ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels' Saga - กบฏมายา มนตราเทวยุทธ

    ลำดับตอนที่ #20 : -- 2.4 - บทเรียน - “คนต่างหาก ไม่ใช่นก”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 108
      0
      14 ม.ค. 54

    บทที่ 4

    บทเรียน

     

    ...อาเรี่ยนลีอัล...

    ...ชื่อของเธอ...

    จำได้ไหมขอรับ

    หญิงสาวผู้แต่งกายอย่างภิกษุณีสั่นศีรษะ สองมือที่ประสานบนตักบีบแน่น ร่างกายเองก็เหมือนถูกอาภรณ์สีขาวขลิบทองกับผ้าคลุมผมอันไม่คุ้นชินบีบรัด ในพื้นที่แคบของรถม้าซึ่งแล่นไปตามทางบนเขา มีนายกองอัศวินนั่งอารักขาอยู่ฟากตรงข้าม

    หลังจากการพักผ่อนปลอบขวัญ ตลอดจนการเตรียมตัวเดินทาง เขาเพิ่งบอกชัดเจนเมื่อครู่ เธอชื่ออาเรี่ยนลีอัล...ไม่สิ คือท่านหญิงภิกษุณีอาเรี่ยนลีอัลแห่งมหาวิหารซินเธีย แต่กลับไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าตนคือเจ้าของนามนั้น

    ไม่ต้องฝืนหรอกขอรับ ชายวัยกลางคนตรงหน้าเอ่ยเรียบๆ ในพระนครยังมีคณะแพทย์ กับบุคคลที่รู้จักท่านดีกว่าข้าอยู่อีกมาก พวกเขาคงช่วยให้ท่านค่อยๆ นึกออกได้

    หมายความว่า...ท่านไม่ค่อย...เอ่อ...รู้จักข้าเหรอ เธอถามตะกุกตะกัก

    ข้าไม่ได้อารักขามหาวิหารซินเธียที่ท่านพำนักอยู่โดยตรงขอรับ

    อา... อาเรี่ยนลีอัลรับ ละอายเกินกว่าจะบอก ว่าเธอจำอะไรเกี่ยวกับมหาวิหารแห่งนั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

    ที่ระลึกได้เกี่ยวกับชื่อนั้น มีเพียงพิธีกรรมลับที่ว่าใช้มธุรสเป็นส่วนประกอบ...ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จำได้เอง แต่ได้ยินจากมัธคาร์

    ความคิดของหญิงสาวล่องลอยไปตามชื่อนั้น คนเลี้ยงผึ้งตกลงร่วมทางมาด้วย เห็นว่าขี่ม้าอยู่ข้างนอกกับอัศวินคนอื่นๆ ส่วนน้องสาวก็ได้ยินนายกองเซอร์โวบอกว่ามีคนของเขาติดตามอยู่ โดยมีเด็กหนุ่มที่เธอช่วยรักษาเป็นคนนำทาง แต่เธอเองยังไม่ได้พูดคุยกับชายหนุ่มเลย ตั้งแต่เขาไปพบเธอนั่งตากฝนอยู่ตรงนั้น...

    ภิกษุณีสาวสั่นสะท้าน ยังคงแปลบในใจอย่างประหลาด กับความกลัวอันไม่ทราบสาเหตุ และความทรงจำซึ่งผุดขึ้นมา เรียกให้ยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก ครั้นแล้วก็ปาดออกโดยเร็ว เหมือนจะขจัดคราบน่าขยะแขยงที่ไม่อาจมองเห็น

    ต้องไม่นึกถึงเรื่องนั้น...มันจบไปแล้ว

    จบโดยที่ตัวเธอเองปลอดภัย...ไม่ใช่หรือ

    ทั้งจากชายน่ากลัวคนนั้น และรอยสีแดง...

    ท่านหญิงจำมหาวิหารทั้งห้าแห่งอาร์โคเซียได้ไหมขอรับเสียงของชายวัยกลางคนฉุดดึงเธอจากห้วงความคิด ในจังหวะอันเหมาะเจาะ

    หญิงสาวสั่นศีรษะอีกครั้ง

    ข้าไม่ทราบว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะจำได้หรือไม่ แต่หากมีโอกาสก็ควรลองดู ใช่ไหมขอรับ นายกองเอ่ยต่อ สีหน้ายังคงเรียบเฉย แต่อาเรี่ยนลีอัลเหมือนจับความอาทรได้ในการกระทำ

    เขาพูด เพราะไม่ต้องการให้เธอจมอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้น

    ดังนั้นเธอจึงพยักหน้า ยินดีรับน้ำใจ

     

    ...................

