ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels' Saga - กบฏมายา มนตราเทวยุทธ

    ลำดับตอนที่ #15 : -- 1.13 - จากรัง - “การก้าวไปข้างหน้า ไม่ได้หมายถึงวิ่งชนทุกอย่างที่ขวางทาง”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 150
      1
      8 พ.ย. 53

    บทที่ 13

    จากรัง

     

    มัธคาร์ไม่รู้ว่าจะขำท้องฟ้าดีไหม

    ฝนที่เคยตกยาวนานหลายวัน หนักบ้าง ซาบ้าง ปรอยบ้าง หยุดเอาตอนค่ำมืดแล้วค่อยตกใหม่ในตอนเช้าบ้าง กลับหยุดสนิทในเช้างานศพ ซ้ำทอรุ้งสีสดชัดเจนที่ปลายทุ่ง

    ชาวบ้านหลายคนทักมัน กระนั้นก็ระมัดระวังไม่ชี้ตามธรรมเนียม บางคนที่เข้ามาพูดแสดงความเสียใจกับมัธคาร์ยังบอกคล้ายจะปลอบ ...เขาว่าเกิด สะพานฟ้า ในเวลางานศพ หมายความว่าเทพเจ้ารับวิญญาณคนตายสู่แดนเบื้องบน...

    ...มูอาทาเป็นคนดียิ่ง แม้นเขาตายกะทันหันน่าเสียใจ แต่ก็ย่อมได้รับความสุขนิรันดร์ตอบแทน...

    ชายหนุ่มอ่อนเปลี้ยเกินแย้ง ...ฆาตกรฆ่าลูกสะใภ้ตน ยังมีความดีพอขึ้นสวรรค์อีกหรือ...

    แต่นั่นสินะ คนตายไปแล้ว เรื่องไม่ดีทั้งหลายย่อมถูกลืมเลือน มิเช่นนั้นอย่างน้อยก็ยอมรับเป็นธรรมเนียมว่าจะพูดถึงในที่แจ้งไม่ได้เด็ดขาด คราวแม่ของเขาก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไร ...เออร์ลีอาน้ำใจงาม ยอมสละชีวิตตนเองทั้งที่รู้ว่าผิดกฎ ทั้งหมดเพื่อช่วยอีกชีวิตหนึ่ง...

    บางที คราวพ่อก็คงเป็นเช่นนี้ด้วย แม้เขาในตอนนั้นเด็กเกินกว่าจะใส่ใจจดจำ ตอนนี้ก็อ่อนเปลี้ยเกินนึกหารำลึก

    ที่จริง เขาอ่อนเปลี้ยเกินทำสิ่งใด รู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวเลือนรางดั่งความฝัน...แม้ไม่รู้ว่าสิ่งใดกันแน่คือความฝัน สิ่งใดคือความจริง ช่วงเวลาที่ยังมีท่านปู่อยู่เหมือนห่างออกไปไกลแสนไกล แม้ท่านจะเพิ่งหมดลมหายใจไปเมื่อคืนวานนี้เอง

    เหมือนคราวพ่อ เหมือนครั้งแม่ เป็นความว่างโหวงของความรู้สึก...ว่าคนที่เคยมีชีวิตอยู่อันตรธานไปได้ง่ายดายเกินคาดจนไม่น่าเชื่อ

    มัธคาร์จมอยู่ในความว่างเปล่านั้น กระทั่งการตระเตรียมงาน ทั้งเรื่องโลงศพ นักบวชผู้ประกอบพิธี สัปเหร่อ อาหารเครื่องเซ่นสรวง ข้าวของเครื่องใช้ ก็ยังได้คนสนิทเก่าแก่ของปู่ช่วยจัดการให้ทั้งหมด ชุดไว้ทุกข์ยังเป็นชุดที่ปู่เคยส่งให้พวกเขาสองพี่น้อง สำหรับงานศพของชาวบ้านอาวุโสคนหนึ่งเมื่อปีกลาย เรียกได้ว่าชายหนุ่มได้ทำเพียงยื่นอาหารเครื่องเซ่นให้ข้างโลง เรียกให้ปู่ที่จากไปแล้วกลับมากินอาหารซึ่งเย็นชืดลงเรื่อยๆ โดยไม่มีวี่แววการแตะต้อง จากนั้นก็ยืนส่งศพ ขณะสัปเหร่อขุดหลุมฝังเท่านั้นเอง

    หลุมศพของมูอาทาอยู่ข้างภรรยา ว่าอีกทางก็คือย่าที่มัธคาร์ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า อีกข้างของย่าคือพ่อของเขา ขณะที่แม่ไม่อาจทอดกายเคียงข้างพ่อ แต่ถูกฝังนอกสุสานโบสถ์ ริมทุ่งเนินเขา เงียบเหงา อาจถึงขั้นรกร้าง

