ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels' Saga - กบฏมายา มนตราเทวยุทธ

    ลำดับตอนที่ #18 : -- 2.2 - นกในกรง - “อยากรู้ว่าคราวนี้จะมีนกป่าสวยๆ เหมือนเจ้าในตอนนั้นเข้ามาไหม”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 147
      0
      6 ธ.ค. 53

    บทที่ 2

    นกในกรง

     

    เหตุพวกหยาบช้าจากเนิร์ฟเธนบุกรุกมหาวิหารเลวิส ถูกปิดต่อชาวประชาเป็นคำรบที่สอง ทว่าข่าวย่อมแพร่กระจายในหมู่สี่มหาวิหารแห่งอาร์โคเซียรวดเร็วดั่งแสงอสนีบาต

    โดยเฉพาะจากมหาวิหารอาราเซลิส วิหารแห่งนภาอันเป็นสูญกลาง ข่าวสาร สู่มหาวิหารเดเมเทรียแห่งธรณี

    เป็นเหตุให้เธอผู้ต้องตื่นแต่เช้ามืดอยู่แล้ว ยิ่งตื่นแต่เช้ามืดกว่า ทั้งต้องเร่งแต่งกาย รีบรุดเดินทางไปยังมหาวิหารเลวิสตาม สาร ที่ใครบางคนฝากให้

    จากกรงใบหนึ่งสู่อีกใบหนึ่ง

     

    ...................

     

    ช้า ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของผู้เรียกตัวหญิงสาวมาแต่แรกรอต้อนรับ

    อาภรณ์สีขาวอย่างนักบวชของเขาขาดวิ่นช่วงหน้าท้อง เป็นแถบยาวราวรอยเล็บสัตว์สี่รอยขนานกัน ทั้งเปรอะเลือดแดงเป็นรอยกว้าง แต่เธอย่อมรู้ เขาไม่ใช่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ...อย่างน้อยก็โดยตรง

    ที่น่าเป็นห่วงคือหญิงสาวผู้ทอดกายบนเตียงเล็กในห้องนั้น เสื้อนอนมีรอยฉีกทึ้งในอารามเร่งร้อน ผ้าห่มเองก็ถูกฉีกเป็นริ้วๆ รัดพันกลางลำตัว ท่ามกลางกองของเหลวแดงฉานที่นองบนเตียงและเสื้อนอน ตัดกับผิวขาวซีดแทบไร้สีเลือด ดวงตาของเธอยังลืมอยู่ แต่ก็ดูพร่ามัวเหมือนไม่เห็นสิ่งใด ขณะลมหายใจถี่ขัด

    ข้าเร่งมาเท่าที่ทำได้แล้ว

    ใช้เส้นทางลับยังเร็วกว่า

    จำเป็นต้องใช้ด้วยหรือ หญิงนักบวชผู้สูงวัยกว่าเพียงไม่กี่ปีแย้ง กับเรื่อง...นี้

    เธอแทบหลุดคำไม่สมควร แต่ที่รั้งตนไว้ ไม่ใช่เพราะกลัวนักบวชผมทองตรงหน้า

    สิ่งที่กลัวคือการทุ่มเถียงอาละวาด ซึ่งจะทำให้หน้าที่ของตนเนิ่นช้าไปต่างหาก

    ชีวิตคนทั้งคน ท่านยังบอกว่า เรื่องแค่นี้ อีกหรือ!” อีกฝ่ายยังหัวไวไม่เข้าเรื่อง ใช่สิ! กะแค่แอ็กนัส! ตายไปก็หาใหม่ได้ถมเถ! คิดแบบตาแก่หัวโบราณพวกนั้น! ให้ตายเถอะ!”

    ออกไปซะ คริสซอร์ หญิงสาวเพียงเอ่ยหนักๆ ข้ามาถึงนี่ตามท่านต้องการแล้ว การรักษาต้องใช้สมาธิ และท่านเองควรจัดการสารรูปให้สมสภาพสมณะกว่านี้

    ครั้นแล้ว เธอก็หันไปให้ความสนใจคนเจ็บ ปล่อยเสียงเดินลงส้นโครมคราม และปิดประตูดังปึงไว้เบื้องหลัง

     

    ...................

     

    หญิงคนนี้กำลังทำให้คริสซอร์ ยึดติด

    ไดอานีร่าอดคิดเช่นนั้นไม่ได้ ขณะแก้ผ้าพันแผลเฉพาะหน้าอันโชกเลือดออก

    ที่จริง นี่ไม่ใช่กิจของเธอด้วยซ้ำ

    อัญมณีแห่งปฐพี มีไว้เยียวยาผู้สำคัญต่อองค์เทพเจ้า ในกรณีอันจำเป็นเร่งด่วนที่สุด คือสุดวิสัยร่างกายของ แอ็กนัส จะรับไหว หรือกรณีที่แอ็กนัสคนใหม่ยังไม่ได้รับการคัดเลือกมาทำหน้าที่

