ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels' Saga - กบฏมายา มนตราเทวยุทธ

    ลำดับตอนที่ #11 : -- 1.10 - หลั่งเลือด - “พิสูจน์สิ ว่าฝีมือเจ้าแข็งกล้าเท่าฝีปาก”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 168
      1
      15 ต.ค. 53

    บทที่ 10 - หลั่งเลือด


          ดีนัวเริ่มขยับในตอนนั้นเอง

          ชายหนวดโง้งคิดคำนวณถ้วนถี่แล้ว ได้เวลาที่ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง

          เรื่องล่วงเกินท่านหญิงสูงศักดิ์ แม้ยังไม่รู้แน่ชัด แต่โอกาสที่ซอร์ดีโอทำจริงมีมากกว่าครึ่ง รองหัวหน้าหมู่บ้านรู้จักลูกชายตน เขาทำสิ่งใดก็ได้เพื่อสนองอารมณ์ชั่ววูบ ยิ่งส่งผลให้ตัวเองและพ่อเดือดร้อนยิ่งลงมือ

          จำต้องเสี่ยง เบี่ยงเบนกระแสมุ่งลงทัณฑ์ออกไปเสียก่อน มิฉะนั้น ทั้งลูกทั้งเขาเป็นอันจบสิ้นแน่

          ความผิดในอดีตของหัวหน้าหมู่บ้านนับเป็นเป้าล่อชั้นเยี่ยม...พิธีประหารเออร์ลีอาแสนลวงโลกนั่น

          ก่อนหน้ายังติดคำขู่เรื่องลูกสาวเขา แต่ตอนนี้มูอาทาตายแล้ว หลักฐานที่ว่าก็คงตายไปพร้อมกัน อีกทั้งความลับข้อนั้นเขาเพียงไม่ต้องการให้ลูกชายรู้ เทียบน้ำหนักกับปัญหาเฉพาะหน้าแล้วไม่นับเป็นกระไร

          สำหรับคนในไฮฟ์ คำของมูอาทาคือความจริงแท้ไม่อาจปฏิเสธ ตรงข้ามกับเขายามนี้ ซึ่งไร้ความน่าเชื่อถือไปแล้วด้วยพฤติกรรมของลูกชาย หากคิดระบุโทษมูอาทา ควรให้ผ่านปากคนของทางการ และถ้าจะกล่าวไป จุดหมายแรกที่เขาหวังให้หันเหความสนใจก็คืออัศวินศักดิ์สิทธิ์

          ดีนัวเร่งแจ้งทหารเกราะเหล็ก ขอพูดคุยกับนายกองเซอร์โว

          “ข้ามีเรื่องคิดรายงาน เป็นคดีใหญ่ในละแวกนี้เมื่อเจ็ดปีก่อน มูอาทาปิดบังกลบเกลื่อน บิดเบือนความจริงต่อศาสนจักรอย่างไม่น่าให้อภัย”

          ชายหนวดโง้งเลือกใช้คำรุนแรงเข้าไว้ ด้วยเข้าใจดีจากประสบการณ์ วิสัยของประดาชนอารามเมืองหลวงมีจุดร่วมประการหนึ่ง คือถือการถูกหลอกลวงเป็นบาปมหันต์ ไม่ว่าจะด้วยความเย่อหยิ่ง วางตนสูงส่งเป็นคนแห่งเทพเจ้า หรือศรัทธาบ้าคลั่งที่ไม่อาจยอมให้องค์เทวาเกิดตำหนิ เพราะคนของท่านถูกหมิ่นปัญญาก็ตาม


          ...................


          ...ท่านคือผู้เปี่ยมด้วยอำนาจและพรสวรรค์

          ...ศาสตราอันเจิดจรัส แสงเรืองแห่งหวัง

          กลางห้องกว้างของมหาวิหารเลวิส คริสซอร์ถือดาบไม้ไว้ในมือซ้าย หวดแหวกอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า

          ชายหนุ่มมองแขนของตน และนึกอัศจรรย์นัก แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้รับรู้

          ไม่ว่าร่างกายต้องคมอาวุธ บาดเจ็บสาหัสฉกรรจ์เท่าไร พริบตาหลังเลือดหลั่งรินเพียงหยด รอยแผลตลอดจนความเจ็บปวดใด ๆ ก็จักหายไป