    ถึงอย่างไร แม่ก็เป็นคนต้องโทษร้ายแรง จะให้มาฝังในหลุมศพครอบครัวคงไม่ได้

    แต่เป็นอย่างนี้อาจจะดีแล้วก็ได้ แม่ชอบทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ชอบทิวดอกไม้ ชอบสายลมที่ไล้ใบหน้า ในความทรงจำของมัธคาร์ แม่เป็นเหมือนสายลมที่ไม่ยอมอยู่นิ่งจริงๆ แม่ปราดเปรียว ร่าเริง และมักมีความคิดดีๆ ใหม่ๆ มาแก้ปัญหาต่างๆ เสมอ ข้อนี้เมลิสซ่าดูเหมือนจะได้จากแม่ไปหลายส่วน

    กระนั้น แม่ก็เป็นสายลมที่อ่อนโยน เย็นชื่น ผิดกับปู่...ไม้ใหญ่เนื้อแข็งซึ่งบัดนี้โค่นลงจนได้

    ขณะเฝ้ามองพิธีที่ดำเนินต่อไป ชายหนุ่มยังคงคิดถึงน้องสาว เมลิสซ่าป่านนี้อยู่ที่ใด เขาร้อนใจแทบไฟลน ไม่อยากนึกเลยว่าน้องสาวของตนหายไปกับซอร์ดีโอทั้งคืน ชนิดที่ใจของเขาวาดภาพสิ่งที่ไม่ควรคิดไปมากมาย เกินหวังได้ว่าเด็กสาวจะปลอดภัยทุกประการ

    โชคดีที่เกิดกับท่านหญิงผมทอง คงยากจะมีครั้งที่สอง

    ถึงอย่างนั้น มัธคาร์ก็รู้แต่ว่าเขาอยากได้เมลิสซ่ากลับคืนมา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะยังรักน้อง จะยอมรับน้องเหมือนเดิม ไม่ว่าพวกชาวบ้านจะว่าอย่างไร...

    หรือเราควรไปจากที่นี่จริงๆ ... หนุ่มเลี้ยงผึ้งตั้งคำถาม ...ก็ไม่เหลืออะไรให้อาวรณ์แล้วไม่ใช่หรือ...

    ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ นอกจากความทรงจำถึงพ่อกับแม่ ถึงน้อง ถึงปู่

    ที่จริง ชาวบ้านบางคนที่สนับสนุนปู่เพิ่งมาพูดกับชายหนุ่มก่อนพิธีศพเริ่มนี่เอง พวกเขาอยากให้มัธคาร์รับตำแหน่งรองหัวหน้าหมู่บ้าน คานอำนาจกับดีนัว ซึ่งบัดนี้กลายเป็นหัวหน้าคนต่อไปโดยปริยาย พฤติกรรมเก่าก่อนของรองหัวหน้าหมู่บ้านกับลูกชายถูกยกมาอ้าง ว่าชายหนวดโง้งอาจใช้อำนาจช่วยเหลือลูกตนให้พ้นคดี หรือยักยอกเงินกองกลางหมู่บ้าน เหมือนที่มีข่าวลือว่าเขาเคยทำมาแล้ว

    คนพวกนั้นพูดหวานราวกับน้ำผึ้ง ...เจ้ายังหนุ่มก็จริง แต่ก็เป็นสายเลือดของมูอาทา เป็นคนเที่ยงตรงสัตย์ซื่อไม่ผิดกับปู่ เจ้าต้องเป็นรองหัวหน้าที่ดี และไม่ช้าก็ต้องเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่ดีได้อย่างเขาแน่...

    อย่างไรก็ดี มัธคาร์รู้ สิ่งที่มีรสอร่อยถูกปาก หากบริโภคมากเกินก็ยังเป็นภัยแรงร้าย ถึงเขาอ่อนเปลี้ยเกินย้อนให้เจ็บแสบ ว่า ...ก็พวกท่านไม่ใช่หรือที่กล่าวโทษข้าเมื่อสามวันก่อน หาว่าข้าเป็นคนนอกคอกเหมือนแม่ กำลังจะชักนำภัยเข้าหมู่บ้าน... ก็ยังรู้วิธีตัดบทสนทนาอย่างมีมารยาท ว่าตนต้องการเวลาตัดสินใจ

    ทว่า...ปัจจัยหลักไม่ใช่เวลา แต่เป็น ความคิดต่างหาก

    ที่ทำให้เขาอ่อนเปลี้ยที่สุดคงเป็นความคิดนี้กระมัง

    ไฮฟ์ก็แค่นี้เอง

    หมู่บ้านนี้เลี้ยงผึ้ง และขณะเดียวกัน ชาวบ้านก็ถูกเลี้ยงเหมือนผึ้ง พึ่งพาหัวหน้าหมู่บ้านต่างผึ้งงานพึ่งพานางพญา เมื่อสิ้นผึ้งนางพญากะทันหัน จึงรีบผลิตนมผึ้งเลี้ยงตัวอ่อนเท่าที่มีกันจ้าละหวั่น ด้วยหวังว่าหนึ่งในนั้นจะเติบโตขึ้นเป็นนางพญาใหม่ที่รักษารังต่อไปได้