     

    “ฟันเก”

    นายแม่ปรามาสเอาตรงๆ ก่อนจะเดินจากเด็กสาวตรงหน้า ไปยังเด็กสาวร้านพาเดรอีกคน

    อัลซิโอเน่ที่ยืนมองไม่ห่างเพียงฟังอย่างเงียบๆ แต่ขณะเดียวกันก็จับสังเกตรายละเอียดของเด็กแต่ละคนตามที่หญิงผู้มากวัยกว่าบอก ...ในฐานะส่วนหนึ่งของ การเรียนรู้ เพื่อเป็น นายแม่ ต่อไปในอนาคต

    ใช่จะเป็นเส้นทางที่หญิงสาวอยากเป็น แต่ก็เป็นเส้นทางที่ดีที่สุดเท่าที่จะเลือกได้ นางคณิกาเมื่อแก่ตัวลง หมดความสาวความสวยพอที่บุรุษจะลงทุนลงแรงให้ ก็ต้องมีเงินเก็บที่หลุดรอดจากการริบเข้าหอมากพอเกษียณตนเองไปใช้ชีวิตอย่างสมถะ ละความฟุ้งเฟ้อในวัยสาว หรือผันตนเองไปเป็นอนุภรรยาของขุนนาง ไม่ก็พ่อค้าที่ถูกใจพอจะเอ่ยขอ มิเช่นนั้นก็มีที่อยู่ต่อไปในแวดวงหอโคมแดง ในฐานะ นายแม่ ผู้ดูแลเด็กๆ ของหอ

    อัลซิโอเน่กำลังเป็นที่นิยมในสังคมชั้นสูง ผู้อุปถัมภ์ของเธอเป็นถึงเจ้าเมืองมอร์ติกา แต่อนาคตไม่แน่นอน หญิงสาวยังไม่อยากฝากความหวังไว้กับชายคนใด ในเมื่อนายแม่เอ็นดูเธอ อยากให้เป็นผู้สืบทอดต่อ ไหนเลยจะไม่รับน้ำใจเผื่อไว้ก่อน

    ...แม้ภาพในร้านพาเดรจะทำให้นึกย้อนถึงครั้งตนเองถูกพามาที่นี่ ถูกเลือกและซื้อขาย ราวกับนกหงส์หยกสักตัว ในกรงที่รวบรวมแออัดไว้หลายๆ ตัว...

    เธอชอบนก แต่ก็ชอบอย่างพอใจจะได้มองมันห่างๆ ยามบินบนฟ้าหรือเกาะเหนือยอดไม้ ไม่ใช่กักขังสิ้นความเป็นนก

    แต่เพื่อต่อชีวิตของนกในกรง...ก็ช่วยไม่ได้ไม่ใช่หรือ

    อัลซิโอเน่ยังคงดูต่อไป นายแม่ชี้พลางอธิบาย ถ้อยคำตรง ไม่ไว้หน้า สินค้า ที่กำลังถูกเลือก ...ลักษณะเส้นผม ฟัน รูปหน้า ผิวพรรณ เล็บ มือ ตำหนิต่างๆ บนร่างกาย ตลอดไปจนน้ำเสียงและจริตกิริยา เหล่านี้ล้วนมีผลต่อความพึงใจของชาย

    แต่นี่เป็นเรื่องของหอชั้นสูง หากเป็นหอระดับล่างๆ ซึ่งไม่เกี่ยงฐานะของแขก และมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่านี้หลายเท่าตัว ขอแค่เป็นผู้หญิง และหน้าตาไม่น่ารังเกียจพอจะกกกอด (โดยอาจใช้ของมึนเมาช่วยบ้าง) ก็เป็นพอ

    อย่างไรก็ดี ในเมื่อต้องกลายเป็นหญิงคณิกาทั้งที ได้เป็นนางชั้นสูงมีความเป็นอยู่สุขสบาย ก็ย่อมดีกว่าพวกที่ต้องแต่งกายยั่วยวนอย่างไร้ศิลปะ ยืนเกาะลูกกรงเหล็กอยู่ตามร้านข้างถนน หรือถูกตัดเอ็นร้อยหวาย กักไว้ในเรือนซอมซ่อ รับแขกเป็นวันละสิบๆ คนอยู่ดีนั่นเอง

    เด็กหลายคนพยายามปกปิดตำหนิของตนสุดความสามารถ เมื่อมีโอกาสได้พูดก็ตอบถ้อยอ่อนหวาน ถึงไม่มีความรู้ด้านสังคีตการดนตรี ขับร้องฟ้อนรำ ก็ยังคงรับรอง ...ข้าเรียนรู้ไวนะเจ้าคะ ไม่ว่าพวกท่านให้ทำอะไร ข้าก็ทำได้ทั้งนั้น...

    จนมาถึงเด็กสาวคนสุดท้ายของแถว ผมสีน้ำตาลเพิ่งแห้งหมาดๆ ผิวคร้ามแดด ใบหน้าเฉย ค่อนไปทางบึ้งตึง ไม่ได้ปั้นยิ้มเชิญชวน โฆษณาตนเองเหมือนอย่างใครๆ ก่อนหน้า

    “ข้าเล่นดนตรี ฟ้อนรำ หรือขับร้องไม่เป็นทั้งนั้นเจ้าค่ะ” เธอชิงพูดโดยนายแม่ไม่ทันถาม “และก็ไม่ได้คิดจะเป็นนางโลมด้วย”

    “ตายจริง” หญิงวัยกลางคนแค่นยิ้ม “คิดว่าก้าวร้าวแล้วจะเด่นน่าสนใจรึไงฮึ”

