่รู้ แต่ไม่นาน เมื่อพบเจอกับมันบ่อยครั้งเข้า ก็ค่อย ๆ รู้ ค่อย ๆ ซึมซับความจริงข้อนั้นเข้าไป จนเข้าใจในที่สุด

    กระทั่งถึงวันที่พ่อใหญ่โตขึ้นมา...มิใช่ด้วยชื่อเสียงหรือการยอมรับ แต่ด้วยกำลังทรัพย์อันมากมี

    ใครก็ตามที่เคยดูแคลนเขาล้วนได้เห็นดี

    ไม่มีใครกล้าดูแคลนเขาอีก อย่างมากก็เพียงก่นด่าลับหลัง...อย่างที่พวกมันถนัด ได้แค่กล้ำกลืนฝืนทน...อย่างที่เขาเคยทำ

    เขาสาใจ ทั้งนึกหยัน...ไอ้พวกเสแสร้ง เปลือกหน้าด่าทอต่อว่า ภายในริษยา อิจฉาตาแทบเป็นไฟ แท้ที่จริงหวังจะตะกายมาเป็นเฉกเช่นกัน หมายไว้ว่าสักวันจะได้วางอำนาจบาตรใหญ่เช่นที่เขาทำบ้าง

    แน่นอน พ่อไม่ใคร่พอใจกับพฤติกรรมเขานักหรอก มันทำลายเกียรติภูมิที่พ่อเพียรสร้างสมรักษา...ให้สมตำแหน่งรองหัวหน้า...ป่นปี้ไม่มีเหลือ

    แล้วอย่างไร...พ่อแลกมันมาด้วยความสงบสุขในวัยเด็กของเขา เขามีสิทธิ์ที่จะใช้ให้คุ้มค่า พ่อเลี้ยงดูมาแบบนี้ ก็ได้ลูกชายแบบนี้มา สมเหตุสมผลยิ่ง

    อนาคตหรือ...มีความสุขไปวัน ๆ มันก็พอแล้วนี่

    ชายโฉดประจำหมู่บ้านเลียริมฝีปาก

    เมลิสซ่างดงาม แต่ก็เพียงนั้น นางยังไม่ได้เติบโตเต็มสาวมากพอที่เขาจะลงทุนลงแรง เสี่ยงแตกหักกับมูอาทาเพื่อให้ได้มา ทว่า...

    "ตกลง" เขายิ้ม "เราแต่งกันซะคืนนี้เลย"

    ในเมื่อนางกล้าดีเสนอ เขาก็จะสนอง

    พลาดจากแม่หญิงผมทองนั่นมา ความร้อนในกายเขายังกรุ่นอยู่ มันยังปรารถนาจะระเบิดออก ในเมื่อนังเด็กนี่แส่จุดมันขึ้น เขาก็ไม่คิดหักห้าม

    เขารู้ อีกฝ่ายวางแผนจะหนีแน่

    เขารู้ นี่ยังไม่พ้นเขตไฮฟ์ดี หลานสาวของหัวหน้าหมู่บ้านยังเป็นหลักประกันอันจำเป็นที่ควรถนอมไม่ให้บอบช้ำ ที่ว่าแต่งงานกันเสียแล้วจะปลอดภัย มันก็แค่เพ้อฝัน กลับกัน มูอาทาจะยิ่งไม่ปล่อยเขาไว้

    เขารู้ ทำเช่นนี้มีสิทธิ์ที่สถานะของตนจะยิ่งร่วงหล่นไปในทางเลวร้าย

    ...ก็ช่างมันปะไร

     

    ...................

     

    ยังมีเรื่องอีกมากนักที่ท่านไม่รู้

    แต่มีประการหนึ่งที่เฟลีนรู้ได้ในทันที...คนตรงหน้าเธอกำลังโกหก

    มันบังอาจทำร้ายท่านหญิงของพวกเรา...ประหนึ่งคำของขุนพลผู้จงรัก ถือสตรีสูงศักดิ์คือสิ่งซึ่งอัศวินพึงพิทักษ์

    แค่ข้ออ้างที่ดูสมเหตุสมผล เซอร์โวที่เธอรู้จักไม่ใช่คนเช่นนี้

    เด็กคนนั้นมีความหมายกับข้ามากกว่าที่ท่านคิด...ไม่มีความจำเป็นต้องปั้นเสริมข้อนี้ขึ้นมาหากมันไม่จริง แต่เมลิสซ่าสำคัญกับเขาอย่างไร เพราะเป็นทายาทของสหายเก่า ? หรือเหตุผลอื่น ? เธอไม่รู้

    ข้าต้องการตัวมัน...โดยเร็วที่สุด...มากิสเตอร์ของเฟอร์ทิส...จุดประสงค์ที่ทำให้เขาลงทุนมายื่นข้อเสนอ บางที นี่ต่างหากเป้าหมายแท้จริง เซอร์โวต้องการตัวมัน แต่ไม่ใช่เพื่อกำจัดดังท่าทีที่แสดงออก