    หารู้ไม่ ต่อให้ตัวอ่อนเหล่านั้นกลายเป็นนางพญาจริง ก็จะเป็นนางพญาที่อ่อนแอ ไม่สมบูรณ์ นางพญาตัวแรกที่เจริญเป็นตัวเต็มวัยจะพยายามฆ่าตัวอ่อนนางพญาอื่นๆ ที่เติบโตหลังตน ต่อให้ผึ้งงานป้องกันให้นางพญารอดได้มากกว่าหนึ่ง หลายตัวย่อมต้องโบยบินจากรัง ไปสร้างรังใหม่และหาคู่ที่อื่น ทิ้งรังเก่าให้ค่อยๆ เสื่อมสลาย ทิ้งผึ้งงานเก่าให้ค่อยๆ ตายไปเบื้องหลัง

    และตอนนี้ ก็ได้เวลาบินจากรวงผึ้งเสียทีไม่ใช่หรือ

    ในยามที่ฝนหยุดตก ฟ้ากระจ่าง รุ้งอวดโฉมสดใสบนฟากฟ้า

     

    ...................

     

    ท่านอยู่นี่เอง

    เสียงของนายกองอัศวิน

    ชายหนุ่มยืดกายจากหน้าแผ่นป้ายหลุมศพ มิใช่ป้ายที่เพิ่งทำใหม่ แต่เป็นป้ายเดียวดายที่ทุ่งร้าง

    ข้ามาลาแม่ ถ้อยคำสั้น ตรง

    คิดจะไปแน่แล้ว?

    ข้าอยากตามหาเมลิสซ่า มัธคาร์อธิบาย หากพบนางแล้ว ก็อยากพาไปอยู่ที่อื่น ที่ที่ดีกว่า...รังผึ้งนี่

    พ่อหนุ่มเอ๋ย ชายผู้มากวัยกว่าเอ่ยราวกับถอนใจ สังคมมนุษย์ที่ไหน ก็เหมือนรังมดรังผึ้งทั้งนั้นไม่ใช่รึ

    ชายหนุ่มไร้คำตอบ จึงเปลี่ยนเรื่องถาม

    ข้าเข้าใจว่าต่อจากนี้ พวกท่านจะตามล่าซอร์ดีโอ กับตามหาน้องสาวของข้าต่อไป ได้โปรด...ให้ข้าร่วมทางไปด้วยได้ไหม

    เพื่อให้ท่านล้มลงตายต่อหน้านาง...เหมือนกับที่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านล้มลงตายต่อหน้าท่านหรือ

    มัธคาร์หน้าชา

    ขออภัยที่ต้องใช้คำตรง สีหน้าของนายกองอัศวินยิ่งเครียดขรึม แต่ท่านทำสิ่งใดได้บ้าง มัธคาร์ ใช้ดาบเป็นไหม รู้วิธีป้องกันตัวไหม ...ไม่ต้องตอบหรอก ข้ารู้แล้ว เมื่อคืนท่านวิ่งเข้าหาจอมเวทนักฆ่าโดยไม่มีอาวุธใดเลย หากไม่ได้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านขวางไว้ ท่านต่างหากคือคนที่พวกเขาจะฝังในเช้านี้

    ชายหนุ่มก้มหน้าลง มือกำแน่นระงับอารมณ์...ทั้งโมโหและโทษตนเอง...ที่พลุ่งขึ้นมาอีกครั้ง

    ใช่ ที่นักรบอาวุโสพูดมาก็จริง เขาเคยแต่จับดาบไม้ของเล่นในวัยเด็ก โตขึ้นมาก็ได้แต่ร่ำเรียนฝึกฝนเรื่องดูแลผึ้ง มีดดาบอาวุธของจริงไม่เคยแตะแม้แต่นิด

    แล้วข้าจะทำอะไรได้อีก จะช่วยเมลิสซ่าได้อย่างไร

    แต่พวกเรายิ่งกว่ายินดี หากท่านร่วมทางไปด้วย

    มัธคาร์เงยหน้าขวับอย่างประหลาดใจ

    สีหน้าของคู่สนทนายังคงจริงจังไม่เปลี่ยน ไม่มีทีท่าว่าล้อเล่น

    ข้าขออภัย ที่ไม่อาจไปตามหาน้องสาวของท่านด้วยตนเอง เมื่อคืนท่านหญิงถูกปองร้าย อยู่นอกวิหารนานย่อมไม่ปลอดภัย อัศวินพูดต่อ ข้าจึงต้องคุ้มกันนางกลับโดยด่วน แต่เรื่องน้องสาวของท่าน จะฝากให้ผู้ร่วมงานที่ไว้ใจได้ติดตามสุดความสามารถ ท่านหญิงเองก็เป็นห่วงท่าน เมื่อเช้านางทราบข่าว ถึงจะไม่อาจมาร่วมพิธีศพ ก็ขอให้ข้าช่วยพวกท่านทุกอย่างเท่าที่ทำได้