    “ข้าไม่ได้อยากเด่น อยากน่าสนใจ แต่ที่ไม่อยากเป็นมากกว่าคือนางโลมเจ้าค่ะ” เด็กสาวพูดต่อฉะฉาน “แต่ถ้าคุณหญิงสนใจน้ำผึ้งมธุรส นมผึ้ง หรือสีผึ้งคุณภาพดี ทั้งเพื่อใช้เองหรือให้เด็กๆ ในหอได้ใช้ ข้าจะมอบให้ หรือช่วยให้ทำสัญญาซื้อขายในราคาถูกได้เจ้าค่ะ ข้าเป็นหลานสาวของมูอาทา ผู้ใหญ่บ้านที่ไฮฟ์ ถูกโจรลักพาตัวมาขาย ป่านนี้ญาติๆ ของข้าคงเป็นห่วงกันมากแล้ว ท่านลองสอบถามพวกเขาดูก็ได้ว่าจริงหรือเปล่า”

    อัลซิโอเน่จ้องมองเด็กสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ขึ้น แรกเริ่มเดิมทีเป็นเพราะความกล้าบ้าบิ่นของเธอ แต่ต่อมา สิ่งที่ดึงความสนใจเป็นที่สุดกลับเป็นชื่อชื่อหนึ่ง

    ไฮฟ์

    นางมาจากไฮฟ์...เหมือนกับ เขา

    นายแม่คลี่พัดผ้าไหมออกป้องปาก ก่อนจะหัวเราะน้อยๆ

    “มักน้อยดีนี่เจ้าน่ะ” นางชายตาพูด “เป็นแค่หลานสาวหัวหน้าหมู่บ้านพอ ไม่บอกว่าเป็นเจ้าหญิงถูกลักตัวมาจากแดนไกล จะยกเพชรนิลจินดาครึ่งท้องพระคลังให้ใครที่อุตส่าห์ไถ่ตัวพาส่งวังล่ะ”

    “แต่ข้าพูดจริงนะเจ้าคะ!” เด็กสาวร้อง “ไฮฟ์อยู่แค่ไม่ไกล พวกท่านไปถามจากสถานีการค้าก็ได้ ถ้าพวกท่านช่วยข้า ข้ากับครอบครัวก็ยินดีตอบแทนจริงๆ !

    “ข้าทำหอโคมแดง ไม่ใช่บ้านสงเคราะห์เด็ก หรือศูนย์ตามหาเด็กหาย ที่นี่มอร์ติกา ต่อให้เป็นของโจรจากที่อื่น ขอแค่เงินหนาพอ และไม่กระเทือนคนใหญ่โตที่นี่ ก็ซื้อขายได้ถูกต้อง พยายามตามคืนยังไงก็เสียแรงเปล่า” หญิงวัยกลางคนเอ่ยอย่างเหลืออด “เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ซะที เจ้าเป็นสินค้าร้านนี้แล้ว จะถูกขายไปที่ไหนก็ยอมรับชะตากรรมเถอะ”

    ...เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ซะที...

    ...ยอมรับชะตากรรมเถอะ...

    อัลซิโอเน่ลอบส่งสายตาเห็นใจให้เด็กสาว ซึ่งก้มหน้า กำมือแน่นเหมือนจะข่มอารมณ์

    ...ไม่ผิดหรอก...

    ทั้งเด็กคนนั้น นายแม่ และเธอ

    เด็กที่ถูกขาย ทั้งหญิงชาย ทั้งที่มาด้วยความเต็มใจ ถูกบังคับด้วยความจำเป็น หรือถูกลักพา คงน้อยคนจะยินดีเป็นเครื่องปลดเปลื้องอารมณ์ของคนอื่นมากหน้าหลายตาตั้งแต่แรกถูกพามา

    ตัวเธอเองก็เคยเป็นเช่นนั้น...อาจเรียกได้ว่ารังเกียจการถูกปฏิบัติเป็นวัตถุรองรับความใคร่จนแทบไม่อาจทน...ไม่ใช่หรือ

    นายแม่ทำธุรกิจการค้า ย่อมไม่อยากเสี่ยงเสียเงินทองกับเวลาให้แก่คำกล่าวอ้างตัวตนเลื่อนลอย ไร้หลักฐาน ในเมื่อธุระไม่ใช่ ซ้ำช่วยไปอาจเสียมากกว่าได้ ก็ไม่คุ้มจะลงทุนแต่แรก

    ส่วนนางคณิกาอย่างเธอ... ทุกสิ่งที่หามาได้ด้วยเวลาและเรือนร่างของตน หรือต่อให้ได้รับกำนัลมาอย่างปิ่นหงส์ฟ้าเมื่อครู่ ถือเป็นสมบัติของหอทั้งสิ้น แม้นเวลาออกงานจะใช้ประดับร่างกายให้งามงดอย่างไรก็ตาม กะแค่ไถ่ตนเองยังไม่มีปัญญา แล้วจะให้เอาที่ไหนไปช่วยเด็กผู้หญิงคนอื่น

    ถึงจะเป็นเด็กบ้านเดียวกับ เขา หรือเป็นเด็กที่ไม่ได้เลือกเส้นทางนี้ตามความสมัครใจของตัว

    อัลซิโอเน่พยายามผลักเรื่องของเด็กหญิงออกไปจากใจ จะสำเร็จอยู่แล้ว เมื่อคนของร้านพาเดรมาบอกอย่างสุภาพว่าขอให้เร่งเลือกสินค้าโดยไว เพราะมีลูกค้าอีกกลุ่มรออยู่

    ...หากว่าชื่อของลูกค้านั้นจะไม่ได้ดังเข้าหูเสียก่อน

    เคานท์คอร์เนียส

    ขุนนางผู้ใหญ่แห่งพาทริเชีย มณฑลในปกครองของอาร์โคเซีย เขาเคยแวะเวียนมาที่หอพาราดิเซียสองสามครั้ง ไม่บ่อยพอที่อัลซิโอเน่จะรู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ในเขตอัสดง มีข่าวลือที่รู้กันดีว่านิยมเด็กสาวแรกรุ่น หรือบางทีก็ก่อนแรกรุ่น แทบเรียกได้ว่าเป็นความคลั่งไคล้

    ต่อให้อ้างว่าซื้อเด็กผู้หญิงหน้าตาดีไปฝึกเป็นหญิงรับใช้สำหรับรับรองแขก แต่บ่อยเข้า ใครๆ ก็เดาได้ไม่ยากว่านั่นเป็นจุดประสงค์บังหน้า...