    ไม่ใช่เพื่อรักษาแอ็กนัสเพียงคนเดียว

    แต่ก็นั่นเอง ลองคริสซอร์อาละวาดแล้ว เหตุผลใดย่อมไร้ความหมาย ไม่นับว่าดาบแสงสุริยันเองยังมีเหตุผลไม้ตาย...ความสมพงศ์ที่หายาก กระทั่งคราวที่แล้วยังต้องใช้เวลาแรมปี ถึงเฟ้นหาจนพบแอ็กนัสที่เป็นแค่ผู้หญิงบอบบาง ผิดความหมายมาดของคณะนักบวช ซึ่งย่อมต้องการชายฉกรรจ์ร่างกายแข็งแรงมาทำหน้าที่สำคัญนี้

    แต่...ลูกแกะอ่อนแอตัวหนึ่งก็ยังดีกว่าไม่มีเลยไม่ใช่หรือ

    ยิ่งอีกฝ่ายเป็นถึง ดาบแห่งแสงสุริยัน เก่งกาจยิ่งกว่าแม่ทัพอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าเลิศล้ำ แอ็กนัสก็มีไว้แค่เป็นเครื่องประกอบฐานะ กับตัวตายตัวแทนเผื่อพลาดพลั้งเท่านั้นเอง

    ไดอานีร่าหยุดความคิด ประสานมือทั้งสองเหนือบาดแผล สูดลมหายใจยาว ระลึกถึงสิ่งที่ฝังอยู่ในร่าง

    และดึงอำนาจอันอบอุ่นของมันออกมา

    เธอรู้สึกได้ ถึงแกนกลางของความร้อนในทรวงอก พุ่งเป็นเกลียวเส้นสายสีเขียวดุจพรรณพฤกษ์ ประหนึ่งกระแสชีวิตที่ไหลเวียนตามเส้นเลือด สู่แขน สู่ฝ่ามือ

    และแผ่พุ่งออกสู่บรรยากาศรอบด้าน ครอบคลุมผิวเนื้อที่ถูกฉีกขาด

    ประสาน...สมานเป็นเนื้อเดียวกัน

    คราบเลือดยังคงอยู่ แต่ดูเหมือนหญิงบนเตียงจะทุเลาลงมากแล้ว ลมหายใจของเธอผ่อนช้าลง กลับคืนเป็นปรกติ ดวงตาที่กะพริบถี่ๆ ค่อยมีแววรับรู้

    ท่าน...ไดอานีร่า? หญิงผู้อ่อนวัยกว่าเอ่ยกริ่งเกรง ก่อนจะรีบลุกขึ้นค้อมศีรษะ ข...ขออภัยเจ้าค่ะ ทำให้ท่านลำบากอีกครั้งแล้ว

    คนที่ควรขอโทษข้าคือ โดมินัส ของเจ้าต่างหาก นักบวชหญิงกลับเอ่ยเรียบๆ เจ้าคริสซอร์ช่างหาเรื่อง ถ้าหัดระวังตัวให้มากกว่านี้คงสบายข้าขึ้นเยอะหรอก

    ห...หามิได้เจ้าค่ะ แอ็กนัสของคริสซอร์ยังไม่วายแก้ต่างแทน เพราะข้าบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว ท่านคริสซอร์เป็นห่วงเลยแวะมาดู แล้วก็...ถูกคนร้ายลอบทำร้ายระหว่างทางกลับ ข้าไม่ดีเอง

    ไดอานีร่าขมวดคิ้ว

    เจ้าบาดเจ็บตอนไหน

    ตอนที่ท่านคริสซอร์ออกไป...เอ้อ...นอกมหาวิหารเจ้าค่ะ หญิงสาวรีบหลบสายตา แต่เป็นแผลเล็กน้อย ข้าดูแลเองได้ เลยไม่แจ้งใคร

    โดมินัสแบบนั้น กับแอ็กนัสแบบนี้... นักบวชหญิงแห่งวิหารเดเมเทรียนึกอยากถอนใจ เข้าคู่กันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงเชียว

    งั้นเอาแผลตอนนั้นมาให้ข้าดูด้วย ไดอานีร่าเอ่ย แล้วก็คว้าแขนซ้ายของหญิงสาวขึ้นแกะผ้าพันแผลที่ตนสังเกตเห็นโดยไม่รอคำตอบ

    และภาพที่เห็นก็ยังความไม่พอใจเสียเลย ให้แก่นักบวชหญิงผู้เชื่อว่าตนคลุกคลีกับภาพบาดแผลมากกว่าใครในหมู่นักบวชชั้นสูงทั้งมวล

    อักเสบเป็นหนองแบบนี้เหรอเล็กน้อย หญิงสาวอดเอ็ดไม่ได้ ที่จริงต้องส่งหมอเย็บแผลแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ฝืนไว้ทำไม

    ข้า...ไม่ได้ฝืนอะไรนะเจ้าคะ เสียงของอีกฝ่ายเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ก็แค่...ข้าคิดว่าตัวเองดูแลได้

    อยากปิดเรื่องให้คริสซอร์ว่างั้นเถอะ นักบวชหญิงพูดตรงๆ

    แน่ละ รอยแผลนี้ดูอย่างไรก็เกิดจากมีดดาบ รอยแบบนี้ปรากฏบนร่างแอ็กนัส แสดงว่าโดมินัสหนีออกจากวิหารไปทำอะไรสุ่มเสี่ยง ควรแก่การสอบวินัยเป็นแน่

    แอ็กนัสหญิงไม่ตอบ เพียงก้มหน้าหลบสายตา ท่าทางราวกับเด็กที่ปกปิดความผิดให้เด็กอีกคนด้วยความไร้เดียงสา