    ข้าเลยตอบไปว่า...หากท่านกับน้องสาวต้องการ เราก็สามารถทำเรื่องให้พวกท่านย้ายเข้าเทอร์รัส เดอี เมืองหลวงของอาร์โคเซีย และทำงานให้มหาวิหารได้

    ชายหนุ่มแทบลืมหายใจ

    ท่านว่าอะไร

    เมืองหลวงของอาร์โคเซียได้ชื่อว่า เมืองศักดิ์สิทธิ์

    ขึ้นชื่อว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์ การจะย้ายเข้าไปอาศัยภายในกำแพงสูงใหญ่นั้นยากยิ่งนัก คนเลี้ยงผึ้งเคยได้ยินว่ามีเพียงผู้มีเชื้อสายตระกูลขุนนางกับนักบวชชั้นสูง หรือผู้อุทิศตนให้ศาสนจักรเท่านั้นที่สามารถอาศัยในเทอร์รัส เดอี

    แต่ข้ากับน้อง...ไม่มีคุณสมบัติใด

    ในฐานะเครือญาติของอดีตอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ท่านยิ่งกว่ามี

    มัธคาร์ยิ่งงุนงง

    ท่านไม่รู้หรือ นายกองอัศวินขยายความ มัธซาร์ บิดาของท่านเคยเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่าเป็นเพื่อนรุ่นน้องของข้าก็ได้

    ชายหนุ่มจ้องผู้พูดเขม็ง สีหน้าของอีกฝ่ายเรียบเฉย ทว่าแววตายังคงจริงจัง

    ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

    ข้า...เพิ่งทราบ คนเลี้ยงผึ้งเอ่ยปาก ทั้งพ่อแม่ และปู่ ไม่เคยมีใครบอกข้าเลย

    ข้าเข้าใจว่าเขาลาออกมาก่อนแต่งงานกับแม่ของท่าน เห็นเขาว่าอยากกลับบ้านเกิด ตอนนั้นข้ายิ่งกว่าเสียดายคนเก่งอย่างเขา แต่หากนั่นเป็นทางเลือกที่เขาต้องการ ข้าก็เข้าใจ

    มัธคาร์ไม่รู้ข้อนั้น แต่เมื่อค่อยๆ นึก ก็พบร่องรอยในความทรงจำที่รับรองคำอ้างของชายแปลกหน้า

    ถึงพ่อไม่เคยสอนดาบให้เขา ทั้งไม่เคยใช้วิชาต่อสู้ให้ดูต่อหน้า ท่านก็เป็นคนสูงใหญ่แข็งแรง รับหน้าที่เป็นคนคุ้มกันขบวนส่งน้ำผึ้งเข้าเมืองต่างๆ อยู่เสมอ แน่นอนว่าหน้าที่นั้นย่อมต้องใช้ฝีมืออาวุธ

    และที่จริง พ่อก็ตายในอุบัติเหตุระหว่างเดินทางคุ้มกันนั่นเอง คงเพราะอย่างนี้ ท่านปู่จึงไม่เคยอนุญาตให้มัธคาร์ฝึกอาวุธ และรับหน้าที่คุ้มกันขบวนสินค้าเลย แม่เองก็คงไม่อยากให้เขาประสบอันตรายอย่างพ่อเช่นกัน

    สิ่งที่ชายหนุ่มทำหาเลี้ยงตนได้ มีเพียงเลี้ยงผึ้งเท่านั้นเอง เขาเพิ่งระลึกปัญหาสำคัญได้อีกอย่าง

    ต่อให้ไปอยู่พระนครได้จริง ข้าจะทำสิ่งใดได้ ข้าทำเป็นแต่เลี้ยงผึ้ง และในเมืองย่อมเลี้ยงผึ้งไม่ได้

    ท่านเป็นอย่างข้ากับเขาได้ มัธคาร์ ชายวัยกลางคนยิ้มน้อยๆ แต่เป็นยิ้มที่ดูราวกับแฝงความเศร้า กองอัศวินศักดิ์สิทธิ์ต้องการคนอยู่เสมอ ตำแหน่งของพวกเรา จะได้มาก็เพียงด้วยความพยายามอย่างหนัก คนมีชาติตระกูลเงินทองหนุนหลัง จะทุ่มขนาดนี้ให้ยากทำไม

    ท่านจะให้ข้าเข้ากองอัศวิน?