    และถ้าเด็กสาวจากไฮฟ์ยังคงเรียกร้องความสนใจแบบนั้น ต่อให้เคานท์คอร์เนียสหรือใครๆ ไม่ซื้อตัว ก็คงต้องถูกบังคับขายไปในที่ที่พร้อมจะใช้วิธีรุนแรง สยบให้ยอมรับความเป็นสินค้าและทาสของตนได้อยู่ดี

    แต่ไม่ใช่เรื่องของเรานี่นา... หญิงสาวบอกตนเอง ...ข้าก็อยู่ไปของข้า เด็กนั่นก็ต้องเอาตัวรอดเอง ในมอร์ติกา ใครๆ ก็ต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น...

    “อัลซิโอเน่ เป็นเจ้าจะเลือกเด็กคนไหน” เสียงของนายแม่ดึงเธอจากห้วงภวังค์ “ข้ามีไว้ในใจแล้ว อยากรู้ว่าเจ้าจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า”

    หญิงสาวรู้ นายหญิงใหญ่แห่งหอพาราดิเซียย่อมเลือกเด็กที่ดูงามหมดจดสะดุดตา อ่อนน้อม เสียงไพเราะ ซึ่งในกลุ่มนั้นก็มีที่โดดเด่นน่าจับตาอยู่ ไม่ใช่เด็กจากไฮฟ์คนนั้น

    ทว่า...

    “ถ้าข้าทายใจนายแม่ถูก จะขอรางวัลตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ได้ไหมคะ” อัลซิโอเน่แย้มยิ้มอ่อนหวาน “ได้ยินว่าถ้าซื้อตัวเด็กสองคน จะขอลดราคาลงมาได้อีกนี่คะ”

     

    ...................

     

    ศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งอาร์โคเซีย บูชาองค์เทพผู้เป็นปฐมรังสรรคกร องค์อาร์โคส ผู้ปลูกอิกดราซิล พฤกษาแห่งชีวิต ชายผู้มากวัยกว่าเอ่ยเรียบเรื่อย ประมุขสูงสุดแห่งอาร์โคเซียคือพระมหาสังฆราชา ผู้ประทับที่มหาวิหารโอมนิส ใจกลางพระนครหลวง เทอร์รัส เดอี รองลงไปคือพระราชาคณะทั้งสี่ ผู้เป็นเจ้ามหาวิหารอีกสี่แห่งที่ล้อมรอบมหาวิหารโอมนิส คืออาราเซลิสทางเหนือ เลวิสทางตะวันตก ซินเธียทางตะวันออก และเดเมเทรียทางใต้ ไว้ถึงที่พักในคืนนี้แล้ว ข้าจะนำแผนที่มาให้ท่านดู

    อาเรี่ยนลีอัลเพียงพยักหน้า ขมวดคิ้วมุ่นขณะพยายามบันทึกชื่อทั้งหลายลงความทรงจำ สีหน้าของเธอคงดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เพราะชายวัยกลางคนยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน

    ไม่ต้องฝืนจำในคราวเดียวหรอกขอรับ ถือเสียว่าข้าเล่าให้ท่านฟังฆ่าเวลาดีกว่า

    อ...อืม หญิงสาวรับอย่างไร้ความหมายเช่นเดิม

    มหาวิหารทั้งสี่แห่ง ได้รับหน้าที่ให้คุ้มครองสองเทวาวุธ และสองเทวภัณฑ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเชื่อกันว่าองค์อาร์โคสประทานไว้ในโลกนี้ เทวาวุธทั้งสองประกอบด้วย ดาบแห่งแสงสุริยันที่มหาวิหารเลวิส และ โล่รัศมีจันทรา ที่มหาวิหารซินเธีย ส่วนเทวภัณฑ์ประกอบด้วย กระจกห้วงนภา ที่มหาวิหารอาราเซลิส และ อัญมณีแห่งปฐพี ที่มหาวิหารเดเมเทรีย

    เทวาวุธและเทวภัณฑ์เหล่านั้นเป็นสิ่งพิเศษ มีอิทธิฤทธิ์ลึกล้ำในด้านต่างๆ ...ดาบทิ่มแทงได้ทุกสิ่ง โล่ป้องกันได้ทุกภัย กระจกฉายภาพได้ทุกแห่ง และมณีเยียวยาได้ทุกบาดแผล แน่นอน การเก็บรักษาจึงพิเศษตามไปด้วย พระเถระและภิกษุณีจากแต่ละมหาวิหาร ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากเทวาวุธและเทวภัณฑ์แต่ละชิ้น จะเป็นผู้ถือครองสิ่งเหล่านั้นในกาย เมื่อแก่ชราถึงเวลาหนึ่ง จึงมีการคัดเลือกผู้ครองคนใหม่