    เอาเถอะ ข้าจะไม่บอกใครก็แล้วกัน ไดอานีร่าเอ่ยเรียบๆ ก่อนจะรวบรวมสมาธิ ส่งคลื่นพลังอันอบอุ่นให้แผลนั้นเลือนไปในชั่วครู่เดียว ถ้าไม่มีแผลให้เห็นแล้ว ก็อย่าห่วงว่าใครจะรู้

    ข...ขอบคุณท่านไดอานีร่ามากเจ้าค่ะ หญิงที่เคยบาดเจ็บค้อมศีรษะอีกครั้ง

    ไม่เป็นไร แต่อย่าให้มีครั้งต่อไปล่ะ ไดอานีร่าลุกจากเก้าอี้ มุ่งหน้าไปทางประตู โดยไม่วายอยากตักเตือนอีกครั้ง เรื่องคริสซอร์มาหาเจ้าถึงห้องยามวิกาลก็เหมือนกัน เขาจะเป็นห่วงเจ้าหรืออะไร ข้าไม่รู้ แต่เหตุชู้สาวกับนักบวชในเขตวิหาร มีเพียงโทษเผาทั้งเป็นรออยู่ จงจำไว้ให้ดี

    นักบวชหญิงออกไปจากห้องโดยไม่รอคำตอบ

    ...และพบชายหนุ่มที่เธอเพิ่งไล่ไปจัดการตัวเองยืนรออยู่แค่หน้าห้อง ทั้งเสื้อขาดวิ่นเปื้อนเลือดอยู่อย่างนั้นเอง

    เขาเดินสวนไดอานีร่าเข้าไปในห้อง ปิดประตูเสียงดัง ไร้คำขอบคุณ หรือล่ำลา

     

    ...................

     

    เชิญท่านหญิง ชายหน้าบากผู้สวมเกราะยืนข้างรถม้าค้อมคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนจะยื่นมือให้เธอ

    ขอบใจ โยรัน ไดอานีร่ายกชายกระโปรงชุดภิกษุณีซึ่งยาวกรอมข้อเท้าขึ้น ก้าวเข้าไปนั่งในรถ จากนั้นก็รออัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นองครักษ์ขึ้นตามมา และค้อมคำนับก่อนนั่งลงตรงข้าม

    เขาเคาะผนังเป็นสัญญาณให้สารถีออกรถ

    หน้าต่างรถม้าปิดด้วยม่านแบบพิเศษ เป็นม่านไม้ระแนงถี่ละเอียด ซึ่งจัดวางอย่างพอเหมาะให้คนนอกไม่อาจมองเข้ามา แต่คนในมองออกไปได้อย่างชัดเจน

    ภาพชีวิตยามเช้านอกกำแพงมหาวิหาร ปรากฏให้เธอผู้ไม่เคยออกจาก กรง เห็นทางช่องเล็กๆ นี้เอง

    มหาวิหารเลวิสอยู่ทางทิศตะวันตก ขณะที่มหาวิหารเดเมเทรียอยู่ทิศใต้ รถม้าจึงมิได้ตัดจัตุรัสกลางหน้ามหาวิหารโอมนิสอันเป็นศูนย์กลางเมือง แต่เลียบถนนซึ่งผ่านร้านค้าและตลาดสด อันเป็นแหล่งปัจจัยสำคัญต่อความเป็นอยู่ของชาวเมือง

    จากแผงขายนกพิราบขาวในกรงไม้ที่ซ้อนเป็นตั้งริมกำแพงวิหาร สำหรับปล่อยหลังสวดภาวนา ต่างผู้นำสารของนักแสวงบุญขึ้นถวายองค์เทพเจ้าบนห้วงฟ้า ไม่กี่ช่วงถนนก็กลับกลายเป็นกรงไก่และสัตว์ปีกอื่นๆ ที่รอเวลาขึ้นเขียง

    การหลั่งเลือดในเขตมหาวิหารเป็นเรื่องต้องห้ามเด็ดขาด ทว่าต่อให้เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า เมืองศักดิ์สิทธิ์ อาหารที่มาจากชีวิตอื่นก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น

    เฉกเช่นที่การฆ่าและการกักขังบางสิ่งหรือบางคนเป็นเรื่องจำเป็น...ต่อวิถีของโลกนี้

    จะในหรือนอกมหาวิหารก็ตามแต่เถอะ

    นกพิราบขาวตัวหนึ่งเดินดุ่มเข้ามาใกล้กรงไก่ จิกกินข้าวเปลือกซึ่งกระจายออกมานอกกรง ขณะที่ไก่ในนั้นเหมือนจะได้แต่มองสัตว์มีปีกคนละสายพันธุ์อย่างไม่พอใจนัก

    นกพิราบซึ่งมีไว้ปล่อยอธิษฐาน ที่แท้เป็นนกเลี้ยง พวกมันมักถูกคนขายเพาะพันธุ์และเลี้ยงมาแต่กำเนิด ครั้นได้ออกจากกรงก็บินกลับสู่บ้านผู้เลี้ยง ไปให้เขาจับเข้ากรง...ขาย...ปล่อย...กลับ...วนเวียนไปเช่นนี้ไม่รู้จบสิ้น จนกว่ามันจะตายด้วยอายุขัย หรือโรคภัย หรือถูกฆ่ากินโดยหมาแมวจรจัดที่มีอยู่น้อยยิ่งกว่าน้อยในเมืองศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งย่อมต้องรักษาทัศนียภาพอย่างเข้มงวด

    หนึ่งมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้อิสระ อีกหนึ่งมีชะตาที่ต้องตายแต่ยังเยาว์

    ...แต่ก็ถูกกักขังไปชั่วชีวิตเหมือนกัน...