    เมื่อท่านพร้อม นายกองเอ่ยต่อไป มีหลายสิ่งที่ยังต้องเรียนรู้ แต่หน่วยอบรมอัศวินฝึกหัดมีไว้เพื่อการนี้

    มัธคาร์ยังไม่ตอบรับ เมื่อครั้งยังเด็ก เขาเคยรู้สึกว่าการได้เป็นอัศวินแต่งเกราะเงินเงางาม สะพายดาบสวมผ้าคลุม เดินขบวนบนถนนเมืองใหญ่ตามเทศกาลสำคัญต่างๆ นั้น โก้เก๋ อยู่ไม่น้อย

    แต่นั่นเป็นก่อนหน้าแม่จากไป...

    ครั้งนั้น แม่ต้องจากไป ศาสนจักรก็มีส่วน

    กระนั้น ถ้าเพื่อเมลิสซ่า...

    ข้า...ยังทำอย่างอื่นเพื่อน้องได้ด้วยหรือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง นางควรย้ายออกจากไฮฟ์จริงๆ ถ้าจะดูแลนางให้ได้ดี ไม่ให้นางลำบาก ก็ต้องหาเลี้ยงนางได้ ไม่อยู่ไฮฟ์แล้วจะเลี้ยงผึ้งอำพันได้อย่างไร

    ท่านเห็นอะไรในตัวคนเลือดร้อนบุ่มบ่ามอย่างข้า นอกจากข้าเป็นลูกชายของเพื่อนเก่าท่าน อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มอดตั้งคำถามไม่ได้ อายุข้าก็เลยขั้นอัศวินฝึกหัดแล้วด้วยซ้ำ

    ท่านเลือดร้อนบุ่มบ่ามก็จริง นายกองเอ่ยเรียบๆ แต่นั่นแสดงว่าสัญชาตญาณตอบรับทางร่างกายดี หากขัดเกลาย่อมใช้ประโยชน์ได้ ในฐานะอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ข้าย่อมอยากได้ผู้ร่วมงานที่มีความสามารถ ไม่เกี่ยวว่าท่านเป็นลูกชายของมัธซาร์หรือไม่

    มัธคาร์กำลังจะขอบคุณตามมารยาท แต่อีกฝ่ายพูดต่อเสียก่อน

    และในฐานะสหายของเออร์ลีอา ข้าอยากดูแลลูกๆ ของนาง อย่างน้อย ก็จนถึงวันที่พวกท่านได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง

    ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

    อัศวินวัยกลางคนไม่พูดอะไร เพียงส่งกระดาษพับหนึ่งให้เขา มันเก่าจนเริ่มเหลืองกรอบ

    คนเลี้ยงผึ้งคลี่มันออก ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างขึ้นแทบทันที

    นี่มัน...ท่านได้มันมาจากไหน

    เป็นลายมือของปู่จริงๆ ชายหนุ่มจำได้ แต่ที่น่าประหลาดใจกว่าคือเนื้อความซึ่งบ่งชัดเจน

    แม่ยังไม่ตาย...ยังอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างนอกนั้น

    แต่...เป็นไปได้อย่างไร ชายหนุ่มยังตั้งคำถาม ทำไมแม่ถึงมีชีวิตอยู่ ทำไมหัวหน้ท่านปู่จึงช่วยนางไว้ ท่านได้จดหมายนี้มาจากไหน

    ข้าเชื่อว่าท่านหัวหน้าหมู่บ้านรักพวกท่านไม่น้อยหรอก ส่วนจดหมายมาจากที่ใด หากให้เล่าคงเป็นเรื่องยาว ผู้มากวัยกว่ากลับตัดบท ไว้ออกจากไฮฟ์แล้ว ข้าจะเล่าให้ท่านฟังระหว่างทาง...หากท่านตกลงไปกับพวกเรา

    ข้า...มัธคาร์ยังชั่งใจ อยากบอกไปว่าตนต้องการเวลา

    ทว่า...ปัจจัยหลักไม่ใช่เวลา เป็น ความคิดต่างหาก

    ถึงแม่ยังมีชีวิตอยู่ ความผิดของท่าน และคำสั่งประหารของศาสนจักรก็ยังคงอยู่เช่นกัน

    ข้าเข้าใจ ว่าท่านยังต้องการตามหาน้องสาวด้วยตนเอง นายกองรับ แต่การก้าวไปข้างหน้า ไม่ได้หมายถึงวิ่งชนทุกอย่างที่ขวางทาง แต่ก็จำต้องอ้อมบ้าง เปลี่ยนเส้นทางบ้างตามจำเป็นไม่ใช่หรือ

    ครั้นแล้ว ชายผู้มากวัยกว่าก็บอกกำหนดเดินทางอีกชั่วยามหน้า ก่อนจะขอตัวจากไป ทิ้งมัธคาร์ไว้กับหลุมศพของแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง

     

    ...................