    และท่านก็เป็นผู้ถือครอง โล่รัศมีจันทรา ในปัจจุบัน

    บางสิ่งกระตุกอยู่ในใจของอาเรี่ยนลีอัล

    เธอหวนนึกถึงตอนนั้น ตอนตกอยู่ในเงื้อมมือชายน่ากลัวที่จู่ๆ ก็เข้ามาหมายข่มเหง...แต่แล้วก็รู้สึกถึงความอบอุ่นในร่างที่แผ่ออกมาเป็นขุมพลัง กระแทกเขาออกไป

    หญิงสาวอยากถามนายกองอัศวิน ...นั่นคืออำนาจที่ท่านพูดถึงใช่ไหม ทว่าเพียงจะเล่าถึงตอนนั้น ถ้อยคำก็กลับติดคาในคอ

    เธอรู้ว่าร่างกายยังไม่ถูกล่วงละเมิด ทั้งด้วยความทรงจำของตน และคำปลอบโยนจากหมอตำแยหญิงผู้ดูแลเช็ดตัว ทั้งยังรู้ว่าเขารู้ แต่เรื่องเช่นนั้นก็น่าละอายเกินกล่าวถึงต่อบุรุษอื่นโดยแท้ ต่อให้ชายนั้นไม่ได้ทิ้งคำขู่ไว้ก็ตาม

    แล้ว...ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร คำถามจึงกลายเป็นอีกอย่าง ท่านว่ามีผู้ลักตัวข้า ทราบไหมว่าเป็นใคร

    ขออภัย ข้ายังไม่ทราบ แต่อาจเกี่ยวพันกับมือสังหารของพวกจอมเวทที่คิดเอาชีวิตท่านเมื่อคืนวาน ชายวัยกลางคนตอบช้าๆ และ...เท่าที่ข้าคาดเดาจากปากคำของมัธคาร์ น่าจะเป็นคนเดียวกับที่สังหาร แอ็กนัส ของท่าน

    ...แอ็ก...นัส... ลมหายใจของอาเรี่ยนลีอัลเริ่มติดขัด แอ็กนัส...แคสตัส?

    คำคำนี้เอง คำที่ติดคาอยู่ในใจของเธอมาตลอด แม้ไม่รู้เลยว่ามันหมายถึงสิ่งใด

    ท่านจำเขาได้? สีหน้าของนายกองอัศวินบอกความประหลาดใจ

    ...ข้า...จำได้แต่สองคำนี้ หญิงสาวไม่รู้ว่าควรสั่นศีรษะ หรือพยักหน้า ควรห้ามน้ำตาหรือปล่อยให้พวกมันหลั่งไหลลงมา นั่นหมายถึงอะไร...ไม่สิ...ใคร?

    แอ็กนัส แปลว่า ลูกแกะ หมายถึงผู้อุทิศชีวิตให้เป็นลูกแกะแห่งเทพเจ้า หลั่งเลือดและพลีชีพแทนนักบวชของพระองค์ เซอร์โวอธิบาย แคสตัสเป็นชื่อแอ็กนัสของท่าน ศพที่มัธคาร์พบอยู่ข้างๆ ท่านตอนหมดสติ มัธคาร์บอกว่าสภาพศพของเขาไม่ต่างจากหัวหน้าหมู่บ้านที่ถูกฆ่าเมื่อคืน ข้าคิดว่าเขาคงสู้กับจอมเวทนักฆ่านั้นจนตัวตายเพื่อปกป้องท่าน ไม่ก็...ตายเพราะรับบาดแผลสังหารแทนท่าน

    หญิงสาวก้มหน้าลง รู้สึกเหมือนจะเข้าใจความขมขื่นของ อาเรี่ยนลีอัล ต่อชื่อนั้นขึ้นมารางๆ

    แม้จะไม่รู้เลย ว่าเธอผู้ไร้ความทรงจำของอาเรี่ยนลีอัล...ควรรู้สึกอย่างไรต่อชายที่ตายเพื่อตน

    ชายที่เธอไม่เคยรู้จัก ไม่อาจนึกหน้าตา จำได้เพียงชื่อ...ที่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเป็นชื่อ...เท่านั้นเอง

     

    ...................

     

    เมลิสซ่าไม่อยากเชื่อ

    นางคณิกาสองคนนั้นซื้อตัวเธอ

    ไม่ใช่เธอคนเดียวหรอก แต่มีเด็กหญิงผิวขาวผมดำแบบชาวแผ่นดินบูรพาที่ดูน่ารักราวกับตุ๊กตาอีกคน อายุคงอ่อนกว่าเธอไม่กี่มากน้อย เธอกับเด็กคนนั้นถูกเรียกตัวไป แก้เชือกสีเหลืองที่ผูกข้อมือ ก่อนจะเดินตามหญิงวัยกลางคนกับหญิงสาวนางโลมคนสวยออกมายังโถงด้านหน้า