          ...ปรากฏยังแอ็กนัสของเขาแทน

          ภาพของปากแผลยาวบนท่อนแขนบอบบางที่ได้เห็นเมื่อยามดึกผุดขึ้น

          เป็นฝีมือจอมเวทคนหนึ่งในกลุ่มที่เขาสังหาร ตอนบุกวิหารนีเวียสแห่งเนิร์ฟเธน

          ...เทวาวุธอันสมบูรณ์แท้

          คำยกย่องมุ่งหมายของอัศวินครูดาบกับนักบวชอาวุโสแว่วเข้ามาอีกครา

          ศัตรูฝ่าวงดาบโจมตีเข้ามาได้ นั่นหมายความว่าเขายังฝึกฝนไม่พอ

          ชายหนุ่มเกร็งกำลัง ฟาดฟันออกไปอีกครั้ง


          ...................


          ผิดคาด นายกองอัศวินกลับรับฟังด้วยใบหน้าเฉยชา นั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ดีนัวเล็งผลไว้

          ความมั่นใจของรองหัวหน้าหมู่บ้านยิ่งสั่นคลอนเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยตอบ

          “ข้าทำงานแต่ในพระนครเป็นหลัก เรื่องเบื้องนอกไม่ใคร่จะรู้มากนัก”

          ถ้อยคำนั้นประหนึ่งบอกปัดไม่คิดสนใจ ชายหนวดโง้งยิ่งร้อนรน รีบขยายเนื้อหาเพิ่มความสำคัญ “เรื่องนี้ยังเกี่ยวพันกับสะใภ้ของมูอาทา เขาจัดฉากช่วยเหลือคนผิด กล้าบังอาจราวกับไม่เห็นศาสนจักรอยู่ในสายตา ทั้งที่..."

          นายกองผู้นี้เคยออกปากว่าเป็นสหายเก่าของเออร์ลีอาก็จริง แต่กว่าสิบปีที่ผ่านไม่เคยเห็นไปมาหาสู่ แสดงว่าคงไม่สนิทสนมอะไรกันนักมิใช่รึ บางทีอาจไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของนางด้วยซ้ำ

          นอกจากนี้ อุดมการณ์กำจัดความเลวทรามในนามอาร์โคเซียไม่นับกระทั่งญาติ นับประสาอะไรกับการตัดขาดมิตร อย่าว่าแต่...

          "นางเป็นเผ่าพันธุ์ชั่วช้า และความผิดที่นางก่อก็แรงร้ายควรตาย”

          กล่าวพลางหยิบจดหมายฉบับหนึ่งจากอกเสื้อ ดีนัวรู้ นี่เป็นหลักฐานแทบจะเลื่อนลอย จึงไม่กล้านำมาใช้แม้ตอนถูกมูอาทาไล่ต้อนเมื่อหัวค่ำ...จะอย่างไรมันเพียงกระดาษแผ่นเดียว

          เขาร้อนรนจนไม่ทันสังเกตเห็น ว่าบุรุษนักรบนิ่งค้างชั่วขณะ ก่อนจะยิ้ม หยิบจดหมายฉบับนั้นไป และผายมือ พูดต่อจากประโยคก่อนหน้า

          "ดังนั้น ต้องรบกวนท่าน โปรดกล่าวให้ละเอียดกว่านี้...ตั้งแต่ต้นเลยยิ่งดี"


          ...................


          ...ขอให้ท่านชี้แจงต่อพระมหาสังฆราชกับพระราชาคณะอย่างละเอียดชัดเจนตามที่ลั่นวาจาเถิด

          ณ โถงประชุม ส่วนหน้าของมหาวิหารเลวิส กลุ่มนักบวชชราล้อมวงปรึกษาหารือ หัวข้อคือดาบแห่งแสงสุริยัน

          ...ที่แล้วมา ท่านคริสซอร์กระทำตามใจตัวเองมากเพียงไรยังพอทำเนา แต่ครั้งนี้ ถึงกับเดินทางออกจากวิหารไปในขณะเกิดเหตุวุ่นวายโดยไม่บอกกล่าว เบื้องสูงสืบสาวราวเรื่องลงมาจะว่าอย่างไร เจ็ดวันมานี้เคราะห์ดีเหลือคณาแล้วที่ศีรษะไม่หลุดจากบ่า

          ...ที่ต้องสนใจกว่า ‘ท่านออกไปได้อย่างไร’ คือ ‘ท่านออกไปที่ไหน’ และ ‘ไปทำอะไร’

          แม้กังขา ทว่าทุกคนก็ปิดปากเงียบ สิ่งใดธุระไม่ใช่ อย่าสงสัยจะฉลาดกว่า


          ...................