     

    เจ้าไม่เข้าไปบอกเขาหรือเสียงพูดมาจากหลังผ้าคลุมของเด็กหนุ่ม ซึ่งยืนมองคนเลี้ยงผึ้งกับจอมเวทในคราบอัศวินจากหลังต้นไม้

    บอกไปแล้วจะได้อะไร เฟอร์ทิสพูดอย่างหนักใจ เจ้านั่นคงรู้อยู่ดี

    แต่เกิดเขาทำกับเด็กคนนั้นกับพี่ชายนาง เหมือนอย่างเจ้า...

    เราไม่มีทางเลือกไม่ใช่หรือ ท่านเฟลีน เด็กหนุ่มนึกทบทวนเงื่อนไขการเจรจาเมื่อเช้าอยู่ในใจ ถึงอย่างไร เมลิสซ่าคงถูกคนคนนั้นเอาตัวไปจริงๆ ต่อให้ไม่อยากตามมันต่อ ข้าปล่อยนางไว้อย่างนี้ได้ที่ไหน

    ...ก็จริง แมวจิ๋วรับ ข้าบอกให้เด็กคนนั้นไปเอาของคนเดียว ที่จริงก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน

    ใช่ เฟอร์ทิสคงต้องรับผิดชอบด้วย ต่อให้ตัดเรื่องจอมเวทในคราบอัศวินไป เด็กหนุ่มก็ยังอาจดึงเด็กสาวเข้ามาพัวพันกับเรื่องทั้งหมดมากกว่าที่คิด...โดยเฉพาะเรื่องที่ได้ยินว่า มากิสเตอร์ ของเขาลักตัวเธอไป

    รู้งี้ไม่น่าร่วมมือกับมันแต่แรกเลย...ให้ตายสิ!

    แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว ที่สำคัญตอนนี้คือช่วยคน ต่อให้ไม่อยากตกเป็นเบี้ยหรือหนูทดลองอีก เฟอร์ทิสก็ปล่อยลูกสาวของผู้มีพระคุณไปตามยถากรรมไม่ได้เด็ดขาด

    ไปกันเถอะ เด็กหนุ่มพูด ข้าเริ่มจับทิศทางของมันได้แล้ว ทิ้งไว้ประเดี๋ยวมันก็ออกห่างไปอีก

     

    ...................

     

    ท่านยังเปลี่ยนใจได้นะ เมลิสซ่ายังพยายามเจรจา แม้จะถูกมัดมือแน่นหนา นั่งบนหลังม้าข้างหน้านายโจร

    ให้ตาย ข้าคิดผิดจริงๆ ที่ไม่มัดปากเจ้าด้วยเสียงห้วนของอีกฝ่ายบอกอย่างระอา

    ข้าเป็นหลานสาวของหัวหน้าหมู่บ้านไฮฟ์จริงๆ นะ

    เออ...เออ เจ้าพูดมาเป็นสิบรอบได้แล้วมั้งถ้าท่านพาข้าไปส่ง ท่านหัวหน้าจะตบรางวัลให้อย่างงามแน่ค่ะ งั้นสินายโจรทำเสียงล้อเลียน

    เด็กสาวเริ่มหน้ามุ่ย

    แล้วต่อไป เจ้าก็จะบอกว่า ผู้ชายข้างหลังเป็นคนร้ายอุกฉกรรจ์ที่ศาสนจักรต้องการตัว ถ้านำเขาไปส่ง พวกท่านจะได้เงินนำจับอีกต่อด้วยเชื่อได้รึ เดี๋ยวไอ้พวกผึ้งเฝ้ารังก็ได้ดักรุมต่อยข้าตายปะไร

    พอแล้ว!” เมลิสซ่าร้อง ไม่ทำตามก็อย่าล้อข้าสิ!”

    ชายผู้มากวัยกว่าหัวเราะ

    แม่หนู เจ้าเป็นเด็กฉลาด ไม่ว่าจะไปลงเอยหอไหน ก็หัดใช้คำพูดดีๆ แล้วจะมีคนถูกใจจนไถ่ตัวเจ้าออกไปเป็นเมียน้อยไม่ยาก เชื่อข้าเถอะ

    หากไม่ติดว่าตนถูกมัด และกำลังอยู่บนหลังม้าที่วิ่งเร็วอยู่ เด็กสาวคงนึกอยากผลัก หยิก ข่วน จิ้มตา หรือทำอะไรสักอย่างให้ชายข้างหลังลงไปกองบนพื้น แล้วบังคับม้าให้เลี้ยวกลับมาเหยียบซ้ำให้รู้แล้วรู้รอด

    แต่ข้าไม่อยากเป็นนางโลม!”

    แล้วเจ้าคิดว่าข้าอยากเป็นโจรรึ

    ลูกสาวคนเลี้ยงผึ้งเงียบไปกับคำตอบนั้น ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการ

    ...ในเมื่อใช้ของรางวัลล่อใจไม่ได้ ก็ต้องทำให้เห็นใจเขาใจเราขึ้นมาบ้าง...