    แล้วก็หยุดรอ เมื่อชายวัยกลางคนร่างอ้วนแก้มแดงคนหนึ่งเอ่ยทักหญิงผู้มากวัยกว่า

    ลาเชย์ ไม่นึกเลยว่าจะพบเจ้าที่นี่

    คารวะท่านเคานท์คอร์เนียส หญิงวัยกลางคนถอนสายบัวอ่อนช้อย เช่นเดียวกับหญิงสาวอีกคน

    มาหานกน้อยสวยๆ อีกเหรอ ชายซึ่งแต่งกายภูมิฐานอย่างขุนนางหันมามองเมลิสซ่ากับเด็กหญิงอีกคน ด้วยสายตาที่ทำให้ลูกสาวคนเลี้ยงผึ้งตะครั่นตะครอขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ น่าเสียดาย...ข้าก็ว่าอยากได้นกงามๆ ที่เจ้าเลือกไปเลี้ยงเล่นสักตัวเหมือนกัน

    คนต่างหาก ไม่ใช่นก เด็กสาวหลุดปากออกไปอย่างเหลืออด จ้องอยู่ได้ ข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของใครนะ

    โอ้ ชายอ้วนกลับหัวเราะ เสียงดีเสียด้วย

    ต้องขออภัย ยังไม่ได้หัดให้พูดจารื่นหูน่ะเจ้าค่ะ นางคณิการุ่นใหญ่ที่ดูเหมือนจะชื่อลาเชย์คลี่พัดป้องใบหน้า นกป่าก็อย่างนี้ ต้องจับขลิบปลายปีก ขังกรง อดข้าวน้ำสักวันสองวัน ถึงจะยอมสงบเสงี่ยมขึ้น แล้วตอนนั้นจะรู้จักร้องเสียงอ่อนเสียงหวานเอง

    เมลิสซ่ายิ่งอยากอาละวาดมากขึ้น เอาให้นางเสียหน้าที่หลวมตัวซื้อเธอมา ดีไม่ดีจะได้ฉีกสัญญากันเสียตรงนั้น เด็กสาวไม่รู้ว่าร้านพาเดรจะทำอย่างไรกับเธอต่อ แต่ถึงต้องถูกลดขั้นไปขายเข้าโรงทอผ้า ก็ยังดีกว่ากลายเป็นนางโลมอยู่วันยังค่ำ

    ถ้าข้าเป็นนก ข้าบินหนีไปนานแล้ว พวกท่านสิเป็นอะไร มีฐานะสุขสบาย แต่ไม่ยักเห็นคนอื่นเป็นคนเหมือนกัน ซื้อขายชีวิตคนเป็นของเล่น เรียกเป็นนก เป็นสัตว์อะไรก็ไม่รู้ เด็กสาวพูดเสียงแข็ง จะขลิบปีกตัดมือข้ายังไงก็เชิญเลย จะฆ่าก็ได้ แต่ให้ตาย...ข้าก็ไม่มีวันยอมเป็นนกให้พวกท่านดูเล่นหรอก!”

    พอเถอะ!” นางโลมคนสาวก้าวเข้ามาหา แต่เมลิสซ่าก็ถอยออกไปสองสามก้าว อย่าดื้อแบบนี้ มันไม่ดีกับตัวเจ้าเลย

    สีหน้าของหญิงคนนั้นไม่ได้ดุ กลับอ่อนจนเหมือนเป็นขอร้องด้วยซ้ำ แต่เมลิสซ่าไม่เชื่อว่านั่นคือความจริงใจ

    แล้วยังไง ต้องไปนอนกับผู้ชายไม่เลือกหน้าเป็นสิบเป็นร้อยคน...ก็ไม่ดีกับตัวข้าเหมือนกันนั่นล่ะ เด็กสาวไม่ยอมรามือ หรือจะบอกว่ามันดีกับตัวท่าน!”

    หญิงคนนั้นชะงักไป

    ความเงียบครอบคลุมทั้งร้านอยู่ครู่หนึ่ง จนยามร่างกำยำที่หน้าประตูร้านพาเดรขยับตัว แต่ถูกลาเชย์โบกพัดห้ามไว้

    เด็กนี่เป็นของพวกข้าแล้ว ข้าจัดการเองได้ สายตาคมกริบของนางเลื่อนมาทางแผ่นหลังของนางคณิกาสาว อัลซิโอเน่ เจ้าบอกเองว่าจะรับผิดชอบนาง ใช่ไหม

    เจ้าค่ะผู้ถูกเรียกหันไปตอบนอบน้อม

    ดี หญิงผู้มากวัยกว่าล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบตลับลงยาฝังมุกใบหนึ่งออกมา งั้นมาหาข้านี่

    ร่างของหญิงสาวดูเหมือนจะแข็งเกร็งขึ้นครู่หนึ่ง แต่แล้วเธอก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดี

    เมลิสซ่ายืนมองอย่างสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางคณิกาสาวจึงหันหลังให้หญิงวัยกลางคน และยอบกายก้มศีรษะ ปล่อยให้หญิงผู้มากวัยกว่าปัดผมดำที่ตกจากมวยของเธอลงข้างไหล่

    เมื่อนั้นเอง เด็กสาวเพิ่งเห็นประกายแท่งเหล็กสีเงินบางยาวในมือของนาง

    จะทำอะไร!” เธอร้อง แต่ไม่ทันห้าม...ก่อนปลายเข็มยาวนั้นเสียบลงบนท้ายทอย ริมไรผมของหญิงสาว

    นางคณิกาสาวร้องเบาๆ ทั้งร่างสั่นสะท้าน แต่เธอก็ยังข่มใจยืนนิ่ง ...ทั้งๆ ที่เมื่อลาเชย์ปล่อยมือ เข็มนั้นยังปักคาเนื้ออยู่เต็มตา