          "อย่างนี้นี่เอง"

          หลังจากฟังจบ นายกองอัศวินศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นสั้น ๆ

          “ยังมีการฝังโครงกระดูกผู้อื่นลงไปตบตา อาจจัดหามาจากมอร์ติกา” ดีนัวไม่ลืมที่จะเร่งเร้าเชื้อไฟ นำศพคนตายมาใช้ประโยชน์เป็นอีกหนึ่งพฤติการณ์นอกรีตที่หมู่นักบวชชิงชังนักหนา

          เซอร์โวยิ้มมุมปาก "ขอบคุณสำหรับข้อมูล"

          เขากล่าวขอตัว บอกเพียงว่ายังต้องไปสะสางเรื่องราว ไม่ต่อความยาวใดอีก

          "ช้าก่อน ท่านนายกอง"

          รองหัวหน้าหมู่บ้านเรียกรั้ง บุรุษนักรบหยุดเท้า หันกลับมามอง

          ดีนัวกลืนน้ำลาย ถามด้วยน้ำเสียงลังเลตะกุกตะกัก

          “เมื่อครู่...ท่านพูดว่าทำงานในพระนคร ไม่ทราบว่า...เคยไปเยือนมหาวิหารเลวิสหรือไม่”

          “เป็นครั้งคราว” เซอร์โวตอบ

          “ท่านพอจะรู้จักข้ารับใช้หญิงในนั้นบ้างไหม...เพอร์นิลล่า" ชายหนวดโง้งเอ่ยชื่อหนึ่ง "ข้าอยากสอบถามข่าวคราวของนาง"


          ...................


          ในห้องพักเล็ก ๆ ส่วนหลังของมหาวิหารเลวิส เจ้าของนามนั้นนั่งอยู่ข้างเตียงนอน กำลังพันผ้าใหม่ให้แผลบนแขนซ้าย เพราะของเดิมถูกใครบางคนฉีกเสียขาดรุ่งริ่ง

          แขนขวาข้างเดียวย่อมทำได้ไม่สะดวก แต่เพอร์นิลล่าไม่คิดรบกวนใคร

          นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องการทำด้วยตัวลำพัง เธอทำแผลให้ตนเองด้วยตัวคนเดียวเสมอ

          อย่างน้อยก็เป็นแบบนั้น จนกระทั่งคริสซอร์ถีบประตูดังโครม เดินเข้าห้องมานั่งลงบนเตียงได้หน้าตาเฉยไม่อายผีสาง

          “ยื่นมา” เขาสั่ง และไม่รอให้ขยับก็คว้าแขนเธอไปวางไว้บนตัก

          เลือดปนหนองยังซึมอยู่ ทั้งเขาก็จัดการใส่ยาพันปิดมิได้เบามือเลย

          แต่เพอร์นิลล่าไม่เจ็บ

          “เก้ ๆ กัง ๆ อยู่นั่น น่ารำคาญ” เขาลุกเดินออกไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้เธองุนงงว่าเขาพันแผลเป็นตั้งแต่เมื่อไร เพราะที่ผ่านมาชายหนุ่มย่อมไม่จำเป็นต้องมีทักษะนี้

          หญิงสาวไล้ปลายนิ้วผ่านผ้าขาวแผ่วเบา ทะนุถนอม ราวกับนี่เป็นสิ่งซึ่งเชื่อมต่อระหว่างนางกับเขา

          บาดแผลเพียงแค่นี้ไม่นับเป็นปัญหา

          เธอยินดี

          ...ไม่ว่าตนจะต้องหลั่งเลือดอีกสักเท่าใดก็ตาม


          ...................


          แค่เลือดหยดเดียว กับกระแสพลังตกค้างบางเบาที่หลงเหลืออยู่ตามรายทาง

          ...ก็เพียงพอให้ ‘ฟีราเคนิส’ ตามรอยได้

          เบื้องนอกมหาวิหารเลวิส ไกลออกไปราวร้อยวา ใต้เงามืดมุมหนึ่งของอาคารบ้านเรือน ซ่อนเร้นไว้ด้วยเงาร่างสามสาย

          เงาแรกเป็นชายร่างกำยำผมชี้ชัน เงาที่สองเป็นชายร่างชะลูด ผมยาวจรดเอว สวมใส่แว่นตา

          และเงาสุดท้าย...มิใช่คน มันมีสี่ขา ดวงตาแดงฉานปานโลหิต สีขนดำทะมึนดุจเถ้าถ่านควันไฟ