    นกพิราบกับไก่...งั้นเหรอไดอานีร่าเปรยแผ่วเบา

    ท่านหญิง มีอะไรหรือขอรับ อัศวินผู้นั่งตรงข้ามถามอย่างประหลาดใจ

    ไม่มีอะไร หญิงสาวตอบโดยไม่มองแอ็กนัสของตน ข้าแค่คิดว่า...ไก่กับนกพิราบรักกัน คงเป็นเรื่องน่าขำน่าดูนะ

    โยรันไม่ตอบว่าอะไร

    ไก่ อย่างเขาคงชินกับความคิดประหลาดๆ ของ นกพิราบ ที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ออกนอกกำแพงกรงกว้างขวางอย่างเธอแล้วกระมัง

    แม้จะไม่ใช่ไก่กับนกพิราบที่เธอตั้งใจหมายถึงก็ตาม

     

    ...................

     

    เมลิสซ่าไม่รู้ ว่าตนวาดภาพตลาดค้าทาสไว้โหดร้ายเกินไป หรือที่นี่มัน ดี เกินไปกันแน่

    พอนายโจรพาเธอมาถึงนี่ เขาก็แก้มัดให้ แล้วโอบไหล่พาเธอเข้าไปในร้านท่าทางสะอาดเรียบร้อยที่มีป้ายชื่อ พาเดร อ้างตัวเป็นอาหลาน เจรจากับหญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดีที่คอกเสมียนแค่ครู่เดียว หญิงคนนั้นก็สั่นกระดิ่งให้ผู้หญิงที่แต่งตัวอย่างสาวใช้อีกสองคนพาเธอเข้าไปข้างหลัง ซึ่งแยกเป็นสัดส่วนสำหรับเด็กชายหญิง เมลิสซ่าเห็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับตนแต่งชุดผ้าดิบตัวเดียวแบบเรียบๆ คอกลม แขนกุด ทรงกระสอบ นั่งๆ ยืนๆ เดินๆ รออยู่ในโถงข้างในหลายคน

    ผู้หญิงสองคนนั้นพาเธอลึกไปยังห้องน้ำรวมของฝั่งผู้หญิง ซึ่งมีเด็กหญิงตลอดจนเด็กสาวอาบก่อนอยู่แล้วสองสามคน จากนั้นก็บอกให้เธอถอดเสื้อผ้า อาบน้ำสระผมให้สะอาด

    ทั้งสองคนใช้เสียงเรียบๆ ไม่ได้ฟังดุร้ายข่มขู่แต่ประการใด เมลิสซ่าเองก็ไม่เห็นประโยชน์ของการเถียงให้เสียเวลา อีกทั้งตนเองก็รู้สึกอยากอาบน้ำใจจะขาด หลังตากฝนเปื้อนโคลนมาตั้งแต่เย็นวาน จึงยอมทำตามที่พวกนางบอก แม้จะรู้สึกอายอยู่บ้างที่ต้องมาถอดเสื้ออาบน้ำต่อหน้าธารกำนัล...ถึงจะเป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้นก็ตาม

    ผู้หญิงสองคนนั้นเก็บเสื้อผ้าที่เปื้อนของเธอไป และทีแรกก็ทำท่าจะเอาสร้อยของแม่ที่อยู่ในถุงผ้าไปด้วย ถึงเด็กสาวจะขอไว้ พวกนางบอกว่าเป็นคำสั่งของ นายแม่ ที่ต้องเก็บของทุกอย่างไปตีราคา ...แต่เมื่อคนหนึ่งหยิบจี้อำพันออกมาจากถุงแล้วก็ขมวดคิ้ว ยื่นคืนให้ในทันที

    นี่ขายไม่ได้ อยากเก็บก็เก็บไว้ แต่อย่าให้คนที่มาซื้อเจ้าเห็นแล้วกัน บางคนเขาถือว่าของแบบนี้ไม่เป็นมงคล

    เป็นอย่างที่แม่บอกจริงๆ ด้วย

    เมลิสซ่าอาบน้ำเสร็จแล้วก็แต่งตัวด้วยชุดสีขาวแบบเด็กคนอื่นๆ แต่สวมสร้อยหนังซ่อนจี้อำพันไว้ในคอเสื้อ เธอถูกพามานั่งรอในห้องข้างนอก พอดีกับ นายแม่ กลับเข้ามาด้วยสีหน้าเฉยเมยผิดกับตอนอยู่ข้างนอก สั่งให้เด็กที่มาใหม่ทุกคนเรียงแถว มองสำรวจอะไรอีกมากมาย ทั้งหน้าตา ผม ฟัน มือ เล็บ ไปจนจรดเท้า ถามหาตำหนิจากสองสาวใช้ที่คอยดูตอนอาบน้ำ ครั้นแล้วก็ผูกข้อมือเด็กแต่ละคนด้วยเชือกสีต่างๆ กัน