    ไม่ต้องห่วง ไม่เหลือแผลเป็นให้หมดสวยหรอก หญิงวัยกลางคนหันมาสบตากับเมลิสซ่าที่ยืนนิ่งค้างอยู่ ข้าไม่ได้คิดจะซื้อเจ้าแต่แรกแล้ว แต่อัลซิโอเน่อุตส่าห์สงสาร กลัวเด็กห่ามปากเปราะอย่างเจ้าจะไปถูกทรมาทรกรรมที่ไหน ถึงได้ขอร้องให้ข้าซื้อเจ้าเป็นตัวแถมมาด้วย แล้วนางจะรับผิดชอบเจ้าทุกอย่าง ทั้งเรื่องอบรมดูแล รวมทั้งรับโทษแทนเจ้าด้วย

    เมลิสซ่าเบิกตากว้าง

    ข้าจะรับผิดชอบเอง คนที่ควรต้องโทษไม่มีใครทั้งนั้น นอกจากข้า

    แม่เคยพูดอย่างนั้น

    ในเช้าวันที่พวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์กับชาวบ้านไฮฟ์ถืออาวุธมาคุมตัวท่านไป ขณะที่ผู้ใหญ่อื่นๆ กันตัวเธอกับพี่มัธคาร์ ทั้งที่ร้องไห้เรียกแม่น้ำตานอง มือไขว่คว้าได้เพียงอากาศว่างเปล่า

    แล้วมันเรื่องอะไร

    เด็กสาวไม่เข้าใจ นางคณิกาคนนี้เป็นอะไรกับเธอ ทำไมถึงทำอย่างนี้

    ช่วยหรือ เธออยากกลับบ้าน ไม่ได้อยากมีชีวิตสุขสบายในฐานะของเล่นของคนอื่นสักหน่อย

    ถ้าคิดจะช่วยงี่เง่าอย่างนี้ ก็อย่ามาช่วยกันเสียเลยดีกว่า

    ว่ายังไง หญิงวัยกลางคนสำทับ ขณะวางมือลงทาบเข็มอีกครั้ง จะให้ข้าแทงลึกเข้าไปอีกสักหุน หรือจะยอมหุบปาก แล้วมาด้วยกันเสียดีๆ

    ...แต่แม่...ตอนนั้นแม่ก็ทำเพื่อช่วยชีวิตคน...ถึงกับยอมตายเพื่อรับผิดชอบนี่นา...

    เมลิสซ่ากำสองมือแน่นข้างกาย ครั้นแล้วก็ยอมพยักหน้า ไม่ปริปากใดๆ ทั้งสิ้น

    หึ เธอได้ยินลาเชย์แค่นเสียง แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ไม่แม้แต่เมื่อบทสนทนาดำเนินต่อไป

    ซับเลือดเสีย อัลซิโอเน่ ...แล้วท่านเคานท์คอร์เนียส ขออภัยด้วยที่ต้องให้ท่านมาเห็นภาพไม่งามนัก

    ไม่เป็นไร จะฝึกสัตว์ก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู ข้าเข้าใจดี ลูกนกป่าแสนสวยนั่นปากร้ายเอาเรื่องอยู่ เป็นข้าเผลอซื้อไปคงได้โบยกันสักหลายยกแน่

    ก็แค่นกที่ไม่เคยเจอคมมีดนั่นละเจ้าค่ะ หญิงวัยกลางคนหัวเราะนุ่มๆ ตามแบบของนาง ต้องฝึกให้รู้เสียบ้างว่าความเจ็บเป็นยังไง แล้วจะกลัวไปเอง

    นั่นสินะ ชายร่างอ้วนหัวเราะ เสียงน่ารังเกียจเหมือนหมูสำลัก ท่านทำให้นกป่าตัวนี้เชื่องได้เมื่อไร ก็บอกด้วยแล้วกัน ข้าจะได้ขอเชยชมเป็นคนแรกเสียหน่อย

    ไม่มีวันซะล่ะ!

    เมลิสซ่าทำได้เพียงตะโกนอยู่ในใจ ขณะกัดฟันกรอด สองมือกำแน่นจนเล็บจะจิกเนื้อ นึกอยากให้ตนเองเป็นผู้ชายขึ้นมา เป็นผู้ชายตัวใหญ่แข็งแรงอย่างพี่มัธคาร์ แล้วก็จะต่อยหมูในร่างคนตรงหน้าให้คว่ำ เหมือนตอนที่พี่มัธคาร์ไล่ต่อยพวกลูกชายของอดีตรองหัวหน้าหมู่บ้าน กับพรรคพวกที่ล้อเลียนเธอกับเขา ว่าเป็นลูกของคนร้ายต้องโทษประหาร เป็นลูกของผู้หญิงไม่มีหัวคิด

    ที่จริง เด็กสาวเคยมาคิดอย่างเดียวกับท่านปู่ในทีหลัง ว่าพี่มัธคาร์เลือดร้อนไป ว่าการใช้กำลังไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่ตอนนี้เธออยากทำ อยากมีกำลังพอจะเหวี่ยงขุนนางอ้วนไปโดนยามร้านพาเดรกลิ้งระเนระนาด แล้ววิ่งออกไปหาอิสรภาพเสียให้รู้แล้วรู้รอด