          มันคือฟีราเคนิส สุนัขป่าพันธุ์พิเศษจอมไล่ล่า แทบเท้ามันมีเศษผ้าแต้มจุดแดงเล็ก ๆ ที่ชายผมชี้ชันเพิ่งโยนทิ้ง

          ฟีราเคนิสจำแนกแยกแยะได้ว่าเลือดหยดใดหลั่งรินจากร่างใคร ในสถานที่เกิดเหตุหน้าวิหารนีเวียส ท่ามกลางกองโลหิตแดงฉาน ซากลาญแหลกเหลวของจอมเวท มีเพียงเลือดหยดนี้ที่เป็นของมนุษย์

          พวกเขาแกะรอยไล่หลังฆาตกรมาติด ๆ ร่วมเจ็ดวัน สุดท้ายมาจนถึงที่นี้

          “มันจะอวดดีเกินไปหน่อยมั้ง” ชายผมชี้ชันเอ่ยขึ้น "ฆ่าคนเสร็จแล้วสะบัดตูดกลับถิ่นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ระหว่างเดินทางก็ไม่แม้แต่จะปิดบังร่องรอย เห็นได้ชัดว่ามันบุกวิหารนีเวียสโดยไม่มีจุดประสงค์อื่น นอกจากเพื่อท้าทาย"

          “ข้อสันนิษฐานเป็นจริง มันมาจากศาสนจักรอาร์โคเซีย” ชายผมยาวสวมแว่นพึมพำ "หน้าที่ของเราคือสอดแนมเพื่อสืบให้รู้ชัดว่าคนร้ายเป็นใคร ตอนนี้ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ถอยกลับกันก่อน"

          ชายผมชี้ชันยังนิ่งเฉย ชายสวมแว่นจึงกล่าวสำทับ

          "อิเรทัส เจ้าลืมที่รับปากกับเหล่าผู้เฒ่าไว้แล้วรึ"

          "เออ ก็ถ้าไม่รับปากดิบดี บรรดาตาแก่จะยอมปล่อยข้ามาเรอะ พวกเหนียงยานนั่นดีแต่ยึดหลักการน่าเบื่อหน่าย พี่น้องของข้าตายไปร่วมสิบ จะให้ทำใจเย็นได้ไงไหว"

          บุรุษหนุ่มนามอิเรทัสเหยียดยิ้ม หันมามองเพื่อนร่วมทาง

          "เจ้าย่อมรู้เช่นเดียวกับที่ข้ารู้ ลิเบอร์ เพื่อนพ้องเผ่าเราจำนวนอีกมากมายกว่านั้น ที่แค่ย่างเข้าเขตแคว้นมันก็ถูกกุดหัว ห้อยร่าง เผาประจาน" เขาเค้นเสียงลอดไรฟัน แววตาเปี่ยมความอาฆาต "จนครั้งนี้มันถึงกับเหยียบเข้าใจกลางแดนเรา ถอยกลับกันก่อนรึ ถอยไปถึงไหน จะตกโลกอยู่แล้ว แหกเนตรดูบ้างสิ ถ้าไม่แสดงให้มันเห็นถึงพลังของเราบ้าง แม้แต่ที่ยืนเราก็ไม่มีเหลือ"

          ชายสวมแว่นถอนหายใจเบา ๆ

          "โดยหน้าที่แล้ว ข้ายอมให้เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้ การกระทำของเจ้าจะกลายเป็นสิ่งที่คนทั้งเผ่าต้องร่วมแบกรับ”

          “ยังไง”

          “เจ้าคิดว่าศาสนจักรจะพูดว่า 'อิเรทัสผู้โง่เง่าลุยดุ่มวิหารเลวิสยามวิกาล' รึ ไม่หรอก มันจะพูดว่า 'เนิร์ฟเธนส่งจอมเวทมาลอบกัดรุกราน หมายประกาศสงคราม' " ลิเบอร์เลื่อนมือขึ้นขยับแว่นบนดั้งจมูก "หากจะเกิดศึก ควรเป็นการตัดสินใจจากผู้นำ และต้องหลังจากหารือตระเตรียมความพรักพร้อมแก่ส่วนรวม มิใช่เจ้าคนเดียวบอกลุยก็ลุย เจ้าเป็นตัวอะไร ถือสิทธิ์ใดไปคิดอ่านแทนคนเรือนหมื่นเรือนแสน"