    ลูกสาวคนเลี้ยงผึ้งได้เชือกสีเหลือง

    พอลองมองดูเด็กผู้หญิงกับเด็กสาวที่ได้สีเหลืองเช่นกัน ก็ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มที่จัดได้ว่าหน้าตาดีทีเดียว ขณะที่คนได้เชือกสีน้ำตาลหลายคนหน้าเจื่อนลงไปไม่น้อย สังเกตดูก็มักจะเป็นเด็กผู้หญิงที่ดูเรียบๆ พื้นๆ แทบไม่มีอะไรสะดุดตา บางคนถึงขั้นไม่ชวนมอง...ถึงเมลิสซ่าจะไม่ชอบตัดสินคนอื่นแค่ที่หน้าตานัก

    เขาคัดคุณภาพ สินค้า กันอย่างนี้รึเนี่ย... เด็กสาวนึกเทียบกับการคัดน้ำผึ้งที่เธอเคยเรียนมา

    แต่น้ำผึ้งไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึกเหมือนคนพวกนี้ รวมทั้งเธอไม่ใช่หรือ

    เสร็จสรรพการแบ่งกลุ่มแล้ว หญิงวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้านก็บอกว่าบ่ายวันนี้ มีคนนัดดูตัวกลุ่มสีเหลือง ให้พวกเธอเตรียมตัวไว้ จากนั้นจึงทำท่าจะกลับออกไป แต่เด็กสาวอดรั้งไว้ไม่ได้

    เดี๋ยวค่ะ

    นางเหลียวกลับมา สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน

    มีอะไร

    ข้าไม่ได้เป็นญาติกับผู้ชายคนนั้น เมลิสซ่าตัดสินใจพูด ข้าเป็นหลานสาวของมูอาทา หัวหน้าหมู่บ้านไฮฟ์ เขาเป็นโจร ลักพาตัวข้ามา ถ้าท่านพาข้ากลับไปส่งที่ไฮฟ์ ท่านปู่ของข้าจะตอบแทนให้เต็มที่แน่

    เด็กสาวต้องเสี่ยง

    นายโจรอาจไม่อยากพาเธอไปส่ง เพราะกลัวถูกชาวบ้านตลบหลังหรือมีคดีติดตัว แต่หญิงเจ้าของร้านพาเดรไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมด หากผลประโยชน์คุ้มค่า นางย่อมตอบตกลง

    หมดเรื่องพูดแค่นี้ใช่ไหม หญิงวัยกลางคนหันกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ

    ข้ามีญาติ มีครอบครัวรออยู่นะคะ!” เด็กหญิงร้อง ไม่ได้ตั้งใจมาขายตัวเอง! แต่ถ้าท่านติดต่อไปที่ไฮฟ์ ไม่ว่าจะเรียกค่าไถ่ตัวเป็นเงินหรือน้ำผึ้ง พวกเขามีจ่ายให้แน่! อาจมากกว่าค่าตัวที่พวกท่านจะได้จากการขายข้าด้วยซ้ำ!”

    ข้าไม่ใช่เจ้าของกิจการ ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจโดยพลการ อีกฝ่ายพูดเสียงแข็งขึ้นทันที ไปเจรจากับคนที่จะซื้อตัวเจ้าแล้วกัน แต่หากเขาไม่พอใจจนไม่ซื้อตัว หรือพยายามตัดราคา เจ้าอาจถูกลดระดับไปซ่องปลายแถว หรือโรงทอผ้าก็ได้

    ครั้นแล้ว นางก็เดินออกไปจากห้อง ไม่เปิดโอกาสให้เด็กสาวได้พูดอะไรอีก

     

    ...................

          “เดินเร็วๆ สิวะไอ้ก้าง!

          ปลายไม้กระทุ้งเข้าที่กลางหลังเปลือยเปล่า อย่างไม่เบาแรงแม้แต่น้อย

          ซอร์ดีโอได้แต่กัดฟัน ก้มหน้าก้มตาก้าวเท้าต่อไป ทั้งเพราะติดโซ่ซึ่งล่ามข้อมือทั้งสองไพล่หลัง มีเชือกเส้นใหญ่หนาสอดเชื่อมกับทาสคนอื่นทั้งหน้าหลัง

          และเพราะสภาพของตนเองในตอนนี้ ว่าไปก็เหมือนคนยังไม่ฟื้นไข้ ไร้เรี่ยวแรงต่อกรโดยสิ้นเชิง

          ไอ้กร๊วกเอ๊ย! ไหงใช้การไม่ได้งี้วะ !