    สิ่งที่เธอรู้มีน้อยเกินไป ต้องประวิงเวลา ถามหลอกล่อไปเรื่อย ๆ เพื่อสังเกตท่าที

    ต่อให้ข้าตกลง ก็ยังทำอะไรไม่ได้ การแกะรอยต้องพึ่งเฟอร์ทิสเป็นหลัก เขายังเจ็บหนัก

    อัศวินยิ้ม คล้ายเดาได้ว่าเธอต้องพูดแบบนี้ ท่านหญิงของข้าสามารถจัดการได้

    เฟลีนตะลึงงัน

    ...หมายความว่าหญิงผมทองนางนั้น 'รักษาในฉับพลัน' ได้

    หรือคำร่ำลือเป็นจริง ศาสตร์วิชาของอาร์โคเซียก้าวข้ามขอบเขตของเนิร์ฟเธนไปแล้ว

    แม้ตะลึงงัน วิฬาร์ร่างจ้อยยังซ่อนเร้นอาการมิดชิด เอ่ยต่อไปเหมือนไม่มีอะไรน่าตื่นตกใจ

    "ข้าฟังจากที่ยายหนูเมลิสซ่าพูดไว้ หญิงที่พี่ชายของนางช่วยมาสูญเสียความทรงจำ ท่านคงเห็นสภาพนางแล้ว ความสามารถที่นางมี ยามนี้จะใช้ได้อยู่รึ"

    ก็ต้องลองดู

    นางแมวทำเสียงฮึ สมมติหากนางไม่สามารถเล่า เฟอร์ทิสเท่ากับทำประโยชน์ให้ในตอนนี้ไม่ได้ ท่านจะทำอย่างไรกับเขา

    นั่นสินะ บุรุษนักรบหัวเราะ บั่นคอซะตรงนี้เลยเป็นไง

    พูดจบ เซอร์โวชักดาบออกในบัดดล

    แสงอาวุธพุ่งวาบ รวดเร็วเทียมเสียง

    เพดานทะลุแยกเป็นช่องไปถึงชั้นบน

    ...ห้องที่ ท่านหญิงพักอยู่

    หยดเลือดกระเซ็นสาดลงมา...พร้อมร่างคน

    แฝงตัวในกลุ่มหญิงชาวบ้านรึ เก็บงำพลังเวทได้หมดจดนัก จนพริบตาก่อนลงมือถึงค่อยเผยออกมา ไม่เลว เซอร์โวตวัดดาบ มุ่งปลายคมไปยังอีกฝ่าย แต่ปฏิกิริยาตอบรับยังช้าไป

     

    ...................

     
          คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 8 - รัก'

          ตั้งชื่อบทฟังดูหวานแหวว แต่เนื้อหาไม่แหววเลย แหะ ๆ =__=

          เมื่อเอ่ยถึงความรัก มองมุมหนึ่งบางคนว่าเป็นเรื่องของการให้ ความเสียสละ มองอีกมุมบางคนว่าอาจเป็นการครอบครอง ความเห็นแก่ตัว บางครั้งก็ง่าย บางครั้งก็ยาก บางทีก็ชัดเจน บางทีก็คลุมเครือ แต่ที่แน่ ๆ คือ รักเป็นหนึ่งในความรู้สึกที่ทรงอิทธิพลต่อคนเรา ทำให้เข้มแข็ง อ่อนแอ เปลี่ยนแปลงพลิกกลับได้สารพัน
          ถ้าจะว่าไปแล้ว หนัง การ์ตูน นิยายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสงครามฆ่าฟันแย่งชิงใหญ่โตส่งผลสะท้อนสะท้านไปในระดับวงกว้างแค่ไหน เมื่อพิจารณากันในระดับบุคคลแล้ว โดยมาก สิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวขึ้นมาก็คือความรักนั่นเอง เรื่องนี้ก็เช่นกัน ในบทนี้ก็เขียนถึงชายหนุ่มสองคนที่ได้มีรัก ได้รับรัก และสูญเสียรักไป ไม่ว่าจะนึกไปเอง หรือสูญเสียไปจริง ๆ ทั้งคู่ก็เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีบางส่วนใกล้เคียง บางส่วนตรงข้ามกัน และในอนาคต คนที่เหมือนและต่างคู่นี้ก็คงได้มาห้ำหั่นกันอีกครั้ง
          (หรืออาจจะไม่ก็ได้มั้ง ดูอีกที อ้าว :P)

          สำหรับบทนี้ ก็ขอกล่าวถึงตัวละครที่เคยต๊ะไว้นานแล้วว่าจะพูด นั่นคือ ซอร์ดีโอ (ภาษาละติน sordeo : dirty, appear vile ความหมายตรงตัวมาก ^^a) เข้าใจว่าหลาย ๆ ท่านคงมองว่าเจ้านี่เป็นตัวร้ายกึ่ง ๆ ตัวประกอบที่เอาออกมาโชว์ชั่วแล้วก็ฆ่าทิ้ง (อันที่จริงก็ตั้งใจให้ภาพลักษณ์เป็นแบบนั้นนั่นแหละ :D)
          หมอนี่เกิดขึ้นมาจากการได้เห็นตัวละครแนวอันธพาล หื่น ๆ กร่าง ๆ วางมาดชั่วร้ายออกหน้าออกตาทั้งหลาย ที่มักมีหน้าที่แค่ออกมาลวนลามตัวละครหญิง และโดนพระเอกพระรองหรือตัวร้ายที่มีระดับกว่าเตะปลิว จึงอยากลองเขียนตัวละครประเภทเดียวกันนี้ที่มีอะไร ๆ มากกว่านั้น ถ้าเริ่มจากจุดที่ว่าแล้ว จะพัฒนาต่อไปยังไง ก็ออกมาเป็นคุณชายบ้ากามผู้นี้ ส่วนบทบาทของเจ้านี่จะไปถึงไหนต้องดูกันต่อไปครับ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×