    ท่านนายโจรอายุเท่าไรหรือ

    สามสิบสอง อีกฝ่ายตอบโดยดี แม้จะไม่วายย้อน ถามทำไม

    แต่งงานหรือยัง

    อยากสมัครเป็นเมียข้ารึไง ชายฉกรรจ์สัพยอกแรงจนน่าตบ เสียใจ ข้าไม่อยากมีเมียวัยเด็กเหม็นนม

    ไม่ใช่เมลิสซ่าบอกตนเองให้ใจเย็น ข้าอยากรู้ว่าท่านมีลูกเมียแล้วหรือเปล่า

    แล้วถ้ารู้ว่าข้ามีลูกสิบสองคน อดโซหิวโหย คนหนึ่งป่วยหนักต้องใช้ยาราคาแพงเหมือนละลายแม่น้ำ เจ้าจะยอมก้มหน้าถูกขายช่วยลูกๆ ข้าไหมล่ะ

    หนอย!

    เด็กสาวบีบมือแน่น กะจะดึงครอบครัวเขามาอ้อนวอนให้เห็นใจเธอแท้ๆ ...กลับถูกดักด้วยเรื่องโศกสลดที่ฟังอย่างไรก็มีแต่ในนิยายเล่มละเหรียญเงินแทนเสียนี่!

    งั้นท่านเคยได้ยินหรือเปล่า เมลิสซ่าปรับแผนการอีกรอบ น้ำผึ้งกับนมผึ้งของไฮฟ์ดีต่อคนป่วยมากนะ เห็นข้าเด็กอย่างนี้ ข้าปรุงยาพวกนั้นเป็นบ้างด้วย ที่บ้านข้าก็มีของสำรองเหลือเฟือ กลับไปเอามาปรุงยาให้ลูกท่านก็ได้

    เสียใจ นายโจรตอบง่ายดายที่สุด ข้าไม่มีลูกหรอก นังหนูผึ้งน้อย ...ไม่นับพวกที่อาจเคยมีโดยไม่รู้ตัวนะ

    ชิ...อ้อมๆ ไม่ได้ งั้นก็พูดตรงๆ ละ

    แต่เห็นใจเด็กผู้หญิงสักคนไม่ได้เหรอคะ เด็กสาวพูดเสียงอ่อย คิดเสียว่าข้าเป็นน้องสาวท่านก็ได้ ไม่ก็คิดถึงหัวอกแม่ท่านบ้าง ถ้าแม่ของท่านรู้ว่าท่านขายเด็กผู้หญิงตาดำๆ เข้าซ่องได้ลงคอ นางจะรู้สึกยังไง

    อีกฝ่ายกลับระเบิดเสียงหัวเราะลั่นจนเธอนึกกลัว

    ท่าน?

    แม่ข้าเป็นแม่เล้าว่ะ

    เด็กสาวเริ่มหน้าซีด...แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าอีกฝ่ายอาจพูดเล่นก็ได้

    ต้องพูดเล่นแน่ๆ ตะกี้ยังหลอกเราเรื่องลูกอยู่เลย แล้วตอนนี้จะพูดจริงได้ยังไง

    แม่น่าจะชอบเจ้า พวกเด็กช่างพูดจานี่ล่ะ ฝึกให้เป็นงานเร็วนัก ลูกค้าก็ชอบ แต่เจ้าคงไม่อยากอยู่ที่แบบนั้นหรอก ร้านแม่ข้าอยู่ตั้งชายแดนที่พัลลาไรม์โน่น ไม่มีอะไรสวยๆ งามๆ ให้ดู เอาเด็ก พันทาง อย่างเจ้าไปมีแต่จะโดนกดราคาด้วยซ้ำ

    พันทาง? เมลิสซ่าขมวดคิ้ว หมายความว่ายังไง

    อะไร นี่ยังไม่รู้อีกเรอะ

    รู้อะไร เด็กสาวเริ่มเหลืออด ข้าไม่ใช่หมานี่!”

    แล้วเจ้าเห็นข้าเป็นหมารึ เสียงของนายโจรกลับกระโชกขึ้นเป็นครั้งแรก มือซ้ายบีบต้นแขนของเชลยข้างหน้าแน่นขึ้นจนเจ็บแปลบ...เหมือนซอร์ดีโอ จนเมลิสซ่ากลัวขึ้นมา

    ป...เปล่า แต่ข้าไม่เข้าใจ

    มือนั้นผ่อนแรงลง

    นั่นสิ ถึงเป็นพวกพันทางเหมือนกัน แต่หนีมาอยู่หมู่บ้านไกลโขอย่างนี้คงไม่รู้อะไรหรอก ชายหนุ่มเหมือนจะกดเสียง ไอ้พวกจอมเวทที่โน่น มันเหยียดพวกที่ปนสายเลือดมนุษย์จะตายไป พันทาง หมายถึงพวกที่เป็นลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว หรือลูกเศษยิบย่อยกว่านั้น ก็เหมือนหมาแมวข้างถนนที่มันปล่อยให้เกิดโดยไม่ตั้งใจนั่นล่ะ

    เด็กสาวต้องใช้เวลาอีกครู่ จึงประมวลความหมายได้

    หมายความว่า...ข้ามีสายเลือดจอมเวท?