          ชายหนุ่มก่นด่าองครักษ์...หรือที่ถูกควรเป็นอดีตองครักษ์ทั้งสองในใจ ไม่รู้จะเปลืองเงินจ้างไว้ทำไม ในเมื่อถึงเวลาเข้าตาจนจริงๆ พวกมันก็ปกป้องเขาไม่ได้เลย ดีแต่มีกล้ามโตๆ ไว้เบ่งคนอื่นให้กลัว

          พอโดนไอ้โจรห้าร้อยพวกนั้นมัดกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ แถมชักมีดดาบมาจ่อคอขู่สักหน่อย ก็กลายสภาพเป็นหมูเตรียมถูกเชือดดีๆ นี่เอง ได้แต่ก้มหน้าก้มตาให้มันหอบหิ้วมาถึงตลาดค้าทาส ถูกลอกคราบ ตรวจสอบตีราคา ก่อนจับแยกไปคนละทางอย่างไร้ปากเสียง

          คุณชายผู้เคยแวะเวียนมายังมอร์ติกาพอรู้ กำยำอย่างไอ้พวกนั้นย่อมถูกขายเป็นทาสแรงงาน ส่วนพวกที่ดูไม่น่ามีแรงมาก แต่รูปร่างหน้าตาพอออกงานหรือใช้การได้อย่างเขา จะถูกแยกไปขายอีกที่ อีกระดับ เพื่อใช้ในอีกจุดประสงค์

          แต่ก็นั่นแหละ ซอร์ดีโอผู้คลุกคลีกับย่านโลกีย์มากพอไม่อยากคิดถึงจุดประสงค์นั้นเลย

          นี่มันเรื่องห่าเหวอะไรเล่า เมื่อวานเขาแค่อยากเชยชมหญิงงามฆ่าเวลา แต่ก็พลาด...ทั้งประเมินสถานะนางผิด ทั้งนางยังมีอำนาจประหลาดคุ้มครองกาย พาลพาให้เขาต้องหนีโทษหัวซุนโดยไม่ได้อะไร จะถอนทุนคืนกับนังเด็กเมลิสซ่าแก้ขัด ก็กลับชวดทั้งคู่ หนำซ้ำเจ็บตัวหนักขึ้นอีก

          แต่ที่ร้ายสุด อาจต้องกลายเป็น ของเล่นของผู้ชายด้วยกัน หรือยายแก่อารมณ์เปลี่ยวไม่ชวนเจริญตาไปชั่วชีวิต (อันแสนสั้นของฝ่ายหลัง แต่ถึงอย่างไรก็ยาวนานน่ากลัวกว่าสำหรับเขา)

          พ่อเรอะ...อย่าหวังเลยว่าจะมีแก่ใจติดตาม ป่านนี้เรื่องที่เขาล่วงเกินภิกษุณีสูงศักดิ์คงแดงโร่ทั่วหมู่บ้าน ดีไม่ดีไกลกว่านั้น จะสืบหาเอาตัวเขาคืนมาให้ตัวเองติดร่างแหทำไม

          อย่างเก่งที่ทำ คงมีแต่บอกหน้าตาเฉยว่าตัวเองไม่เคยมีลูกชั่วๆ พรรค์นั้น ตัดหางปล่อยวัดทิ้งอย่างไม่เสียดาย บางทีจะถือเป็นเหตุหาเมียใหม่ ทำลูกชายคนใหม่ เอาให้ได้ดั่งใจมากกว่าลูกของนังผู้หญิงคบชู้หนีตามผู้ชายอย่างเขาเสียด้วย

          ก็เหมือนคราวแม่หนีตามผู้ชาย เหมือนคราวพี่สาวหนีออกจากบ้าน

          ก็แค่โดนพ่อทำราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

          ก็แค่นั้นไม่ใช่รึไง

          ก็เลวร้ายขนาดนี้แล้ว จะกลายเป็นทาส เป็นผู้ชายขายตัวไปเสียเลย ยังจะมีอะไรเลวร้ายยิ่งกว่าได้ อย่างมากเขาก็แค่ตาย แค่ยุยั่วโมโหให้ใครฆ่าตัวเองตายให้มันจบๆ ไป ยังมีอะไรน่าอาวรณ์อีกเล่า

          ไม่มีอีกแล้วจริงๆ ไม่ใช่รึ

          “ขอบคุณมากค่ะ ท่านเซเรบรัส

          อย่างน้อยก็ไม่มี...จนได้ยินเสียงหวานหยาดนั้น ขณะที่หมู่ทาสหยุดยืน รอให้ขบวนรถม้าของคนใหญ่คนโตสักคนของมอร์ติกาผ่านไปบนท้องถนน

          ซอร์ดีโอเงยคอ นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความคุ้นหูของน้ำเสียง ใบหน้าเหลียวไปอย่างลืมตัว

          ปีกนกสีเขียวเป็นประกาย...สะท้อนแดดจับตา

          เจ้านกนั้นเกาะบนเรือนผมดำอันเกล้าเป็นมวย ไม่ได้สลับซับซ้อนหรือประณีตเรียบตึงอย่างคุณหญิงสูงศักดิ์ แต่ก็เข้าใจปล่อยปอยผมดำยาวให้ทิ้งตัวลงระไหล่ขาวทั้งสอง ซึ่งเปิดเปลือยได้อย่างมีจังหวะพอเหมาะ เผยเส้นสายสีแดง ดูคล้ายดอกไม้บางอย่างที่ต้นแขนซ้าย

          อาภรณ์ผ้าไหมสีเขียวปีกแมลงทับ ปักลายดอกไม้สลับผีเสื้อตลอดตัว มองได้ทั้งฉูดฉาดและงามเด่น ตัดกับผ้าคาดเอวสีม่วงองุ่น ผูกเป็นปมใหญ่ที่ข้างหลัง ราวกับปีกนกซึ่งทิ้งตัวลงมา

          เขารู้จัก

          ทั้งรอยสักสีแดงที่ต้นแขน และเครื่องแต่งกายอย่างนี้ เป็นของนางคณิกาชั้นสูงแห่ง เขตอัสดง