    หรือไม่อย่างนั้น ถ้าเป็นนกได้จริงๆ อย่างที่พวกนี้ชอบเรียกกันได้ก็ดี เธอจะได้กางปีก บินหนีกลับสู่ไฮฟ์ ไม่ให้ใครตามจับมาได้อีก

    แต่มันเป็นได้แค่ฝัน เธอเป็นนกไม่ได้ เป็นได้เพียงคน แต่ก็เป็นคนที่บัดนี้สิ้นอิสรภาพ เหมือนนกในกรง

    ข้าส่งสารเชิญท่านมาในงานประมูลแน่นอนค่ะ ทราบว่าท่านย่อมไม่พลาดโอกาสดีๆ อย่างนี้อยู่แล้ว ลาเชย์รับอ่อนหวาน ก่อนจะเปลี่ยนเสียงทันควันกับอีกคู่สนทนา เอ้า! เลิกยืนเบื้อใบ้อยู่ตรงนั้นซะที รีบตามมาได้แล้ว!”

     

    ...................

     

          คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 4 - บทเรียน'

          สวัสดีผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งครับ

          ในที่สุด ตอนนี้ก็ได้เฉลยเสียที ว่าชื่อของท่านหญิงคือ "อาเรี่ยนลีอัล" นั่นเอง ชื่อนี้ ผมบวกจาก Arian - สีเงิน ในภาษาเวลช์ กับ Lyall - ภาษานอร์สเก่า แปลว่า หมาป่า หรือ หมาป่าแห่งโล่ ให้ได้ความหมายกล้อมแกล้มว่า "โล่สีเงิน" เข้าคู่กับคริสซอร์ที่แปลว่า "ดาบสีทอง" นอกจากนี้ อาเรียนร็อด (Arianrhod) ที่แปลว่า "กงล้อสีเงิน" ก็ยังเป็นชื่อของเทพีดวงจันทร์ของเคลท์ และ อาเรี่ยน เฉยๆ สามารถแปลว่า "ผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง" (the very holy one) ก็ได้
          คิดมาได้พักนึง ว่าจะอธิบายเรื่องของเทวาวุธกับเทวภัณฑ์ทั้งสี่ และวิหารทั้งสี่ยังไงดี แล้วก็เลยให้เซอร์โวเป็นคนอธิบายให้อาเรี่ยนฟัง สรุปชื่อของมหาวิหารต่างๆ ได้ดังนี้ครับ

          มหาวิหารโอมนิส (Omnis - ภาษาละติน แปลว่า "ทุกสิ่ง" หรือ "ทั้งหมด") - ที่ประทับของพระมหาสังฆราช
          มหาวิหารเลวิส (Lewis - ชื่อภาษาอังกฤษ แปลว่า "นักรบผู้มีชื่อเสียง") - ครอบครองดาบแสงสุริยัน
          มหาวิหารซินเธีย (Cynthia - ภาษากรีก แปลว่า "ผู้มาจากภูเขาคินโทส" เป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับอาร์เทมิส เทพีแห่งดวงจันทร์) - ครอบครองโล่รัศมีจันทรา
          มหาวิหารอาราเซลิส (Aracelis - ละติน แปลว่า "ท้องฟ้า" หรือ "สวรรค์") - ครอบครองกระจกห้วงนภา
          มหาวิหารเดเมเทรีย (Demetria - ละติน แปลว่า "ผู้รักผืนดิน") - ครอบครองอัญมณีแห่งปฐพี

          สำหรับผู้อ่านตอนนี้ก็เหมือนกับอาเรี่ยน ยังไม่ต้องพยายามจำละครับ ขอให้ค่อยๆ ตามและซึมซับกันไปมากกว่า
          นายซอร์ระทมกันไปแล้ว ก็มาต่อทางหนูเมบ้าง รู้สึกเหมือนหนูเมก็ออกจะหัวแข็งเหมือนพี่ชายอยู่ คงอารมณ์ขุ่นเพราะกล่อมใครไม่สำเร็จเลยด้วย เรื่องชื่อของนายแม่ ลาเชย์ (Lashay) แปลเกี่ยวกับ "นกเหยี่ยว" หรือ "แข็งแรง" ส่วนท่านเคานท์คอร์เนียส (Corneus) ชื่อบอกยี่ห้อมาก แปลว่า "เกี่ยวกับเขาสัตว์" หรือ "horny" นั่นเอง (ไม่กล้าแปล เปิดหาศัพท์ในเว็บละกันนะครับ ^^a ) มณฑลพาทริเชีย (Patricia) ที่คิดว่าไม่น่าจะมีบทอะไร ก็แปลว่า "ขุนนาง" กันง่ายๆ นี่ละครับ

          หนูเมถูกซื้อตัวเข้าหอนางโลมไปซะแล้ว แถมดาวเด่นของหอนั้นเป็นคนรักเก่าของซอร์ดีโอ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ขอให้ติดตามชมในตอนหน้านะครับ

          แถมรูปครับ

          อาเรี่ยนในชุดภิกษุณี ทำแบ็คกราวนด์ใหม่ให้โอโม่กว่าเดิม

         


          นอสทรี หรืออัลซิโอเน่สมัยเจอซอร์ดีโอใหม่ๆ

           

          ขอความกรุณากับคอมเมนต์ครับผม

          Anithin


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×