    ถ้าไม่มีแล้วจะคุยกับผึ้งรู้เรื่องเรอะ นายโจรย้อน แต่คุยรู้เรื่องไปก็เท่านั้น ผึ้งไม่ใช่สัตว์แข็งแรงอะไรมากมาย ถึงขอให้พวกมันช่วยเจ้า ก็พาเจ้าหนีรอดยากหรอก ไม่นับว่าถ้าทางหอรู้ จะจับเจ้าไปขังห้องมืด ใช้มาตรการหักดิบให้ยอมรับแขกจนได้ อย่าหาเรื่องเจ็บตัวเปล่าเลยน่า อีหนู

    เมลิสซ่าแทบไม่ได้ฟังคำพูดของเขา ความคิดของเธอกลับจดจ่ออยู่แต่ว่า...ตนมีสายเลือดจอมเวท

    จากใคร...และได้อย่างไร

    ไม่น่าจะเป็นท่านปู่กับพ่อใช่ไหม ได้ยินว่าพวกท่านเป็นชาวหมู่บ้านมาหลายชั่วอายุคน แม่ต่างหากที่เป็นคนนอก เดินทางไปมาหลายที่...

    แม่ต่างหากที่คลุกคลีกับผึ้งได้ราวกับเพื่อนสนิท...เหมือนกับเธอ

    เอาเถอะ นายโจรตบบ่าเด็กสาวเบาๆ ทำตัวเป็นเด็กดี แล้วข้าจะพาเจ้าไปขายผ่านร้านดีๆ ที่มอร์ติกาแล้วกัน ให้เจ้าได้แต่งตัวสวยๆ มีอาหารแพงๆ กิน ได้ฝึกขับร้อง เต้นรำ เล่นดนตรี มีชีวิตหรูหราไม่ต่างลูกคุณหนูนักหรอก ถ้ารู้จักทำตัวให้ใครๆ เอ็นดู

    คิดเสียว่าตัวเองเป็นผึ้งที่ออกจากรังมากินน้ำหวานดอกไม้งามๆ ให้อิ่มแปล้ก็แล้วกัน นังหนูผึ้งน้อย

     

    ...................

     

             คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 13 - จากรัง'

             สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ

             สำหรับตอนที่ 13 ก็ถือว่าเป็นตอนจบของช่วงแรก หมู่บ้านแห่งผึ้ง ซึ่งจะเรียกว่าเป็นช่วงปูพื้นตัวละครคร่าวๆ ก็ได้ โดยเน้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไฮฟ์เป็นหลัก ก่อนจะย้ายไปยังที่อื่นครับ

             ฉากความคิดของมัธเกี่ยวกับงานศพ เป็นฉากที่เขียนมาได้พักนึงแล้ว ก่อนหน้าที่ผมจะรู้ว่าปู่หรืออากงไม่สบายด้วยซ้ำ พอกลับมาอ่านทวนหลังจากท่านเสียไป ก็เลยเสริมเติมความรู้สึกที่ตัวเองมีเข้าไปบ้าง ถึงอย่างนั้น ผมก็คิดว่าตัวเองยังโชคดีกว่ามัธ ที่ได้ดูแลท่าน และก็เข้าใจท่านมากขึ้นก่อนจะจากกัน ขณะที่มัธเสียโอกาสทั้งหลายไปโดยกะทันหันจริงๆ

             ส่วนเรื่องมัธไปเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นเรื่องที่คิดมาค่อนข้างจะหลังๆ ละครับ เหตุเพราะหลังจากคิดดูทีแรกก็พบว่ามัธไม่มีวิชาต่อสู้อะไรเลย เป็นแต่วิ่งชนทั้งไม่มีอาวุธ (และลืมร่ม =__= ) เลยคิดว่าหนทางให้หมอนี่ได้ฝึกปรือพัฒนาตัวเองคือไปทางศาสนจักรนี่แหละ ขณะที่หนูเมผู้โดนหอบหิ้วก็คงจะมีเส้นทางของตัวเองรออยู่เหมือนกัน

             ขอบคุณที่ติดตามมาถึงตอนจบของช่วงแรก และหวังว่าจะติดตามต่อไปในช่วงที่สอง "เมืองแห่งปักษา" นะครับ

             ขอความกรุณากับคอมเมนต์ครับผม

             Anithin


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×