          เขตซึ่งได้ชื่ออันเหมาะสมยิ่ง ทั้งเพราะตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเขตสว่างกับเขตมืด เปิดรับทุกบุรุษผู้มีเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นนักบวชในคราบฆราวาส จอมเวท อัศวิน ขุนนาง หรือพ่อค้าวานิช

          และเพราะเวลาที่เขตนั้นเริ่มมีคนพลุกพล่าน ก็คือเวลาตั้งแต่อาทิตย์อัสดง ตลอดไปจนฟ้าราตรีนี่เอง

          บุปผาราตรีรัญจวนจิต หรูหราเย้ายวน ยามเดินกรีดกรายมาเป็นขบวนตามท้องถนน ย่อมเรียกสายตาปรารถนาของบุรุษ ซึ่งมีทั้งที่ร่ำรวยสูงศักดิ์สามารถสู้ราคา และที่ได้แต่มองอยู่ห่างๆ ราวกับสุนัขที่ไม่อาจตะครุบนกแสนงามบนยอดไม้

          นางผู้นี้คงออกมาเดินเล่น แล้วก็คงบังเอิญเจอกับแขกที่รู้จัก คำขอบคุณนั้นส่งให้ชายวัยกลางคนแต่งกายภูมิฐานที่หน้าร้านเครื่องประดับ ขณะที่มือขาวเรียวถือปิ่นนกอีกตัวหนึ่ง ขยับเล่นขึ้นลงราวกับจะให้มันโบยบิน

          นกทองคำสูงค่า ฝังเพชรพลอยพราวแพรวดั่งสายรุ้ง ส่วนปีกเหมือนจะใช้ขดลวดยึดให้ขยับไหวได้ และหางทิ้งสายพลอยระย้าลงมาราวกับหางนกยูง

          ช่างแตกต่างจากปิ่นเงินรูปนกแข็งทื่อแบบเรียบๆ ฝังเพียงเปลือกหอยสีเหลือบเขียวแทนอัญมณีบนเรือนผมของเธอเสียนี่กระไร

          กระนั้น ปิ่นเงินกลับดึงความสนใจของซอร์ดีโอมากกว่า เพราะ...

          เขารู้จัก

          มันคุ้น...คุ้นตาเสียจนเจ็บแปลบ ติดขัดในหัวใจ

          ชื่อหนึ่งผุดขึ้น และแทบหลุดลอดริมฝีปาก

          ...หากว่าเธอผู้นั้นไม่ผินหน้ามาเสียก่อน

          เหมือนจนเกินไป ทั้งดวงตากลมโตสีเขียวเหลือบฟ้าคู่นั้น ทั้งสันจมูกโด่ง และริมฝีปากบาง

          เหมือนกันเกินไป กระทั่งไฝที่ใต้ดวงตาขวา ไฝซึ่งตัวเธอเองเห็นว่าเป็นตำหนิไม่ชวนมอง เป็นไฝเจ้าน้ำตา แต่เขาคิดว่ามันก็ทำให้เธอดูมีเสน่ห์น่ารักดี...

          เขารู้จัก

          รู้จักเสียจนไม่รู้จะบรรยายความเจ็บอย่างไร

          ซอร์ดีโอกัดริมฝีปากจนได้รสคาวจางๆ ติดลิ้น ห้ามตนเองเป็นอย่างหนักไม่ให้ผลุนผลันออกไป เขย่าคอ...ตะคอกถาม ทำอย่างที่เขาอยากทำกับหญิงนั้นจนสาแก่ใจ อย่างที่คิดมาเป็นร้อยรอบพันรอบ นับตั้งแต่รู้ว่าจู่ๆ เธอก็จากไปโดยไร้คำล่ำลา

          ที่เหลือมีเพียงข่าวลือ ว่าไปแต่งงานกับคนอื่น...ทั้งที่เขามอบปิ่นนั้นให้

          ที่แท้ก็แต่งกับใครต่อใครมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคน

          เชือกที่ร้อยตรวนมือกระชาก จนชายหนุ่มแทบหน้าคะมำ ได้แต่ก้าวซวนเซตามไป ละสายตาจากเจ้าสาวหนึ่งชั่วยามแสนสูงค่าของใครต่อใครผู้นั้น ก้มลงมองพื้น ซ่อนความร้อนผ่าวที่ดวงตา

          ผู้หญิงก็แค่นี้...แค่นี้จริงๆ เสียด้วย

          นังเด็กเมลิสซ่า...แม่...พี่...

          ...นอสทรี...

          ผู้หญิงก็แค่นี้...แค่นางนกต่อล่อใจชาย ก่อนทำร้ายเสียเจ็บเจียนตายอย่างนี้เอง


          ...................