          เขากล่าวด้วยท่าทีเรียบเรื่อยเฉื่อยชา แววตาปราศจากอารมณ์ ทว่าความโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายคล้ายถูกความเนิบนาบนั้นราดรดดับมอด อับจนคำพูด นึกเหตุผลโต้แย้งไม่ออก

          "แต่โดยส่วนตัว ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้า เข้าไปซะ สังหารคนที่เจ้าอยากสังหาร"

          “หา ?” ชายผมเม่นงุนงง

          “มีข้อแม้ว่าต้องกลับออกมาโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้”

          อิเรทัสชะงักงัน

          "เป็นไร ทำไม่ได้รึ" ชายสวมแว่นถามเสียงราบเรียบ "คิดเชือดคนให้สมแค้น...ก็เอา แต่อย่าให้ผู้อื่นต้องพลอยรับผิดชอบเรื่องที่ตัวเองกระทำ หรือน้ำใจเดือดแค้นแทนพวกพ้องของเจ้า ก็เพียงอารมณ์ฉุนเฉียวของเด็กมุทะลุ ก่อเรื่องทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันใหญ่โตเกินตัว"

          ลิเบอร์โน้มกายมา ยื่นใบหน้าเข้าใกล้แทบประชิด

          "พิสูจน์สิ ว่าฝีมือเจ้าแข็งกล้าเท่าฝีปาก"

          อิเรทัสแค่นยิ้ม "เจ้านี่มันแสบจริง รอให้กลับมาก่อนเถอะ คนที่ข้าจะเด็ดหัวคนต่อไปก็คือเจ้า"

          ชายผมชี้ชันผิวปากเรียกสุนัขขนดำ จากนั้นหันกลับออกเดิน

          ดาบแห่งแสงสุริยันเรอะ จะสักแค่ไหนกันเชียว


          ...................


          คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 10 - หลั่งเลือด'

          สำหรับบทนี้ อยากย้ายไปพูดถึงทางฝั่งคริสซอร์ที่มหาวิหารบ้าง (ยังจำหมอนี่กันได้มั้ยนี่ =w= นายปากไม่ดีที่ออกมาในท้ายบทที่ 5 ไง) จริงๆ อยากใส่ไว้ในบทที่ 6 แต่ก็เนื่องด้วยตอนที่เขียนไอเดียและอารมณ์ของทางฝั่งไฮฟ์มีมากกว่า ครั้นพอจะมาพูดถึงในบทนี้ก็รู้สึกว่าถ้าอยู่ดี ๆ ตัดฉับจากเหตการณ์ฝั่งไฮฟ์มาฝั่งนี้เลย มันอาจจะดูโดด ๆ ไป ประกอบกับยังมีบางจุดของทางฝั่งไฮฟ์ที่อยากเขียนและเห็นว่ามีจุดเกี่ยวโยงกันกับตัวละครที่ฝั่งวิหาร จึงลองค่อย ๆ ใส่จุดเชื่อมของทั้งสองฝั่งเข้าไปทีละฉาก และออกมาเป็นแบบนี้ ถ้าใครงงก็ขออภัยครับ แหะ ๆ เป็นความเอาแต่ใจของคนเขียนอีกแล้ว ^^;; แต่ตามที่เคยแถลงไขไว้ ว่าหลังจากบทนี้ไปจะพยายามหากลวิธีอื่น ไม่สลับไปสลับสลับมาถี่ ๆ แบบนี้แล้วค้าบ

          และในบทนี้ พวกจอมเวทก็เริ่มทยอยตบเท้ากันออกมา คู่หูคู่นี้เป็นตัวละครที่ไม่ได้วางไว้ล่วงหน้าก่อนจะเขียน แต่ภาพลักษณ์บุคลิกของทั้งสองตัวไหลออกมาตอนที่เขียนเลย จะว่าสดก็สด จะว่าเล่นง่ายก็เล่นง่าย =__=a

          เกี่ยวกับชื่อ
          ลิเบอร์ (ภาษาละติน liber : book, child, free man)
          อิเรทัส (ภาษาละติน iratus : angry, wrathful.)
          ฟีราเคนิส (ภาษาละติน fera : wild beast/animal / canis : dog; hound; subordinate; "jackal")

          bluemouse

    รูปตัวละครใหม่อีกสองตัว

    ลิเบอร์


    อิเรทัส

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×