          “ข้าว่าแล้วเป็นคำเปรยจากหญิงวัยกลางคนผู้แต่งกายงามหรูหราอย่างนางคณิกา ซึ่งเหลือบมองปิ่นนกทองคำในมือของหญิงสาว ปิ่นนั่น ดาดไป ออกมาข้างนอกทั้งทีก็ต้องแต่งให้เต็มที่ เปลี่ยนเป็นปิ่นที่ท่านเซเรบรัสซื้อให้อันนี้ ถึงจะสมตัว ปักษาสวรรค์แห่งหอพาราดิเซียอย่างเจ้าหรอกนะ

          “แต่สีมันไม่เข้ากับชุดนะคะ นายแม่ริมฝีปากแต้มสีกลีบกุหลาบเอื้อนเอ่ย ขณะที่มือยังคงเขย่าเจ้าหงส์ฟ้าหางยาว อย่างหมายจะให้มันโผขึ้นจากก้านทองให้ได้ ไว้กลับหอแล้ว ข้าค่อยปักอวดตอนท่านเซเรบรัสมาเป็นแขกดีกว่า

          “ตามใจเถอะ อัลซิโอเน่หญิงวัยกลางคนเอ่ยอย่างอ่อนใจ เจ้าถูกใจปิ่นนกถูกๆ นั่นนักหนาอยู่แล้วนี่ ก็เล่นหอบหิ้วกันมาก่อนอยู่กับข้าเสียอีก

          อัลซิโอเน่หยักยิ้มเศร้า มือหนึ่งเอื้อมขึ้นแตะปีกเรียบลื่นที่ไม่อาจโบยบินบนเรือนผม เหมือนที่นั่งลูบหรือขัดถูอยู่ทุกวันในเวลาว่าง ลูบจนหากมือของเธอเป็นหยดน้ำ และมันเป็นก้อนหิน ก็คงจะกร่อนผุจนไม่เหลือเค้าเดิมไปเสียแล้ว

          ‘เขาซื้อมันให้เธอ อาจไม่ใช่ของแพงหรืองดงามเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเมืองที่รวบรวมนานาสินค้าของมีค่าจากทั่วทุกดินแดน ...และโดยเฉพาะกับนางคณิกาที่ไม่ต้องเอ่ยปาก ก็มีผู้พร้อมกำนัลผ้าไหมแพรพรรณ เพชรนิลจินดามาให้อย่างเต็มใจ

          แต่ก็เป็นของที่หญิงสาวในอดีตของปักษาสวรรค์ รวมทั้งตัวอัลซิโอเน่เอง เห็นเป็นของทรงคุณค่ายิ่งกว่าเครื่องประดับใดๆ ในโลก

          ...แม้นตัวเธอเองจะเสื่อมค่า จนอาจไม่คู่ควรกับเจ้านกน้อยนี้อีกแล้ว...

          “รีบไปเถอะ ใกล้เวลาที่นัดไว้กับร้านพาเดรเต็มทีนายแม่เพียงตัดบท ก่อนจะเดินนำไปยังรถม้าทรงโปร่งเหมือนกรงนกที่จอดอยู่ไม่ไกลอยากรู้ว่าคราวนี้จะมีนกป่าสวยๆ เหมือนเจ้าในตอนนั้นเข้ามาไหมนะ


          ...................


          คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 2 - นกในกรง'

          ตอนนี้เขียนโดยมีคอนเซ็ปต์ถึง "นกในกรง" หรือผู้ที่ถูกกักขังในรูปแบบต่างๆ เช่นนักบวชหญิงไดอานีร่า ที่อยู่ได้แค่ในกำแพงมหาวิหาร หนูเมในร้านนายหน้า ซอร์ดีโอที่ถูกต้อนไปในขบวนทาส และอัลซิโอเน่ผู้เป็นนางคณิกา

          ฟากของไดอานีร่าก็ใส่มาให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคริสซอร์กับเพอร์นิลล่า แล้วก็ให้เธอได้คิดถึงระบบของวิหารและโลกที่ต้องอาศัย 'กรง' บางอย่าง ด้านของซอร์ดีโอ ก็เป็นครั้งแรกที่ผมลองเขียนจิตใจของหมอนี่ โดยต่อยอดจากปมที่คุณ bluemouse หยอดทิ้งไว้เกี่ยวกับผู้หญิง กับบ้านที่รู้สึกเหมือนพ่อไม่เคยเข้าใจ แล้วก็จับให้มาเห็นสาวงามคนหนึ่งซะเลย ^^a

          สำหรับชื่อตัวละครในตอนนี้ ไดอานีร่า (Deianeira) เป็นชื่อในตำนานกรีก แปลว่า "ผู้ทำลายล้างมนุษย์" หรือ "ผู้ทำลายสามีตัวเอง" (โหดจัง...) แต่เลือกมาใช้เพราะเสียงต้น ไดอา ฟังแล้วทำให้นึกถึงเพชรหรืออัญมณี โยรัน (Joran) มาจากภาษาสวีดิช หมายถึง "ผู้ทำงานกับดิน" หรือ "ชาวนา" ชื่อมหาวิหารเดเมเทรีย (Demetria) เป็นชื่อกรีก หมายถึง "ผู้รักผืนดิน" หรือ "สาวกของเทวีดีมีเตอร์" เทพีการเกษตรของชาวกรีก และอัลซิโอเน่ (Alcyone) แปลว่า "นกกระเต็น" เป็นชื่อของหญิงในตำนานกรีกที่กลายร่างเป็นนกกระเต็น ตามคนรักที่จมน้ำตายในการเดินเรือครับ

          และภาพตัวละคร

     

     

          อัลซิโอเน่ฉบับลงสี (รูปขาวดำยังไม่ได้เติมไฝ)

     

          แล้วพบกันในตอนที่ 4 ของบทที่ 2 ครับผม smile

          Anithin

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×